(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน สู่ฝันที่มีฉันคุณโลมา เล่ม 1

Tuesday

บทที่ 5

เหล่าเว่ยในเวลานี้ มองดูใบรายงานผลคะแนนของเซี่ยจื้ออย่างสุดอึดอัดคับข้องใจ ยังคงทอดถอนใจอยู่อย่างนั้น

มีเสียงเคาะประตูดังมาจากนอกห้องทำงาน

“นี่อาจารย์เว่ยกลุ้มใจจนหัวหงอกเพราะใครอีกเหรอครับ?”

เสียงแจ่มชัดนุ่มนวลของผู้ชายดังขึ้น เหล่าเว่ยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างอย่างน่าประหลาด พอหันกลับไปก็มองเห็นเย่หลินที่สวมเสื้อฮู้ดกับกางเกงลำลองยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของเขา

อาจารย์เว่ยดันแว่นตาขึ้น แล้วก็กะพริบตาปริบๆ “ไอ้หยา! เย่หลินเหรอนี่? เธอควรจะเรียนอยู่ที่ม.Q ไม่ใช่เหรอ? ทำไม…ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้?”

“ผมกลับมาเสาร์อาทิตย์ครับ อาจารย์ที่สอนคาบเช้าวันจันทร์ลาหยุดพอดี ผมเลยไม่ต้องรีบกลับไป รถไฟก็เป็นเที่ยวสิบโมงครับ พอดีผ่านโรงเรียนเก่าก็เลยแวะมาเยี่ยมอาจารย์สักหน่อยน่ะครับ”

“เธอนั่ง มานั่ง!”

เย่หลินจึงนั่งลงตรงข้ามกับอาจารย์เว่ย พอก้มหน้าลงก็เหลือบไปเห็นใบรายงานผลคะแนนของเซี่ยจื้อ

“อาจารย์เว่ยกำลังปวดหัวกับนักเรียนอยู่ตามคาด!”

“เฮ้อ…เด็กคนนี้นี่นะ…”

เว่ยซูเป่าเล่าเรื่องของเซี่ยจื้อให้เย่หลินฟังไปหนึ่งรอบ ก็เกือบจะน้ำตาไหลพรากแล้ว พูดจบยังซับๆ หางตาอีกด้วย

“เขาเป็นเด็กดีคนหนึ่งเลยนะ เพียงแต่เรียนหนังสือไม่เข้าหัว น่าเสียดายมากเลย…”

“ข้อสอบรายเดือนแจกคืนไปแล้วใช่ไหมครับ? เดิมทีผมยังจะให้เขามาดูสักหน่อยว่า ตกลงแล้วไม่เข้าใจที่ตรงไหนกันแน่”

“อ๋อ! ข้อสอบรายเดือนไม่มีแล้วละ แต่ว่าข้อสอบปลายภาคของเทอมที่แล้วยังมีเก็บไว้เป็นไฟล์ของชั้นปี เธอเอาไปดูหน่อย เรียนเก่งอย่างเธอนี่ บางทีอาจจะชี้แนะอะไรได้บ้าง!”

“ผมอาจไปขึ้นรถไฟไม่ทัน ยังไงช่วยปริ้นออกมาให้ผมเอาไปดูบนรถไฟดีกว่าครับ เดี๋ยวเสาร์อาทิตย์นี้ผมค่อยมาศึกษาดูกับอาจารย์เว่ยใหม่”

“ได้! เธอยินดีช่วยก็เป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว!” 

บ่ายวันนี้ ตอนที่เย่หลินกลับมาถึงหอพักของตนเองในมหาวิทยาลัย ก็เห็นเฉินเจียรุ่นที่เป็นทั้งรูมเมตและเพื่อนร่วมทีมว่ายน้ำกำลังนั่งตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะหนังสือตัวเล็ก ท่าทางสุดแสนจะตั้งอกตั้งใจ…ในการเล่นเกม

“ข้อเท้านายยังไม่หายดีเหรอ?” เย่หลินวางเสื้อผ้าพลางถาม

“เปล่า! แต่ถ้าหายดีแล้วก็ต้องถูกไท่ไป๋จินซิงจับไปซ้อมน่ะสิ! ให้ฉันได้อยู่สบายๆ อีกสักสองสามวัน!” เฉินเจียรุ่นสองตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตาไม่กะพริบ

เฉินเจียรุ่นเป็นคนผิวขาวสะอาดสะอ้าน ดวงตาสองข้างยกขึ้นน้อยๆ เวลายิ้มขึ้นมาก็หยีจนกลายเป็นเส้นตรง พูดจามีอารมณ์ขัน เนื้อหอมเป็นอย่างมาก ในรั้วมหาวิทยาลัยเหล่าบรรดานักศึกษาสาวตั้งฉายาให้เขาว่า “จิ้งจอกขาว” ได้ยินมาว่าพอผู้หญิงเห็นเขาแล้วจะรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างมาก กระทั่งว่าต่อให้ถึงวันนั้นของเดือนที่รู้สึกไม่สบายตัวก็ยังพอจะทุเลาลงไปได้…

การสู้กันแบบทีมสิ้นสุดลงพอดี เฉินเจียรุ่นถึงได้หันกลับมา เอียงศีรษะกล่าว “พี่หลิน เหมือนช่วงนี้พี่กลับบ้านบ่อยนะ?”

“งั้นเหรอ? ยังไงก็นั่งรถไฟแค่ชั่วโมงเดียว กลับไปก็ดีเหมือนกัน” เย่หลินหยิบเอาข้อสอบสามสี่แผ่นออกมาจากกระเป๋าเป้ “นายช่วยฉันดูนี่หน่อย รู้สึกว่าพอจะยังมีทางเยียวยาได้ไหม?”

เฉินเจียรุ่นรับเอาข้อสอบมา มือแกะกระดาษห่อลูกอมผลไม้เม็ดหนึ่งใส่ปาก เคี้ยวไปพลางก็พลิกเปิดไปถึงข้อสอบแบบอัตนัยที่อยู่หลังวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา

“อือ…อือ…ฉันว่านะ เจ้าเด็กนี่น่าจะสมองดีมากเลย เพียงแต่ไม่สนใจการเรียน แค่ไม่กี่ขั้นตอนนี้ก็ดูออกว่าลำดับความคิดในการตอบข้อสอบของเขาถูกต้อง เพียงแต่สูตรที่ใช้พวกนี้…ขาดตกบกพร่องเกินไปหน่อย”

เย่หลินพิงอยู่กับบันไดที่จะขึ้นไปยังที่นอนชั้นบน กำลังเปิดขวดน้ำแร่ขวดหนึ่ง “ในเวลาที่เหลืออีกหนึ่งปี คิดว่าจะสอบเข้าม.Q ได้ไหม?”

เฉินเจียรุ่นเอียงศีรษะหรี่ตา เดาว่าถ้าหากมีนักเรียนหญิงเห็นเข้าละก็ต้องบอกว่าเขาโคตรจะน่ารักอีกแล้ว

“อือ…ถ้าไม่ฝันลมๆ แล้งๆ ก็ต้องทุ่มสุดตัว”

“งั้นก็ทุ่มสุดตัวแล้วกัน” เย่หลินจัดแจงกระเป๋าหนังสือของตัวเองเตรียมจะไปเรียนวิชาคาบบ่าย

“ใครทุ่มสุดตัว?”

เฉินเจียรุ่นเดินตุปัดตุเป๋ตามเย่หลินมาถึงหน้าประตูหอพัก ในใจเขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก เจ้าของข้อสอบชุดนี้เป็นใคร มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเย่หลิน เขาไว้อาลัยให้เจ้าเด็กนี่อยู่เงียบๆ ในใจสามวินาที 

เพราะว่าเย่หลินต้องทรมานคนแน่แล้ว 

“ทุ่มสุดตัวฉันนี่แหละ ถ้าหากเขาไปสอบเข้ามหา’ลัยอื่น ฉันต้องว้าวุ่นใจตายแน่”

“สวรรค์…นายจะให้เขาสอบเข้าม.Q เขายังจะมีชีวิตรอดได้ไหม?”

 

 

หลังเลิกเรียน เซี่ยจื้อก็เอาข้อสอบกับใบรายงานผลคะแนนกลับมาบ้าน

ตอนที่เขากับเฉินชิงเหม่ยขี่จักรยานมาถึงทางแยก เซี่ยจื้อเพิ่งจะโบกๆ มือลากัน ทว่าเฉินชิงเหม่ยกลับเรียกเขาไว้

“อาจื้อ!”

“หือ? มีอะไร?”

