(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

new

ภาคที่หนึ่ง เขตต้านโจว บทนำ แถบผ้าสีดำ

ภาคที่หนึ่ง เขตต้านโจว

บทนำ แถบผ้าสีดำ

 

        ฟ่านเซินเปิดเปลือกตาอย่างยากลำบาก คิดงอนิ้วนับดูว่าในชีวิตตนเองกระทำเรื่องราวที่มีคุณค่าความหมายอันใด สุดท้ายนิ้วมือที่ซูบเซียวราวตะเกียบข้างขวาทั้งห้ายังนับไม่เสร็จ ต้องละทิ้งงานที่ทำด้วยความเศร้าหดหู่

        กลิ่นยาในห้องคนไข้ฉุนเฉียวยิ่ง ท่านผู้เฒ่าที่นอนเตียงติดกันไปรายงานตัวต่อตี่จั๋งผ่อสัก* ตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว คาดว่าอีกไม่กี่วันจะถึงรอบของตนเอง มันป่วยเป็นโรคประหลาด กล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างแรง ถือเป็นโรคที่เหมาะกับตัวเอกในนวนิยายโรมานซ์ ฟังว่าไม่มีทางรักษา เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง จะแน่นิ่งไม่ไหวติง แต่ว่าน้ำตาไหลออกมาได้

        * พระภิษิตครรภโพธิสัตว์ เป็นหนึ่งในพระธยานิโพธิสัตว์แปดพระองค์ หลังจากที่พระองค์ดับขันธ์ ก็สาบานตนว่าจะส่งเสริมส่ำสัตว์ในคติทั้งหกให้พ้นทุกข์ จึงสำเร็จเป็นพุทธะ

        ‘แต่ว่าเรามิใช่ตัวเอกในนวนิยายโรมานซ์ เรายังเป็นผู้ชายบริสุทธิ์’

        ฟ่านเซินรำพึงรำพัน เนื่องจากกล้ามเนื้อสองแก้มสูญเสียการควบคุมบังคับ ดังนั้นกลายเป็นคำละเมอ มันมองดูนิ้วกลางของตนเอง นึกเวทนาตนเองจับใจ

............

        ในชีวิตไม่ได้กระทำเรื่องราวที่มีคุณค่าความหมายอันใด นอกจากประคองเหล่าไหน่ไหน (คุณยาย) ข้ามถนน สละที่นั่งบนรถประจำทางให้กับเด็ก อยู่ร่วมกับคนข้างบ้านอย่างกลมเกลียว และช่วยเพื่อนนักเรียนโกงข้อสอบ...ฟ่านเซินเป็นผู้ชายที่ใช้การไม่ได้ บิดามารดาของมันลาโลกตั้งแต่แรก เพียงทิ้งให้มันนอนโรงพยาบาลตัวคนเดียว รอคอยวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง

        ‘คนดีไม่มีกุศลสนอง’

        ยามค่ำคืนดึกสงัดที่อ้างว้าง ฟ่านเซินพบว่ากล้ามเนื้อลำคอของตนเองคลายออกอย่างช้าๆ ไม่สามารดรัดตัวอีก กล้ามเนื้อลมหายใจก็ปูราบราวกับยางรัดที่ยืดออก นางพยาบาลที่หน้าตาหมดจดประจำดรงพยาบาลนั้นไม่ทราบหายหน้าไปที่ใด ที่อยู่ข้างกายเป็นต้ามา (คุณป้า) นางหนึ่ง ไม่ทราบพร่ำบ่นพึมพำอันใด

        ‘เราต้องตายแล้วหรือ?’

        ความประหวั่นต่อความตาย และความมุ่งมาดต่อชีวิต ทำให้จิตใจมันบังเกิดเป็นรสชาติอันสลับซับซ้อน ขณะที่ผู้ที่ดูใจตนเองมิใช่นางพยาบาลที่น่ารักน่าชังซึ่งมันหมายปองเป็นเวลานาน หากเป็นโอวปาซัง* นางนี้ จึงยิ่งเพิ่มความโศกเศร้าเสียใจแก่ฟ่านเซินกว่าเดิม มันหรุบตาลง มองดูผ้าดำที่หน้าต่างห้องคนไข้ที่บังแดดผืนนั้น มีความรู้สึกว่าชีวิตช่างเปลี่ยวเหงานัก

        * Obaasan เป็นภาษาญี่ปุ่น แผลงเป็นคุณป้า

............

