(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

new

ทดลองอ่านนิยายจีนเรื่อง "ฝูเซิง" เล่ม 1

 บทนำ

ชายหนุ่มพลิกตัวไปมาบนเตียงที่ไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา ภาพของหญิงสาวนางนั้นก็มิอาจเลือนหายไป ประหนึ่งภาพหลอนที่ยากจะทำลาย และเขาเองก็ไม่อยากทำลาย

อันที่จริงวันนี้แค่พบกันคราแรก

ยามนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน ต้นอ้อริมทางช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงเริ่มซีดเหลือง พวกเขาเดินทางกันมาครึ่งค่อนวัน เหนื่อยอ่อนทั้งคนและม้า จึงหยุดพักให้ม้าดื่มน้ำกินหญ้าที่สถานีพักม้านอกเมือง

เหล่าสหายร่วมทางกำลังพูดคุยเพลิดเพลินว่างานเลี้ยงวังหลวงประจำกลางสารทฤดูในปีนี้จะมีสิ่งแปลกใหม่อันใดบ้างขุนนางชั้นผู้น้อยประจำสถานีพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ยืนทิ้งมือแนบข้างลำตัวคอยรับรองอยู่ไม่ห่าง ท่าทางเคารพนบนอบและตื่นกลัว ตอนนี้เอง หน้าประตูก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น คล้ายว่าองครักษ์กำลังขับไล่แขกที่เข้ามาผิดเวลา

แม้ครั้งนี้พวกเขาจะเดินทางเป็นขบวนเล็กและมีผู้ติดตามน้อย แต่ก็มิอาจอยู่ร่วมคลุกคลีกับคนนอก องครักษ์เข้าใจธรรมเนียมนี้ดี นายสถานีก็เข้าใจธรรมเนียมนี้ดี เหล่านักการของสถานีแม้จะไม่เข้าใจถ่องแท้นัก แต่ก็พอสังเกตได้ไม่ยาก

ทว่าหลังจากนั้นสักพัก คนเลี้ยงม้าของสถานีกลับวิ่งตื่นๆ เข้ามากระซิบรายงานข้างหูนายสถานี

เซี่ยงจื่อจี้ที่เป็นคนอยากรู้อยากเห็นมาแต่ไหนแต่ไรถามขึ้นมาเสียงเอื่อย “ข้างนอกมีเรื่องอะไรหรือ”

คนเลี้ยงม้าหน้าแดง นายสถานีส่งสายตาให้ เขาจึงรีบปาดเหงื่อแล้วโค้งตัวตอบว่า “เรียนผู้สูงศักดิ์ คือว่ามี... แม่นางคนหนึ่งต้องการมาขอน้ำดื่มขอรับ” เขาอึกอักไปชั่วขณะ คล้ายไม่รู้ว่าจะพรรณนาถึงผู้มาเยือนอย่างไร

นายสถานีแอบหงุดหงิดกับความเซ่อซ่าของลูกน้อง ตำหนิเสียงเบาว่า “แม่นางที่ไหนจะมีป้ายสถานีพักม้าติดตัว ไล่ๆ ไปเสียก็สิ้นเรื่อง ไยต้องเข้ามารายงานอีก”

พอจื่อจี้ได้ยินว่าเป็น “แม่นาง” ก็นึกสนใจขึ้นมาทันที เขากำลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แต่ก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นเดินไปข้างนอก พร้อมกับพูดยิ้มๆ ว่า “งกเกินไปหน่อยกระมัง แค่ขอน้ำดื่มเท่านั้น ไฉนจึงให้ไม่ได้เล่า”

ตัวเขาเองอยากรู้อยากเห็นยังไม่พอ จำต้องลากเพื่อนอีกสองคนไปด้วย คนหนุ่มหลายคนเดินหยอกกันออกมาที่เฉลียงด้านนอก

ตอนนั้นนางกำลังยืนอยู่หน้าคอกม้า หยิบหญ้าในรางขึ้นมาป้อนลาสีดำผอมแห้งตัวหนึ่ง นางอยู่ในชุดสีขาว ผมดำยาว ไหล่บางรับกับคอระหง มองจากด้านหลังแต่งกายเหมือนคนเดินทางทั่วไป แต่ไม่มีสัมภาระ บนบ่ามีของสิ่งหนึ่งที่มีขนปุกปุยสีน้ำตาลอมม่วง องครักษ์และผู้ติดตามสิบกว่าคนยืนล้อมนางห่างไปสองสามก้าว แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากห้ามปราม

ความง่วงเหงายามเที่ยงวันในเขตบ้านนอกหายวับโดยพลัน จื่อจี้เป็นคนใจกล้าหน้าด้านทั้งยังหลงตัวเองเป็นหนึ่ง ส่งยิ้มขยิบตาให้เพื่อนทันที แล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า “แม่นางน้อย น้ำในสถานีพักม้าน่ะมีไว้เพื่อเลี้ยงม้าเลี้ยงลา สุราน่าจะดีกว่า ให้ข้ารินให้เจ้าสักจอกดีหรือไม่”

นางคนนั้นได้ยิน ก็หันหน้าไปขมุบขมิบปากกับก้อนขนบนไหล่ ก้อนขนนั้นชูหางยาวฟูฟ่องส่ายไปมา ปรากฏว่าเป็นสัตว์ป่าตัวเล็กที่รูปร่างคล้ายแมวดาวนั่นเอง

“จื่อจี้ อย่าวุ่นวายน่า”เกากู้ที่มาด้วยกันเพิ่งผ่านพิธีประดับมาลา(พิธีประดับมาลา ในสมัยโบราณ ชายหนุ่มเมื่อมีอายุครบยี่สิบปี จะมีพิธีประดับหมวก เพื่อแสดงว่าชายหนุ่มผู้นั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว)เป็นคนที่อายุมากที่สุดในหมู่พวกเขา จึงอมยิ้มเอ่ยเตือนอย่างสำรวมท่าทีเริงร่าแบบคนหนุ่มอยู่บ้าง

“เจ้าเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ความกล้าอย่างเคยก็ถูกหมากัดไปหมดแล้วรึ แค่ดื่มสุราสักจอก ทำไมจะไม่ได้เล่า” จื่อจี้พยักพเยิดคางให้ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง แล้วพูดหยอก “ชีหลาง เจ้าว่าใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มถูกจื่อจี้ลากออกมาโดยไม่บอกไม่กล่าว เดิมทีก็ไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว ยามนี้ก็ยังไม่พูดไม่จา จื่อจี้กลัวว่าเขาจะอารมณ์เสีย ก็เกลี้ยกล่อมว่า “ที่นี่อยู่ไกลจากเปี้ยนจิ่ง(เปี้ยนจิ่ง ชื่อเดิมของเมืองไคเฟิง มณฑลเหอหนาน)นานๆ ทีจะไม่มีใครควบคุม เจ้าก็...” พูดได้ครึ่งเดียว ก็สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มกำลังเหม่อมองเงาเบื้องหลังของหญิงสาวไม่วางตา

จื่อจี้แอบใช้ศอกกระทุ้งเกากู้เงียบๆ ทั้งสองต่างประหลาดใจเหลือล้น

ตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงหนึ่งถามขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “สุราล่ะ?”

หญิงสาวนางนั้นหันหน้ากลับมา สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่นาง รวมถึงจื่อจี้ที่เก็บสีหน้าเยาะหยันโดยไม่รู้ตัว มิใช่ว่านางรูปโฉมสะคราญล่มบ้านล่มเมือง เขย่าหัวใจคนให้สั่นไหว พวกเขาต่างก็เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ เคยพบเห็นสตรีงามล้ำโลกามาแล้วมากมาย ทว่าหญิงสาวตรงหน้าที่ดูน่าจะอายุราวยี่สิบปี ผิวพรรณขาวผ่อง โค้งคิ้วนูนได้รูป จมูกเป็นสันตรง ริมฝีปากบาง เปล่งความงามเฉียบคม... ชนิดที่ทำให้คนไม่กล้าสบตามองนาน ถึงกับหลงลืมเรื่องงามหรือไม่งามไปเสียสิ้น

พวกเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนเลี้ยงม้าถึงได้ตัดสินใจไม่ถูกเมื่อเผชิญกับคนเดินทางที่มาขอน้ำดื่มเช่นนี้ และเหตุใดองครักษ์จึงเฝ้าระวังอยู่แต่ไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าใกล้

นางไม่เหมือนหญิงโบราณทั่วไป ไม่เหมือนคุณหนูในหอห้อง ไม่เหมือนสตรีคนไหนที่พวกเขาเคยพบเห็นในช่วงชีวิตสั้นๆ นางเปรียบเสมือนดาบคมกริบที่ไม่จำเป็นต้องออกจากฝัก ก็ดึงดูดผู้คนให้เข้าใกล้ชมรัศมีเยือกเย็นของมัน แต่ก็หวั่นเกรงว่าจะถูกคมดาบทำร้ายอยู่ในที

“ไหนบอกว่าจะรินเหล้าให้ไม่ใช่หรือ” หญิงสาวปัดเศษหญ้าในมือเบาๆ

จื่อจี้ลิงโลดใจ หลุดปากออกไปว่า “ชีหลาง เจ้าไปรินเหล้ามาสิ ยังไม่ไปอีก?”