“ไอ้นี่ให้นาย” เฉินชิงเหม่ยล้วงเอากล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกจากกระเป๋าหนังสือส่งให้เซี่ยจื้อ

เซี่ยจื้อไม่ได้รับไว้ หากแต่สองมือสอดเข้ากระเป๋า ใช้เท้าข้างเดียวยันพื้นมองดูอีกฝ่าย “ว่ามาเถอะ โลกนี้ไม่มีของฟรี ทำดีหวังผล จะเอาอะไร” “นี่! พ่อฉันซื้อมาจากเมืองนอก ฉันเห็นว่าคุณภาพดีมาก แล้วฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรกับการว่ายน้ำ ให้ฉันใช้ก็เสียของเปล่า…นายไม่เอาก็ช่าง!” 

เซี่ยจื้อถึงได้ยื่นมือออกมารับ “ก็ถูก นายใช้แว่นว่ายน้ำเด็กทำจากพลาสติกอันละแปดหยวนก็พอแล้ว”

เฉินชิงเหม่ยกลอกตาใส่อีกฝ่าย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะรับปากเย่หลินไว้ เขาไม่มีทางยอมทนหรอก

“งั้น นายก็ใช้ให้ถนอมๆ หน่อยแล้วกัน! อย่างน้อยก็เป็นน้ำใจของคนอื่น”

“นายหมายถึงน้ำใจของพ่อนายเหรอ?” เซี่ยจื้อหัวเราะ “ติดหนี้น้ำใจอยู่ ตอนนายไปเดทกับเพื่อนในเน็ตก็บอกกับฉันสักคำละ ถ้าหากเจอกับซูจวิ้น เฮียคุ้มครองนายเอง”

เฉินชิงเหม่ยพูดอะไรไม่ออก “นายไม่แช่งฉันจะได้ไหม?”

กล่าวจบ สองคนก็ต่างแยกย้าย

กลับมาถึงบ้าน คุณนายเฉินฟางหัวน่าจะนั่งคอยอยู่ที่โซฟาตามคาดอยู่ตั้งนานแล้ว เซี่ยจื้อก็ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระเลย เขาส่งข้อสอบกับใบรายงานผลคะแนนให้ดูทันที

เฉินฟางหัวถอนใจเฮือก “แกนี่ไม่ยอมที่จะทำให้แม่ประหลาดใจสักหน่อยเลยจริงๆ นะ”

เซี่ยจื้อไม่พูดอะไร แล้วก็ไม่พูดถึงเรื่องสอบเข้าวิทยาลัยพลศึกษาด้วย แต่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ

“นี่มันม.หกแล้ว แกเข้าใกล้เกาเข่ามากแล้ว เช้าวันศุกร์นี้แม่ว่างไม่มีเวรพอดี แม่ไปคุยกับอาจารย์แกสักหน่อยแล้วกัน ดูว่ายังพอมีวิธีพัฒนาให้กระเตื้องขึ้นไหม”

“ครับ” เซี่ยจื้อรับคำแล้วก็ก้มหน้ากินข้าว

สองคนแม่ลูกต่างรู้ว่าอีกฝ่ายฟังความคิดของกันและกันไม่เข้าหูหรอก ก็เลยไม่มีใครหาเรื่องใคร

กลับเข้ามาในห้องของตัวเองแล้ว เซี่ยจื้อนึกถึงแว่นตาว่ายน้ำที่เฉินชิงเหม่ยให้ เขาสงสัยจริงๆ ว่าที่ไอ้หมอนั่นปากบอกว่าแว่นตาว่ายน้ำคุณภาพดีมากน่ะมันจะหน้าตาเป็นยังไง

รอจนกระทั่งเฉินฟางหัวไปอาบน้ำ เซี่ยจื้อถึงกล้าหยิบกล่องใบนั้นออกมา

“ห่อเสียยังกับเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรขนาดนั้น”

เซี่ยจื้อเปิดมันออก ถึงกับอึ้งตะลึงไปอย่างช่วยไม่ได้

นี่มัน…เหมือนจะเป็นแบบเดียวกันกับของเย่หลินเลยนี่!

กันน้ำกันไอ ใส่แล้วก็ยังรู้สึกสบายเป็นพิเศษด้วย

เซี่ยจื้อคิดในใจ เสาร์นี้ตอนไปเล่นกับเจ้าโลมาตัวนั้น ก็ได้ใช้แล้ว! “หายากจริงๆ ที่เฉินชิงเหม่ยจะให้ของที่ใช้การได้แบบนี้”

เซี่ยจื้อจะเก็บมันไว้ที่บ้านไม่ได้ เกิดว่าวันไหนไทเฮาเก็บกวาดทำความสะอาดแล้วถูกค้นเจอเข้า เขาจึงได้แต่เก็บมันเอาไว้ที่ก้นลึกสุดของกระเป๋าหนังสือ แล้วเอาชีตมาปิดทับไว้เป็นชั้นๆ น่าจะเป็นเพราะถูกแว่นว่ายน้ำนี่ดึงดูด เซี่ยจื้อจึงคิดถึงเย่หลินขึ้นมาอีกแล้ว

ครั้งที่แล้วจะบอกลาสักคำก็ยังไม่มี ต่อให้ได้พบกับเย่หลินอีกครั้งก็คงจะยังกระอักกระอ่วนมากอยู่ดีละมั้ง

แต่ว่า…เขาอยากจะแข่งกับเย่หลินอีกสักครั้งมากจริงๆ

ไม่ถูก ครั้งเดียวไม่พอ…เซี่ยจื้ออยากจะว่ายน้ำอยู่ข้างเย่หลินตลอดไป เพราะรู้สึกว่าตนเองที่เป็นแบบนั้นราวกับได้โบยบินอยู่ในสระน้ำอย่างไรอย่างนั้นแหละ

แต่บัดนี้เหลือเพียงความเสียดาย


 

แต่ละวันในช่วงชั้นม.หกกว่าจะผ่านไปได้ราวกับเป็นปี แม้ไม่ง่ายแต่ในที่สุดก็ทนมาจนถึงวันศุกร์ได้แล้ว พอเซี่ยจื้อกลับมาถึงบ้าน คุณนายเฉินฟางหัวก็จู่โจมใส่เขาทันทีทันใด

“เซี่ยจื้อ เมื่อเช้าแม่ไปคุยกับอาจารย์เว่ยของแกมา เขาบอกว่าแกไม่ได้เกินเยียวยานะ”

เซี่ยจื้อถอนใจเฮือก “อาจารย์เว่ยเป็นคนดีคนหนึ่ง ในความคิดของเขาไม่มีเด็กคนไหนที่เกินเยียวยาหรอกครับ”

“เขาแนะนำติวเตอร์มาให้คนหนึ่งด้วย ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปจะมาสอนแก”

เซี่ยจื้อชะงักไปเลย “อะ…อะไรนะครับ? แม่ แม่อย่าเปลืองเงินเลยได้ไหมครับ? ติวเตอร์คนไหนจะสอนผมได้ครับ?”

โคลนตมนั้นเอาไปก่อกำแพงไม่ได้ ยิ่งนับประสาอะไรที่โคลนตมก็ยังอยากเป็นโคลนตมอยู่ที่พื้นต่ออีก ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีดอกไม้ใบหญ้าอะไรขึ้นมาสักหน่อยก็ได้! “คนคนนี้แกต้องไม่เกลียดเขาแน่” เฉินฟางหัวคีบอาหารให้บุตรชาย ให้เขากินมากหน่อย

มีนักเรียนคนไหนที่จะไม่เกลียดติวเตอร์ด้วยเหรอ?

แน่นอน เซี่ยจื้อต้องไม่ย้อนคำพูดแม่ต่อหน้าแม่อยู่แล้ว

“เขาจะมาจับตาดูผมทุกวันเลยเหรอครับ?” เซี่ยจื้อถามอย่างไม่สบอารมณ์

“แกคิดว่าคนเขาว่างเหรอ! สองทุ่มถึงสี่ทุ่มวันศุกร์เขาจะมาดูแกทำการบ้าน วันเสาร์บ่ายสามถึงสองทุ่ม วันอาทิตย์เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น เวลาอื่นคนเขาก็มีเรียนเหมือนกัน”

เซี่ยจื้อพอได้ยินว่าเช้าวันเสาร์อีกฝ่ายไม่มา งั้นก็ยังดีหน่อย ตนเองยังฉวยโอกาสตอนแม่เข้าเวร ไปอควาเรียมโลมาได้อยู่

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถูกติวเตอร์จับตามองจะตบตาถูไถไปวันๆ ก็ไม่ได้แล้วสิ

เซี่ยจื้อมาคิดคำนวณดูแล้ว งั้นตนเองตีหน้าเย็นชาให้อีกฝ่ายถอยไปเองก็แล้วกัน!