        ยามเศร้าหดหู่ ปรากฏของเหลวที่เปียกชื้นหยดหนึ่งไหลซึมออกจากหางตาของมัน

        ฟ่านเซินใช้ปลายลิ้นเลียของเหลวซึ่งไหลซึมออกจากหางตาถึงมุมปากของตนเอง กลับพบเห็นด้วยความประหลาดใจว่า น้ำตาของตนเองไม่เพียงมีรสเค็ม ทั้งยังแฝงกลิ่นคาวอยู่บ้าง หรือว่านอนโรงพยาบาลน้อยครั้งจะอาบน้ำ กระทั่งน้ำตายังส่งกลิ่นเหม็นออกมา มันอดร่ำร้องด่าทอในใจมิได้ ‘บอกว่าเจ้าน้ำตานองหน้า เจ้าก็น้ำตานองหน้า เข้าใจว่าตนเองเป็นตัวเอกในนวนิยายโรมานซ์จริงหรือ?’

        จากนั้นมันพบว่ามีเรื่องบางประการไม่ถูกต้อง เหตุใดปลายลิ้นของตนเองสามารถเลียน้ำตาที่มุมปาก หมอรักษาบอกว่าลิ้นของตนเองสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวตั้งแต่แรก ประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวคือไหลลงไปยังหลอดอาหาร จนทางเดินหายใจของตนเองอุดตัน กลายเป็นอัจฉริยะในการกลืนลิ้นฆ่าตัวตาย ต่อจากนั้นมันพบว่าดวงตาของตนเองก็เปลี่ยนไป ม่านสายตาขยายกว้างออก ความสามารถในการมองเห็นก็ดีกว่าเก่ามากนัก ภาพเบื้องหน้ากระจ่างแจ่มจ้า ปรากฏวัตถุที่สานจากไม้ไผ่สิ่งหนึ่งขวางอยู่เบื้องหน้า

        ฟ่านเซินพลันพบเห็นฉากอันน่าตระหนกฉากหนึ่ง คนชุดดำที่ตลอดทั้งร่างแผ่ซ่านกลิ่นอายฆ่าฟันสิบกว่าคน ถืออาวุธที่คมกล้าฟาดฟันใส่ตนเอง ยามกะทันหันไม่ทันจำแนกว่านี่เป็นความฝัน หรือเป็นประสบการณ์อันแปลกประหลาดก่อนตาย เพียงหดศีรษะลงตามสัยชาตญาณ อีกสองมือปิดบังที่เบื้องหน้า กระทำเช่นผู้คนทั่วไปที่เลือกทำตัวเช่นนกกระจอกเทศ

        เสียงขวับขวับขวับของวัตถุแหวกฝ่าอากาศดังขึ้น

        ต่อจากนั้นเป็นเสียงครางหนักๆ ติดต่อกัน สุดท้ายเป็นความเงียบสงบ ชั่วครู่ให้หลังฟ่านเซินพบว่าไม่ถูกต้อง จึงแยกนิ้วมือที่ปิดหน้าออกอย่างระมัดระวัง เมื่อมองลอดร่องนิ้วออกไป เห็นชัดตาว่าบนพื้นนอนไว้ด้วยซากศพสิบกว่าซาก โลหิตไหลหลั่งเนืองนอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอบอวล

        ฟ่านเซินแตกตื่นจนขวัญหาย ทุกประการที่เบื้องหน้าจริงแท้เกินไป ทำให้มันเรียกสติคืนมาไม่ได้ ต่อจากนั้นมันนึกถึงมือที่ปิดหน้าไว้ หรือว่ามือของตนเองเคลื่อนไหวได้แล้ว หรือว่าตนเองทุเลาหายดีแล้ว อย่างนั้นทุกประการที่เบื้องหน้าเป็นเรื่องราวใด หรือว่าเพียงฝันไป หลังจากที่ตื่นจากความฝัน ตนเองยังเป็นคนพิการที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ได้แต่รอคอยความตาย?