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า “ชีหลาง” ชะงักเล็กน้อย แต่ก็กลับเข้าไปในสถานีอย่างว่าง่าย รินเหล้าด้วยตัวเอง แล้วยกไปส่งตรงหน้าหญิงสาวด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

หญิงสาวรับจอกสุรามา ขณะยื่นมือ แขนเสื้อข้างหนึ่งร่นลงไปเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยแผลเก่าที่ข้อมือ นางไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด ส่งยิ้มให้เขาด้วยแววตาเคยคุ้นประหนึ่งเป็นเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานาน

ชายหนุ่มหัวใจกระตุกวูบ ลำคอสั่นเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี มองดูนางยื่นจอกสุราไปที่ข้างไหล่ป้อนก้อนขนก้อนนั้น

เมื่อมองดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าที่แท้ก้อนขนนั้นคือหมาไม้ที่หายากตัวหนึ่ง มันก้มหน้าดมเหล้าฟุดฟิด ก่อนจะค่อยๆ ดื่มเหล้าลงท้องตามสัญญาณมือของหญิงสาว หลังจากดื่มเหล้าหมดแล้วก็จิบปาก สะบัดปลายหางเบาๆ ท่าทางพึงพอใจ ชายหนุ่มเห็นมันน่ารักน่าเอ็นดู ก็ยื่นนิ้วออกไปแตะหางฟูฟ่องของมันโดยไม่ตั้งใจ ยังไม่ทันจะสัมผัสโดน หมาไม้ตัวนั้นก็วูบหลบ โก่งตัวแยกเขี้ยว แสดงท่าทางระวังภัยเต็มที่

“น่าทึ่งจริงๆ!”จื่อจี้ถอนหายใจยาวสุดปอด

จนกระทั่งพวกเขากลับเข้ามาดื่มชาในสถานีพักม้า จื่อจี้ก็ยังคงหยอกล้อไม่หยุด “ข้าก็ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ชอบบุตรีสกุลเตี่ยนประธานสภากลาโหม แถมมองข้ามหลานสาวแน่งน้อยของมหาเสนาบดีเจิ้ง สตรีมากมายในเมืองเปี้ยนจิ่งล้วนยากจะเข้าตาเจ้า ชีหลางหนอชีหลาง ที่แท้เจ้าก็ชอบแบบ.... แบบร้ายๆ นี่เอง ดูไม่ออกเลย!”

เกากู้กลับมานึกถึงรูปลักษณ์ของนางผู้นั้นดูอีกทีหลังจากผ่านไป รวมถึงสีหน้าท่าทางที่ไร้ความอ่อนละมุนแม้แต่น้อย ก็พูดอย่างครุ่นคิดว่า “ข้าว่านะ แม่นางคนนั้นคงไม่ใช่ชาวจงหยวน ตั้งแต่หัวจดเท้าดูแปลกตาพิกล...”

“นางจะเป็นคนต่างเผ่าหรือคนเถื่อนก็ช่างปะไร ขอเพียงเป็นคนมีชีวิต หากว่าชีหลางอยากได้จริงๆ ทำไมจะไม่ได้ แต่นางก็จากไปไกลแล้ว มาพูดเรื่องเหล่านี้จะมีผลอันใด” จื่อจี้ยกชาขึ้นมาจิบ แล้วถามยิ้มๆ ว่า “ชีหลาง ในเมื่อเจ้ามีใจให้นาง ไฉนเมื่อครู่จึงไม่รั้งนางไว้เล่า”

เขาตั้งใจจะล้อเล่นเท่านั้น ชีหลางชาติตระกูลสูงศักดิ์ รสนิยมสูงส่ง เป็นคนช่างเลือกมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยฐานะและรูปลักษณ์ของเขา ทำให้มีหญิงสาวในเมืองมาชอบพอมากมาย แต่เขาไม่เคยแสร้งสนทนาพาทีกับใครตามมารยาท จนหลายคนเริ่มลือกันว่า เขาอาจจะชมชอบบุรุษ หากมิใช่ว่าพวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก รู้จักนิสัยใจคอกันดี อาจหลงเชื่อไปแล้วก็เป็นได้ ตอนนี้เห็นแล้วว่าเขาเพียงแต่เยาว์วัย ที่ผ่านมายังไม่เคยสนใจใครเท่านั้น บัดนี้โชคชะตาพัดพาให้มาเจอกับสาวงาม ก็ยังเหม่อลอยราวกับถูกกระชากวิญญาณไปเหมือนกัน

“นางบอกว่าจะไปก็ไปทันที ข้าจะทำอย่างไรได้เล่า” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อย น้ำเสียงแฝงความกลัดกลุ้ม

ยากจะได้เห็นเขามีท่าทางเช่นนี้ แม้แต่เกากู้ผู้เป็นลูกผู้พี่ฝ่ายมารดาของเขาก็ยังหัวเราะ “เสี่ยวชี อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจริงจัง?”

“รั้งคนเอาไว้ก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สาย!” จื่อจี้พูดกระตุ้น แต่ในขณะเดียวกันก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ “เจ้าไม่กลัวว่าหญิงงามแบบนั้นจะเขมือบเจ้าจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก...”

คำพูดยังไม่ทันจบประโยค ชีหลางก็ลุกพรวดขึ้นมา เหล่าสหายไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ออกไปข้างนอก กระโจนขึ้นม้าควบตามออกไปแล้ว

นอกสถานีมีทางตรงแค่สายเดียว เขาเห็นชัดเจนว่านางมุ่งหน้าไปทางเมืองเปี้ยนจิ่ง เวลาผ่านไปชั่วจิบหนึ่งถ้วยชาแล้ว ด้วยฝีเท้าม้าของเขา ภายในครึ่งชั่วยามไม่มีทางไล่ตามไม่ทัน ทว่าเขากวดเร่งไปตลอดทางโดยไม่กล้ามองผ่านเงาใดๆ จนกระทั่งตะวันคล้อยต่ำ ก็ยังไร้เงาคนงาม เบื้องหน้ามีเพียงทุ่งหญ้าสารทฤดูและทรายสีทอง

เกากู้กับจื่อจี้ที่ควบม้าไล่ตามมาเกลี้ยกล่อมให้เขาพักค้างแรมที่ผิงชิวฝางสถานีพักม้าที่ใกล้ที่สุดชั่วคราวก่อนฟ้าจะมืดสนิท

จื่อจี้ถูกเกากู้ต่อว่าไปยกหนึ่ง ก็รู้สึกหวั่นเกรงผลที่จะตามมาเหมือนกัน ตอนกินข้าวเย็นจึงไม่ลืมที่จะปลอบใจชายหนุ่มที่หน้าตาสลดและไม่ยอมกินข้าวว่า “เจ้าพักก่อนเถอะ ไม่แน่พวกเราอาจแซงหน้านางมาแล้วก็ได้ พรุ่งนี้ก็คงได้พบกันกลางทาง”

ถึงแม้จะพูดเช่นนั้น พวกเขาก็ยังไม่วางใจ อยู่พูดคุยดื่มสุราเป็นเพื่อนเขาจนค่ำมืดจึงแยกย้ายกลับห้องตัวเอง เขาได้ยินเสียงจื่อจี้พึมพำกับเกากู้ที่ระเบียงทางเดินว่า “เจ้าเสี่ยวชีคนนี้ ตอนไม่สนใจก็เฉยเมย พอสนใจขึ้นมาอย่างกับลุ่มหลงอย่างไรอย่างนั้น”

เขาไม่ได้ลุ่มหลงสักหน่อย

ผิงชิวฝางเป็นสถานีพักม้าขนาดใหญ่ของทางการจุดสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะกลับเข้าเมือง พอได้ยินว่าพวกเขาจะเข้ามาพัก ก็จัดเตรียมห้องชั้นดีเอาไว้ให้ก่อนหน้านี้แล้ว หลายวันมานี้เดินทางเหน็ดเหนื่อย ทั้งตัวอ่อนล้าเมื่อยขบไปหมด แต่เมื่อบริเวณโดยรอบเงียบสงัด ในหัวเขาก็มีแต่ภาพของนาง รอยยิ้มสนิทสนมยามที่นางรับจอกสุรา ผมที่นางมัดไว้ลวกๆ รอยด้านระหว่างนิ้วที่เกิดจากการจับดาบมานานปี รอยแผลที่ข้อมือของนาง... วนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่อาจลืมเลือน แม้กระทั่งเจ้าสัตว์ป่าตัวเล็กแสนกลที่อยู่บนไหล่ของนางก็ดูคุ้นเคยอย่างประหลาด

เขามีชีวิตบนโลกนี้มาสิบเจ็ดปี ตั้งแต่เกิดมาก็แสนสุขสบาย มารดารักใคร่ทะนุถนอม บิดาและพี่ชายปกป้องดูแล ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกับไทเฮาก็ทรงเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ ประกอบกับได้รับพรสวรรค์มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว รูปโฉมงดงามโดดเด่น เขาจึงเหมือนได้ครอบครองสิ่งดีงามทุกอย่างในโลกนี้ นอกจากแผ่นดิน เขาก็สามารถไขว่คว้าทุกสิ่งมาอยู่ในมือ ทว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ในสายตาเขา ตอนยังเล็กเคยมีนักพรตชั้นสูงกล่าวไว้ว่าเขาเป็นผู้มีโลกียวิสัยอ่อนด้อย ผู้ใหญ่ในครอบครัวกลัวว่าเขาจะจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย จึงปรารถนาให้เขามีชีวิตที่เปี่ยมสุข ตามใจเขาทุกอย่าง เขาร่ำเรียนหลักธรรม ศึกษาอภิปรัชญาถ่องแท้ แต่ในใจยังคงสับสนว่างเปล่า ไม่รู้ว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร... วันนี้ได้รู้แล้วว่า ที่แท้คงเกิดมาเพื่อรอใครคนหนึ่ง

เสียงแมลงด้านนอกค่อยๆ แผ่วลง เสียงฝีเท้าของคนเฝ้ายามหยุดนิ่ง ในที่สุดนางก็มา นั่งนิ่งใต้หน้าต่าง เขายืนใกล้ชิด ปัดผมยาวของนางออกไปอย่างอดทน แล้วใช้หวีสางผมให้ มัดเป็นมวยกลมที่ยอดศีรษะ กิ่งบอบบางของต้นไม้นอกหน้าต่างส่ายไหวเข้ามา ส่งเสียงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ นางยื่นมือออกไปเกาะกิ่งไม้ เขาเกาะเอวที่บอบบางของนาง... มวยผมที่อุตส่าห์มัดตั้งนานกว่าจะพอใจหลุดลุ่ยตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้ ภายใต้นภาที่มีดวงดารากระจัดกระจาย ข้างเปลวเพลิงสีฟ้า ข้อมือของนางขาวสะอาด ขาเรียวยาวเกี่ยวรัดเอวเขา เอ่ยเรียกเขาว่า “สามี” ด้วยเสียงอ่อนโยน...