ด้วยเหตุนี้ เซี่ยจื้อจึงกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง วางตัวอย่างข้อสอบกระจุยกระจายไว้บนโต๊ะ วางโทรศัพท์มือถือไว้บนลิ้นชักวางคีย์บอร์ด ศึกษาวิดีโอบันทึกภาพการแข่งขันเมื่อสองปีก่อนของเย่หลินต่อ

ผ่านไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงออดประตูดัง เฉินฟางหัววิ่งเหยาะๆ ไปเปิดประตู เชิญติวเตอร์คนนั้นเข้ามาอย่างกระตือรือร้นมาก 

“สถานการณ์ของเซี่ยจื้อเธอก็รู้อยู่แล้ว! น้าได้ยินอาจารย์เว่ยบอกว่าเธอเก่งมาก เพียงแต่ลูกชายน้าถูกน้าตามใจจนเสียนิสัย นิสัยไม่ดีไปบ้าง เธอก็อย่าถือสาเขาเลยนะ!”

“คุณน้าครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ เด็กผู้ชายม.หกก็ดื้อกันบ้างทั้งนั้นแหละครับ อันที่จริงแล้ววัยนี้ก็น่ารักมากอยู่เหมือนกันครับ”

เซี่ยจื้อพอได้ยิน ก็คิดว่านี่เป็นเสียงของนักเรียนดีมีมารยาทตามแบบฉบับประเภทนั้นนั่นแหละ เดิมทีเซี่ยจื้อก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับติวเตอร์คนนี้หรอก เพราะอย่างไรเสียคนเขาผลการเรียนดีก็เป็นเรื่องของเขา 

หากแต่เจ้าหมอนี่กลับพูดว่าอะไรนะ “อันที่จริงแล้ววัยนี้ก็น่ารักมากอยู่เหมือนกันครับ” ฟังดูแล้วทั้งมีมารยาท ทั้งเป็นคนใจกว้าง แต่ความจริงเหมือนเขากำลังพูดว่า “ฉันรู้ว่าวัยนี้ก็ดูหน่อมแน้มไปบ้าง” ต่างหาก

แต่เดิมทีเซี่ยจื้อก็ไม่ได้คิดจะวางท่าโตเป็นผู้ใหญ่รู้ความให้อีกฝ่ายดูอยู่แล้ว

เพราะในความคิดของเซี่ยจื้อ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้นหมายถึงการที่คนคนหนึ่งสามารถควบคุมอารมณ์และยับยั้งชั่งใจในเรื่องที่ไม่ชอบได้ ส่วนการรู้ความก็คือการอดทนอดกลั้นต่อคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยได้

เทียบกับความจอมปลอมของการโตเป็นผู้ใหญ่รู้ความนั่นแล้ว ไม่สู้คิดจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นไปเลยจะดีกว่า

ดังนั้น ตรงไปตรงมาต่อกันสักหน่อยก็ดี

ผ่านไปได้ไม่นาน เฉินฟางหัวก็เคาะประตูห้องของเซี่ยจื้อ ให้ติวเตอร์เข้ามา

“เซี่ยจื้อเอ๊ย อาจารย์ที่แม่จ้างมาให้แกมาแล้วนะ เขาโตกว่าแกสองปีเอง สองคนน่าจะเข้ากันได้”

“ครับ” เซี่ยจื้อไม่แม้แต่จะเงยหน้า คิดจะแสดงทีท่าของตนเองออกมาให้เห็นก่อน ให้อีกฝ่ายได้เตรียมใจไว้สักหน่อย

——ว่านักเรียนอย่างเขาไม่ได้จะอยู่ด้วยง่ายๆ หรอก เก้าอี้ข้างตัวถูกดึงออกมา ติวเตอร์นั่งลง

ดูเหมือนจะตัวสูงมาก ขาของเขาเข้ามาใกล้ถึงขาของเซี่ยจื้อแล้ว

“กำลังทำตัวอย่างข้อสอบอยู่เหรอ?”

น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนมาก ไม่มีการวางท่าอย่างคนเป็นอาจารย์เลยสักนิด ราวกับการดื่มน้ำร้อนหนึ่งอึกในวันที่อากาศเย็นลง

หากแต่เซี่ยจื้อไม่ได้คิดจะไว้หน้าอยู่แล้ว จึงก้มหน้าก้มตาต่อไป คิดในใจว่า : นายตาบอดเหรอไง ไม่เห็นว่าฉันกำลังเล่นมือถืออยู่หรือไง? ทำข้อสอบห่าอะไร! 

“ทำไม่ได้หมดเลย แต่ว่า โจทย์ที่วันนี้แก้ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”

“ทำไม?”

“เพราะพรุ่งนี้ก็ยังแก้ไม่ได้อยู่ดี” เซี่ยจื้อกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

อีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “มีฉันอยู่ ต่อไปโจทย์พวกนี้นายทำได้ทั้งหมดแน่”

เซี่ยจื้อคิดในใจ ตกลงแล้วนายมั่นใจในตัวเองมากเกินไป หรือว่าเชื่อมั่นในตัวฉันอย่างไม่ลืมหูลืมตากันแน่?

“แต่ว่า ฉันนึกไม่ถึงว่านายจะชอบฉันขนาดนี้…” อีกฝ่ายกล่าวเบาๆ

เซี่ยจื้อใจกระตุกวูบอย่างไม่มีสาเหตุ รีบหันหน้าไปทันที “ตกลงแล้วทำไมนายถึงสรุปว่า…”

สรุปว่าฉันชอบนาย?

ชั่วขณะนั้น เซี่ยจื้อก็ประสานสายตากับดวงตาที่สวยมากคู่หนึ่ง

เซี่ยจื้อเคยมองดวงตาคู่นี้ผ่านเลนส์โคลสอัพในโทรทัศน์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับมีเพียงครั้งนี้ที่ใกล้เสียจนกระทั่งขนตากับองศาที่ยกขึ้นน้อยๆ ที่หางตาชัดเจนอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ราวกับมีรถไฟขบวนหนึ่งแล่นผ่านหัวใจไป ฉึกฉักๆ

เป็นเย่หลิน!

เซี่ยจื้อตะลึงงัน จะขยับก็ขยับไม่ได้แล้ว

ราวกับมีรถไฟขบวนหนึ่งแล่นผ่านหัวใจไป ฉึกฉักๆ

หากว่าอยู่ในสระว่ายน้ำ เซี่ยจื้อก็คงจะตีหน้าตายโดยไม่สะทกสะท้านได้

แต่ในห้องนอนเล็กๆ นี่ ไม่มีสระว่ายน้ำ ไม่มีทุ่นลอย ไม่มีสิ่งของใดเลยที่เซี่ยจื้อจะเบนความสนใจไปยังที่อื่นได้

สมองไม่ฟังการสั่งการ สองมือสองเท้าไม่รู้จะไปวางไว้ที่ไหนดี

“ถ้านายไม่ชอบฉัน แล้วยังจะดูวิดีโอการแข่งของฉันรอบแล้วรอบเล่าอยู่อีกเหรอ?”

เย่หลินเชิดหน้า สายตาหยุดลงที่โทรศัพท์มือถือซึ่งเซี่ยจื้อวางอยู่บนลิ้นชักวางคีย์บอร์ด

แววตาของเขาเจือการหยอกล้ออยู่บ้าง เย่หลินสวมเสื้อไหมพรมแขนยาวปกปิดโครงร่างอันแข็งแรงบึกบึนของตัวเองไว้ ทว่ากลับมีความเป็นหนอนหนังสือเพิ่มมาอยู่หลายส่วน

ดูแล้วเหมือนกับผู้ช่วยสอนในมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง นึกถึงภาพนักว่ายน้ำเจ้าสระไม่ออกเลยสักนิด

“นาย…นายมาอยู่นี่ได้ยังไง…” เหมือนเซี่ยจื้อจะลิ้นไก่สั้นไปเลย แต่สีหน้ากลับดุดันอยู่บ้าง

เหมือนเม่นน้อยตัวหนึ่งที่ขนตั้งขึ้นทั้งตัว แต่ในสายตาของคู่แข่งเขาแล้ว นี่กลับเป็นเพียงหนังหน้าท้องอันอ่อนนุ่มของเม่นตัวนี้เท่านั้น

“ฉันก็เป็นติวเตอร์ของนายไง” เย่หลินยิ้มแล้วยื่นมือออกมา

เซี่ยจื้อคิดว่าอีกฝ่ายจะเอาโทรศัพท์มือถือของเขาไป จึงดันลิ้นชักวางคีย์บอร์ดเข้าไปด้านใน เสียงโทรศัพท์ร่วงดัง ‘ตุ้บ’ มือไม้พัลวันทำอะไรไม่ถูก