        หากเป็นเช่นนี้จริง มิสู้อยู่ในความฝันอย่าได้ตื่นขึ้น อย่างน้อยมือของตนเองยังเคลื่อนไหวได้ ดวงตาของตนเองยังกะพริบได้ มันครุ่นคิดด้วยความเศร้าหดหู่ ยกมือลูบใบหน้าที่เปียกชื้นคราหนึ่ง พอหดมือกลับก็พบว่ามือของตนเองชุ่มด้วยโลหิต ที่แท้ของเหลวที่หยดลงจากหางตาของมัน ไม่ทราบเป็นโลหิตของผู้ใดกระเซ็นใส่หน้ามัน

        ฟ่านเซินเหม่อมองดูสองมือของตนเอง ร่ำร้องในใจว่า ‘นี่มิใช่มือของตนเอง ที่อยู่เบื้องหน้าเป็นมือน้อยๆ ที่ขาวนวลน่ารักคู่หนึ่ง บนมือแปดเปื้อนคราบเลือด ดูไปลี้ลับราวกับบัวบานที่เบ่งบานในลานฆ่าสัตว์ช่อหนึ่ง ผู้ใหญ่คนหนึ่งต้องไม่มีมือน้อยๆ เช่นนี้เด็ดขาด’

        ภายใต้ความรู้สึกที่ถาโถมใส่ ความครุ่นคิดคำนึงต่างๆ พลันประดังเข้ามาในห้วงสมอง มันอดตะลึงลานมิได้ คำถามนานัปการยึดครองร่างกายและจิตใจของมันไว้

............

............

        ปีนี้เป็นศักราชที่ห้าสิบเจ็ดแห่งรัฐชิ่ง ฮ่องเต้นำทัพใหญ่ปราบปรามซีม่าน* ยังไม่มีข้อยุติ ซือหนันป่อเจี๋ย** ก็ติดตามไป ไทเฮากับคณะรัฐบุรุษจึงดูแลราชการแทน วันนี้ไท่ผิงเปี๋ยเอี้ยน (นิเวศน์สันติสุข) ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำจิงจิ่งที่ชานเมืองเกิดเพลิงไหม้ ยอดฝีมือขบวนหนึ่งฉวยโอกาสบุกเข้าตัวตึก พบเห็นคนก็เข่นฆ่า ก่อคดีฆาตกรรมสะท้านขวัญ

        * คำเรียกคนป่าเถื่อนทางตะวันตก

        ** บรรดาศักดิ์พระจัดอยู่อันดับสามในห้าบรรดาศักดิ์ของจีน แปลว่าพระกำกับดูแลทักษิณ

        ชายหนุ่มประจำตึกนิเวศน์ผู้หนึ่งแบกร่างนายน้อยเข่นฆ่าออกจากวงล้อม คนร้ายที่สวมเสื้อผ้าสีทึบกลืนกับความมืดขบวนหนึ่งไล่กวดตาม ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่าถึงปากทางแยกนอกเมืองด้านทิศใต้ ยอดฝีมือที่ซุ่มจู่โจมคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มทุพพลภาพผู้นี้กลับเป็นผู้เข้มแข็งที่มีฝีมือลึกล้ำสุดจะหยั่ง มิหนำซ้ำที่หลังเนินดินยังมีกองกำลังช่วยเหลือ กองกำลังที่ยกมาช่วยเหลือยิ่งมีความเป็นมาที่น่าตระหนก

        “อัศวินดำ”

        เหล่าคนร้ายที่ถูกหน้าไม้แกร่งยิงสังหารหมดสิ้นนอนจมกองเลือด ส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา กองกำลังที่ยกมาช่วยเหลือขี่ม้าพ่วงพี บนร่างสวมหมวกใส่ชุดเกราะสีดำ ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง สะท้อนประกายลี้ลับที่คร่าวิญญาณ คนบนหลังม้าถือหน้าไม้แกร่ง ซึ่งมีแต่ในกองทัพจึงได้รับการจัดสรร หลังจากยิงหน้าไม้ออก คนร้ายส่วนใหญ่ก็ถูกยิงสังหารแทบหมดสิ้น