“เรียกอีกสิ เรียกอีกสิ!” เขาพึมพำซ้ำไปมา

“สามี สามี... ท่านอยากให้ข้าอยู่กับท่านไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่ ตลอดชีวิต น่าสนใจยิ่งนัก”

ท่าทางของนางดูสุขสมและเป็นธรรมชาติ ตอนนั้นในสายตานางมีแต่เขา และ “ตลอดชีวิต” นั้นในใจนางก็มีแต่เขา น่าเสียดายที่ตลอดชีวิตของปุถุชนกระชั้นเร็วเกินไป

ปักษาสีขาวหิมะบินเหินมาจากขอบฟ้าที่ไร้ลม ฉับพลันนั้นแสงสีเงินก็วาบผ่านดั่งสายรุ้ง ดาบยาวแทงทะลุลำตัวปักษา โลหิตหลั่งริน ขอบฟ้าแตกเป็นรอยแยก ทุกสิ่งอันตรธานหายไปดุจภาพลวงตา

เขาตกใจตื่นขึ้นมา ที่นอนใหม่ในสถานีพักม้าทำให้เขาขมวดคิ้ว เงาดำที่มีขนปุกปุยนั่งยองอยู่ข้างหมอนเขา พร้อมกับก้มหน้ามาสูดดมฟุดฟิด

แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนเตียง โคมไฟภายในห้องริบหรี่ ดูเหมือนเขาเพิ่งจะหลับไปเพียงชั่วครู่ แต่กลับฝันยาวนานเหลือเกิน หมาไม้เห็นชายหนุ่มงัวเงียกอดผ้าห่มลุกขึ้นมานั่ง ก็วิ่งแผล็วกลับไปข้างกายเจ้าของ

เจ้าของหมาไม้ยืนก้มหน้าอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ สายลมยามราตรีแทรกผ่านเข้ามา นางหยิบของชิ้นหนึ่งวางทับกระดาษซวน(กระดาษซวน เป็นกระดาษสีขาวที่มีลักษณะลื่นและนุ่ม ใช้สำหรับการเขียนตัวอักษรจีนและวาดภาพในสมัยโบราณ)ที่ถูกลมพัดมุมเปิด แล้วหันหน้ากลับมาเงียบๆ วัตถุในมือทอประกายเย็นเยียบ

ใบหูของชายหนุ่มเริ่มแดงเรื่อขึ้นมา เขารู้ว่าตัวเองตื่นแล้ว แต่ภาพตรงหน้าคล้ายกับน่าตกใจยิ่งกว่าความฝันเมื่อครู่เสียอีก

นางเล็ดลอดสายตาขององครักษ์เข้ามาในห้องได้อย่างไรกัน มานานเท่าไรแล้ว คำถามเช่นนี้ฟังดูโง่เง่าเกินไปหน่อย เขาลังเล แล้วเอ่ยถามคำถามที่โง่กว่าเดิม— “เจ้า... มาหาข้าหรือ”

“เกิดเรื่องหลายอย่างระหว่างทาง คราวนี้ข้าเลยมาช้าไปหน่อย” นางมองหน้าเขา น้ำเสียงเบาสบายและคุ้นเคย “ดูสิ เจ้าโตขึ้นมากเลยนะ”

สมองเขาสับสน แยกแยะความหมายในคำพูดของนางไม่ออก ระหว่างที่พูด นางก็เยื้องกรายใกล้เข้ามา แล้วหย่อนตัวนั่งข้างเตียง

“ข้าไม่อยากรบกวนฝันดีของเจ้า ก็เลยรออยู่สักพักแล้ว”

นางพูดถ้อยคำสนิทสนมเช่นนั้นด้วยเสียงเรียบเรื่อย ไร้ซึ่งแววเสแสร้งแม้แต่น้อย ทำให้ชายหนุ่มเขินอายสุดขีด แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงจะกลบเกลื่อน ใบหน้าแดงซ่าน กัดริมฝีปาก ดึงผ้าห่มขึ้นมากอดแน่นขึ้น

“ฝันถึงข้าอีกแล้วเหรอ”

“เปล่า... คือข้า...”

นางแย้มยิ้ม หมุนของในมือที่ทอประกายเย็นเยียบเล่น “ครั้งแรกหรือ? ไม่ต้องห่วง ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งสุดท้าย”

แม้จะเป็นฝันกลางวัน เขาก็ยังพยายามกลั่นกรองความหมายคำพูดของนาง เขาขนลุกซู่เมื่อเห็นของในมือนาง ชัดเจน เป็นดาบสั้นรูปร่างทื่อๆ เล่มหนึ่ง

“เจ้าจะฆ่าข้าหรือ”

นางมองข้ามท่าทางตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นมาเองของชายหนุ่ม แล้วถามอย่างอ่อนโยน “ต้องเรียกองครักษ์ข้างนอกไหม”

“ข้าถามได้ไหมว่าเพราะเหตุใด” มือที่จิกผ้าห่มของชายหนุ่มคลายออกช้าๆ แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรหลานของราชวงศ์ แต่ก็เป็นคุณชายเจ้าสำราญที่ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร ชั่วขณะนั้นคิดไม่ออกว่าใครจะกล้าเสี่ยงสูญสิ้นวงศ์ตระกูลปองร้ายหมายเอาชีวิตเขา

“ไม่ต้องให้พวกเขาเข้ามาก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องฆ่าเกินความจำเป็น” นางหัวเราะเบาๆ แล้วชักดาบสั้นออกมา “เจ้าถามว่าทำไม... ให้ข้าคิดก่อนนะ ใช่แล้ว คราวนี้ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าอะไรคือ ‘กรีดหัวใจพิสูจน์’ ที่แท้จริง”

ดาบสั้นที่รูปร่างไม่น่ากลัวเมื่อพ้นออกจากฝักรัศมียิ่งเย็นวาบ แสงสีฟ้าเรืองช่างสงบเหลือเชื่อ ทำให้เขารู้สึกคุ้นตาขึ้นมา ชายหนุ่มเริ่มเชื่อมั่นว่า ตนกับนางต้องไม่ได้เพิ่งเจอกันวันนี้เป็นครั้งแรก เพียงแต่เขายังนึกเหตุที่ผ่านมาไม่ออก

“ข้าเคยทำร้ายเจ้าหรือ” ชายหนุ่มปรายตามองรอยแผลที่ซ้อนทับกันบนข้อมือนาง เหมือนเป็นแผลกรีดจากคมมีด แต่ในความฝันอันวาบหวามพิลึกของเขาไม่มีรอยแผลเหล่านี้

“ข้าจำอะไรไม่ได้เลย หากว่าเป็นจริง ข้าก็คงไม่ได้มีเจตนา ข้า ข้ากับเจ้า...”

เขาพูดถ้อยคำต่อไปไม่ออก และไม่กล้าพูดอะไรอีก คมดาบสะกิดสาบเสื้อของเขาขาด กดแผ่นอกเบาๆ นางยังไม่ได้ลงแรง ผิวสีข้าวโพดลื่นเนียนของชายหนุ่มก็มีหยดเลือดซึมออกมา

เขาไม่ใช่พวกรักตัวกลัวตาย แต่ทว่าเมื่อชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ก็ยังคงกระถดตัวหนีตามสัญชาตญาณ ยกมือคว้าข้อมือที่กุมดาบของนางไว้ สีหน้าเคร่งเครียด “ช้าก่อน!”

นางเองก็ไม่รีบร้อน เลิกคิ้วรอฟังเหตุผลที่เขาจะเอ่ยร้องขอชีวิต

“ไม่ว่าข้าจะเคยทำอะไรมาก่อน จะใช่ข้าทำหรือไม่ แต่คนตายทุกสิ่งก็สูญเปล่า หากข้ายังมีชีวิต นับจากนี้ไปข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า ข้าอยากให้เจ้ามีความสุข... เจ้าเชื่อข้าหรือไม่”

“ข้าเชื่อ” นางส่ายศีรษะ “น่าเสียดายที่คำพูดนี้ เจ้าเคยพูดเมื่อครั้งก่อนแล้ว”

เขาชะงักงัน แล้วถอนหายใจ “พวกเราเคยรู้จักกันจริงๆ แผลที่ข้อมือเจ้า... มาได้อย่างไร”

นางใช้ปลายดาบเชยคางของเขาขึ้นมา ทำให้เขาจำต้องเงยหน้าขึ้น “เจ้าจำเรื่องราวได้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนี่ หน้าตาก็ยิ่งดูเหมือน... ตัวเจ้าเองทุกทีแล้ว”

“หรือว่าที่ข้าฝันเป็นความจริง” ชายหนุ่มถามจบ ก็สังเกตว่ามืออีกข้างหนึ่งของนางกุมอยู่บนหลังมือเขา เขาพลิกมือกลับมาจับมือนางอย่างว่องไว หัวใจเต้นระรัว ดวงตาภายใต้ขนตาที่กระเพื่อมแผ่วเบาฉายแววสับสน หน้าแดงระเรื่อ ไม่กล้าสบตามองนางตรงๆ “เจ้าเรียกข้าว่า ‘สามี’”

“ไม่ได้เรื่องเลย กี่ร้อยปีก็ไม่เห็นก้าวหน้า!” นางเยาะหยัน ในน้ำเสียงเจือแววผิดหวังบางเบา ก้มมองมือเขาที่ไม่ยอมปล่อย แล้วถามว่า “ข้าขอถามเจ้า รอยแผลที่มือข้ามีกี่รอย จำได้หรือไม่”

เขาส่ายหน้า ปลายนิ้วถูผ่านรอยแผลบนข้อมือนางโดยไม่รู้ตัว แผลแต่ละเส้นซ้อนทับกันไปมา ลากเลยไปถึงส่วนที่แขนเสื้อบดบัง ไม่รู้ว่ายังมีอีกเท่าไร