หากแต่เย่หลินกลับหยิบเอาชีตแบบฝึกหัดของเซี่ยจื้อมา

“วันนั้นฉันได้พบอาจารย์เว่ยของนาย เห็นข้อสอบปลายภาคเทอมก่อนของนายแล้วด้วย”

เย่หลินหันมาแล้วก้มหน้ามองเห็นเซี่ยจื้อกำลังก้มตัวลงไปเก็บโทรศัพท์มือถือที่ใต้โต๊ะพอดี

เพราะเซี่ยจื้อยื่นมือยาวออกไปควานหามือถือ เสื้อผ้าของเขาจึงเลิกขึ้นจากท่าทางนี้ เผยให้เห็นเส้นแนวกล้ามเนื้อที่เอว กล้ามเนื้อที่เอวและแผ่นหลังของเขาแน่นตึง ราวกับสายน้ำที่เดิมไหลราบเรียบเอื่อยๆ แต่กลับโหมซัดสาดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ข้อสอบในมือของเย่หลินถูกขยำจนมีรอยยับขึ้นมานิดหน่อย

เซี่ยจื้อจับโต๊ะหนังสือไว้ด้วยมือเดียว ยันตัวลุกขึ้น เสื้อผ้าก็หล่นกลับไปอยู่ที่เดิม ผมของเขาชี้ขึ้นมาจากท่าทางเมื่อครู่ ทำให้คนนึกอยากลูบศีรษะของเขาเสียจริง คนอื่นๆ ก็คงจะเป็นเหมือนกันใช่ไหม

มองแต่ภายนอกเจ้าเด็กนี่ทั้งหัวรั้นทั้งแข็งกร้าว 

“อ้อ…หรือว่าจอหงวนสายวิทย์เมื่อสองปีก่อนมั่นใจว่าจะทำให้ผมพลิกฟ้าโผบินได้?”

เดิมทีเซี่ยจื้อคิดจะคุยกับเย่หลินดีๆ อยู่หรอก แต่พอมาคิดว่าจู่ๆ เจ้าหมอนี่ก็กลายมาเป็นติวเตอร์ของตัวเองซะงั้น ก็หมายความว่าเขาได้เห็นผลคะแนนเฮงซวยของตัวเองหมดแล้วสิ จึงรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง เลยอยากจะต่อปากต่อคำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“นายน่ะ เรื่องติวไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดหรอก รักษาอาการฟกช้ำต่างหากสำคัญกว่า” เย่หลินเอนหลังพิงพนักแล้วหัวเราะ

“แก้ฟกช้ำเหรอ ฉันรู้—— ที่โดนแม่ฟาด น่าเสียดายที่พ่อฉันคลานจากหลุมขึ้นมาอัดฉันด้วยไม่ได้” เซี่ยจื้อเบนหน้าไป 

แสงสีส้มจากโคมไฟส่องให้เห็นขนอ่อนบนใบหน้าด้านข้างของเขา เห็นอยู่ว่าดูอ่อนนุ่ม แต่กลับเผยความดึงดันออกมา

“แต่ฉันอัดนายได้นะ” เย่หลินกล่าว 

“หา?” เซี่ยจื้อหันหน้ากลับมาอึ้งๆ

“หลายข้อ ไม่ใช่ว่านายทำไม่ได้ แต่ว่าสูตรที่นายเขียนออกมาทำให้ฉันสงสัยว่านายจงใจสอบให้คะแนนแย่หรือเปล่า”

เซี่ยจื้อไม่ได้ตอบอีกฝ่าย ทฤษฎีบทกับสูตรพวกนั้น เขาก็แค่จำได้บ้างตอนที่เงยหน้าขึ้นเหลือบมองกระดานดำเป็นครั้งคราว

“ที่จริงแล้ว นายเข้าใจจุดมุ่งหมายของคนออกข้อสอบมากนะ”

“ก็ใช่สิ จุดมุ่งหมายของคนออกข้อสอบมันเข้าใจยากนักหรือไง?” เซี่ยจื้อตอบเย็นชา

“อ้อ?”

“เพราะอยากให้ฉันตายไง”

เย่หลินอยู่ใกล้ขนาดนี้ ที่ตัวเขายังเจือไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟอยู่เลย เสียงก็น่าฟังมาก ไม่มีการวางท่าเลยสักนิด แต่ในใจของเซี่ยจื้อกลับรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

ในสระว่ายน้ำ ต่อให้เย่หลินจะนำหน้าเขาไปได้ตลอด เซี่ยจื้อก็ไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์อะไรเลย

แต่การสอบอะไรนี่ เย่หลินคนนี้เป็นถึงเทพที่ขึ้นชื่อทั้งการว่ายน้ำและการสอบ เขาคว้ามันไว้ได้ทั้งสองมือ แถมยังแข็งแกร่งทั้งสองมืออีกด้วย

ช่องว่างมโหฬารนี้ อัจฉริยะกับปุถุชนคนธรรมดา เซี่ยจื้อรู้สึกว่าถึงตนเองทุ่มสุดชีวิตก็ยังบินข้ามไปไม่ได้

เขาอยากจะตัดสินแพ้ชนะด้วยวิธีการแบบลูกผู้ชายกับเย่หลินในสระน้ำมากกว่า ต่อให้ต้องไล่ตามส้นเท้าของเย่หลินอยู่ตลอด ก็ยังมีความรู้สึกสดชื่นสบายอกสบายใจ

ไม่เหมือนสิ่งที่เรียกว่าการเรียน มันอึดอัดจะตายไป

“อาฮะ” เย่หลินยังยิ้มอยู่ ดวงตาคู่นั้นเหมือนกำลังพูดว่า “ในใจนายมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาเถอะ”

“นายอย่าได้คิดจะกอบกู้ผลการเรียนที่เหลวแหลกของฉันเลย เวลาสอบนายอาศัยความสามารถ เฉินชิงเหม่ยเพื่อนตั้งแต่เด็กของฉันอาศัยสายตา ส่วนฉันอาศัยจินตนาการ”

“มีจินตนาการก็ดีเลยสิ อย่างเช่นเรขาคณิต ก็อาศัยจินตนาการไม่ใช่เหรอ?”

เย่หลินยกมือขึ้นมาขยี้ศีรษะของเซี่ยจื้อ

เซี่ยจื้อหลบทันที นึกถึงตอนที่เย่หลินเข้ามาคุยกับเฉินฟางหัวแล้วเรียกเขาว่า “เด็กผู้ชายม.หก” ขึ้นมาได้

ในใจของเย่หลินคงจะเดาว่าเซี่ยจื้อเป็นแค่เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมละมั้ง!

แต่ว่าเย่หลินไม่โกรธเลยสักนิด ยื่นมือมากดศีรษะของเซี่ยจื้อเบาๆ หมุนให้หน้าของเซี่ยจื้อหันมาทางเขา

เซี่ยจื้อถึงได้รู้ว่าอีกมือของเย่หลินกำลังเท้าคางอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ แต่ก้นบึ้งนัยน์ตาที่มองสบกันกลับอบอุ่นอ่อนโยน

แต่นี่ก็ไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้เซี่ยจื้ออ่อนลงได้หรอกนะ

“เย่หลิน ทุกคนต่างก็มีสิ่งที่ตนเองถนัด อย่างนาย สิ่งที่นายถนัดก็คือการว่ายน้ำ ไม่ใช่การมาสอนฉันทำข้อสอบ ฉันรู้นายจะบอกฉันว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เพียงแค่ขยันก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหากขยันแล้วมีประโยชน์จริง ม.Q ก็คงระเบิดไปนานแล้ว”

เซี่ยจื้อหน้าตาย น้ำเสียงเหินห่างอย่างเห็นได้ชัด

แต่เย่หลินกลับยิ้มตั้งใจฟังอยู่ตลอด ไม่ได้เอ่ยปากแย้งเขาเลย

“เพราะฉะนั้นนายเคยคิดไหมว่า ถ้าขยันแล้วก็ยังล้มเหลว แบบนี้นายจะใช้ข้ออ้างอะไรมาเป็นผักชีโรยหน้าอีก? ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ใช่พวกที่จะสอบเข้ามหา’ลัยได้ การว่ายน้ำทำให้ฉันมีความสุขมากกว่าการเรียน แล้วก็ทำให้ฉันมีความรู้สึกภาคภูมิใจมากกว่าด้วย ถ้านายจะมาเป็นติวเตอร์ให้ฉัน ยังไม่สู้ไปทำงานเปลี่ยนความคิดคุณนายเฉินฟางหัวหน่อยจะดีกว่า ให้ฉันสอบเข้าวิทยาลัยพละแทน”

เย่หลินยังคงยิ้มอยู่ ราวกับว่าคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเซี่ยจื้อทำร้ายเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่อาจทำให้เขาหวั่นไหวได้ด้วยเช่นกัน

“อือ ฉันเข้าใจแล้ว” ในที่สุดเย่หลินก็ลุกขึ้น

เซี่ยจื้อไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ชั่วขณะนั้นเซี่ยจื้อรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง——เย่หลินมีท่าทีไม่ยี่หระเกินไปแล้ว

แต่ตอนที่เซี่ยจื้อคิดว่าเย่หลินกำลังจะออกไปจากห้องนั้น อีกฝ่ายกลับเกี่ยวคอเสื้อของเซี่ยจื้อไว้ นิ้วมือของเย่หลินสัมผัสโดนท้ายทอยของเซี่ยจื้อ ราวกับจงใจจะแตะโดนตัวเขาให้ได้สักที

“ทำอะไร?”