        ท่ามกลางการอารักขาของเหล่าอัศวินดำ ยังมีชายกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในรถม้า มันหน้าขาวซีด ใต้คางไว้หนวดเคราหร็อมแหร็ม มองดูคนใช้หนุ่มที่แบกทารกชายอยู่บนหลัง ผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นปรบมือเบาๆ

        เสียงปรบมือเป็นสัญญาณให้ลงมือ

        ทัพอัศวินดำแบ่งกำลังออกมาขบวนหนึ่ง เข่นฆ่าไปในเหล่าคนร้ายที่บาดเจ็บล้มตายสาหัสราวดาบเคียวเล่มหนึ่ง ในเหล่าคนร้ายปรากฏธรรมาจารย์ผู้หนึ่งยกชูคฑา ส่งเสียงท่องสวดมนต์ คนในบริเวณรู้สึกมีพลังงานที่บอกไม่ถูกเกิดการรวมตัวบนเนินเขา ชายกลางคนในรถม้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด ที่ข้างกายมันปรากฏเงาดำสายหนึ่งพุ่งกระโจนออกไปดุจเหยี่ยวราตรีตัวหนึ่ง

        เสียงเชียะดังสดใส เสียงสวดมนต์ของธรรมาจารย์นั้นชะงักขาดหาย ศีรษะหัวหนึ่งลอยขึ้นสูง พร้อมกับโลหิตฉีดพุ่งดุจน้ำพุ

        ชายกลางคนในรถม้าสั่นศีรษะ กล่าวว่า “เหล่าธรรมาจารย์ที่มาจากตะวันตกล้วนไม่เข้าใจ ยามอยู่เบื้องหน้าผู้เข้มแข็งที่แท้จริง คาถาอาคมเฉกเช่นพู่กันของมหาเสนาบดี หาบังเกิดผลแต่อย่างไร?”

        ทัพอัศวินดำทั้งหลายสิบคนตรวจสอบยืนยันความปลอดภัยรอบข้าง ค่อยกำหมัดขวาทำท่า เป็นความหมายว่าคนร้ายโดยรอบถูกกำจัดฆ่าสิ้น จากนั้นขบวนทัพแยกออกจากกัน รถม้าภายในแล่นออกมาอย่างช้าๆ จนถึงเบื้องหน้าคนใช้หนุ่มนั้น ชายกลางคนในรถม้าได้รับการช่วยเหลือจากสมุนบริวาร จัดแจงนั่งบนเก้าอี้ล้อเลื่อน ชายกลางคนที่สองเท้าเคลื่อนไหวไม่สะดวกผลักดันเก้าอี้ล้อเลื่อนมาถึงกลางวง มองดูคนใช้หนุ่มที่ยืนตัวตรงดุจปลายทวน กลางหลังสะพายหลัวไม้ไผ่ใบหนึ่ง ใบหน้าที่ขาวซีดของชายกลางคนซึ่งนั่งเก้าอี้ล้อเลื่อนปรากฏสีแดงซ่านขึ้น กล่าวว่า “ถือว่าไม่เกิดเรื่องขึ้น”

        คนใช้หนุ่มที่สะพายหลัวไม้ไผ่ใช้แถบผ้าสีดำผืนหนึ่งคลุมหน้าไว้ มือถือเหล็กเจาะสีดำมะเมื่อมคล้ายกระบี่แท่งหนึ่ง ปรากฏโลหิตหยดลงจากเหล็กเจาะอย่างช้าๆ ที่ข้างกายมันนอนเกลื่อนไว้ด้วยซากศพจำนวนมาก ผู้ตายล้วนเป็นยอดฝีมือที่ได้รับคำสั่งให้มาซุ่มสังหาร ที่ลำคอผู้ตายทิ้งหยาดโลหิตหยดหนึ่ง ดูท่าถูกจู่โจมสังหารในคราเดียว

        คนใช้หนุ่มที่ใช้แถบผ้าสีดำปิดบังดวงตาไว้กล่าวเสียงเย็นชาว่า “เรื่องนี้เราต้องการคำบอกกล่าวจากพวกท่านประการหนึ่ง” เสียงของมันสงบนิ่ง ทั้งปราศจากอารมณ์ความรู้สึกใด

        ชายกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าเก้าอี้ล้อเลื่อนสีหน้าเวทนาวูบหนึ่งแล้วหายวับ กล่าวว่า “เราย่อมต้องมีคำบอกกล่าวต่อท่าน และมีคำบอกกล่าวต่อจูเหยิน (นาย)”

        คนรับใช้หนุ่มที่ใช้แถบผ้าสีดำปิดบังใบหน้าผงกศีรษะรับอย่างเงียบงัน จากนั้นตระเตรียมจากไป

        “ท่านคิดนำทารกไปที่ใด?”

        ชายกลางคนบนเก้าอี้ล้อเลื่อนเอ่ยปากถามขึ้น กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ท่านเป็นคนตาบอดหรือคิดนำเส้าแหย (นายน้อย) ติดตามท่านออกร่อนเร่ในยุทธจักร?”

        คนรับใช้หนุ่มนั้นตอบว่า “นี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณหนู”

        ชายกลางคนบนเก้าอี้ล้อเลื่อนกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจู่เหยิน” มันกล่าวเสริมว่า “เรารับประกันว่าจะเสาะหาสถานที่อันปลอดภัยในนครหลวงให้กับเส้าแหยแห่งหนึ่ง”

        คนใช้หนุ่มนั้นสั่นศีรษะ กระชับแถบผ้าสีดำบนใบหน้าคราหนึ่ง

        ชายกลางคนบนเก้าอี้ล้อเลื่อนทราบว่าฝ่ายตรงข้ามนอกจากเชื่อฟังวาจาของคุณหนูแล้ว แม้แต่นายเหนือของตนเองยังไม่สามารถออกคำสั่งต่อมัน ได้แต่ทอดถอนใจกล่าวเกลี้ยกล่อมว่า “รอจนจู่จื่อ (คำเรียกผู้เป็นนาย) กลับมา เรื่องในนครหลวงต้องสงบเรียบร้อย ท่านไยต้องนำมันไป?”

        คนรับใช้หนุ่มนั้นกล่าวว่า “เราไม่ไว้วางใจจู่จื่อของท่าน”

        ชายกลางคนบนเก้าอี้ล้อเลื่อนขมวดคิ้ว คล้ายไม่พอใจต่อคำพูดของฝ่ายตรงข้ามประโยคนี้ยิ่ง ชั่วครู่ให้หลังจึงกล่าว “เด็กทารกต้องดูดนม เรียนหนังสือ ท่านกระทำเรื่องเหล่านี้ได้หรือ?” มันแค่นหัวร่อกล่าวว่า “คนตาบอด นอกจากฆ่าคนแล้วยังทำอะไรได้?”

        คนรับใช้หนุ่มนั้นหามีโทสะไม่ เพียงขยับหลัวไม้ไผ่ที่กลางหลังคราหนึ่ง กล่าวว่า “คนขาเป๋ ท่านก็คล้ายรู้จักแต่ฆ่าคน”

        ชายกลางคนบนเก้าอี้ล้อเลื่อนยิ้มอย่างเยือกเย็นกล่าวว่า “ที่ลงมือครั้งนี้เพียงเป็นเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ในมหานคร รอจนจู่เหยินกลับมา เราจะทำการชำระสะสางพวกมัน”

        คนใช้หนุ่มตาบอดนั้นสั่นศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ

        มือของชายกลางคนลูบไล้ล้อเลื่อนบนเก้าอี้เบาๆ คล้ายใคร่ครวญว่าฝ่ายตรงข้ามกลัวเกรงอันใด ชั่วครู่จึงกล่าว “เราทราบว่าท่านกลัวอันใด แต่บนโลกใบนี้นอกจากบิดาของมันสามารถปกป้องมันแล้ว ยังมีผู้ใดปกปักมันรอดพ้นจากอันตรายที่มองไม่เห็น?”

        คนใช้หนุ่มตาบอดเอ่ยปากตอบคำ สุ้มเสียงยังคงปราศจากความรู้สึกใดว่า “ศักดิ์ฐานะใหม่จะช่วยให้ปลอดจากการถูกรบกวน”

        ชายกลางคนบนเก้าอี้ล้อเลื่อนขบคิดแล้วผงกศีรษะเห็นพ้อง

        คนใช้หนุ่มตาบอดถามว่า “ที่ใดดี?”