“ยี่สิบเอ็ดรอย” นางถอนหายใจ แล้วบีบกระดูกข้อมือเขาจนแทบแหลก

ระหว่างที่นางกำลังลงมือ แม้ว่าคนข้างนอกประตูจะไม่ได้ยินอะไร แต่เขาก็ยังไม่ดิ้นรนหรือส่งเสียงร้อง มีเพียงตอนที่ประสบกับความเจ็บปวดถึงขีดสุดนั้น เขาจึงร้องออกมาเสียงแหบแห้งว่า— “อาหวู่เอ๋อร์”

มือนางชะงัก เหม่อมองเขา ใบหน้าที่ไร้จุดด่างพร้อยซีดขาวและบิดเบี้ยว ขนตายาวที่ถี่ยิบราวฝนฤดูใบไม้ผลิเปียกชื้น ไม่รู้ว่าเป็นเหงื่อหรือน้ำตากันแน่

— อาหวู่เอ๋อร์ เจ้ายังให้อภัยข้าไม่ได้หรือ

—อาหวู่เอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงร้องไห้

ภายหลังนางจึงรู้ว่าตนหลั่งน้ำตาออกมาหยดหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหลายร้อยปีที่ผ่านมา

หลังจากเสร็จสิ้น นางก็เอาหัวใจคนที่ยังไม่เย็นชืดให้หมาไม้กิน คราวนี้หมาไม้ก็เฉยชา เบือนหน้าไปทางอื่นไม่ยอมกิน

“เจ้าฟู แม้แต่เจ้าก็รู้สึกน่าเบื่อด้วยหรือ” นางใช้กระดาษซวนบนโต๊ะหนังสือมาเช็ดเลือดที่มือ ตอนที่ชายหนุ่มยังไม่ตื่น นางอ่านตัวอักษรชุดนั้นแล้ว ง

“ลอยล่องธารระเรื่อยไหลไกลเกินหวนหทัยครวญคะนึงเศร้าเฝ้าโหยหา ยามนิทรากระส่ายกระสับยากข่มตา น้ำค้างฟ้าอาบกายฉ่ำย่ำอรุณ”

ก่อนดาบสั้นจะกลับคืนฝัก นางก็กรีดบนข้อมือตัวเองที่มีแผลเก่าอยู่แล้วหลายรอย แผลลึกจนถึงกระดูก แต่จากนั้นไม่นานก็สมานกัน ทิ้งไว้แต่รอยใหม่น่าเกลียด

นางพึมพำกับตัวเองว่า “ยี่สิบสองรอยแล้ว... น่าเบื่อจริงๆ ด้วย”

 

บทที่ 1 ไร้ริมฝีปากฟันหนาวเหน็บ

กลางดึกเมืองฉางอัน ในตรอกซอกซอยไร้เงาผู้คนและเสียงอึกทึก ทั่วบริเวณว่างเปล่า มีเพียงดวงจันทร์เย็นเยือกบนนภา

ชั่วพริบตานั้น ยามที่เดินลาดตระเวนในย่านอู้เปิ่นฝางคล้ายเหลือบเห็นแสงลางๆ แวบผ่านทางด้านหน้า ยังไม่ทันเห็นชัดว่าเป็นอะไรก็หายลับเข้าไปในกำแพง ที่ตรงนั้นเป็นสุดปลายถนน บนกำแพงดินล้อมสามด้านไม่มีสิ่งใดนอกจากแสงจันทร์สีเงินยวง ยามขยี้ตาพลางนึกหงุดหงิดใจว่าตนไม่ควรโลภดื่มสองแก้วก่อนออกลาดตระเวนเลย

ในมุมที่เขามองไม่เห็น แสงเรืองนั้นเคียงเงาร่างสองเงาทะลุผ่านกำแพงเข้าไปสู่ตรอกสายหนึ่งที่มืดสลัวและคึกคัก บรรยากาศของที่นี่ตรงกันข้ามกับบรรยากาศในเมืองฉางอันหลังช่วงกำหนดห้ามออกจากบ้านยามวิกาล ในตรอกยาวแคบๆ นั้น มีเสียงค้าขายต่อราคา เสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮาดังไม่ขาดสาย แต่กลับไร้วี่แววของแสงตะเกียงอย่างที่ควรจะเป็น แม้แต่แสงจันทร์ก็ราวกับส่องเข้ามาไม่ถึง ท่ามกลางแสงประหลาดของสมบัติเลอค่าสีสันพร่างพราย เงาหลายเงาวูบไหวไปมาไม่หยุด

“ครั้งนี้ทำไมถึงไปนานนักล่ะ” ผู้ที่เดินนำอยู่ด้านหน้ารูปร่างสะโอดสะอง ตะเกียงดวงหนึ่งห้อยอยู่ที่ปลายนิ้ว ในตะเกียงไม่มีเทียน แต่เป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งขนาดเท่ากำปั้นทารกที่เรืองแสงดุจหิ่งห้อย นางพูดอย่างรำคาญ “ก็มองเห็นแท้ๆ ทำไมต้องให้ข้าถือตะเกียงนำด้วย ข้าไม่ใช่สาวใช้ของเจ้านะ...”

“บ่นมากเสียจริง เร่งเร้าให้ข้ากลับมามีเรื่องอันใดกันแน่” คนที่เดินตามหลังพูดอย่างหงุดหงิด น้ำเสียงเขาหยิ่งยโสและเย็นชา ฟังดูแล้วยังอ่อนเยาว์มาก

“มีข่าวดีและข่าวร้าย เจ้าจะฟังอย่างไหนก่อน”

“น่าขัน เจ้าเรียกข้ามาทีไรเคยมีเรื่องดีด้วยรึ!”

“เจ้าไม่สังเกตหรือว่าเมืองผีแห่งนี้เงียบผิดปกติ ช่วงนี้มีเรื่องวุ่นวาย เจ้าไม่อยู่ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี” แสงตะเกียงหยุดอยู่ที่บริเวณหนึ่งของตรอก เด็กสาวที่สนทนายกมือผลักประตูเปิด พลันตรงหน้าก็สว่างเจิดจ้า ภายในตึกสูงสามชั้นสว่างราวกับกลางวัน

“พวกไป๋เจียวรออยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว” นางหันกลับมายิ้มแย้ม ไฟตะเกียงที่แขวนอยู่ที่โถงประตูส่องสะท้อนดวงตากลมโตของนางให้เจิดจ้า ชุดสีเขียวตลอดลำตัวงดงามประณีต

เด็กชายที่ตามหลังดูอายุเพียงสิบสองสิบสามปี ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่ เขาถอดเสื้อคลุมมีหมวกส่งให้บ่าวรับใช้ที่เข้ามาต้อนรับ แล้วเลิกม่านก้าวเข้าไปในโถงกลางโดยไม่พูดไม่จา

ด้านในครึกครื้นอย่างยิ่ง กลิ่นสุราหอมหวนไปทั่วห้อง พ่อค้าต่างแดนร่างอ้วนท้วนคนหนึ่งยกจอกเหล้าร้องรำทำเพลง ระหว่างหมุนไปหมุนมา หนวดเคราบนใบหน้าและชั้นเนื้อที่พุงก็กระเพื่อมไปตามจังหวะ หลายคนเห็นแล้วก็หัวเราะขบขัน

“อ้า สืออวี่กลับมาแล้ว!” ผู้พูดเป็นบัณฑิตชุดขาวที่แต่งกายมอซอ เขากำลังพูดคุยพลางร่ำสุรากับชายชราผอมแห้งที่อยู่ด้านข้าง พอเห็นคนเข้ามา ก็ลุกขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน “กลับมาพอดี ข้ากำลังบ่นกับเหล่าเอี้ยนอยู่เลยว่า ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรมาขัดขวางเจ้าอยู่กันแน่”

ชายชราผอมแห้งที่ถูกเรียกว่า “เหล่าเอี้ยน” ก็เอ่ยทักทาย “เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ท่านชายน้อยมาพักผ่อนก่อนเถอะ ประเดี๋ยวให้พวกหนานหมานจื่อแสดงงูให้ชมเป็นอย่างไร คราวก่อนเจ้าดูอย่างสนุกสนานเลยมิใช่หรือ”

“ลูกไม้น่าเบื่อ!” เด็กชายสะบัดแขนเสื้อ พูดอย่างเย็นชา “หรงหรงรีบร้อนแจ้งข่าวข้า ยังนึกว่าจะให้ข้ากลับมาจัดงานศพให้พวกท่านเสียแล้ว”

“อย่างที่ว่ากันว่า ‘จงฉกฉวยความสุขเสียแต่บัดนี้’ สุราชั้นดีกับเพลงไพเราะเหล่านี้ก็เพียงเพื่อบรรเทาความทุกข์ใจ...” บัณฑิตมอซอรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก่อนเด็กหนุ่มจะอารมณ์เสีย “สืออวี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่า สองวันก่อนอาจิ่วถูกคนทำลายรากวิญญาณไปแล้ว”

“อาจิ่ว... จิ้งจอกเก้าหางหื่นกามนั่นน่ะหรือ” สืออวี่ถามอย่างสงสัย

บัณฑิตมอซอไป๋เจียวกระแอมนิดหนึ่ง จิ้งจอกเก้าหางขึ้นชื่อเรื่องรูปโฉมงดงาม อาจิ่วก็นับได้ว่าเป็นผู้โดดเด่นในเรื่องนั้น ชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ผู้บำเพ็ญตนเมืองฉางอัน ทุกอากัปกิริยาล้วนเขย่าหัวใจคนให้วาบหวาม แต่เหตุไฉนถึงกลายเป็นจิ้งจอกเก้าหาง “หื่นกาม” ในสายตาสืออวี่ไปได้

ไป๋เจียวกับอาจิ่วมีสัมพันธไมตรีต่อกัน จึงรู้สึกอาลัยนางอยู่ไม่น้อย “นั่นล่ะ ตอนนี้นางเหลือเพียงลมหายใจ ตบะบารมีที่บำเพ็ญมาพันปีสูญสลาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ใดทำร้ายนาง ไม่เพียงแค่นางที่โชคร้าย เจ้ายักษาตัวนั้นที่ผลุบโผล่อยู่ในเมืองผีบ่อยๆ ก็โดนทำร้ายเช่นกัน ตอนที่ไปพบเหลือแค่หนังหุ้มเหม็นๆ เท่านั้น”