“นายออกไปทำอะไรกับฉันอย่างหนึ่งสิ ถ้านายทำได้ ฉันจะเลิกเป็นติวเตอร์ของนาย แล้วจะช่วยกล่อมแม่นายให้ท่านอนุญาตให้นายสอบเข้าวิทยาลัยพละด้วย”

เซี่ยจื้อมองตาเย่หลิน ไม่รู้เลยว่าเจ้าหมอนี่กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่

“นายหลอกฉันเล่น?” เซี่ยจื้อขมวดคิ้ว

“ฉันไม่ได้หลอกนาย” เย่หลินสอดมือเข้ากระเป๋ากางเกง เดินถอยหลังพลางมองตาเซี่ยจื้อ “ฉันแค่อยากพิสูจน์สักหน่อยว่าฉันไม่เหมาะจะเป็นติวเตอร์ของนายจริงหรือเปล่า”

“ได้!”

เซี่ยจื้อหยิบเสื้อโค้ทที่พาดไว้บนพนักเก้าอี้ติดมือมา แล้วเดินออกไป

เทียบกับการฟังเหตุผลร้อยแปดจนหูชาแล้ว ไม่สู้ตัดสินใจให้จบเรื่องไปเลยดีกว่า

ยังดีที่เฉินฟางหัวกลับโรงพยาบาลไปเข้าเวรดึกแล้ว ไม่เช่นนั้นเซี่ยจื้อก็คงจะต้องอธิบายเหตุผลกับองค์ไทเฮาอีกเป็นนานสองนาน

มาถึงหน้าประตูหมู่บ้าน เย่หลินยกมือขึ้นมาโบกแท็กซี่คันหนึ่ง

“นายจะพาฉันไปไหน?” เซี่ยจื้อตามเย่หลินเข้าไปนั่งแล้วถาม

“พอถึงก็รู้แล้วไม่ใช่หรือไง?”

แสงจากไฟข้างทางแฉลบผ่านใบหน้าของเย่หลินไปทีละดวงๆ จากแสงไฟที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างนี้ทำให้มองเห็นใบหน้าด้านข้างของเย่หลินที่เปลี่ยนสลับไปมาระหว่างความหล่อเหลากับความลึกลับที่ยากจะคาดเดา

รถแท็กซี่มาส่งพวกเขาลงที่ปากถนนจั๋นหลั่น

“ทำไมถึงเป็นที่นี่?”

“ที่นี่ห่างกำลังดี อาหารที่แม่นายทำน่าจะรสชาติไม่แย่เลยสินะ กินไปตั้งเยอะขนาดนั้นไม่ควรขยับตัวย่อยสักหน่อยเหรอ?”

เย่หลินใช้หลังมือตบท้องน้อยของเซี่ยจื้อหนึ่งที จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ ออกตัววิ่งไปข้างหน้า

“นายคิดจะทำอะไรกันแน่!” เซี่ยจื้อวิ่งตามไล่หลังเย่หลินไป

เย่หลินยังคงวิ่งขึ้นหน้าไปต่อเรื่อยๆ ย้อนถามว่า “นายคิดว่าเราเหมือนกำลังทำอะไรกันอยู่ล่ะ?”

ลมยามดึกพัดมา ตวัดเอาปอยผมบนหน้าผากของเย่หลินขึ้น แนวไรผมที่หน้าผากของเขาสวยมาก ทำให้ความดุดันคมปลาบที่มีอยู่เล็กน้อยบนใบหน้าอ่อนโยนลง นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ว่า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอวัยวะบนใบหน้าของเย่หลินโดดเด่นกระทั่งว่ายังเจือด้วยความเป็นบุรุษเพศอย่างเด่นชัด หากแต่มองดูแล้วยังคงสุภาพนุ่มนวลจนทำให้คนยากจะตั้งกำแพงป้องกันได้

ก้นบึ้งนัยน์ตาเขาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม มุมปากที่ยกขึ้นแฝงความซุกซนนิดหน่อยที่ไม่ควรเป็นของเย่หลินเลย

“อบอุ่นร่างกาย?” เซี่ยจื้อกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก

“ในเมื่อรู้ว่าเป็นการอบอุ่นร่างกาย นายยังจะไม่ตั้งใจสักหน่อยเหรอไง?”

เย่หลินเพิ่งจะพูดจบ ก็ทิ้งห่างเซี่ยจื้อไปอีกสามสี่เมตร

“นายคงไม่ได้เรียกแท็กซี่ให้ขับมาไกลๆ แล้วค่อยวิ่งกลับไปหรอกนะ?”

“ถูกต้อง——”

เย่หลินตอบเต็มปากเต็มคำ

“ถูกต้อง” ห่าไรเนี่ย นายรวยมากจนไม่ถลุงเงินแล้วจะตายเหรอ! 

พอเห็นแขนของเขาขยับแกว่งสลับหน้าหลัง แนวกล้ามเนื้อที่ไหล่และแผ่นหลังเผยความแข็งแกร่งออกมา เซี่ยจื้อก็มั่นใจแล้วว่าเขาเอาจริง 

แสงจากไฟข้างทาง รถยนต์ที่วิ่งขวักไขว่ เสียงของผู้คนที่สัญจรไปมา กลบทับเขาไปราวกับสายน้ำ เขากำลังจะแผ่ขยายร่างกาย ว่ายไปยังสถานที่ในโลกนี้ที่สายตาของเซี่ยจื้อไล่ตามไปไม่ถึง เซี่ยจื้อเร่งฝีเท้า ไล่ตามไป

เขารู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมานิดๆ

“นายคงไม่ได้จะแข่งว่ายน้ำกับฉันหรอกใช่ไหม? เราไม่ได้เอาอะไรมาเลย จะแก้ผ้าว่ายหรือไง?”

เย่หลินหรี่ตาทำเหมือนว่ากำลังคิดถึงปัญหานี้อยู่

“จุๆ…ความคิดดีนี่! งั้นฉันดูอยู่ริมสระได้ไหม?”

เซี่ยจื้อรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าขึ้นมาทันที

เย่หลินต้องเตรียมตัวมาแล้วแน่ๆ

พวกเขาวิ่งไปยี่สิบนาที ตัวมีเหงื่อออกนิดหน่อย ในที่สุดก็มาถึงสระว่ายน้ำของมณฑล “ที่นี่? ที่นี่สองทุ่มก็ปิดแล้ว!”

เย่หลินเสยผมที่ปรกหน้าไปด้านหลัง ยิ้มกล่าว “ก็ต้องเข้ามาหลังปิดสิ ถึงจะไม่มีคนมารบกวนพวกเราไง”

พอเย่หลินปล่อยมือลงมา ผมก็กลับมายุ่งเหมือนเดิม สายตาที่มองไปที่เซี่ยจื้อมีแววพยศขึ้นมานิดหน่อย เซี่ยจื้อรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ คาดหวังกับการประลองสนามนี้ขึ้นมา 

“นายจะเข้าไปยังไง?” เซี่ยจื้อสอดมือเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเชิดหน้า

“นายถนัดเรื่องปีนข้ามกำแพงไม่ใช่เหรอ?”

“ปีนกำแพง?”

นี่คือเย่หลินเหรอ? นักเรียนตัวอย่างในตำนาน แบบอย่างผู้สมบูรณ์แบบในสายตาของอาจารย์…นึกไม่ถึงว่าเขาจะปีนกำแพงพาเซี่ยจื้อเข้าไปว่ายน้ำ?

แล้วในขณะนี้ ประตูเหล็กของสระว่ายน้ำประจำมณฑลก็เปิดออก เด็กหนุ่มในชุดออกกำลังกายคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น ตะโกนออกมาว่า “พี่หลิน ผมรอพี่ตั้งนาน นึกว่าพี่จะไม่มาซะแล้ว!”