        “อ่าวต้านโจว ตอนนี้ท่านแม่ของจู่จื่อพำนักอยู่ที่นั้น”

        คนใช้หนุ่มตาบอดเงียบงันชั่วขณะ ในที่สุดรับการจัดการเช่นนี้

        ชายกลางคนนั้นผลักดันเก้าอี้ล้อเลื่อนถึงด้านหลังของคนใช้หนุ่มตาบอด ยื่นมืออุ้มทารกชายในหลัวไม้ไผ่ลงมา มองดูใบหน้าน้อยๆ ที่คล้ายสลักเสลาจากหิมะน้ำแข็งของทารกต้องทอดถอนใจกล่าวว่า “งดงามยิ่ง แทบถอดแบบจากมารดาของมัน”

        มันพลันหัวร่อฮาฮากล่าวว่า “เจ้าตัวน้อยนี้พอเติบใหญ่ต้องรุดหน้าก้าวไกลอย่างแน่นอน”

        เหล่าสมุนบริวารซึ่งยืนอยู่ที่ห่างไปพลันได้ยินใต้เท้าหัวร่อด้วยความเบิกบานใจถึงเพียงนี้ ถึงแม้สีหน้าปราศจากความรู้สึกใด แต่ในใจกลับสะท้านสะเทือน ไม่ทราบว่าทารกชายผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญอันใด

        “อืมม์?”

        คนใช้หนุ่มตาบอดเอียงศีรษะยื่นมือรับทารกชายกลับมา มันแม้มีความรู้สึกในเชิงเดียวกว่าผู้คนทั่วไป แต่ยังไม่ต้องารทารกชายในหลัวไม้ไผ่อยู่ใกล้กับมือที่คล้ายอสรพิษร้ายข้างนี้เกินไป พร้อมกันนั้นใช้ศัพท์พยางค์เดียวตั้งคำถามต่อฝ่ายตรงข้าม

        ชายกลางคนบนเก้าอี้ล้อเลื่อนยิ้มพลางมองดูใบหน้าทารกชาย เป็นรอยยิ้มที่บอกไม่ถูก หากทว่าน่ากลัวเป็นพิเศษ มันกล่าวว่า “ทารกที่เพิ่งมีอายุสองเดือน กลับสามารถยกมือปาดเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า หลังจากผ่านเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวในคืนนี้ยังหลับสนิทถึงเพียงนี้ สมกับเป็น...”

        มันลดสุ้มเสียงเบาลง กล่าววาจาที่เหล่าสมุนบริวารที่ด้านหลังไม่ได้ยินว่า “...ทารกที่สืบสายโลหิตแห่งฟ้า”

        ชายกลางคนผู้นี้กุมอำนาจใหญ่ในมหานคร มีฝีมือโหดเหี้ยมอำมหิต ขุนนางที่ตกไปในมือมัน ไม่ถึงสองวันต้องคายความจริงออกมา สายตาของมันยิ่งลึกซึ้งชั่วร้าย แต่บุคคลที่ไม่ธรรมดาผู้นี้ ยังดูไม่ออกว่าทารกชายผู้นี้หลับสนิท หรือว่าได้รับความตื่นตระหนกจนสลบเหมือดไป

............

        คำสายโลหิตแห่งฟ้าหมายถึงสายโลหิตที่ฟ้าตกทอดทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ ตามคำล่ำลือ ทุกระยะเวลาหลายร้อยปี จะมีผู้สืบสายโลหิตแห่งฟ้าถือจุติขึ้นมาคนหนึ่ง

        ผู้ที่สืบสายโลหิตแห่งฟ้านี้กอปรด้วยขีดความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ ยกตัวอย่างเช่นยอดนักรบชนเผ่าโบราณน่าเอ่อ* ก่อนที่ชนชาติจะถูกคนเถื่อนล้มล้าง ท่านอาศัยความสามารถส่วนบุคคล จู่โจมสังหารคนในที่ประชุมของคนเถื่อน ยังมีผู้สืบสายโลหิตแห่งฟ้าจะแสดงออกในทางศิลปะ และพรสวรรค์ที่เป็นอัจฉริยะ ยกตัวอย่างปอเอ่อ** กับฝุปอผู้เป็นภริยา แห่งโลกตะวันตก ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไปสามร้อยปี แน่นอน ไม่มีผู้ใดสามารถพิสูจน์ได้ว่า พวกท่านเป็นผู้สืบสายโลหิตแห่งฟ้า ซึ่งลงมาปราบยุคเข็ญทางโลก แต่ในความเป็นจริง บุคคลเหล่านี้นำมาซึ่งสันติสุขและสิ่งอื่นๆ มาสู่มวลมนุษย์ มิหนำซ้ำผู้ที่สืบสายโลหิตแห่งฟ้าสุดท้ายจะสาบสูญไร้ร่องรอย สุดที่บุคคลใดหรือประเทศใดจะสืบทราบร่องรอยเบาะแสได้ พวกท่านปรากฏตัวอย่างฉับพลัน และสาบสูญอย่างกะทันหัน หลังจากทิ้งบันทึกที่คลุมเครือเอาไว้ ไม่ได้ทิ้งสิ่งใดที่พิสูจน์ยืนยันการคงอยู่ของพวกท่าน

        * ชนเผ่าไนเออร์

        ** วิลเลี่ยม พอล ผู้เผยแพร่งานวรรณกรรมของวิลเลี่ยม เช็คเสปียร์ให้ขจรขจายออกไป

        ชายกลางคนบนเก้าอี้ล้อเลื่อนประจวบเป็นหนึ่งในบุคคลส่วนน้อยที่ล่วงรู้การคงอยู่ของผู้สืบสายโลหิตแห่งฟ้า ไม่ทราบเพราะเหตุใด ฟ่านเซินพอสิ้นลมหายใจ ดวงวิญญาณก็ล่องลอยมาสิงร่างของเด็กทารกแบะเบาะผู้หนึ่ง มิหนำซ้ำบิดาหรือมารดาของทารกชายผู้นี้ กลับเป็นผู้สืบสายโลหิตแห่งฟ้าอันลี้ลับสุดจะหยั่ง

        ยามฟ้าสางสว่าง สมรภูมิเลือดถูกเก็บกวาดสะอาดสะอ้าน รถม้าแล่นช้าๆ ไปตามทางศิลาที่ทอดสู่ทิศตะวันออก ที่หลังรถม้าเป็นทัพม้าสีดำขบวนหนึ่ง กับชายกลางคนหน้าขาวซีดที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน ตัดเป็นภาพอันประหลาดลี้ลับ กีบม้าของม้าเทียมรถเคาะใส่แผ่นหิน ปลุกทารกชายที่นอนอยู่บนเบาะแพรไหมตื่นขึ้นมา

        สายตาของทารกชายกวาดผ่านใบหน้าของเหล่าผู้คนที่ช่วยชีวิตตนเอง มองไปยังข้างหน้าของรถม้า เป็นการกวาดมองที่ไม่คล้ายเป็นการมองของทารกชายทั่วไป สายตามันกระจ่างสุกใส แต่ไม่สามารถรวมศูนย์ หากเพิ่มพูนส่วนที่ไม่อาจบ่งบอกบรรยายได้ ไม่มีผู้ใดทราบว่าในร่างกายที่แบบบางนี้บรรจุดวงวิญญาณซึ่งมาจากโลกที่แตกต่าง สายตายามกวาดมอง ม่านหน้าต่างรถถูกลมพัดกระพือขึ้น เผยเห็นสีสันแห่งขุนเขาที่นอกรถ กับทางศิลาที่ถอยห่างไปโดยไม่หยุดยั้ง คล้ายภาพที่ถดถอยไปด้านหลังตลอดเวลา

        ที่หน้ารถม้า คนใช้หนุ่มตาบอดกำเหล็กเจาะในมือกระชับแน่น บนดวงตาปิดแถบผ้าสีดำผืนหนึ่ง ปิดบังดวงตาของมัน และปิดบังฟ้าส่วนนี้ไว้

Top Hit


Special Deal