“แล้วก็ยังมีอีกนะ เจ้าปีศาจคางคกที่ติดตามคุณชายปิ่นหยก ที่เจ้าบอกว่ามันพูดมากปากเหม็นนั่นล่ะ ได้ยินว่าหลังจากกลับคืนสู่ร่างแท้แล้วก็โดนมนุษย์จับไปสกัดยา” เด็กสาวชุดเขียวพูดแทรกขึ้นมา นางดูเหมือนจะเคยมีเรื่องกับคนที่ถูกเรียกว่า “คุณชายปิ่นหยก” มาก่อน ยามพูดถึงเขา สีหน้าก็ปิดบังความเกลียดชังไว้ไม่อยู่

“ไม่รู้ว่าพวกนั้นไปล่วงเกินใครเข้า ร่องรอยใดๆ ก็ไม่เหลือทิ้งไว้ ไร้ริมฝีปากฟันหนาวเหน็บ หลายวันมานี้ทุกคนต่างก็กังวลใจ” สีหน้าไป๋เจียวแสดงความกังวล คนที่นั่งอยู่ในที่นั้นได้ยินเรื่องนี้ต่างก็เงียบนิ่ง พ่อค้าต่างแดนที่เต้นรำอยู่และนักดนตรีที่กำลังตีกลองต่างหยุดชะงัก บรรยากาศคึกคักเมื่อครู่พลันหายวับไปกับตา

ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ ภูตผี หรือปีศาจ ต่างก็มีชีวิตอยู่ด้วยจิตวิญญาณของฟ้าดิน กายเนื้อคือสิ่งสร้าง รากวิญญาณคือแก่นแท้ รากวิญญาณก่อขึ้นมาด้วยพลังบำเพ็ญและปราณชีวิตแต่กำเนิด กายเนื้อถูกทำลายยังสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ ทว่าหากรากวิญญาณสลายไป ที่มีร่างก็เหลือเพียงหนังหุ้มไร้ประโยชน์ ที่ไร้ร่างก็ไม่ต่างกับขวัญวิญญาณแตกซ่าน ซึ่งเป็นความตายที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญตน

สืออวี่ขบคิดเงียบๆ แม้ว่าอาจิ่วจะชอบล่อลวงคนด้วยรูปโฉม ยามปกติรูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดา แต่เขาเคยเห็นร่างแท้ของนางมาแล้ว เก้าหาง แผ่นหลังดำ สองตาเป็นสีเลือด เป็นสายเลือดแท้จากตระกูลชิงชิว ตบะบารมีพันปีก็ถือว่าลึกล้ำ หากต่อสู้กันด้วยชีวิตขึ้นมาจริงๆ บรรดาผู้บำเพ็ญตนในเมืองฉางอันนี้คงจะมีแค่ไม่กี่คนเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้ ส่วนยักษาในเมืองผีตัวนั้นทั้งดุดันและเจ้าเล่ห์ ปีศาจคางคกก็เชี่ยวชาญยาพิษ ตัวเหม็นอย่างร้ายกาจ ทั้งยังมีคุณชายปิ่นหยกหนุนหลังอีก ธรรมดาแล้วไม่น่าจะทำอะไรเขาได้ ตามที่ไป๋เจียวบอก ขณะพวกเขาเกิดเรื่อง คนรอบข้างไม่มีใครรู้ตัว ไร้ร่องรอยการต่อสู้ แสดงว่าพวกเขาถูกทำลายรากวิญญาณไปโดยไม่ได้โต้กลับสักนิด ฝีมือระดับนี้สืออวี่รู้ว่าตัวเองก็สู้ไม่ได้ ชั่วขณะนั้นคิดไม่ออกว่าจะเป็นฝีมือผู้ใด ผู้ที่พอจะกระทำเรื่องเช่นนี้ได้ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องถือสาคนจำพวกอาจิ่ว ยักษา หรือปีศาจคางคกเลย

เหล่าเอี้ยนเห็นสืออวี่นิ่งเงียบไปนาน ก็ชี้ขึ้นไปที่เหนือศีรษะ พูดอย่างกังวล “ท่านชายน้อย เจ้าว่าเบื้องบนสั่งประกาศิตฟ้ามาลงโทษพวกเราหรือไม่”

“‘ประกาศิตฟ้า’ งั้นหรือ พวกเราไปทำผิดต่อใครกัน” เด็กสาวชุดสีเขียวหัวเราะ นางนั่งข้างสืออวี่ เท้าคางพูดว่า “ในเมื่อที่นี่ไม่สงบ เราเปลี่ยนไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ข้าอยู่เมืองฉางอันมาสามร้อยปีก็เบื่อแล้วเหมือนกัน”

“แม่นางหรงหรง ท่านสถานะไม่เหมือนพวกข้า ย่อมไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน เมืองฉางอันไม่สงบก็จริง แต่ที่ใดเป็นที่ที่สงบเล่า บัดนี้ปราณบริสุทธิ์ในปฐพีค่อยๆ ลดน้อยลง การบำเพ็ญตบะบารมีไม่ง่าย บรรดาทวยเทพบนเทือกเขาคุนหลุนเก้าสวรรค์ยังมีภูเขาให้กลับ ที่ไปได้ก็ไปกันหมดแล้ว เหลือแค่ภูตผีปีศาจที่ฟ้าดินไม่รับ หกภพ(หกภพตามความเชื่อในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ได้แก่ เทวภูมิ มนุสสภูมิ อสูรภูมิ เดียรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ นรกภูมิ)ไม่กวักมืออย่างเราๆ กระจัดกระจายอยู่ในโลกมนุษย์ สิ้นสุดหนทางก้าวต่อ มีแต่ร่างกาย ก้าวก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ เกรงจะละเมิดธรรมเนียมสวรรค์ ไม่กล้าสุงสิงกับมนุษย์ ไม่กล้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตง่ายๆ แถมยังต้องทนทุกข์กับอสุนีบาตทดสอบอีก พวกเราซ่อนตัวอยู่เช่นนี้ ก็เพียงแต่หวังจะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ แต่กลับต้องมาหวาดผวาแตกตื่น เป็นเช่นนี้ดีแล้วหรือ”

เหล่าเอี้ยนพูดจบ รอบด้านต่างก็พากันกระซิบกระซาบ บ้างก็เวทนาต่อตัวเอง บ้างก็ขุ่นเคืองกระสับกระส่าย แต่ส่วนใหญ่แล้วทำตัวไม่ถูก

สืออวี่ขมวดคิ้ว “แตกตื่นอะไรกัน แค่นี้ก็กลัวเสียแล้วหรือ เสียแรงที่ฝึกตนมาตั้งนาน! หรงหรงพูดถูก ประกาศิตฟ้าที่ไหนกัน เขาคุนหลุนลำพังแค่ตัวเองก็ดูแลไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ยังมีแก่ใจอะไรมาจัดการกับมดแมลงอย่างเราๆ ระหว่างสามชีวิตที่ถูกทำลายรากวิญญาณไม่มีสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันเลย และไม่ใช่ผู้ที่ต่อกรง่ายด้วย คงจะไปล่วงละเมิดดาวอัปมงคลที่ไหนเข้าถึงได้ประสบชะตากรรมเช่นนี้”

“หากชะตากรรมเช่นนั้นก็มาเยือนพวกเราด้วยล่ะ” ไป๋เจียวถามขึ้นมา

“ทำอะไรระวังหน่อย รอดูสถานการณ์เงียบๆ ก็พอ ข้าไม่ล่วงเกินใคร แต่หากใครล่วงเกินข้า ก็ต้องขอดูว่าอีกฝ่ายจะเก่งกล้าสักแค่ไหน” สืออวี่พูดจบ ก็เอ่ยเตือนหรงหรงอย่างจงใจ “ถ้าเจ้าไม่อยากตกอยู่ในสภาพเดียวกับอาจิ่ว ก็อย่าก่อเรื่องเป็นดีที่สุด”

“ข้าไม่เคยก่อเรื่องสักหน่อย!” หรงหรงพูดเสียงแข็ง นางกวาดตามองคนที่อยู่ในที่นั้น “ได้ยินแล้วหรือยัง ช่วงนี้ทำตัวดีๆ หน่อยล่ะ หากมีคนแปลกหน้ามาที่นี่ ต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะ”

ตึกหลังนี้คือโรงเหล้าที่พอมีชื่อเสียงเล็กน้อยในเมืองผี เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน หรงหรงตัดสินใจตั้งรกรากที่นี่ เพราะหลงใหลในความเจริญรุ่งเรืองของเมืองฉางอัน ไม่นานก็สานสัมพันธ์กับหมู่ภูตผีปีศาจในเมืองอย่างสนิทสนม นางดื่มสุราเก่ง ชอบความสำราญ ใช้ชีวิตอยู่กับการเฝ้าโรงเหล้าแห่งนี้ ซึ่งเป็นทั้งที่พำนักกาย และแหล่งรวมตัวของวิญญาณญาติมิตร พวกผู้บำเพ็ญตนในเมืองฉางอันชื่นชอบเมืองผีย่านอู้เปิ่นฝางที่สุด ผู้แวะเวียนไปมาที่เหลาสุราล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากันเสียส่วนใหญ่ บางทีมีแขกต่างถิ่นบ้าง แต่ส่วนมากก็ไม่ใช่คนธรรมดา