จู่ๆ เย่หลินก็ยื่นมือออกมากดที่คอของเซี่ยจื้อ “ถ้าเจ้านี่เป็นเด็กดี ฉันก็คงไม่ต้องมาแล้ว”

ที่แท้ที่นี่ก็มีคนรู้จักของเย่หลิน ที่คอยช่วยเปิดทางไว้ให้พวกเขา

ยังจะมาปีนกำแพงอะไรกัน ขี้จุ๊ชัดๆ

“เราไม่ได้เอากางเกงกับแว่นว่ายน้ำมา ที่นายมีไหม?”

“มีสิ จะเอาของถูกหรือของแพง?”

“ของถูก ยังไงก็ใช้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวอยู่แล้ว”

“งั้นได้ พวกพี่ก็อย่าว่ายหนักไปล่ะ เกิดขาดขึ้นมา?”

เซี่ยจื้อกับเย่หลินเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกัน เย่หลินหันหลังให้เซี่ยจื้อ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกสองเม็ด แล้วถอดเสื้อเชิ้ตกับเสื้อไหมพรมแขนยาวออกมาพร้อมกันอย่างคล่องแคล่ว

บ่าและแผ่นหลังเปี่ยมกำลังของเย่หลิน ก็ทำให้เขารู้สึกถึงแรงคุกคามได้แล้ว

รูปร่างของเย่หลินไม่ได้โอเวอร์เกินไปขนาดนักเพาะกายอะไรนั่น

กล้ามเนื้อของเขาโอบกระชับกระดูกแน่น เป็นคมมีดที่ซ่อนอยู่ในฝักดาบ เป็นความแข็งแกร่งที่ซุกซ่อนเรี่ยวแรงอันมหาศาลไว้

“น่ามองไหม?” เย่หลินหันหน้ามาถาม

“น่ามองไม่น่ามองตัวนายเองไม่รู้หรือไง?”

แน่นอนว่าน่ามองอยู่แล้ว นั่นเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์แบบที่สุดของนักกีฬาแล้วละ

เซี่ยจื้อย่อตัวลง ยกเท้าข้างหนึ่งวางบนม้านั่งยาวปลดเชือกผูกรองเท้าออก เสื้อผ้าเลิกขึ้นมาตามท่าทางของเขา ท่ามกลางเงามืด ราวกับจะเห็นกล้ามเนื้อที่ส่วนเอวได้ แต่ก็มองไม่เห็นอะไรอยู่ดี

เห็นชัดๆ ว่าเขาคิดอยากจะแกล้งเด็กผู้ชายคนนี้สักหน่อย แต่ตอนนี้คนที่ทำอะไรไม่คิดกลับกลายเป็นตนเองเสียได้

“นายเคยคิดทำเรื่องไม่ดีในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเปล่า?” เย่หลินนั่งลงมองเซี่ยจื้อจากมุมนี้ เห็นขนตาของเขาหลุบลงเล็กน้อย ให้ความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูอยู่บ้าง

“เช่นว่าเอาเสื้อผ้าที่คนอื่นไม่ได้ล็อกเก็บไว้ในตู้ไปซ่อนเหรอ?” เซี่ยจื้อเงยหน้าขึ้นมาแล้วลองคิดดู

“เลวร้ายกว่านั้นอีก”

“ขอโทษด้วย ความจนจำกัดจินตนาการของฉัน” เซี่ยจื้อก็ยังสงสัยนิดหน่อยอยู่ดีว่า คนอย่างเย่หลินนี่จะทำเรื่องเลวร้ายอะไรในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าได้?

“ตู้เก็บของของทีมว่ายน้ำมหา’ลัยกว้างกว่าที่นี่ ยัดคนเข้าไปได้พอดี พอเขาหันหลังให้ฉัน ตอนที่เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องอยากหันกลับมามองฉันอยู่แล้ว ตอนนั้นแนวกล้ามเนื้อลำคอกับสะบักก็จะเกร็งขึ้นมา…น่าดูเป็นพิเศษเลย” 

“…นี่นายจะลอบฆ่าแล้วซ่อนศพด้วยเหรอ? แล้วฉันก็เชื่อด้วยว่าตู้เก็บของของทีมว่ายน้ำมหา’ลัยไม่ได้กว้างไปกว่าที่นี่เท่าไรนักหรอก!” เซี่ยจื้อทำหน้าว่า ‘นายคิดว่าฉันโง่เหรอ’

“ลอบฆ่าซ่อนศพ…ฉันจะจำไว้”

ชั่วขณะนั้นเซี่ยจื้อรู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขากำลังคุยเล่นอยู่กับเย่หลิน เหมือนเล่นมุกตลกอำกันเรื่อยเปื่อยอยู่กับเพื่อนฝูง

เซี่ยจื้อหันตัวกลับมา ถือกางเกงว่ายน้ำราคาห้าหยวนที่ยับยู่ยี่อยู่ในถุงพลาสติกปิดสนิทตัวนั้นอยู่ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากกล่าว “ไอ้นี่คงไม่ขาดจริงหรอกมั้ง?”

ยากจะจินตนาการถึงเสี้ยววินาทีที่มันฉีกขาดได้จริงๆ เพราะภาพที่ปรากฏมันคงจะงามหน้านักเชียวละ เซี่ยจื้อยอมให้ตัวเองจมน้ำตายไปเสียยังจะดีกว่า

“เวลาที่นายอยู่ในการแข่งขัน ถ้ากางเกงว่าน้ำนายขาด นายจะว่ายไปจนจบอย่างสุดตัว หรือว่ารอคนโยนกางเกงตัวใหม่ลงมาให้นายล่ะ?”

ใช่แล้ว นี่ก็คือเย่หลิน ประสบการณ์การแข่งขันอันโชกโชนกับจิตใจอันแข็งแกร่งที่ไม่เห็นเรื่องอื่นใดอยู่ในสายตา

แล้วคนเช่นนี้นี่แหละ คนที่มีสภาพร่างกายจิตใจดีมากขนาดนี้แต่ไม่ยอมกลับไปเข้าทีมว่ายน้ำ กลับวิ่งโร่มาเป็นติวเตอร์ให้เขา มันเสียของขนาดไหนกัน!

ไม่ว่าเย่หลินจะให้แข่งอะไร เซี่ยจื้อก็จะทุ่มสุดกำลัง

เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จอย่างรวดเร็ว แล้วตามไป

ทั้งสระว่ายน้ำเปิดโล่งจนเหมือนจะใหญ่กว่าปกติเป็นเท่าตัว

ช่องว่ายห้าสิบเมตรตามขนาดมาตรฐาน ภายใต้แสงไฟสว่างจ้า เหมือนกำลังรอที่จะถูกทำลายความราบเรียบเงียบสงบอยู่

เย่หลินดึงหมวกว่ายน้ำราคาถูกบนศีรษะตนเองหนึ่งที ครอบแว่นว่ายน้ำที่ราคาเพียงแปดหยวนนั้นลงบนดวงตา อุปกรณ์ชุดนี้หากว่าอยู่ในการแข่งขันปกติต้องดูตลกอย่างแน่นอน แต่รังสีรอบกายเย่หลินทำให้เซี่ยจื้อนึกถึงสมอเรือที่พุ่งลงก้นมหาสมุทรอย่างดุดัน

“ห้าสิบเมตรรอบก่อน นายแพ้ฉัน งั้นวันนี้ฉันจะแข่งกับนายสามรอบ ถ้านายชนะฉันสองรอบ ฉันจะเลิกล้มความตั้งใจเป็นติวเตอร์ให้นาย แล้วจะช่วยนายกล่อมแม่นายด้วย แต่ถ้าหากนายเอาชนะฉันไม่ได้ งั้นก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวหน่อยละกัน”

“ได้!”

เดิมทีแล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่เซี่ยจื้อคาดหวังอยู่เหมือนกัน

เป็นเกียรติที่ได้โคจรมาเจอกับเย่หลินในสนามแข่ง

แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะได้ประลองกันในสนามสอบ

แม้ว่าเซี่ยจื้ออยากจะพูดมากว่าถ้าหากฉันชนะ ก็เชิญนายไสหัวกลับทีมว่ายน้ำไป

แต่จะว่ายน้ำต่อไปหรือไม่นั้น หรือมีสภาพจิตใจอย่างไรไปว่ายน้ำ นั่นก็เป็นการเลือกของเย่หลินเอง เซี่ยจื้อรู้ว่าตนเองจะไปควบคุมสั่งการอะไรเขาไม่ได้หรอก ดังนั้นหากยื่นข้อเสนอเช่นนั้นออกไป ก็มีแต่จะทำให้เย่หลินเผยสีหน้าที่เซี่ยจื้อไม่ชอบออกมาอีก——รอยยิ้มที่ผู้ใหญ่มองเด็ก

“วันนี้รอบแรก——หนึ่งร้อยเมตร พร้อมหรือยัง!” เย่หลินถาม

โทรศัพท์มือถือของเย่หลินวางอยู่ด้านหลังของพวกเขา ตั้งเวลาไว้เรียบร้อยที่สิบวินาที 

เซี่ยจื้อไม่ได้ตอบเย่หลิน แต่เตรียมตั้งท่าออกตัวไว้พร้อมแล้ว

ความรู้สึกนึกคิดที่ขึ้นๆ ลงๆ ทั้งหมดปล่อยโล่งไปในชั่วขณะนั้น ตาของเซี่ยจื้อมีเพียงผืนน้ำตรงหน้านี้เท่านั้น

ทว่าเย่หลินกลับหันหน้ามามองเซี่ยจื้อแวบหนึ่ง

แม้ว่าเขามักจะเอาแต่เรียกเซี่ยจื้อว่า “เด็กน้อย เด็กน้อย” หากแต่ใบหน้าด้านข้างที่มุ่งมั่นของเซี่ยจื้อในเวลานี้กับรังสีบางอย่างที่ควบแน่นไปทั่วทั้งตัว นั่นไม่ใช่ความหัวแข็งดึงดันแบบเด็กหนุ่มอีกต่อไป หากแต่เป็นเส้นสายอันคมปลาบ เป็นลำแสงเย็นที่พุ่งเข้าใส่ดาวเคราะห์ได้ตลอดเวลา

“เย่หลิน สมาธิ” เซี่ยจื้อเอ่ยปากเรียบเฉย

ภายในบริเวณสระที่กว้างโล่งนี้ น้ำเสียงของเซี่ยจื้อเจือด้วยสัมผัสเย็นเยือก เสี้ยววินาทีที่แตะสัมผัสกับเส้นประสาทของเย่หลิน ในลำคอของเขาก็ราวกับมีคบไฟลุกโชน ลำคอแห้งผากขึ้นมาทันที

วินาทีที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เซี่ยจื้อก็ออกตัวกระโจน เย่หลินตามเขาไปตามสัญชาตญาณ สองคนกระโจนลงน้ำไป

สิบเมตรแรก เซี่ยจื้อนำอยู่นิดหน่อย

เบื้องหน้าคือผิวน้ำสีน้ำเงินส่องประกายกับฟองอากาศนับไม่ถ้วนที่แผ่กระจายออกมาทุกทิศทุกทาง ร่างกายของเซี่ยจื้อลื่นไหลลงไปในน้ำ ตอนที่เขาคลื่อนตัวมุ่งไปตรงไปข้างหน้า กระแสน้ำก็วาดเค้าโครงลายเส้นเป็นรูปร่างในทุกครั้งที่เขาออกแรง ราวกับการเชื้อเชิญอันไร้สุ้มเสียง

เห็นชัดว่าเย่หลินไม่ได้มีความคิดจะออมแรงมากนัก ห้าสิบเมตรแรกก็ออกแรงเต็มที่แล้ว

ในน้ำประสาทสัมผัสของเย่หลินแผ่ขยายไร้ที่สิ้นสุด ถูกลากดึงไปตามเซี่ยจื้อที่ช่องว่ายด้านข้างไปจนหมด

เอาอีกแล้วเหรอ…เพียงแค่เด็กผู้ชายคนนั้นเริ่มว่ายน้ำ ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของตนก็จะถูกเขาบังคับพาเอาไป

เย่หลินพยายามดิ้นรนเพื่อสลัดให้หลุดจากความรู้สึกที่ถูกดึงดูดเช่นนี้ หากแต่ในขณะเดียวกัน ใจของเขาก็ราวกับเสพติดไปเสียอย่างนั้น อดที่จะไปสัมผัสรับรู้เด็กผู้ชายคนนั้นไม่ได้

การวาดแขนและออกแรงทุกครั้งของเซี่ยจื้อ ราวกับวาดว่ายอยู่ภายในกระแสเลือดของเย่หลิน ยิ่งเซี่ยจื้อไล่ตามติดมาอย่างดุดันด้วยความไม่ยอมแพ้ด้วยแล้ว เหมือนว่าหากงับคอเย่หลินไม่ได้ก็จะไม่เลิกราอย่างไรอย่างนั้น เช่นนี้เย่หลินก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าการมีอยู่ของเซี่ยจื้อเหมือนกับพละกำลังอย่างหนึ่งที่เปี่ยมพลังชีวิตที่พลุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดของเขา 

ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งดำดิ่งลงน้ำ จนถึงตอนนี้ที่พวกเขากลับตัวรอบแรกเรียบร้อยแล้ว พละกำลังสายนี้ก็ยิ่งฮึกเหิมขึ้นมา จุดระเบิดอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในร่างกายของเย่หลินอยู่ตลอดเวลา

เซี่ยจื้อนึกไม่ถึงเลยว่า ความเร็วที่เหมือนจะฆ่าตัวตายได้ของเย่หลินในช่วงครึ่งแรก มาถึงช่วงครึ่งหลังแล้วก็ยังสามารถแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ ที่ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกก็คือ เจ้าหมอนี่ยังเร่งความเร็วอีกต่างหาก!

หากเป็นนักกีฬาธรรมดาทั่วไป เกรงว่าคงถูกความแข็งแกร่งในน้ำของเย่หลินบดขยี้ไปแล้ว หากแต่นี่คือเซี่ยจื้อที่ต่อให้ตามอยู่หลังเขาก็ยังรู้สึกดีเหลือเกิน ทุ่มสุดกำลังกระทั่งว่าปอดแทบจะระเบิดก็ยังรู้สึกดี!

จังหวะที่สอดประสานไปกับน้ำที่ช่องว่ายด้านข้างก็ทำให้รู้สึกดีเช่นกัน!

การโถมกำลังที่ราวกับจะพุ่งไปแตะขอบฟ้าในวินาทีสุดท้ายนั้น…ราวกับความบ้าคลั่งที่จะพุ่งไปยังอีกโลกหนึ่ง รู้สึกดีอะไรขนาดนี้!

สองคนที่ว่ายหนึ่งร้อยเมตรเสร็จสำเร็จกำลังออกแรงสูดหายใจ เหมือนอากาศเกือบจะไม่พอแล้วเสียอย่างนั้น

เซี่ยจื้อหันหน้ามาก็เห็นเย่หลินใช้มือเดียวยันขอบสระไว้ แหงนหน้าขึ้นน้อยๆ

เย่หลินภายใต้แสงไฟ คราบน้ำบนใบหน้าหักเหสะท้อนออกมาเป็นสีสันแวววาวที่แตกต่างออกไป

เซี่ยจื้อจินตนาการขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไปว่า ในการแข่งขันรายการใหญ่ที่มียอดฝีมือมากมายเต็มไปหมดนั้น เย่หลินที่คว้าชัยได้ในที่สุดจะมีสีหน้าท่าทางแบบนี้ด้วยหรือไม่

จนเมื่อลมหายใจค่อยๆ ราบเรียบ เย่หลินกลับได้ยินเสียงบางอย่างแผดร้องคำรามอยู่ในช่องอกของตนไม่หยุดหย่อน

ครั้งนี้ไม่ใช่ห้าสิบเมตร…แต่เป็นหนึ่งร้อยเมตร

เขาว่ายหนึ่งร้อยเมตรได้สำเร็จเสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งยังมั่นใจด้วยว่า ผลงานหนึ่งร้อยเมตรนี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะดีกว่าครั้งไหนๆ เลยด้วยซ้ำ แต่ว่า…เขาไม่ได้ถอดจิต จิตวิญญาณของเขาไม่ได้ลอยล่องไปยังสถานที่อันสับสนวุ่นวายที่ไม่อาจควบคุมได้

ไม่…ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ถอดจิต หากแต่ตั้งแต่เซี่ยจื้อลงน้ำเป็นต้นมา สมองของเขาก็ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยแม้แต่เศษเสี้ยว

เซี่ยจื้อครอบงำจิตวิญญาณของเขาไปทั้งหมด

“ฉันแพ้แล้ว ถือว่านายเก่ง” 

เด็กผู้ชายตรงหน้าทำหน้าตาน่าหมั่นไส้

จู่ๆ เย่หลินก็อยากจะดึงแว่นตาว่ายน้ำของเขาลงมา ภายใต้พลาสติกคุณภาพต่ำนั่น ดวงตาคู่นั้นจะเป็นอย่างไรกันแน่?