คนที่นั่งอยู่ในวันนี้นอกจากนักดนตรีและบ่าวรับใช้แล้ว ก็มีสืออวี่ที่อาศัยอยู่ในโรงเหล้าด้วยฐานะสหายสนิทของหรงหรง ไป๋เจียวเป็นงูเจียวอายุสองพันเจ็ดร้อยปี ไร้หวังจะกลายเป็นมังกร เมื่อกาลก่อนสืออวี่เคยมีบุญคุณต่อเขา เขาจึงติดตามสืออวี่มาที่นี่ ส่วนเหล่าเอี้ยนปีศาจภูเขา หนานหมานจื่อชาวอูเสียน กับพวกมือกาวที่ชอบแต่งตัวเป็นพ่อค้าต่างแดนล้วนเป็นแขกประจำของโรงเหล้า หากไม่เป็นสหายคอเดียวกับหรงหรงก็เป็นมิตรกับไป๋เจียว ดูเผินๆ เหมือนหรงหรงเป็นเจ้าของเหลาสุรา ทว่าแท้จริงแล้วสืออวี่ที่อยู่ในร่างเด็กหนุ่มต่างหากที่เป็นดั่งสันหลังของพวกเขา ไม่ว่าพบเจอปัญหาใดๆ พวกเขาก็จะยกให้สืออวี่ตัดสินใจทั้งสิ้น

พอได้ยินคำแก้ตัวของหรงหรงว่า “ไม่เคยก่อเรื่อง” ทุกคนก็หัวเราะร่วน

สืออวี่เป็นคนรักสะอาดยิ่ง หลังจากนั้นไม่นานเขารีบผละออกไปจากห้อง เมื่อชำระฝุ่นผงที่เกาะตามเนื้อตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จออกมา ในห้องโถงก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง เสียงพูดคุยหัวเราะไม่ขาดสาย ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงหัวเราะกระจ่างใสของหรงหรง

บ่าวรับใช้จัดแจงเปลี่ยนสำรับอาหารใหม่ให้สืออวี่อย่างคล่องแคล่ว บนนั้นมีอาหารโอชาที่แต่งด้วยดอกไม้หอม

“รู้ว่าเจ้าจะกลับมา ข้าเลยสั่งให้คนเตรียมไว้เป็นพิเศษ” หรงหรงเห็นสืออวี่นั่งลงแล้วยังไม่ลงมือกินเสียที ก็สังเกตว่าตั้งแต่กลับมาสีหน้าเขาดูกังวล จึงวางแก้วเหล้าในมือ แล้วเดินเข้าไปถามว่า “ยังไม่ได้ปลาบินที่ภูเขากุยซานมาหรือ”

“อย่าพูดถึงเลย!” สืออวี่แอบกัดฟันกรอด โค้งคิ้วดุจภาพวาดของเขากระตุกเล็กน้อยด้วยความโมโห แต่กลับดูน่ามองยิ่งกว่าเดิม

ปลาบินแห่งภูเขากุยซานกำเนิดจากธาราหวนคืน ว่ากันว่าหากกินมันแล้วจะไม่สะท้านต่ออสุนีบาต ตอนนี้หลงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ถือเป็นของล้ำค่าหายากก็ว่าได้ สืออวี่ตั้งใจเดินทางไปหามัน เขาเป็นคนละเอียดรอบคอบ มิเคยกระทำสิ่งใดที่ไม่มีการเตรียมตัวก่อน หรงหรงนึกว่าคราวนี้จะสมปรารถนาแล้ว ไม่คาดคิดว่าเขาจะคว้าน้ำเหลว

“เกิดปัญหาระหว่างทางรึ”

เขาไม่ตอบคำ หรงหรงจึงรู้ว่าตนคาดเดาถูก “เป็นฝีมือพวกปิ่นหยกอีกแล้วหรือ”

“เจ้าประเมินเขาสูงเกินไปแล้ว” สืออวี่แค่นหัวเราะ

จะว่าไปก็จริง แม้ว่าคุณชายปิ่นหยกจะเป็นคู่ปรับของพวกเขา คอยหาเรื่องพวกเขามิได้ขาด แต่น้อยครั้งมากที่จะเอาเปรียบสืออวี่ได้

หรงหรงยังซักไซ้ถามต่อ สืออวี่คีบชิ้นปลาจากในจานขึ้นมาชิม แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “เจ้าบอกว่ามีข่าวดีและข่าวร้ายจะบอกข้าไม่ใช่หรือ เรื่องที่คุยกันเมื่อครู่นี้ดีหรือร้ายล่ะ”

เขาพูดอย่างมีนัยหยอกล้อ

หรงหรงมีนิสัยแย่อยู่สามอย่าง คือพูดมาก รักสวยรักงาม และหื่นกาม

ก่อนอาจิ่วจะเกิดเรื่องเคยบาดหมางกับหรงหรงมาก่อน สืออวี่ไม่ใส่ใจความไม่ลงรอยระหว่างสตรี เขาเข้าใจว่าหรงหรงไม่ชอบอาจิ่ว เหตุผลส่วนใหญ่ก็คือรูปโฉมภายนอกของอาจิ่วสวยกว่านาง กิริยาท่าทางก็ชมดชม้อยกว่านาง หรงหรงไม่เคยให้อาจิ่วมาที่โรงเหล้าของตนเลย

หรงหรงมองค้อนสืออวี่ปะหลับปะเหลือก “ข้าไม่ได้ร้ายกาจเพียงนั้นเสียหน่อย นางจิ้งจอกเก้าหางนั่นน้ำลายไหลอยากได้เจ้ามาก เจ้าเองก็รำคาญนางเหลือทน แต่นางมีจุดจบน่าอนาถแบบนี้ ก็มิใช่อย่างที่เจ้ากับข้าปรารถนา ต้องเป็นเรื่องร้ายอยู่แล้วน่ะสิ! ส่วนเรื่องดีที่ข้าจะบอกน่ะ...” หรงหรงกลอกตาไปมา แววดีใจพลันฉายขึ้นมาบนใบหน้า ยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูสืออวี่ว่า “ข้าเจอคนที่ถูกใจแล้วล่ะ ข้าอยากเสพกามกับเขา!”

 

บทที่ 2 ดำริพิสุทธิ์

ภายในห้องนอนของหรงหรงยามนี้ แสงสีแดงสาดสูง เงาร่างของคนสองคนตกกระทบบนฉากบังลมลายริ้วเมฆ

“เจ้า... ไปพาคนผู้นี้มาจากไหน”

“เขามาเอง เมื่อเช้านี้ไป๋เจียวบอกว่ามีคนแปลกหน้ามาที่โรงเหล้า ข้ามองไปแวบแรกก็เห็นเขา แล้วข้าก็รั้งเขาไว้”

สืออวี้ยืนอยู่ข้างม่านเตียง มองหน้าหรงหรงที่กำลังระริกระรี้ด้วยสีหน้าระแวง “รั้งไว้ด้วยวิธีไหน”

“ก็... แค่คะยั้นคะยอให้เขาดื่มสักจอกสองจอกเท่านั้น” หรงหรงกัดริมฝีปากเบาๆ สืออวี่ยังไม่ทันได้พูดอะไร นางก็ร้อนตัวขึ้นมาเอง “เอาล่ะๆ ข้าให้เขาดื่ม ‘ดำริพิสุทธิ์’ สองแก้วพอใจหรือยัง! ข้ารินเหล้าในแก้วใบใหญ่ที่สุด ใครจะไปรู้ว่าเขาจะดื่มหมดรวดเดียว”

สืออวี่พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

สุรา “ดำริพิสุทธิ์” ไม่ใช่ของหาง่าย เขาใช้เวลานานเกือบร้อยปีถึงจะรวบรวมวัตถุดิบครบตามสูตรที่หรงหรง “นำมา” จากเขาคุนหลุน หลังจากผ่านการทดลองหลายครั้ง ในที่สุดจึงกลั่นออกมาได้ปริมาณเล็กน้อย เนื่องจากสุรามีส่วนผสมล้ำค่าหลายอย่างและยังหายากยิ่ง “ปริมาณเล็กน้อย” ที่ได้มานั้นจึงมีค่ามหาศาล ตามที่หรงหรงกล่าวอ้าง ถึงแม้จะเป็นท่านเทพนายเก่าของนาง แค่ดื่ม “ดำริพิสุทธิ์” เพียงแก้วเดียวก็ส่ายโงนเงนแล้ว ตัวนางเองปกติไม่กล้าดื่มและตัดใจดื่มไม่ลง หากเปรี้ยวปากขึ้นมาก็เปิดไหออกมาดมพอหายอยาก คาดไม่ถึงว่าคราวนี้จะยอมเฉือนเนื้อลงทุนขนาดนี้

“ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ข้าก็กลัวว่าเขาจะหนีน่ะสิ!” เมื่อเห็นแววตาเยาะเย้ยของสืออวี่ หรงหรงก็กระสับกระส่ายร้อนรน แต่ไร้ซึ่งแววสำนึกผิด

สืออวี่ถอนหายใจ “ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เจ้าก็กล้าลงมือเนี่ยนะ! ลืมแล้วหรือว่าข้าเคยเตือนอะไรไว้... มีหน้ามาบอกว่าตัวเองไม่เคยก่อเรื่องอีก แล้วพวกไป๋เจียวก็ปล่อยให้เจ้าทำแบบนี้หรือ”

“ก็ข้าถูกชะตาเขาจริงๆ นี่นา ไป๋เจียวกับเหล่าเอี้ยนก็บอกว่าคนผู้นี้เหมาะสมกับข้าดี แต่ต้องรอให้เจ้ากลับมาดูหน้าเสียหน่อย แล้วค่อยมีงานมงคล”

“รอข้าเพื่ออะไร ข้าไม่สนใจเรื่องสกปรกของพวกเจ้าหรอกนะ”

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นปลายแถวในหมู่ภูตผี แต่อย่างน้อยก็มีกายร่างสถาพร มีชีวิตยาวนาน แต่ไร้อนาคต ส่วนใหญ่จึงสะสมนิสัยแย่ๆ จากโลกมนุษย์ติดตัวมา บ้างก็หลงทรัพย์สินเงินทองยิ่งชีพ บ้างก็เสพติดเพศรสหรือเกียรติยศชื่อเสียง บ้างก็ชอบพนันขันต่อและทะเลาะวิวาท ขอเพียงไม่กระทำความผิดร้ายแรงจนถึงหูเบื้องบนเข้า ก็ใช้ชีวิตได้ตามใจปรารถนา

ส่วนสืออวี่ถือว่าเป็นจำพวกแปลก มีจิตใจหนักแน่นระงับความอยากได้

หรงหรงขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้ากับข้าเป็นเพื่อนรักกัน ข้ามีงานมงคล จะยอมให้เจ้าพลาดได้อย่างไร”

“ไร้สาระ!”

เพื่อนรักหมายถึงไม่ต้องแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ หรงหรงได้แต่สารภาพตามตรงก่อนที่เขาจะสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป “ข้าไม่เคยทำเรื่องพรรค์นี้มาก่อน ไม่รู้จะทำเช่นไร หากว่า...”

“หื่นกามแต่ไร้ความกล้า น่าขันเสียจริง เจ้ามอมเขาด้วย ‘ดำริพิสุทธิ์’ ไปสองแก้ว ยังจะกลัว ‘หากว่า’ อะไรอีกเล่า” สืออวี่กวาดตามองคนที่อยู่บนเตียง “อย่างมากก็แค่หลับยาวไม่ตื่นเท่านั้นเอง”

“สืออวี่คนดี ช่วยข้าสักครั้งเถอะนะ” หรงหรงอ้อนวอนพลางย่ำเท้า “ข้าบอกว่าวันข้างหน้าเราสองคนมาเสพสมกัน เจ้าก็ไม่ยอม ตอนนี้ข้าอุตส่าห์เจอคนที่ต้องตาทั้งที เจ้ากลับทำเมินเฉย ลืมไปแล้วหรือว่าหกร้อยปีที่ผ่านมาใครอุปการะเจ้า”

หนทางบำเพ็ญตบะบารมีของสรรพชีวิตล้วนต้องอาศัยปราณบริสุทธิ์ฟ้าดิน บัดนี้หนทางสิ้นสุดไปแล้ว จึงมีสายนอกรีตต่างๆ กำเนิดขึ้นมา “เสพสม” คืออะไรน่ะหรือ ก็คือคำไม่สุภาพที่หรงหรงไปฟังมาจากพวกอาจิ่วทั้งสิ้น! เป็นแค่ข้ออ้างของพวกนางที่จะหลงใหลในรูปโฉมและจมดิ่งในห้วงรัก

สืออวี่สะบัดมือของหรงหรงที่มาจับแขนเสื้ออย่างเอือมระอา ก้าวเข้าไปดูคนที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียง แต่แล้วก็เกือบตาบอดเพราะแสงแยงตา

สืออวี่มิได้พบเห็นโลกมาน้อยแต่อย่างใด คนผู้นั้นแต่งกายวิจิตรหรูหรามากเกินไปจริงๆ... ช่อผมของเขามัดไว้ด้วยห่วงสีเขียวปีกแมลงทับ สวมชุดคลุมสีเขียว เสื้อขนสีม่วง กางเกงสีอำพันตกแต่งหลายชั้นอย่างประณีต เอวคาดเข็มขัดประดับทอง ซึ่งห้อยถุงหอมและจี้หยกอีกไม่รู้เท่าไร ยังมีรองเท้าหัวตัดปักลายหนึ่งคู่ ลักษณะตั้งแต่หัวจดเท้าของเขานับว่าโชคดีแล้วที่มาอยู่ที่นี่ เพราะหากออกไปเดินเร่ร่อนในเมืองฉางอันกลางวันแสกๆ ก็อาจโดนข้อหาว่าแต่งกายเกินสถานะ หรือไม่ก็คงถูกมองว่าเสียสติเป็นแน่

แต่ทว่าเมืองผีมักมีบุคคลประหลาดเช่นนี้ปรากฏตัวเสมอ ชุดสีสันแพรวพราวแบบพวกเศรษฐีใหม่มองดูผาดๆ ก็ไม่มีอะไรน่าตะลึง หน้าตาก็แค่พอไปวัดไปวาได้ พอคิดว่าอีกฝ่ายตกหลุมพรางหรงหรงอย่างง่ายดาย สืออวี่ก็นึกดูแคลนในใจ... ไม่รู้ว่าเป็นคนบ้านนอกคอกนามาจากป่าไหนกันแน่!

“เจ้าชอบคนแบบนี้น่ะหรือ เหมือนนกหงส์หยกไม่มีผิด” เขาไม่ปิดบังสีหน้าตะลึงและล้อเลียนแม้แต่น้อย

ดวงหน้าเรียวของหรงหรงแดงซ่าน “เจ้าจะไปรู้อะไร ข้าชอบท่าทางซื่อๆ และเยือกเย็นของเขา อีกอย่างนะ ต่อไปถ้าเขากลายเป็นคนของข้าแล้ว จะแต่งตัวอย่างไรข้าก็กำหนดได้ไม่ใช่หรอกรึ”

สืออวี่ไม่เข้าใจจริงๆ และก็ไม่คิดจะใส่ใจความคิดประหลาดเหล่านี้ด้วย เพียงแต่วางมือข้างหนึ่งบนหน้าอกของคนซื่อๆ คนนั้น เงียบไปครู่หนึ่งก็พูดยิ้มๆ ว่า “แปลก เขาไม่ได้แปลงร่างจากวิญญาณนกเสียหน่อย... เจ้าจะเรียกข้ามาทำไม”

“เจอเงื่อนงำอันใดหรือไม่” หรงหรงไม่มีแก่ใจจะต่อปากต่อคำกับเขา

สืออวี่ส่ายศีรษะ “ไม่รู้เป็นเพราะ ‘ดำริพิสุทธิ์’ สองแก้วของเจ้าหรือเปล่า ข้าไม่เจออะไรในดวงวิญญาณของเขาเลย แต่ตัวเขาไม่มีปราณปีศาจ ปราณผีสาง ปราณมารร้าย แต่ก็ไม่เหมือนเทพเซียนหรือผีไพร แปลกทีเดียว”

“ข้าก็บอกแล้วว่าทั้งเหนือเก้าสวรรค์ ใต้เก้านรกภูมิ ข้าเคยพบเห็นมามากมาย แต่ก็ดูไม่ออกว่าเขาเป็นใคร ดูหน้าตาของเขา หรือว่าจะเป็นเงือกนะ?”

“เจ้าดมกลิ่นไอทะเลบนตัวเงือกไม่ออกหรือ” สืออวี่ไม่เห็นด้วย แต่ก็นึกใคร่รู้ขึ้นมาเหมือนกัน “ผ่าออกมาดูดีไหม”

“กล้าก็ลองดู!” หรงหรงย่อมยอมมิได้ เลิกคิ้วยืนขวางอยู่หน้าเตียง กลัวว่าสืออวี่จะฉวยโอกาสลงมือตอนนางเผลอ

สืออวี่รู้สึกสนุกขึ้นมา อดหัวเราะไม่ได้ “ดูลักษณะเขาอ้อนแอ้นเหมือนสตรี รู้ได้อย่างไรว่าเป็นชายหรือหญิง เจ้าต้องดูให้ดีๆ นะ ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นเรื่องขบขันน่าดู!”

หรงหรงตะลึงกับคำขู่ นางไม่เคยคิดถึงมุมนั้นมาก่อน ครั้งแรกที่เห็นเขาผู้นี้ก็แต่งกายเป็นบุรุษ เสื้อผ้าสีสันสดใส แต่คนกลับดูเคร่งขรึมผิดธรรมดา ทำให้นางหัวใจสั่นไหวอย่างประหลาด เมื่อสืออวี่ทักขึ้นมา ก็ลองพิจารณาอย่างละเอียดดูอีกครั้ง คนที่อยู่บนเตียงหน้าตานวลผ่อง เรือนร่างโปร่งบาง ยากจะยืนยันได้ว่าเป็นชายหรือหญิง

หรงหรงไม่กล้าประมาท ถือโอกาสนี้พิสูจน์ความจริงต่อหน้าสืออวี่เสียเลย คนผู้นั้นหลับตาสนิท ร่างกายอ่อนปวกเปียก ปล่อยให้นางขยับเคลื่อนไหวได้ตามใจ ไม่นานกระทั่งเสื้อสั้นสีแดงที่แนบกายก็คลายออกมาภายใต้มือของหรงหรง นางถอนใจโล่งอก หันไปมองหน้าสืออวี่ด้วยแววตาท้าทาย... เรือนร่างตรงหน้าแม้จะไม่มีกล้ามเนื้อนูนเด่น แต่ความหนั่นแน่นแข็งแรงก็ซ่อนอยู่ใต้ผิวขาวสะอาดหมดจด เป็นร่างเด็กหนุ่มที่สมบูรณ์แบบ

“ถอดแล้วดูดีขึ้นนะ ถือว่า ‘ดำริพิสุทธิ์’ สองแก้วไม่เสียเปล่า” สืออวี่กวาดสายตามองคนผู้นั้น แล้วสายตาก็จับที่โต๊ะหัวเตียง “นั่นเป็นของติดตัวเขาหรือ”

หรงหรงตอบเหมือนคนใจลอย “ใช่ ตอนที่ข้าเจอเขา มีแต่ร่มเก่าๆ คันนี้”

สืออวี่เดินไปหยิบร่มขึ้นมา คนผู้นี้แต่งกายหรูหราสะดุดตา ทว่ากลับพกร่มเก่าโทรม สืออวี่ลองเปิดดู แต่เปิดไม่ได้

“ราตรีอันงดงาม ข้าไม่กวนเจ้าล่ะ คนเป็นของเจ้า ร่มเป็นของข้า ตกลงไหม” สืออวี่พูดจบ หรงหรงก็เพียงแต่โบกมือโดยไม่หันหน้ามา

สืออวี่ไม่ถือสานาง ถือร่มเดินออกไปจากห้องนอนอย่างรู้กาลเทศะ

เขาเจอเหล่าเอี้ยนที่กำลังจะไปประลองวิชากับหนานหมานจื่อระหว่างเดินบนระเบียงทางเดิน เหล่าเอี้ยนตาไว จำของในมือสืออวี่ได้ ก็ถามอย่างลองเชิงว่า “นั่นคือร่มของคนรักของแม่นางหรงหรงไม่ใช่รึ ในเมื่อนางให้มันกับท่านชายน้อยแล้ว ไม่ทราบว่า... ข้าวของเงินทองที่ไร้ประโยชน์บนตัวเขาจะมอบให้ข้าได้หรือไม่”

เหล่าเอี้ยนลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติยิ่ง ไม่เพียงค้าขายในเมืองผี ยังทำการค้ากับมนุษย์ด้วย

สืออวี่พูดด้วยสีหน้าเบิกบาน “หรงหรงสนแต่ตัวไม่สนทรัพย์ แถมยังมีเรื่องมงคลอีก ขออะไรก็ง่าย เจ้าก็ไปถามนางสิ นางไม่มีเหตุผลจะไม่ยอม”

“จริงด้วยสินะ” เหล่าเอี้ยนยิ้มกว้างออกมา แล้วรีบเดินไปที่ห้องหรงหรง

ไม่ต้องใช้เวลานาน เสียงร้องโหยหวนของเหล่าเอี้ยนก็ดังออกมา

สืออวี่หัวเราะพรืด ส่วนหนานหมานจื่อที่ยืนอยู่ตรงข้ามก็อมยิ้มอย่างรู้ทัน

หนานหมานจื่อเป็นลูกหลานของอูเสียน หน้าตาดำทะมึน ไม่เคยเอ่ยวาจา บนคอมีงูพันอยู่สองตัว ตัวหนึ่งสีดำตัวหนึ่งสีแดง แลบลิ้นขู่ฟ่อ เขาเป็นสหายรักของไป๋เจียว และถือว่าสนิทสนมกับสืออวี่พอควร สืออวี่ไม่มีอะไรทำ จึงยื่นมือไปแหย่งูเล่น ยังไม่ทันเข้าใกล้ งูสองตัวนั้นก็ตกใจ รีบหดหัวกลับเข้าไปในอ้อมแขนของหนานหมานจื่อ

งูทั้งสองตัวเป็นของวิเศษที่หนานหมานจื่อเลี้ยงไว้ ทั้งดุดันกราดเกรี้ยวและมีพิษร้ายเหลือ แม้ว่ามันจะทำอันตรายสืออวี่ไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยตื่นตกใจจนถอยหนีแบบนี้มาก่อน สืออวี่ชะงักไป หนานหมานจื่อก็งุนงงสงสัย ทั้งสองคนมองไปที่ร่มในมือสืออวี่พร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ

ตอนนี้เอง เหล่าเอี้ยนก็กุมศีรษะวิ่งกลับมาอย่างลนลาน ทันทีที่เห็นสืออวี่ก็บ่นว่า “ท่านชายน้อยแกล้งข้าอีกแล้ว ทำไมไม่บอกว่าแม่นางหรงหรงกำลังจะ...” เขากะพริบตาปริบๆ แล้วหัวเราะเบาๆ “ข้าว่าครั้งนี้แม่นางหรงหรงดูจะถูกใจมาก ถึงกับบิดผ้ามาเช็ดตัวให้คนรักด้วยตัวเองเชียว ข้าว่านะ นางยังไร้เดียงสาเกินไป เมื่อกลางวันตอนอยู่ที่โรงเหล้า หนุ่มนั่นจ้องมองนางตาไม่กะพริบเลย ชายมีจิตหญิงก็มีใจ ไยต้องใช้ ‘ดำริพิสุทธิ์’ อีกเล่า!”

“คนผู้นั้นพูดอะไรหรือทำอะไรบ้างก่อนจะเมาหลับ” สืออวี่เอ่ยถาม

เหล่าเอี้ยนเกาศีรษะพลางนึก “ก็ไม่มีอะไรนะ เขานั่งอยู่นานสองนาน ฟังนักดนตรีตีกลองบรรเลง แล้วแม่นางหรงหรงก็เข้าไปเลี้ยงสุราเขา เขาก็ดื่มเงียบๆ จริงสิ หนุ่มนั่นผิวพรรณละเอียดมาก ตอนเขาก้ม ข้าเห็นรอยสักที่ต้นคอเขาด้วยล่ะ...”

“รอยสักอะไร” สืออวี่เพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงร้องเจ็บปวดดังมาจากห้องของหรงหรงอีกครั้ง

“ดุเดือดกันเสียจริง” เหล่าเอี้ยนหัวเราะกรุ้มกริ่ม

ต้องดุเดือดถึงเพียงนี้เชียวรึ สืออวี่กำลังสงสัยอยู่ ก็ได้ยินหรงหรงกรีดร้องลั่น “สืออวี่ สืออวี่มานี่เร็ว!”

สืออวี่รีบวิ่งไปที่ห้องนอนของหรงหรง นางยืนอยู่ห่างจากเตียงหลายก้าวด้วยสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเล็กน้อย

“เจ้ามาดูนี่เร็วเข้า บนหลังเขาเป็นอะไรกันแน่น่ะ”

คนผู้นั้นยังคงอ่อนปวกเปียก นอนตะแคงนิ่ง เสื้อคลุมทองและเครื่องประดับต่างๆ นานาถูกปลดเปลื้องหมดแล้ว เหลือแค่กางเกงหนึ่งตัว แผ่นหลังเปลือยเปล่าปรากฏรอยสักสีดำที่เห็นได้ชัดเจน ไล่จากท้ายทอยแผ่ขยายลงไปทั้งแผ่นหลัง

สืออวี่ก้าวเข้าไป กำลังจะเขี่ยผมเปียที่ปกหลังอยู่ออกดู หรงหรงก็เตือนว่า “ระวังนะ เมื่อครู่ข้าลองแตะรอยสักนั่นแล้ว เหมือนมีสายฟ้าแล่นใส่ข้าอย่างไรอย่างนั้น เจ็บจนแทบยืนไม่อยู่ ตอนนี้ยังรู้สึกชาๆ อยู่เลย”

ในเมื่อแตะต้องไม่ได้ สืออวี่ก็ได้แต่พิจารณาดูในระยะใกล้ ลายเส้นของรอยสักนั้นเรียบง่ายและพลิ้วไหว ลวดลายคล้ายเปลวไฟประสานกับสายฟ้าที่ท้ายทอย ไล่วนไปตามแนวกระดูกสันหลัง รูปเริ่มซับซ้อนขึ้นบริเวณเอว ตรงกลางนั้นยังมีนกสามหัวตัวหนึ่ง รูปร่างหน้าตาประหลาด กรงเล็บเท้าข้างหนึ่งถืออาวุธคม ส่วนอีกข้างตะครุบฮุ่นตุ้น(ฮุ่นตุ้น คือเทพแห่งความชั่วร้ายในสมัยโบราณของจีน รูปร่างอ้วนกลม มีสีแดงดุจเปลวเพลิง มีปีกสี่ปีก มีขาหกขา ไม่มีใบหน้า)ไว้

“ข้านึกไม่ออกเลยว่าเผ่าไหนมีรอยสักแบบนี้  เจ้าคุ้นตาบ้างไหม” หรงหรงถาม

สืออวี่ส่ายหน้าช้าๆ ซึ่งหรงหรงก็ไม่แปลกใจ “ถึงอย่างไรเจ้าก็อายุยังน้อยอยู่ดีล่ะนะ บางทีข้าอาจจะเคยเห็น สกุลตีซาน? สกุลหลิวหวงซิน? ลูกหลานสกุลอวี่... ก็ไม่ใช่ เฮ้อ ผ่านมานานเกินไป ข้านึกไม่ออก”

“ดูหมดแล้วหรือยัง” สืออวี่ชี้ไปที่เอวของคนผู้นั้น ยังมีรอยสักส่วนหนึ่งซ่อนเข้าไปใต้กางเกง

หรงหรงไพล่มือไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว คล้ายจะเดินเข้ามา แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ “ตอนแรกข้าคิดจะถอดมันออกแล้ว แต่ตอนนี้... ให้เจ้าดูแทนดีกว่า ข้าไม่ว่าอะไรหรอก”

“ไม่ได้เรื่อง อุตส่าห์อยู่มาถึงอายุปูนนี้!” สืออวี่พูดอย่างหัวเสีย เรื่องมาถึงตอนนี้ ถึงหรงหรงจะหมดอารมณ์ไปแล้ว แต่คนบนเตียงก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี ปล่อยไปไม่ได้ เก็บไว้ก็ไม่ได้ เรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้าตอนนี้คือต้องสืบสถานะความเป็นมาของอีกฝ่ายให้กระจ่าง

เขาไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน สะกดความรู้สึกประหลาดในใจ คลำไปที่สะโพกของคนผู้นั้นโดยพยายามระวังรอยสักในขณะเดียวกัน ตั้งใจจะดึงกางเกงลงมารวดเดียว ใครจะคิดว่า “เหยื่อ” ที่ดื่ม “ดำริพิสุทธิ์” ไปสองแก้วนั้นกลับขยับตัวขึ้นมา แล้วพลิกตัวนอนหงาย ยกมือพาดหน้าผาก ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แล้วสายตาก็ประสานกับสืออวี่พอดี

มือของสืออวี่ยังอยู่บนสะโพกเขา เนื่องจากเขาเปลี่ยนท่า มือข้างนั้นจึงตกอยู่ในจุดที่อธิบายยาก

“ระวังนะ!” หรงหรงอุทานอย่างตกใจ

สืออวี่ชักมือกลับไม่ทัน อีกฝ่ายลุกพรวดขึ้นมาจากเตียง สองนิ้วพุ่งไปที่หว่างคิ้วของสืออวี่ เขาหลบไม่พ้น พลันรู้สึกเหมือนมีมีดเจาะทะลวงกะโหลก วิญญาณปั่นป่วนไปชั่วขณะ ปวดหัวแทบระเบิด หงายหลังล้มลงทันที

คนผู้นั้นยืนมั่นคงดีแล้ว ก็ก้มดูตัวเองที่อยู่ในสภาพเกือบถูกลอกคราบ คว้าเสื้อมาคลุมด้วยสีหน้าโกรธเคือง ยกเท้าเหยียบใบหน้าอ่อนเยาว์กระจ่างใสของสืออวี่ “เจ้าคนต่ำช้าลามก!” 

Top Hit


Special Deal