“ของห่วยแตกอะไรกันเนี่ย…น้ำซึมเข้ามาแล้ว…”

เซี่ยจื้อดึงแว่นตาว่ายน้ำออกดังสวบ แล้วเทน้ำด้านในออก

หมวกว่ายน้ำของเขาจึงหลุดตามออกมาด้วย มันลอยอยู่บนผิวน้ำ ปอยผมของเขาชี้โด่เด่ขึ้นมา เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นหน้าผากที่มีความไร้เดียงสาซุกซนแบบเด็กๆ แต่ก็กลับมีดั้งจมูกอันหล่อเหลา เป็นลักษณะที่อยู่ระหว่างเด็กหนุ่มกับชายหนุ่ม

เย่หลินคว้าเอาหมวกว่ายน้ำของเซี่ยจื้อขึ้นมาแล้วยกทุ่นสระขึ้น เข้ามาถึงข้างตัวเขา

เซี่ยจื้อสัมผัสได้ว่าเย่หลินเข้ามาใกล้ ก็เหลือบตาขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว มือของเย่หลินยื่นมา เสยผมของเซี่ยจื้อไปด้านหลัง 

เย่หลินออกแรงที่นิ้วมืออยู่บ้าง กระทั่งว่าใบหน้าของเขายังไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด

นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยจื้อเห็นสีหน้าของเขาตอนที่ไม่มีรอยยิ้มใดๆ เลย

ความรู้สึกอันตรายอย่างน่าประหลาดจู่โจมเข้ามาหา เซี่ยจื้อถอยหลังโดยไม่รู้ตัว หากแต่เย่หลินกลับใช้มือตรึงท้ายทอยของเขาเอาไว้แล้วดึงเขามาด้านหน้า

“อย่าขยับ”

เพียงสองคำแต่กลับหนักแน่นอย่างหาได้ยากนัก

เหมือนเป็นการเตือน แล้วก็เหมือนล่อลวงไปพร้อมกัน

เซี่ยจื้อไม่ได้ขยับ กระทั่งเย่หลินจะใส่หมวกว่ายน้ำให้เขา

เขาอยากจะหลบสายตา แต่ไม่รู้ว่าทำไม สายตาของเขากลับไม่อาจละจากดวงตาของเย่หลินได้

เย่หลินในเวลานี้มีอำนาจอย่างหนึ่ง ทำให้คนศิโรราบอย่างยากจะอธิบายได้

สายตาของเย่หลินเปลี่ยนมาร้อนลวกโดยไม่รู้ตัว

เซี่ยจื้อยื่นมือไปดึงขยับหมวกว่ายน้ำของตัวเองแล้วเบนหน้าหนี “ฉันใส่เองได้!”

จากนั้นเย่หลินก็ยิ้มออกมา “นายเก่งมากเลยนะ เกือบทำให้ฉันขาดใจเลย”

แล้วในฉับพลันนั้นบรรยากาศที่ชวนอึดอัดก็เคลื่อนไหว เซี่ยจื้อตอบกลับไปว่า “งั้นนายก็ขาดใจให้ฉันดูสักหน่อยสิ”

“ได้สิ หนึ่งร้อยเมตรนายแพ้แล้ว งั้นต่อไปเรามาแข่งสี่ร้อยเมตร” เย่หลินยันกายขึ้นจากสระ

เสี้ยววินาทีนั้น แนวกล้ามเนื้อแผ่นหลังที่เป็นเส้นลื่นไหลก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเซี่ยจื้อ

เซี่ยจื้อส่งเสียงหึเบาๆ

“นายหึอะไร?” เย่หลินพอขึ้นจากสระมาก็กดศีรษะเซี่ยจื้อไปทีหนึ่ง

“นายน่ะอาศัยหน้าตาสุภาพเป็นคนดีหลอกคนใช่ไหมล่ะ”

“ใช่สิ ถ้าจะต่อยตีกันขึ้นมาจริงๆ นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ฉันแน่” เย่หลินกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ 

“เหอๆ ไม่อย่างนั้นรอบหน้าไม่แข่งว่ายน้ำแล้ว มาต่อยกันไหม?” เซี่ยจื้อเอียงคอเชิดหน้า

ท่าทางอวดดีนั่น ทำให้คนอยากแกล้งเขาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เย่หลินยิ้ม

“ฉันจะต่อยใครในโลกนี้ก็ได้ แต่ว่าฉันไม่มีทางต่อยนายหรอก” เย่หลินตอบ

“เย่หลิน นายวอนโดนต่อยเหรอ?” เซี่ยจื้อหรี่ตา เขารู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาบ้างแล้ว

“เป็นอะไรไป?”

“ฉันเป็นผู้หญิงหรือเด็กเล็กเหรอ?”

“นายสำคัญกว่าผู้หญิงหรือเด็กเล็กมาก”

เย่หลินยิ้มออกมาราวกับจะโอบรับทุกความร้ายกาจของเซี่ยจื้อไว้ ทำให้เซี่ยจื้ออยากจะ “หาเรื่อง” แต่ก็ทำไม่ได้

“สี่ร้อยเมตร ได้เลย——กรุณาจำไว้ด้วยว่าต้องออมแรง อย่ามาว่ายไม่ไหวตอนห้าสิบ เมตรสุดท้ายล่ะ”

เซี่ยจื้อยกมุมปาก แล้วก็ยกแขนขึ้น นิ้วมือของเขาสอดประสานกันอยู่เหนือศีรษะ ยืดเส้นยืดสาย

ร่างกายก็หดเกร็งขึ้นมาในทันที 

เย่หลินที่เดิมทีนั่งอยู่ริมสระรู้สึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาสักมวน เขาจำเป็นต้องอาศัยบุหรี่ เพื่อทำให้อากาศที่ร้อนผ่าวในจิตใจ ในลำคอของตนลุกโชนขึ้นมา 

แต่ว่าบุหรี่ไม่ได้อยู่ใกล้ตัวเขา


 

ผ่านไปยี่สิบนาที สองคนที่ปรับจังหวะการหายใจและเรี่ยวแรงเรียบร้อยแล้วก็มายืนบนแท่นออกตัวอีกครั้ง

เซี่ยจื้อสะบัดขาตัวเองตามใจชอบ ยิ้มกล่าว “อันที่จริง ถ้านายอยากเป็นติวเตอร์ฉันขนาดนั้น ไม่ต้องยุ่งยากนักหรอก”

“อ้อ? งั้นเหรอ?”

“ว่ายน้ำกับฉันทุกอาทิตย์แบบนี้ก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”

นายสบายใจ ฉันสบายใจ ทุกคนสบายใจ!

“แบบนั้นไม่ได้หรอก” เย่หลินขยับปรับแว่นว่ายน้ำ

“มีอะไรไม่ได้?”

“ฉันกลัวฉันจะทำเรื่องไม่ดีในน้ำ”

“ฮะ?” เซี่ยจื้อคิ้วตาขมวดเข้าหากัน

เย่หลินไม่ได้ตอบเขา แต่แค่ย่อตัวลงมาพูดว่า “เตรียมตัวให้ดี ถ้าสี่ร้อยเมตรยังชนะฉันไม่ได้ นายก็ไม่มีโอกาสแล้ว”

เซี่ยจื้อรีบขจัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวทันที ย่อตัวลง

เสี้ยววินาทีที่เสียงโทรศัพท์มือถือดัง สองคนก็ออกตัวพร้อมกัน กระโจนไปกลางอากาศ ลงน้ำไป

เซี่ยจื้อชื่นชอบความรู้สึกที่ได้ว่ายน้ำกับเย่หลินแบบนี้เหลือเกิน

ตอนเด็กๆ พ่อของเขาราวกับเทพ ไม่ว่าจะไล่ตามอย่างไร พ่อก็ว่ายอยู่ข้างหน้าเสมอ กระทั่งยังมีช่องว่างให้เล่นสกปรก หันตัวกลับมาขวางหน้าเซี่ยจื้อไว้ได้อีกด้วย

แต่หลังพ่อจากไปแล้ว การว่ายน้ำก็กลายมาเป็นเรื่องของเซี่ยจื้อเพียงคนเดียว

ไม่ว่าเขาจะว่ายเร็วแค่ไหน คู่แข่งข้างหน้าที่อยู่ในจินตนาการนั้นก็เป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น

แต่เย่หลินในตอนนี้เวลานี้ ฟองอากาศที่เขาแหวกกระเซ็นขึ้นมานั้นเป็นของจริง ความเร็วของเขาก็เป็นของจริง ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาล้วนเป็นของจริง

เหมือนปลาตัวหนึ่ง ที่ได้เจอกับปลาอีกตัวในที่สุด

การฮุบเอาอากาศของเซี่ยจื้อก็มีความหมายไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal