(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน สู่ฝันที่มีฉันคุณโลมา เล่ม 1

Tuesday

บทที่ 7

ตื่นขึ้นมาเช้าวันที่สอง เซี่ยจื้อก็วิ่งจ๊อกกิ้งไปที่อควาเรียมโลมา นับว่าเป็นการออกกำลังกายและอบอุ่นร่างกายก่อนลงน้ำ

เขาทักทายเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ตอนที่เปลี่ยนชุดว่ายน้ำ ได้เจอกับพี่หมิงที่เป็นเจ้าหน้าที่ให้อาหารโลมาพอดี

สองคนพูดคุยกันถึงเจ้าโลมาน้อย

“ดร.ฉู่เคยบอกกับนายแล้วใช่ไหมว่า โลมาเป็นสัตว์ที่มีอารมณ์ความรู้สึกมากมายแล้วก็ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มาก”

“อือ บอกแล้วครับ” เซี่ยจื้อพยักหน้า

“เมื่อก่อนนี้ผีผี่ก็ชอบเล่นกับคนมากเหมือนกัน ซ้ำยังติดคนมากด้วย ตอนที่มันชอบนายก็จะใช้ทุกวิถีทางมาประจบเอาใจนาย รั้งนายไว้ให้อยู่กับมัน แต่หลังจากที่เล่อเล่อถูกเอาตัวไป มันก็เปลี่ยนไป”

“มันกำลังประท้วงอยู่ไหมครับ? เหมือนว่าอยากให้เล่อเล่อกลับมาอะไรทำนองนี้น่ะ…”

พี่หมิงส่ายหน้า “ฉันเป็นคนเลี้ยงเจ้านี่มา อันที่จริงแล้วความคิดของมันก็ไม่ได้แตกต่างจากคนเรามากนักหรอก มันคงผิดหวังละมั้ง เมื่อก่อนมันคิดว่าตัวมันกับมนุษย์เท่าเทียมกัน แต่ตอนที่รู้ว่ามนุษย์พาเพื่อนมันไปตามใจชอบโดยไม่สนใจว่าเต็มใจหรือเปล่านั้น ในที่สุดมันก็รู้ว่าตัวมันกับมนุษย์ไม่ได้เท่าเทียมกัน”

เซี่ยจื้อขยับปรับหมวกกับแว่นตาว่ายน้ำของตัวเองอยู่ด้านข้าง ชั่วขณะนั้นราวกับเขาจะเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผีผี่ได้

ก็เหมือนระหว่างตัวเขากับเย่หลิน เมื่อก่อนตอนที่ดูวิดีโอบันทึกการแข่งขันของเย่หลิน เขายังคิดว่าต้องมีสักวันที่ตัวเองจะกลายเป็นนักกีฬาว่ายน้ำที่ยอดเยี่ยมเหมือนอย่างเย่หลินได้ หากแต่จากการประลองกับเย่หลินในวันนั้น จู่ๆ เซี่ยจื้อก็รู้ตัวว่า คนคนนี้เพียงแค่อยู่ในน้ำก็สามารถวาดเส้นแบ่งแดนที่มองไม่เห็นแต่ก็กลับข้ามไปไม่ได้ออกมา

แต่เย่หลินกลับนิ่งเฉยมากกับความสามารถที่ตัวเขาครอบครองอยู่

“อดทนกับผีผี่สักหน่อย”

“อือ รู้แล้วครับ วางใจเถอะครับ พี่หมิง”

เซี่ยจื้อสวมแว่นตาว่ายน้ำอันใหม่นั่น แล้วมาที่ข้างสระน้ำ

โลมาน้อยตัวนั้นก็หยุดอยู่ที่ตรงนั้น ท่าทางไม่ร่าเริงเลยแม้แต่น้อย ข้างตัวมันมีลูกบอลสีส้มเล็กๆ ลูกหนึ่งลอยอยู่ กระทั่งจะแตะมันก็ยังไม่คิดจะแตะลูกบอลนั้นเลย

“เจ้านี่แกล้งทำเป็นซึมเศร้าอีกแล้ว?”

เซี่ยจื้อยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์หนึ่งที แล้วทำท่าโค้งตัวกระโดดน้ำ เขากระโจนดำดิ่งลงน้ำไปด้วยองศาโค้งอย่างลื่นไหล

ตามคาดเจ้าโลมาน้อยตัวนั้นตกใจไม่ทันตั้งตัว สะบัดหางเอ้อระเหยมาที่อีกฝั่งของสระน้ำ เซี่ยจื้อตามมันไป โลมาน้อยหันตัวกลับมาดูท่าจะโมโหมาก จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาชนเซี่ยจื้อ

เซี่ยจื้อเบี่ยงตัวเกือบหลบไม่ทัน เจ้านั่นก็หันหัวไปที่อีกฝั่งของสระน้ำ

รู้สึกเหมือนขีดเส้นแบ่งแดนกันอย่างไรอย่างนั้น ฝั่งนี้เป็นของฉัน นั่นเป็นของนาย เราต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องมายุ่งกัน

แต่งานของเซี่ยจื้อคือการมาเล่นเป็นเพื่อนมันนี่นา เขาต้องทำให้มันขยับตัวมาหาเขาตรงนี้

อัตราความเร็วในการว่ายของโลมานั้นเร็วมาก เซี่ยจื้อรู้ว่าตัวเองไล่ตามมันไม่ทันแน่ จึงแสร้งทำเป็นอยู่นิ่งๆ คอยอยู่ในสระที่อีกฝั่ง โลมาน้อยสงบลงแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะนอนแล้วใช่หรือไม่ หรือว่ากำลังคิดถึงเล่อเล่อเพื่อนตัวน้อยของมันอยู่

จู่ๆ เซี่ยจื้อก็ออกแรงว่ายไปทางมัน กระแสน้ำถูกแหวกออก เขาใช้ความเร็วระดับโหมแรงพุ่งตัวสิบเมตรสุดท้ายเพื่อว่ายไปหามัน

ครั้งนี้โลมาน้อยไม่ได้หลบ แต่หันตัวกลับมาใช้ส่วนปากเล็งมาที่เซี่ยจื้อ ราวกับจะชนเซี่ยจื้อที่บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของมันหัวร้างข้างแตกไปเลย

แล้วในเวลานี้เอง จู่ๆ เซี่ยจื้อก็ลดความเร็วลงกะทันหัน ส่ายส่วนเอวและขาของตัวเองราวกับเป็นโลมาอีกตัวว่ายมาที่ข้างตัวมัน โลมาน้อยเดิมทีคิดจะชนเขาเต็มแรง แต่เพราะตัวมันเองได้รับการเลี้ยงโดยมนุษย์จึงไม่เคยคิดจะทำร้ายคน เพียงแต่คิดจะขู่เซี่ยจื้อนิดหน่อยเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่ได้ใช้แรงมากนัก

เซี่ยจื้อปฏิกิริยาว่องไวเบี่ยงตัวหลบมันไปได้อีกครั้ง ทว่าในขณะที่มันกำลังจะเฉียดผ่านตัวเขาไปนั้น ก็คว้าตัวมันมากอดเอาไว้

ตัวมันนุ่มลื่นมาก สะบัดหนีจากเซี่ยจื้อได้อย่างสบายๆ ซ้ำยังใช้หางตีเซี่ยจื้อด้วยทีหนึ่ง

เซี่ยจื้อนอนพักครู่หนึ่งบนผิวน้ำ เจ้าตัวเล็กนี่ จัดการยากจริงๆ

เซี่ยจื้อพอฟื้นกำลังกลับมาได้แล้ว ก็ว่ายเข้าไปหาโลมาน้อยอีกครั้ง อีกฝ่ายก็จะหลบหลีกได้ทุกครั้งไป 

โลมาน้อยหมดความอดทนลงเรื่อยๆ แล้ว มันเตรียมพร้อมจะพุ่งมาหาเซี่ยจื้อเต็มกำลัง

เสี้ยววินาทีนั้น เซี่ยจื้อสัมผัสได้ถึงพละกำลังที่มันแหวกกระแสน้ำมา โลมาเป็นสัตว์น้ำที่สามารถล้อมโจมตีฉลามได้ พละกำลังในการพุ่งชนของมันค่อนข้างมากเลยทีเดียว

แทบไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดเลย สัญชาตญาณของเซี่ยจื้อบอกว่าเขาควรจะเบี่ยงหลบไป หากแต่ชั่วขณะนั้นเขากลับมองเห็นความโดดเดี่ยวในดวงตาของมัน

ก็เหมือนกับทุกครั้งที่โดดเรียน เขาจะไปว่ายน้ำอยู่ในสระที่ไม่มีคน

มันครอบครองทั้งผืนน้ำได้ หากแต่ในผืนน้ำก็มีเพียงตัวเองเท่านั้น

เซี่ยจื้อไม่ได้หลบ หากแต่กลับกางสองแขนออกกว้างเหมือนกำลังพูดว่า “ฉันรอแกพุ่งเข้ามาในอ้อมกอดของฉัน”

ความเร็วขนาดนั้น เซี่ยจื้อยังนึกสงสัยว่ากระดูกอกของเขาจะถูกมันชนจนแหลกหรือไม่ หากแต่มันกลับดันเบาๆ ที่สีข้างของเซี่ยจื้อ ว่ายผ่านไปแล้วก็ใช้หลังชนเซี่ยจื้อเบาๆ ทีหนึ่ง

มันโกรธเป็น ผิดหวังเป็น รู้สึกไม่ยุติธรรมเป็น แต่ก็ยังทำร้ายมนุษย์ไม่ลง

โลมาน้อยเกาะอยู่ที่ขอบสระราวกับกำลังพูดว่า “ฉันหลบให้นายแล้ว นายอย่ามาหาเรื่องฉันอีกเลย”

หางเล็กๆ ของมันส่ายสะบัด เมื่อครู่ยังดูก้าวร้าวอยู่เลย แต่ตอนนี้มันกลับดูน่าสงสารจะตายอยู่แล้ว

เซี่ยจื้อว่ายมาที่ข้างตัวมัน มันคิดจะแอบหนีไปอีกแล้ว เซี่ยจื้อยื่นมือออกไปลูบได้เพียงหางของมันเท่านั้น

การเล่นกับโลมานั้นเหนื่อยมาก ยิ่งเล่นกับโลมาตัวหนึ่งที่ไม่อยากเล่นกับมนุษย์นี่ก็ยิ่งเหนื่อย

เซี่ยจื้อว่ายมาที่ขอบสระยันกายขึ้นมานั่งอยู่ที่ขอบสระ มองดูเจ้าตัวเล็กนั่น

“ฉันจะบอกให้นะ ผีผี่…น้าของฉัน น้าแกรู้จักไหม? ก็คือน้องสาวของแม่ไง น้าเป็นนักวิจัยสิ่งมีชีวิตในทะเล ตอนที่ฉันยังเด็กพอปิดเทอมฤดูร้อนทีไร ฉันมักจะตามน้าออกทะเลอยู่บ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งนะ ฉันตกจากเรือของน้าลงไปในน้ำ แม้ว่าฉันจะใส่เสื้อชูชีพอยู่ก็ตาม แต่ว่าน้ำทะเลก็ยังพาฉันลอยออกไปไกลเรื่อยๆ”

เซี่ยจื้อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผีผี่จะเข้าใจที่เขาพูดไหม แต่ว่ามองจากท่าทางของมัน เซี่ยจื้อก็ยังรู้สึกสงสารมันขึ้นมาบ้างอยู่ดี 

“แกลองทายดูว่าตอนหลังเป็นยังไง? มีโลมาน้อยตัวหนึ่งมาช่วยฉันไว้ มันตัวยาวกว่าแกแค่นิดเดียวเองมั้ง…อาจจะยาวสักเท่านี้” เซี่ยจื้อใช้มือทำท่าทางประกอบ “โอ๊ย นานมากแล้ว ฉันก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าตกลงมันตัวยาวแค่ไหนกันแน่ ฉันเกาะอยู่บนหลังของมัน กอดครีบหลังมันไว้ มันส่งฉันกลับมาที่ข้างเรือ ฉันยังจำมันได้อยู่เสมอ”

หางของผีผี่ขยับ ราวกับขยับเข้ามาทางเซี่ยจื้อนิดหน่อย

เซี่ยจื้อพูดต่อไปอีกว่า “แกเคยได้ยินเรื่องเพโลรัส แจ็คหรือเปล่าล่ะ? มันนำทางให้กับเรือที่ชายฝั่งของนิวซีแลนด์ ช่วยให้เรือจำนวนนับไม่ถ้วนแล่นผ่านโขดหินโสโครกไปได้ บรรดาผู้โดยสารกับกะลาสีเรือต่างก็รักมันมาก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากที่มันนำทางให้เรือแล้ว เถ้าแก่เจ้าของเรือกลับใจดำมากยิงปืนทำร้ายมัน คิดจะเอามันไปขายให้กับคณะละครสัตว์”

ผีผี่ที่อยู่ในสระน้ำก็ขยับเข้าใกล้เซี่ยจื้ออีกหน่อย มันเข้ามาอย่างเงียบๆ เซี่ยจื้อมีความรู้สึกอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา มันเข้าใจเรื่องที่เขาเล่า

เซี่ยจื้อกลั้นขำ นี่มันโอ๋เด็กอยู่นี่! เล่นเป็นเพื่อนเด็ก เล่านิทานให้เด็กฟัง เพื่อกล่อมให้เด็กกินข้าวสักคำ

“แจ็คหายตัวไป พวกกะลาสีเรือเศร้าเสียใจมาก ฟ้องร้องเถ้าแก่ใจดำคนนั้น เถ้าแก่ใจดำถูกเนรเทศ เนรเทศแปลว่าอะไรแกเข้าใจไหม? ก็คืออยู่ที่นิวซีแลนด์ต่อไปไม่ได้แล้ว คนทั้งประเทศเกลียดเขากันหมด”

ผีผี่ก็ขยับเข้าใกล้อีกนิด เซี่ยจื้อยิ้ม

“ภายหลังแจ็คที่หายจากอาการบาดเจ็บก็กลับมาอยู่กับพวกกะลาสีเรือ นำทางให้พวกเขาต่อไป นิวซีแลนด์ออกกฎหมายเพื่อแจ็คโดยเฉพาะ ไม่ว่าผู้ใดหากคิดจะทำร้ายแจ็คจะโดนจับจำคุกสิบปี”

ผีผี่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ ก่อนหน้านี้มันยังเอาแต่กลั้นหายใจอยู่ใต้น้ำ ทำให้คนเป็นกังวลว่ามันอาจจะขาดออกซิเจนตายได้

“ต่อมาหลังจากนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่แจ็คไม่ได้มาปรากฏตัวอีกเลย พวกกะลาสีเรือจอดเรืออยู่ตรงที่แจ็คมักจะโผล่ขึ้นมาแล้วต่างก็ทยอยกันลงไปในน้ำเพื่อตามหามัน”

ผีผี่ขยับเข้าใกล้เซี่ยจื้อมากขึ้น ทำเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ตั้งใจฟังนิทาน

“บรรดากะลาสีเรือเจอร่างของแจ็คที่กลางแนวหินโสโครก มันตายเพราะความเหน็ดเหนื่อย”

ผีผี่อ้าปากส่งเสียงร้องออกมา แม้หน้าตายังยิ้มอยู่แต่ที่ก้นบึ้งของนัยน์ตากลับดูโศกเศร้า

“นิวซีแลนด์จัดงานรัฐพิธีศพให้แจ็ค บนร่างของมันห่มด้วยธงชาตินิวซีแลนด์ เหล่ากะลาสีเรือนานาชาติเรือนแสน…สระว่ายน้ำพันสระก็ยังรองรับคนมากมายขนาดนี้ไม่ได้เลย! คนแสนคนนี้เข้าร่วมพิธีไว้อาลัยของมัน พิธีไว้อาลัยก็คือหลังจากคนตายไปแล้ว เพื่อนฝูงญาติสนิทจะมารำลึกถึงมันด้วยกัน”

เซี่ยจื้อค่อยๆ กลับลงไปในน้ำ ครั้งนี้ ในที่สุดผีผี่ก็ไม่ได้หลบเขาแล้ว ยอมให้เซี่ยจื้อกอดโดยดี เซี่ยจื้อแนบหน้าลงบนแก้มที่เย็นเป็นน้ำแข็งของผีผี่แล้วกล่าวว่า “เพราะฉะนั้นนะ ผีผี่…แม้ว่าระหว่างโลมากับมนุษย์จะไม่ได้เสมอภาคเหมือนอย่างที่แกจินตนาการไว้ แต่ว่าคนที่รักแก เช่นว่าพี่หมิง เช่นว่าดร.ฉู่ แกต้องเชื่อในจิตใจของพวกเขาที่รักแกกับจิตใจของแกที่รักพวกเขา ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แกไม่ลอยขึ้นมาหายใจ พวกเขาเป็นกังวลมาก แกไม่สบายใจ พวกเขาก็ทุกข์ใจมากเหมือนกัน เพื่อให้แกรู้สึกสบายใจ พวกเขายังจ้างฉันมาเล่นเป็นเพื่อนแกด้วย” 

ผีผี่อยู่นิ่งมาก มันยอมให้เซี่ยจื้อกอดไว้ เซี่ยจื้อลูบหลังมันเบาๆ จู่ๆ เขาก็นึกถึงโลมาตัวนั้นตอนที่เขายังเด็กขึ้นมา

ไม่รู้ว่ามันเติบโตอย่างปลอดภัยหรือเปล่า อยู่ในทะเลอย่างอิสระไหม หวังว่ามันจะไม่มีภยันตรายใดๆ

ดูเหมือนผีผี่จะรับรู้ได้ถึงเสียงถอนใจของเซี่ยจื้อ มันขยับเขยื้อน ใช้สีข้างดันๆ เซี่ยจื้อ ราวกับกำลังปลอบใจเขาอยู่

ทั้งสองแช่อยู่ในน้ำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทุกอย่างเงียบสงบมาก เซี่ยจื้อนอนราบอยู่บนผิวน้ำ ผีผี่ก็อยู่ที่ข้างกายเขา

พอรู้สึกว่าตัวเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว เซี่ยจื้อก็พลิกตัวกลับว่ายมาที่ข้างสระ

ผีผี่ก็ตามอยู่ด้านหลังของเขา ตอนที่เซี่ยจื้อยันตัวขึ้นฝั่ง พอหันกลับมาก็พบว่าศีรษะของผีผี่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา มันมองเขาตาปริบๆ อยู่อย่างนั้น

เซี่ยจื้อขึ้นมาบนฝั่งแล้ว ใช้สองมือทำท่ากอดตัวเองแล้วสั่น ความหมายก็คือเขาหนาวมาก

พี่หมิงรู้ว่าอยู่ในน้ำไปนานๆ จะรู้สึกหนาวจึงเตรียมแก้วเก็บความร้อนที่ด้านในใส่น้ำร้อนไว้มาให้เขา

เซี่ยจื้อดื่มน้ำร้อนไปสองสามอึก ก็นับว่าอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว

เซี่ยจื้อถือแก้วเก็บความร้อนอยู่ในมือ นั่งยองอยู่ริมสระ พูดกับผีผี่ว่า “เฮ้ เรามาตกลงกันสักอย่างสิ ถ้าฉันไม่ขยับตัวจะรู้สึกหนาวมาก งั้นเรามาแข่งกันเถอะ! จากฝั่งนี้ของสระว่ายน้ำ ว่ายไปที่ฝั่งนั้น ดูว่าใครจะเร็วกว่ากัน”

ผีผี่กระพือครีบของมัน ส่ายสะบัดตัวไปมา

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เซี่ยจื้ออ่าน “ภาษากาย” ของมันออก

“แกหมายถึงแกว่ายได้เร็วกว่าฉันมากใช่ไหม? งั้นเรามาแข่งกันแบบนี้นะ ฉันว่ายจากที่นี่ไปอีกฝั่งรอบหนึ่ง ส่วนแกห้ารอบ”

เซี่ยจื้อยื่นฝ่ามือออกมาทำท่าทางบอก หัวของผีผี่ตบๆ ผิวน้ำ ความหมายคือมันเห็นด้วย ซ้ำยังดีอกดีใจมากอีกด้วย

ความเป็นจริงพิสูจน์ยืนยันให้เห็นว่า การแข่งว่ายน้ำกับโลมา คือการหาเรื่องน่าอายมาใส่ตัว

เซี่ยจื้อว่ายจนเกือบจะหมดแรงแล้ว แต่ผีผี่ก็ยังว่ายอย่างสบายๆ

พอเซี่ยจื้อพลิกตัวลอยขึ้นมา ก็นอนแผ่หยุดพักบนผิวน้ำต่อ ผีผี่ว่ายมาที่ใต้ตัวเขา มันดุนๆ หลังของเขาเหมือนกำลังพูดว่า “เรามาแข่งกันต่อสิ!”

เซี่ยจื้อขี้เกียจกระทั่งจะขยับ

“ผีผี่…ฉันว่ายไม่ไปแล้ว…เรามาคุยกันสักพักเถอะ”

ผีผี่ไม่ได้ขยับแล้ว ลอยขึ้นมาอยู่ข้างเซี่ยจื้ออย่างสงบ

“เมื่อก่อนตอนฉันว่ายน้ำ ก็จะโดดคาบพละของวันอังคารมาว่ายตอนพักเที่ยงตลอดเลย เพราะมันไม่ใช่วันหยุด ในสระว่ายน้ำก็เลยโล่งโจ้งไม่มีคน มีแค่ฉันคนเดียว ฉันว่ายจากสระฝั่งนี้ไปถึงฝั่งนั้นได้ตามใจชอบเลยแหละ แต่ก็ไม่มีคู่แข่งมาว่ายด้วย ฉันทำได้แค่การจินตนาการอยู่ในหัวสมองเท่านั้น ชื่อของคู่แข่งคนนั้นก็คือเย่หลิน”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ โลมาน้อยก็สั่นกระตุกขึ้นมาทีหนึ่ง

เซี่ยจื้อลูบๆ ศีรษะของมัน “ทำไม แกก็เคยได้ยินชื่อเย่หลินเหรอ?”

โลมาน้อยเคล้าคลอมาถึงที่ข้างตัวของเซี่ยจื้อ ดูมีความออดอ้อนขึ้นมานิดหน่อย

“ฉันไล่ล่าเย่หลินที่อยู่ในจินตนาการแบบนี้…จนกระทั่งแม่ฉันรู้ว่าหลังเลิกเรียนทุกวันฉันไม่ได้ไปเรียนพิเศษแต่ไปว่ายน้ำ แม่เลยเผาบัตรว่ายน้ำของฉันทิ้ง กระทั่งเงินค่าขนมก็ยังตัดลดลง เหลือพอแค่ให้ฉันกินข้าวกลางวัน ไม่เกินมาแม้แต่สตางค์แดงเดียว ฉันเก็บเงินได้ไม่มากพอที่จะไปซื้อบัตรว่ายน้ำ ก็เลยได้แต่ต้องมาทำงานหาเงินที่นี่แหละ”

ผีผี่ก็ยังคงคลอเคลียเซี่ยจื้ออยู่อย่างนั้น เชื่องอย่างผิดปกติ

“แต่ว่าวันนี้ ฉันไม่ต้องจินตนาการว่าเย่หลินว่ายน้ำอยู่หน้าฉันแล้ว ฉันมีแกว่ายน้ำเป็นเพื่อนแล้วไง แกนำฉันไปได้ตั้งหลายรอบแน่ะ!” เซี่ยจื้อหัวเราะอย่างเบิกบาน เสียงหัวเราะดังก้องกังวานเลยเชียวละ

ผีผี่อ้าปาก ส่งเสียงร้องแอ๊ๆ ออกมาเหมือนกัน

ในเวลานี้เอง เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ที่เซี่ยจื้อวางไว้บนฝั่งก็ดังขึ้น เขาหันตัวกลับมาฟุบลงบนตัวของผีผี่พูดว่า “ผีผี่ วันนี้ฉันอยู่เป็นเพื่อนแกได้เท่านี้แล้ว ควรต้องกลับบ้านแล้วละ ไอ้คนชั่วที่ชื่อว่าเย่หลินนั่นจะบังคับฉันให้ทำการบ้านแล้ว!”

เซี่ยจื้อลูบๆ ครีบของผีผี่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะสร้างมิตรภาพนี้ขึ้นมาได้ ก็ต้องรีบแยกจากกันแล้ว เซี่ยจื้อรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง

ผีผี่เข้าใจว่าเซี่ยจื้อจะไปแล้วจึงเอาแต่ใช้ตัวมาบังทางที่เซี่ยจื้อจะว่ายไปขึ้นฝั่ง ทำให้เซี่ยจื้อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เซี่ยจื้อคิดๆ ดูแล้วก็บอกกับผีผี่ว่า “ผีผี่เอาแบบนี้แล้วกัน เรามาเล่นเกมอำลากันสักอย่างหนึ่ง ความหมายก็คือ ‘แล้วพบกันใหม่’ ในภาษาของมนุษย์อย่างพวกเรา ความหมายของ ‘แล้วพบกันใหม่’ ก็คือ ‘ค่อยพบกันใหม่อีกครั้ง’ ดีไหม?”

ผีผี่ไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่งพี่หมิงที่อยู่บนฝั่งตะโกนมาว่า “เซี่ยจื้อ——นายยังไม่ไปเหรอ! ไม่กินข้าวเที่ยงเหรอ?”

เซี่ยจื้อลูบหัวของผีผี่ ทอดน้ำเสียงช้าลงเหมือนปลอบเด็กน้อยว่า “แกกินอาหารอยู่ในน้ำได้ แต่ฉันต้องขึ้นไปกินบนฝั่งนะ เป็นมนุษย์นั้นลำบากจริงๆ ต้องไปเรียน ต้องทำการบ้าน ต้องสอบรายเดือน ทำตัวอย่างข้อสอบ สอบปลายภาค…แกเห็นใจฉันหน่อยนะ”

ผีผี่ถึงได้ถอยออกห่างอย่างไม่เต็มใจ หัวของมันโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมามองดูเซี่ยจื้อ ราวกับกำลังพูดว่า “แล้วเกมอำลาล่ะ?”

เซี่ยจื้อยิ้มชี้ไปที่อีกฝั่งของสระน้ำพูดว่า “แกว่ายมาจากฝั่งนั้น ฉันจะว่ายไปจากฝั่งนี้ แล้วเราก็ชนกันเบาๆ ไม่อนุญาตให้ใช้แรงชนฉันนะ”

ผีผี่กระพือสองครีบ ราวกับชื่นชอบเกมนี้มาก

เซี่ยจื้อดำลงไปในน้ำ สะบัดเอว ฟองอากาศเล็กๆ นับไม่ถ้วนก็แตกกระจาย ส่องสะท้อนเป็นแสงระยิบระยับราวกับเศษเพชรอยู่ภายใต้แสงไฟในสระน้ำ ปอยผมของเขาถูกกระแสน้ำพาไป อ่อนละมุนนุ่มละเอียด เมื่อผีผี่ว่ายจากอีกฝั่งมาหาเขา เซี่ยจื้อก็ยกแว่นว่ายน้ำของตนเองขึ้น เขาหลับตาลง หันหน้าด้านข้าง ริมฝีปากก็แตะถูกส่วนปากของผีผี่ไปเบาๆ

แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็พอเหมาะพอเจาะกำลังดี

เซี่ยจื้อขึ้นฝั่งไปแล้ว เขาโบกแว่นว่ายน้ำไปทางผีผี่

“อาทิตย์หน้าเจอกัน! ตอนฉันไม่อยู่แกต้องเป็นเด็กดีกินอาหารด้วยละ ลอยขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำแล้วก็เชื่อฟังพี่หมิงด้วย!”

ผีผี่มองดูภาพเซี่ยจื้อจากไปในลักษณะเช่นนั้น ไม่ได้ว่ายไปไหน ไม่มีเสียงร้องใดๆ ทั้งอควาเรียมโลมาอันกว้างใหญ่ ก็จมหายไปในแววตาของผีผี่

เย่หลินที่หลับลึกลืมตาขึ้นมาทันที ออกแรงสูดหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วเด้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียง

เขาก้มหน้าลงกำผ้าห่มที่คลุมอยู่บนตัวไว้แน่น ผ่านไปสามวินาที ในที่สุดก็แยกแยะได้ชัดว่าตนเองอยู่ที่ไหน ยื่นมือไปลูบปอยผมที่กระเซิงบนหน้าผาก

เสร็จจากงานกะดึกที่บาร์เหล้า เย่หลินกลับมานอนหลับที่คอนโด จิตของเขาล่องลอยไปอีกแล้ว

เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร ระยะนี้ตนเองถึงมักจิตล่องลอยไปอยู่ข้างๆ เด็กผู้ชายคนนั้นบ่อยๆ…

เสียงหัวใจเต้นดัง ‘ตุบๆ’ เขาเม้มปากตนเองโดยไม่รู้ตัว เนิ่นนานไม่ยอมผละจากมา ราวกับว่าในสระน้ำอันกว้างใหญ่ ความอบอุ่นและความอ่อนโยนในเสี้ยววินาทีที่เด็กชายคนนั้นเข้าใกล้เขานั้น จะไม่สลายหายไป 

เย่หลินนึกถึงการแข่งขันกับเซี่ยจื้อในครั้งนั้นขึ้นมาอีก ตอนที่เด็กชายเข้ามาท้าทายเขาดูเหมือนจะพาลหาเรื่องเสียมากกว่า แต่นั่นกลับแฝงไว้ด้วยความคาดหวังอันแสนอบอุ่น

นานมาแล้ว ที่เย่หลินรู้สึกเหมือนตนเองหลับอยู่ใต้ร่มไม้ ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก แพ้ชนะก็ดี ล้วนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาทั้งนั้น 

ทันใดนั้น ก็ถูกแสงตะวันสายหนึ่ง…แยงตาทำให้ตื่นขึ้นมา

จากนั้น จู่ๆ เย่หลินก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาซุกศีรษะลงกับเข่าแล้วหัวเราะออกมา

“ที่แท้ก็เป็นนายนี่เอง…มิน่าละฉันถึงอยากแต่จะไปอยู่ใกล้ๆ นาย…”

เขาถอดจิตล่องลอยไปสิงอยู่ในตัวสัตว์น้ำมากมายตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนใหญ่เขาจะปลอดภัยไม่เป็นอะไร แต่ก็มีไม่น้อยที่ตายอย่างน่าอนาถมาก 

ท้องทะเลงดงามมาก แต่ก็โหดร้ายมากเช่นกัน

ฤดูร้อนปีนั้น เขาไปอยู่ในร่างของโลมาน้อยตัวหนึ่ง

เขาหยอกเล่นอยู่กับเต่าทะเลตัวหนึ่ง เต่าทะเลน้อยตัวนั้นว่ายขึ้นฝั่งไป ทว่าเขากลับไปเกยตื้นอยู่

นอนแผ่อย่างโดดเดี่ยวอยู่บนหาดทราย คลื่นอยู่ใกล้ถึงเพียงนั้น แต่ทุกครั้งที่ซัดขึ้นมากลับไม่อาจพาเขากลับสู่ทะเลได้ 

เขาสัมผัสได้ถึงแสงแดดร้อนแผดเผา ความชื้นที่เหือดแห้งไปทีละนิดทีละหน่อย เขาพยายามขยับเขยื้อนตัวสุดชีวิต คิดจะอาศัยกำลังจากหางเพื่อกลับลงไปในน้ำ

ความตายกำลังเผยโฉมหน้าอันเหี้ยมเกรียมออกมาทีละนิดๆ

เขาหน้ามืดตาลาย หายใจลำบาก สายตาพร่ามัว เขาได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นของตัวเองไกลออกไป

เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา…ต่อให้เขาจะบอกกับตนเองว่าพอตื่นขึ้นมาก็จะสามารถกลับไปยังร่างของตัวเขาเองได้แล้วก็ตาม แต่ความตายก็ยังรู้สึกสมจริงถึงเพียงนี้

จนกระทั่งมีมือคู่หนึ่งอุ้มเขาขึ้นมา เขาได้ยินเสียงร้องเรียกของเด็กชายคนหนึ่ง

“ฉันจะพาแกกลับไปเอง——ไม่ต้องกลัว!”

เด็กชายอุ้มเขาวิ่งไปหาทะเล

น้ำทะเลท่วมมิดตัวเขา แล้วเขาก็สะบัดหางมีชีวิตกลับมาใหม่อีกครั้ง

เขาหันกลับมา มองเห็นดวงตาโตเปล่งประกายของเด็กชายคนนั้น ลักษณะท่าทางดื้อรั้น หากแต่กลับหวงแหนคุณค่าของชีวิต

เขาเผชิญกับความตายในฝันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่มีเพียงครั้งนั้นเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยน

ปิดเทอมฤดูร้อนครั้งนั้น เขาถอดจิตไปสิงอยู่ในตัวโลมาตัวนั้นในช่วงที่เขานอนกลางวันนับครั้งไม่ถ้วน เขาไล่ตามเด็กชายที่ออกทะเลคนนั้นไป

เด็กชายเล่นกับเขาอยู่บนดาดฟ้าเรือ หัวเราะดังฮะฮ่า ช่างเจิดจ้าสว่างไสว

แต่เมื่อปิดเทอมฤดูร้อนสิ้นสุดลง เรือลำนั้นแล่นจากไปไกล เขาก็ไม่ได้พบกับเด็กชายคนนั้นอีกเลย

“นายโตแล้วสินะ…”

เย่หลินเงยหน้าขึ้นมายิ้ม

“เมื่อก่อนน่ารักขนาดนั้น…ตอนนี้ก็ยังน่ารักมากเหมือนเดิม…”


 

เซื่อจื้อเล่นกับผีผี่ตลอดทั้งบ่าย ใช้เรี่ยวแรงไปมากทีเดียว แม้ตอนเที่ยงจะกินข้าวผัดไข่ไปชามใหญ่แล้วแต่ก็ยังรู้สึกไม่อิ่มท้องอยู่ดี จึงซื้อขนมปังอีกสองชิ้น

การนอนกลางวันสำคัญต่อการฟื้นฟูร่างกายมาก เซี่ยจื้อฉวยจังหวะตอนที่เย่หลินยังไม่มา รีบมุดตัวนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม

เขานอนหลับไม่รู้เดือนรู้ตะวัน แม้แต่เสียงกดออดประตูของเย่หลินก็ยังไม่ได้ยิน จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังไม่หยุด เซี่ยจื้อจึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาดู พระเจ้าช่วย ไทเฮาโทรมาสิบกว่าสาย

“ฮัลโหล…แม่ครับ…”

“เซี่ยจื้อ! ตกลงแกอยู่ที่บ้านหรือเปล่า? ทำไมไม่เปิดประตูให้เย่หลิน!”

ซวยแล้ว! นี่ไทเฮาต้องคิดว่า เขาไม่อยากเรียนจงใจทิ้งเย่หลินไว้นอกบ้านแน่

“จะเป็นไปได้ยังไงครับ! ผมนอนกลางวันอยู่เลยไม่ได้ยินครับ! ผมจะรีบไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้แล้วครับ!”

เซี่ยจื้อเลิกผ้าห่มขึ้น เหยียบรองเท้าแตะ พุ่งไปที่ประตู

พอเปิดประตูออกมาก็ไม่เห็นเย่หลินแล้ว

หรือว่าจะไปแล้ว?

เขาหันหน้าไปถึงได้เห็นว่าเย่หลินยืนพิงกำแพงอยู่ ในมือถือถุงใบหนึ่งไว้ ในถุงมีกาแฟสองแก้ว

“เย่…หลิน…”

เย่หลินยกกาแฟขึ้นมา ส่งยิ้มแล้วกล่าวว่า “กาแฟจะเย็นหมดแล้ว”

“ฉัน…ฉันไม่ได้ยิน…”

“ใช่ นายไม่ได้ยิน ฉันโทรหานาย นายก็ไม่รับ”

เย่หลินดูไม่โกรธเลยสักนิด แต่ว่าเซี่ยจื้อให้เขารออยู่ข้างนอกยี่สิบกว่านาที

“ฉันตั้งไว้ว่าไม่รับสายแปลกหน้า”

เย่หลินเดินเข้าประตูมา วางกาแฟไว้บนตู้วางรองเท้า แล้วก้มหน้าลงมาถอดรองเท้าผ้าใบของตัวเอง

จากมุมนี้ เซี่ยจื้อเห็นลำคอของเขาที่เผยออกมาจากคอเสื้อได้พอดี

“ฉันเป็นติวเตอร์ของนาย แต่ในมือถือนายกลับถูกจัดอยู่ในประเภทคนแปลกหน้า?” เย่หลินใช้น้ำเสียงเหมือนหยอกล้อ

เซี่ยจื้อคิดในใจ เราสนิทกันมากเหรอไง? นักเรียนกับอาจารย์มันศัตรูกันตามธรรมชาติอยู่แล้วไหม หรือนายหวังให้ฉันกับนายสนิทสนมเป็นครอบครัวเดียวกัน อยู่เคียงข้างกันไปสุดหล้าฟ้าเขียวเลยหรืออย่างไรกัน? 

มุมปากเย่หลินแต้มรอยยิ้มบางๆ เหมือนไม่ได้โกรธเซี่ยจื้อจริงๆ

“นายทำหน้าบูดบึ้ง คิดในใจอยู่ว่า ‘ฉันกับนายเดิมก็ไม่ได้สนิทกัน’ อยู่แล้ว ใช่หรือเปล่า?”

เซี่ยจื้อตื่นตะลึง ทำไมกระทั่งเรื่องนี้เย่หลินก็ยังทายถูก

“ตกลงแล้วนายเล่นแง่อะไรกับฉันอยู่กันแน่?”

เย่หลินหยิกแก้มเซี่ยจื้อทีหนึ่งอย่างไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัว เซี่ยจื้อปัดมือเขาทิ้งทันที แต่เย่หลินก็ยิ่งออกแรงหยิกหนักกว่าเดิม เซี่ยจื้อสงสัยว่าอีกฝ่ายจะหยิกแก้มเขาให้ครบทั้งสามร้อยหกสิบ องศาเลยหรือไง! 

“ฉันไม่ได้เล่นแง่ ไม่ชอบเรียนก็เป็นสันดานของนักเรียนอยู่แล้ว”

ไม่ง่ายเลยกว่าเซี่ยจื้อจะสลัดหลุดจากนิ้วของเย่หลินได้ พอเหลือบตาขึ้นมามองก็ประสานสายตากับเย่หลินเข้า แววตาอ่อนโยนนุ่มนวลมาก ไม่เหมือนกับนักเรียนดีเด่นพวกนั้นเลย ไม่มีความหยิ่งยโสอันคมปลาบ 

แต่กลับลบความร้ายกาจของเซี่ยจื้อได้อย่างไร้สุ้มเสียง 

“ไม่ใช่ว่านายไม่รักเรียนหรอก แต่นายชอบฉันมากไปต่างหาก”

“ฉันชอบนาย? ชอบอะไรนาย?” เซี่ยจื้อตอบกลับเย่หลินด้วยสายตาที่มองคนเสียสติ

“นายชอบท่าว่ายของฉัน เพราะฉะนั้นเวลาที่ฉันเป็นติวเตอร์ให้นาย นายถึงได้โมโหขนาดนี้ไงละเพราะนายรู้สึกว่า ‘มีเวลาว่างมาเป็นติวเตอร์ แล้วทำไมไม่รีบไปฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับสระว่ายน้ำไปซะ’ ถูกไหม?”

เย่หลินยังคงยิ้มบางๆ อยู่เช่นนั้น ราวกำลังบอกกับเซี่ยจื้อว่า ไม่ว่านายจะพูดอะไรหรือทำอะไรเพื่อแทงใจดำฉัน ฉันก็จะไม่เก็บมันมาใส่ใจหรอก

แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้หัวใจของเซี่ยจื้อถูกกระซวกแทงอย่างแรง

“ใช่ ตอนนี้ทีมว่ายน้ำของม.Q ต้องกำลังฝึกซ้อมอยู่แน่ๆ แต่นายกลับมาเป็นติวเตอร์อยู่ที่นี่?”

“นี่แสดงให้เห็นว่าสำหรับฉันแล้ว การเรียนของนายหรือจะบอกว่าอนาคตของนายสำคัญยิ่งกว่าการฝึกซ้อมของทีมว่ายน้ำม.Q เสียอีก”

“เพราะอะไร?” เซี่ยจื้อเบิกตาโต “คนอย่างฉันเป็นคนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ถ้านายคิดจะใช้เรื่องนี้มากระตุ้นให้กำลังใจฉัน ฉันไม่ซื้อหรอกนะ”

เย่หลินหลับตาลงถอนใจเฮือก นั่งลงที่มุมหนึ่งของโต๊ะน้ำชาในห้องรับแขก

การนิ่งเงียบของเขาทำให้เซี่ยจื้อรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง

“เซี่ยจื้อ ฉันชอบว่ายน้ำกับนาย”

เซี่ยจื้อตะลึงงันไป เย่หลินว่าอะไรนะ? ชอบว่ายน้ำกับฉัน?

“นายทำให้ฉันมีสมาธิ”

ไม่มีการเสกสรรปั้นคำใดๆ แต่กลับมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงสงสัย

“เพราะฉะนั้น…นายต้องสอบเข้ามหา’ลัยให้ได้ ฉันถึงจะได้ประลองสระเดียวกับนายในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย”

เย่หลินเงยหน้าขึ้นมา เห็นชัดๆ ว่าแหงนมองเซี่ยจื้ออยู่ แววตาของเขาลึกล้ำมาก ฉุดรั้งเซี่ยจื้อไว้ แล้วลากเซี่ยจื้อให้เข้ามาในโลกของของเขา

“เหตุผลนี้ นายซื้อไหม?”

“นี่นับเป็นคำคมสร้างแรงบันดาลใจของนายไหม…”

“ถ้านายรู้สึกชอบ ก็นับ”

“เลี่ยนตายชัก”

เซี่ยจื้อเบนหน้าไปทางอื่น เขาไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าตัวเองเป็นอย่างไร เพียงแต่ใจเต้นแรงมาก

เหมือนหลังการโถมกำลังใส่เต็มที่ในท่าฟรีสไตล์ห้าสิบเมตร ที่สุดแล้วก็สามารถถึงจุดหมายได้ กระทั่งลมหายใจก็เหมือนถูกกดทับไว้อยู่ในช่องอก

“นายรู้ไหมว่าท่าทางของนายนี่ ทำให้คนอยากจะแกล้งเอามาก?”

จู่ๆ เย่หลินก็เอ่ยปากออกมา น้ำเสียงยังเจือการหยอกล้ออยู่นิดหน่อย

“อะไรนะ?” เซี่ยจื้อเงยหน้าขึ้น “แกล้งฉัน?”

ใครจะกล้า?

“เพราะน่ารักเหลือเกิน” เย่หลินลุกขึ้นยืนใช้นิ้วเกี่ยวคอเสื้อของเซี่ยจื้อ “ตอนนี้ก็ตั้งใจเรียนได้แล้วใช่ไหม?”

“ตั้งใจเรียนก็ไม่ได้หมายความว่าจะก้าวหน้าขึ้นทุกวัน”

“งั้นก็ตั้งใจเรียนให้ดี คิดถึงฉันทุกวัน”

“ประสาท!”

เซี่ยจื้อรู้สึกว่า ไม่แน่ว่าบนโลกใบนี้อาจมีเย่หลินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มักจะพูดอะไรจำพวก “นายชอบฉันมากเกินไปแล้ว” “ตั้งใจเรียนให้ดี คิดถึงฉันทุกวัน” ติดปากอยู่เสมอ หนำซ้ำยังพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เต็มปากเต็มคำขนาดนั้นอีกด้วย! 

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องของเซี่ยจื้อ เซี่ยจื้อมองเย่หลินลากเก้าอี้ออกมา พอเซี่ยจื้อวางกาแฟลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็กล่าวจากจิตใต้สำนึกออกมาว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไม่เปิดประตูให้นายจริงๆ…”

“ฉันรู้แหละ ดูเตียงของนายสิ ยังมีรอยยุบที่นายนอนอยู่เลย”

เซี่ยจื้อสูดปากหนึ่งทีก่อนจะไปล้างหน้าในห้องน้ำ จากนั้นก็กลับมานั่งลง

เย่หลินเข้าเรื่องเลยทันที เขาแบ่งข้อสอบแต่ละหมวดที่อยู่ในวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยาออกมาก่อน จากนั้นก็เริ่มอธิบายไปทีละหัวข้อ แบ่งประเภททฤษฎีฟิสิกส์ สูตรเคมีอะไรจำพวกนี้ตามประเภท เขียนลงบนกระดาษ แล้วก็สรุปเป็นใบความรู้แบบย่อฉบับเข้มข้นฉบับหนึ่งออกมา

ไม่เหมือนกับการอธิบายบนกระดานของอาจารย์เวลาเรียนเลย เย่หลินมีตรรกะและความคิดเชื่อมโยงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

โดยไม่ทันรู้ตัวก็เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว

แม้เซี่ยจื้อจะกินข้าวกลางวันไปมาก แต่ว่าเขาก็รู้สึกหิวเร็วอยู่ดี ตอนที่ท้องของเขาส่งเสียงร้องจ๊อกๆ ออกมา เขามองไปทางเย่หลินที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่งอย่างขัดเขิน

เย่หลินยังคงเท้าคางเอียงหน้ามองดูกระดาษข้อสอบของเซี่ยจื้ออยู่

พอนึกว่าอักษรทุกตัวที่ตัวเองเขียนอยู่ในสายตาของเย่หลิน เซี่ยจื้อก็รู้สึกเขินขึ้นมาบ้างในทันที

หากแต่เซี่ยจื้อคนนี้ อารมณ์ความรู้สึกมักเก็บซ่อนไว้ในใจ ไม่เคยแสดงออกทางสีหน้าเลย

“นายไม่ต้องเขินหรอก สามสี่ข้อที่นายเขียนอยู่นี่ถูกหมด” เย่หลินเอ่ยปากกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ เสียงของเขาทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายได้เสมอ

“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันเขิน?”

“อ้อ นายไม่ได้เขินเหรอ? งั้นฉันก็คิดมากไปเองแล้ว”

เย่หลินยิ้มลุกขึ้นมายืนพลางบิดขี้เกียจ

เซี่ยจื้อพบว่าท่าทางที่เขาบิดขี้เกียจนั้นน่ามองมาก มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าสายตาไล่ตามเขาไปจนถูกลากออกไปไกลอย่างไร้ที่สิ้นสุด

“ไปเถอะ แม่นายบอกกับฉันแล้วว่า วันนี้หอยู่เวรไม่มีเวลามาดูแลข้าวเย็นนาย ให้ฉันกินข้าวกับนาย”

กินข้าวกับเย่หลิน จู่ๆ เซี่ยจื้อก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น

เขาเคยเห็นเย่หลินที่พุ่งโหมขึ้นหน้ามากับตา เห็นเย่หลินที่จับปากกาเขียนสูตรสมการ ตอนนี้จะได้เห็นเย่หลินที่กินอาหารอีกด้วย ดูเหมือนว่าเย่หลินที่มีตัวตนราวกับเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่อยู่ไกลแสนไกลเมื่อก่อนนี้ จะปรากฏภาพชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ แล้ว 

“ ผักกาดขาวผัดเค้กข้าวเป็นยังไง?” เย่หลินสวมเสื้อนอกไปพลางก็กล่าวไปพลาง “อ้อ ฉันได้หมด…”

“ค่อยทำซุปผักโขมตับหมูอีกอย่าง?” เย่หลินหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะใส่กระเป๋ากางเกง

“ทำ? นายจะทำอาหารเหรอ?”

“อือ” เย่หลินพยักหน้าอย่างไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลก “ยังไงก็ต้องทำให้แม่นายรู้สึกว่าฉันดูแลนายดีละมั้ง?”

“ทำไมนายพูดเหมือนกับนายจะเป็นสะใภ้ของแม่ฉันอย่างนั้นแหละ…”

เซี่ยจื้อพูดประโยคนี้ออกไปโดยไม่รู้ตัว พอจบคำก็ชะงักกึกไปทันที 

ไม่นานเย่หลินก็หันกลับมา ออกแรงกดศีรษะของเขาลง 

ทุกครั้งที่เซี่ยจื้อยืดหลังขึ้นมา เขาก็จะถูกเย่หลินกดศีรษะลงไปทันที

เป็นแบบนี้หลายครั้ง จนในที่สุดเซี่ยจื้อก็ตระหนักรู้แล้วว่า เย่หลินไม่ได้ดูแล้วไร้พิษสงอย่างที่เห็นเลย เขาแรงเยอะมาก

“เมื่อกี้นายพูดว่าใครจะเป็นสะใภ้บ้านนายนะ?”

“ฉันพูดผิดไป…ผิดไป…”

เซี่ยจื้อไม่เชื่อหรอกว่าตนเองจะโงหัวขึ้นมาไม่ได้

แต่ความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาโงหัวไม่ขึ้นจริงๆ 

“งั้นก็พูดอะไรเพราะๆ สักคำ ให้ฉันสบายใจ” น้ำเสียงของเย่หลินเปี่ยมเสียงหัวเราะ

แต่ในเสียงหัวเราะนี้เจือไปด้วยความอบอุ่น

คนคนนั้นที่เดิมทีได้แต่มองอยู่ไกลๆ เทิดทูนอยู่ในใจมาตลอด ทำไม จู่ๆ ก็กลายมาเป็นติวเตอร์ของตนเองได้ล่ะ แต่...ส่วนหนึ่งในใจก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลแล้ว

“พี่หลิน! พี่อย่าถือสาผมเลย ปล่อยผมเถอะ!”

เย่หลินบีบคอเซี่ยจื้อด้วยน้ำหนักมือที่ไม่แรงไม่เบานัก คุมตัวเขาเดินไปที่ประตู

“ฉันยกโทษให้นาย ไม่ใช่เพราะนายยอมให้หรอกนะ”

“แล้วเพราะอะไร?”

“เพราะว่า ในที่สุดนายก็เรียกฉันว่า ‘พี่หลิน’”

พอเซี่ยจื้อหันหน้ากลับมา ก็เห็นเย่หลินกำลังหัวเราะอยู่

เมื่อก่อนตอนเซี่ยจื้อเห็นรอยยิ้มของเย่หลิน เขาคิดว่ามันช่างเป็นรอยยิ้มที่สุภาพมีมารยาท และสงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก

แต่เวลานี้เย่หลินหัวเราะอย่างเกินจริงไปบ้าง เสียงหัวเราะมีความทุ้มหนาอย่างหนึ่งในแบบผู้ชาย


 

น้อยมากที่เซี่ยจื้อจะมาเดินซูเปอร์มาร์เก็ต ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตอะไรทั้งหลายโดยปกติแล้วแม่จะเตรียมไว้ให้เขาพร้อมสรรพอยู่แล้ว

เย่หลินเข็นรถเข็นอยู่ข้างหน้า ส่วนเซี่ยจื้อสอดมือล้วงกระเป๋าเดินตามหลัง มองซ้ายทีขวาทีอย่างเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ

จากนั้นเขาก็เห็นเย่หลินหยิบนมวัวลังเล็กขึ้นมาหนึ่งลัง พอดูวันหมดอายุแล้วก็วางใส่ในรถเข็น

“นี่ จะหิ้วนมกลับบ้านเหรอ?”

เย่หลินชี้ๆ ไปที่นมวัวในรถเข็นแล้วกล่าวว่า “นายดูสิว่านี่มันมีไขมันหรือไม่มี”

“ยุ่งยากอะไรขนาดนี้…” เซี่ยจื้อเพิ่งจะก้มหน้าลงไปดูตัวอักษรบนลังนมนั่น ก็ถูกเย่หลินกดศีรษะไว้อีกแล้ว

“เมื่อกี้นายเรียกฉันว่าอะไร? ‘นี่’?”

เซี่ยจื้อใช้มือจับรถเข็นไว้ โงหัวไม่ขึ้นอีกแล้ว

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเย่หลินถึงได้ใส่ใจว่าตนจะเรียกเขาอย่างไรถึงขนาดนั้น?

เซี่ยจื้อออกแรงยันจนหน้าแดงไปหมดแล้ว จากนั้นก็เรียกออกมาเบาๆ อย่างไม่เต็มอกเต็มใจว่า “พี่หลิน…”

“นี่สิถึงจะเชื่อฟัง” เย่หลินปล่อยมือ “นมซื้อไว้ให้นาย อายุขนาดนายนี่ นมวัวเป็นของจำเป็น นายไม่อยากสูงเกินเมตรเก้าสิบห้าเหรอ?”

เซี่ยจื้อนิ่งไป ที่จริงแล้วจากความสูงของเขาตอนนี้ก็เป็น “หงส์ในฝูงกา” ที่โรงเรียนอยู่แล้ว

เย่หลินพูดออกมาว่าจะให้เขาสูงเกินเมตรเก้าสิบห้า เห็นได้ชัดว่าเอาเกณฑ์นักกีฬาว่ายน้ำมาวัด

ในใจของเซี่ยจื้อรู้สึกยินดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด นี่หมายความว่าเย่หลินยอมรับในความสามารถของเขาแล้วใช่หรือไม่

“ต้องกินทุกวัน เช้ากล่อง เย็นกล่อง”

“รู้แล้วละน่า”

แต่พอมาคิดดูแล้ว เซี่ยจื้อก็กล่าวเสริมไปว่า “ผมไม่ใช่เด็กเล็กสักหน่อย”

ใครจะรู้ว่า จู่ๆ เย่หลินก็ยืนตะโกนเสียงดังอยู่หน้าตู้แช่แข็งขึ้นมา “เด็กน้อย นายชอบกินเค้กข้าวอะไร?”

เหล่าบรรดาแม่ๆ ป้าๆ ที่กำลังเดินซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตต่างพากันมองตามสายตาของเย่หลิน เซี่ยจื้ออยากจะหันขวับแล้วหนีไปทันทีเลย แต่พอคิดขึ้นมาว่า ไม่แน่เย่หลินอาจจะคิดมิดีมิร้ายกดศีรษะเขาไม่ให้โงหัวขึ้นมาอีก จึงได้แต่สอดมือล้วงกระเป๋าเดินไปข้างๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แสร้งทำเป็นไม่รู้จักเย่หลิน หยิบเค้กข้าวสองห่อมาดูวันผลิต

รอจนกระทั่งเหล่าบรรดาแม่ๆ ป้าๆ ไม่ได้มองเขาแล้ว เขาถึงโยนเค้กข้าวลงไปในรถเข็น

ตอนจ่ายเงิน เซี่ยจื้อยืนอยู่หลังเย่หลินกล่าวว่า “ที่ตัวผมไม่มีเงิน รอแม่ผมกลับมาก่อนแล้วผมจะให้แม่…”

ยังพูดไม่ทันจบดี เย่หลินก็ดีดกะโหลกเขาทีหนึ่ง

“คิดเยอะอะไรขนาดนั้น?”


 

ออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตมา เซี่ยจื้อหิ้วลังนมอย่างรู้งาน ส่วนเย่หลินหิ้วถุงใส่ของ สองคนเดินกลับบ้าน

เย่หลินเข้าไปในห้องครัว เซี่ยจื้อยืนอยู่ด้านข้าง แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะช่วยอะไรเขาดี ได้แต่มองเขาพับแขนเสื้อขึ้น ล้างผัก หั่นผัก ลวก อย่างเป็นขั้นเป็นตอน 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เวลานี้เซี่ยจื้อรู้สึกแสบจมูกขึ้นมานิดหน่อย

เขานึกถึงตอนเด็กสมัยที่พ่อยังอยู่ แม่มักจะเข้าเวรดึกบ่อยๆ พ่อจึงเป็นคนทำอาหารให้เขาที่บ้านแบบนี้

เซี่ยจื้อชอบกินผัดเค้กข้าวมาก เซี่ยอวิ๋นจึงทำให้เขาบ่อยๆ เพียงแต่ทุกครั้งที่ทำรสชาติก็งั้นๆ หนำซ้ำยังมีครั้งหนึ่งที่เข้าใจผิดคิดว่าน้ำตาลเป็นเกลือใส่ลงไปสลับกันเสียอย่างนั้น

เค้กข้าวหวานผัดผักกาดขาว รสชาตินั่น…น่าอนาถนัก

หากแต่ตอนนี้พอหวนนึกถึงขึ้นมา ขอเพียงแค่เซี่ยอวิ๋นยังทำให้เขากินได้ เขาก็จะกินมันลงไปให้หมดอย่างมีความสุขแล้วละ

“นายมาเกะกะอะไรอยู่ในครัว?” เย่หลินหันหน้ามาถาม

“งั้นผมช่วยพี่ล้างผักแล้วกัน?”

แม้จะดูเหมือนว่าผักกาดขาวกับผักโขมล้างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตาม

“ฉันหมายถึง นายจะไปนอนสักงีบบนโซฟาก็ได้ หรือจะไปดูทีวีผ่อนคลายสักหน่อยก็ได้ คืนนี้เราจะติวฟิสิกส์กับเคมีต่ออีกสักหน่อย”

“อ้อ…ได้ครับ”

เซี่ยจื้อเปิดโทรทัศน์นั่งอยู่บนโซฟา ทว่าสายตากลับเอาแต่มองดูเย่หลินที่อยู่ในห้องครัวตลอด

เช่นว่าเสียงเขาหั่นผักกาดขาวดังฉับๆ เสียงใส่เค้กข้าวลงหม้อ เสียงเขาเปิดขวดซีอิ๊วเบาๆ เซี่ยจื้อไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้ใส่ใจขนาดนี้

เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่า เย่หลินมีทักษะในการใช้ชีวิตด้วยตนเองสูงมาก ไม่ช้าผัดเค้กข้าวกับซุปตับหมูผักโขมก็เสร็จเรียบร้อย

ตอนที่เย่หลินยกจานเดินมาตรงหน้าโต๊ะรับประทานอาหาร ก็เหลือบมองโทรทัศน์แวบหนึ่งแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้

“เสี่ยวจื้อ นายยังบอกว่านายไม่ใช่เด็กๆ อีกเหรอ? เปปป้าพิก (Peppa Pig) นายยังดูตาไม่กะพริบอยู่เลยนะ”

เซี่ยจื้อถึงได้รู้ตัวว่าในจอโทรทัศน์ตรงหน้าตนนั้น มีหมูสีชมพูตัวหนึ่งไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่

“หลานชายฉันนั่งดูอยู่ที่บ้านทุกวัน”

เย่หลินส่งตะเกียบให้เซี่ยจื้อ

เซี่ยจื้อมองดูผัดเค้กข้าวในจาน ดูท่ารสชาติน่าจะไม่เลวเลย ซุปตับหมูผักโขมก็หอมมาก เขาชิมไปหนึ่งคำ ก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที อยากจะกินลงไปให้หมดทั้งจานเลยละ

“นั่นเพราะผมเปลี่ยนช่องไม่ทันระวัง ก็เลยเปลี่ยนไปโดนต่างหาก…”

“งั้นเหรอ?” หางเสียงเย่หลินสูงขึ้นนิดหน่อย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังสงสัย “หลานชายฉันวันๆ เอาแต่พูดกับเด็กผู้หญิงในโรงเรียนอนุบาลว่า——หมูน้อยเปปป้า ฉันคู่ควรกับเธอ”

เซี่ยจื้อกำลังตักซุปตับหมูกินพอดี ประโยคบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่ว่า “ฉันคู่ควรกับเธอ” ทำให้เขาสำลักซุปออกมาทันที

“นายเป็นอะไรไป? ฉันไม่ได้ใส่อะไรลงไปในซุปตับหมูนะ!”

“หมูน้อยเปปป้า ฉันคู่ควรกับเธอ” ห่าไรเนี่ย!

พอกินข้าวเย็นเสร็จ เดิมทีเซี่ยจื้อคิดว่าตนเองควรไปขัดหม้อล้างชาม แต่เย่หลินกลับบอกเพียงว่าให้เขาวางจานไว้ในอ่างล้างจานก็พอแล้ว

“กระทะไม่ติดก้นของบ้านนายถ้าถูกนายขัดละก็ เดาว่าแม่นายคงจับนายลงกระทะไปผัดเลยละ”

จู่ๆ เซี่ยจื้อก็รู้สึกว่าเย่หลินช่างดีมากจริงๆ ทั้งอ่อนโยน ทั้งละเอียดรอบคอบ ทั้งมีความอดทน

เมื่อก่อนเขามักจะรู้สึกว่าคนที่สูงส่งเลิศเลออย่างเย่หลิน น่าจะเป็นคนที่ยิ่งรู้จักก็ยิ่งทำลายภาพลักษณ์ แต่ว่าเย่หลินคนนี้กลับทำให้เซี่ยจื้อในเวลานี้รู้สึกโชคดีมาก ที่คนที่ตัวเองยกย่องเทิดทูนมาตลอดตั้งแต่เด็ก นิสัยก็ยังดีถึงขนาดนั้น 

เซี่ยจื้อคนคนนี้ รักเกลียดแยกกันชัด

เขารู้ว่าเวลาที่ใครสักคนดีกับเขาอย่างจริงใจ ต่อให้ความคิดของอีกฝ่ายไม่ลงรอยกับเขา เขาก็ไม่มีทางจะไปทำร้ายคนพวกนั้นหรอกนะ

เช่นว่าเฉินฟางหัว แม้ว่าเซี่ยจื้ออยากจะยืนหยัดในเส้นทางของตนเองมากแค่ไหน แต่ก็พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ไปเถียงแม่ หรืออย่างเว่ยซูเป่า เย่หลินสามารถก้มหน้ารับผิดแสร้งทำเป็นซึมเศร้าต่อหน้าเหล่าเว่ยได้ทุกครั้ง ก็เพราะไม่อยากจะไปโต้เถียงทะเลาะกับเขา

ส่วนเย่หลิน อธิบายข้อสอบให้เขาฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกข้อ เซี่ยจื้อก็จะรู้สึกว่าหากตนเองเรียนไม่ดี ก็จะเป็นการผิดต่อเย่หลินที่ต้องมาเสียเวลาไปกับตนเอง

แล้วตอนที่เซี่ยจื้อใจลอยอยู่นั้น เย่หลินก็ผลักประตูเข้ามา พอเซี่ยจื้อหันตัวกลับไปมองอีกฝ่ายก็เผลอไปเตะกระเป๋าหนังสือใต้โต๊ะล้มลง

ชุดว่ายน้ำที่เขาใส่ไว้ในถุงพลาสติกหล่นออกมา

เซี่ยจื้อกำลังจะก้มตัวไปเก็บ เย่หลินก็ก้มตัวลงมาก่อนแล้ว

“นั่นมันของผม!” เซี่ยจื้อยื่นมือไปจะหยิบ ทว่าเย่หลินกลับยกมือขึ้นสูง

“เซี่ยจื้อ เช้านี้นายไปว่ายน้ำมาใช่ไหม?” เย่หลินขมวดคิ้ว

เซี่ยจื้อตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ เขาไม่อยากให้เย่หลินเป็นเหมือนแม่เลย ที่เห็นการเรียนเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นการว่ายน้ำเป็นตัวการที่ทำให้ผลการเรียนของเขาไม่ดี

“ก็ประมาณนั้น…”

นายจะว่าอะไรฉันล่ะ?

นายจะบอกกับฉันว่าเวลานี้เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดในการเรียน? หรือจะเอาเรื่องนี้ไปบอกแม่ฉัน?

อย่างไรเสียนายก็เป็นติวเตอร์ที่แม่จ้างมา

“นายรู้ไหมว่าชุดว่ายน้ำต้องล้างแล้วตากแห้งให้ไวที่สุด ไม่อย่างนั้นจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค น้องชายนายไม่เอาแล้วเหรอ? นายไม่กลัวท่อนล่างคันเหรอ?” เย่หลินยังคงขมวดคิ้วอยู่ เซี่ยจื้อมองดูสีหน้าท่าทางของเย่หลินแล้ว จู่ๆ เขาก็นึกอยากรู้มากว่า ถ้าหากเขาบอกเย่หลิน หมอนี่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร?

เย่หลินจะบอกแม่ไหมนะ?

หรือจะกล่อมให้เขาเลิกทำงานนั่น?

ถ้าหากเย่หลินบอกแม่ แล้วก็เลือกทำเหมือนแม่กับพวกอาจารย์ที่โรงเรียนทำละก็ บางทีต่อจากนี้ไปความคาดหวังกับภาพจินตนาการที่เซี่ยจื้อมีต่อเขาก็อาจจะลดน้อยลงไปบ้าง

แล้วเซี่ยจื้อก็จะบอกกับตัวเองว่า เย่หลินคนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไป

“แม่ผมไม่ให้ผมว่ายน้ำ ถ้าผมเอาออกมาตาก แม่ก็รู้น่ะสิ”

เย่หลินถอนใจเฮือก ลากเก้าอี้มานั่งลง “งั้นนายฟังฉันให้ดี ชุดว่ายน้ำหยดติ๋งๆ ของนายนี่ไม่ได้การแน่”

“ถ้าแม่ผมเห็นเข้า ต้องเอากรรไกรมาตัดมันแน่” เซี่ยจื้อมองตาเย่หลิน

“งั้นแบบนี้แล้วกัน ชุดว่ายน้ำชุดนี้ฉันจะเอากลับไปเอง ฉันจะซักแล้วตากให้ที่บ้านของฉัน ทุกวันนี้นายไปว่ายน้ำตอนไหน?”

“…อันที่จริงแล้วผมจะไปตอนเที่ยงทุกวัน…บางครั้งก็ตอนดึก”

แต่หลังจากไม่มีบัตรว่ายน้ำก็ไม่ได้ไปอีกเลย

“นายว่ายที่ไหน?”

“โรงยิมของเมือง”

“งั้นก็พอดีเลย ตอนเที่ยงทุกวันจากโรงเรียนไปโรงยิมนายจะต้องผ่านบ้านฉัน วันจันทร์ถึงศุกร์ฉันไม่อยู่บ้าน กุญแจนี่ให้นายไว้ ทุกวันหลังนายว่ายน้ำเสร็จก็ไปโยนกางเกงว่ายน้ำใส่เครื่องซักผ้าของฉันไว้ ตอนเลิกเรียนกลับบ้านนายก็ไปเอาขึ้นมาตาก แบบนี้ทำได้ไหม?”

เซี่ยจื้ออึ้งตะลึงไปเลย

“พี่ไม่คิดว่าการที่ผมว่ายน้ำจะทำให้เสียสมาธิ เสียเวลาเรียนหนังสือเหรอ?” เซี่ยจื้อถามด้วยความสงสัยมาก

ตกลงแล้วเย่หลินคิดอะไรอยู่ในหัวกันแน่

“เหตุผลง่ายมาก” เย่หลินเอนหลังยกมือขึ้นกอดอก “การเรียนไม่ได้อาศัยการทุ่มเทเวลา แต่อาศัยการทุ่มเทประสิทธิภาพ นายนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะหนังสือสามชั่วโมง บางทีแล้วอาจไม่มีประโยชน์เท่ากับการรวบรวมสมาธิทำข้อสอบกับทบทวนแค่ชั่วโมงเดียว”

“ขอบใจ” “แต่ในเมื่อนายทำแบบนี้แล้ว ก็ต้องจัดการเวลาของนายให้เหมาะสมด้วย ฉันไม่อยากให้นายหลับในห้องเรียนเวลาอาจารย์สอน เพราะฉะนั้นทุกคืนนายจะเล่นมือถืออีกไม่ได้แล้ว ต้องนอนให้พอ ไม่อย่างนั้นนายจะตัวไม่สูง”

น้ำเสียงที่เย่หลินพูดมาไม่หนัก แต่กลับมีพลังอำนาจอย่างหนึ่ง “ขอบใจ พี่หลิน”

คำว่า “พี่หลิน” นี้ ออกมาจากใจจริง 

“งั้นนายก็ตั้งใจเรียนให้ดี ไม่อย่างนั้นติวเตอร์อย่างฉันคงเป็นต่อไปได้อีกไม่นานแล้วละ”

เย่หลินมองดูเซี่ยจื้อที่ก้มหน้า ผมสั้นของเขาชี้ฟูขึ้นมาอยู่ภายใต้แสงจากโคมไฟ จึงอดที่จะยื่นมือออกไปลูบสักทีไม่ได้

“รู้แล้วละ” หนนี้เซี่ยจื้อไม่ได้หลบเขา กลับยอมให้เขาลูบโดยง่าย

เซี่ยจื้อไม่ได้บอกกับเย่หลินว่า บัตรว่ายน้ำของตนเองไม่มีอยู่นานแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถไปว่ายทุกวันได้ ที่เขาไปอควาเรียมโลมาทุกวันเสาร์ก็เพื่อไปหาเงินมาซื้อบัตรว่ายน้ำนี่แหละ

เพราะหากอธิบายเรื่องการทำงานกับเย่หลินไป แล้วเย่หลินบอกว่าอย่าไปเลย แต่จะให้บัตรว่ายน้ำเขาสักใบอะไรจำพวกนี้…อย่างไรเซี่ยจื้อก็ยังอยากไปอยู่เป็นเพื่อนผีผี่อยู่ดี

นี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เซี่ยจื้อทำแบบฝึกหัดกับตัวอย่างข้อสอบที่อาจารย์สั่งเป็นการบ้านวันหยุดเสร็จเรียบร้อยหมด

วันจันทร์พอเซี่ยจื้อเจอหน้าเฉินชิงเหม่ยที่มุมถนน เฉินชิงเหม่ยก็ดัดเสียงพูดว่าวันหยุดเล่นเกมติดลมเกินไปเลยยังทำข้อสอบไม่เสร็จ จากนั้นก็กล่าวขอโทษอย่างถึงที่สุด “เฮีย——ขอโทษด้วยนะ เราคงได้แต่ต้องเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปถูกยืนทำโทษที่แถวสุดท้ายด้วยกันแล้ว!” จนกระทั่งมาถึงคอกจอดจักรยานในโรงเรียน เซี่ยจื้อก็ล้วงเอาตัวอย่างข้อสอบปึกนั้นออกมาจากในกระเป๋าหนังสือ กดลงไปบนใบหน้าของเฉินชิงเหม่ย

“นายหาที่ลอกให้เสร็จแล้วค่อยเข้าห้องเรียน”

เฉินชิงเหม่ยจับข้อสอบไว้ แสดงสีหน้าตกใจสุดขีดออกมา

“คงไม่ไหม? นายทำเสร็จหมดแล้วเหรอ? ข้อที่เป็นอัตนัยก็ทำเสร็จแล้ว? นี่ไม่ใช่แนวนายเลยนี่!”

เซี่ยจื้อสอดมือล้วงกระเป๋า เดินขึ้นหน้าไป

“นายถูกทำของใส่เหรอ?” เดิมทีเฉินชิงเหม่ยคิดว่าเซี่ยจื้อคงจะไปลอกคำตอบมาจากที่ไหนมาหรือเปล่า แต่เมื่อเขาเห็นว่าที่ข้างตัวเลือกพวกนั้นล้วนเขียนสูตรกับประเด็นสำคัญไว้อย่างย่อๆ ทั้งหมด เฉินชิงเหม่ยถึงได้มั่นใจว่าเซี่ยจื้อทำเองจริงๆ

“นายสิที่ถูกทำของใส่ ไม่ลอกก็เอาคืนมาให้ฉัน”

“ฉันลอก! ฉันลอก! ฉันปรนนิบัตินายมาสองปี ในที่สุดก็ให้ฉันได้ของตอบแทนสักครั้ง!”

เฉินชิงเหม่ยไม่กล้าเข้าห้องเรียน เพราะพอเข้าห้องเรียนไป พวกเฉินซั่วสามสี่คนนั่นต้องเข้ามาล้อมแย่งข้อสอบนี่ไปแน่ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ได้ลอกน่ะสิ

เซี่ยจื้อนั่งอยู่บนแปลงดอกไม้ดูดนมกล่องอยู่ เฉินชิงเหม่ยก็ตั้งหน้าตั้งตาลอกอย่างเร็วจี๋

“นายช่วยเฝ้าให้ฉันหน่อยนะ! อย่าให้เหล่าเว่ยเห็นเข้าล่ะ!”

“อือ”

“ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นายจะทำโจทย์พวกนี้เป็นด้วย? หรือจริงๆ แล้วนายเป็นตัวเทพ ที่เมื่อก่อนยอมเป็นบ๊วยก็เพราะเสียสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตพวกเฉินซั่วสามสี่คนนั่น?”

“แม่ฉันจ้างติวเตอร์มา” เซี่ยจื้อตอบ

“ติวเตอร์? ใครเก่งกาจขนาดนี้ เยียวยานายได้ถึงขั้นนี้?” เฉินชิงเหม่ยทำหน้าประหลาดใจ

“เย่หลิน”

เซี่ยจื้อพูดไปสองคำ ตอนนี้ยังพอมีเวลาอีกสามนาทีก่อนที่ออดจะดัง เขาเก็บตัวอย่างข้อสอบที่อยู่ตรงหน้าเฉินชิงเหม่ยซึ่งอึ้งตกตะลึงอยู่กลับคืนมา แล้วเดินเข้าห้องเรียนไป

สีหน้าของเฉินชิงเหม่ยราวกับถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแสนโวลต์ กระทั่งกระเป๋าหนังสือก็ยังไม่ทันปิด วิ่งไล่ตามหลังเซี่ยจื้อไปแล้ว

“อาจื้อ! นายพูดจริงเหรอ! เย่หลินมาเป็นติวเตอร์ให้นาย? เขาไม่ได้เรียนอยู่ที่ม.Q เหรอ? เขาจะสอนนายได้ยังไง?”

“เขานั่งรถไฟกลับมาทุกบ่ายวันศุกร์ คืนวันอาทิตย์ก็นั่งรถไฟกลับไป”

พอมาคิดดูเช่นนี้แล้ว จู่ๆ เซี่ยจื้อก็รู้สึกว่าเย่หลินลำบากมากจริงๆ แม้ว่าจะใช้เวลานั่งรถไฟแค่ชั่วโมงเดียวจะถึงก็ตาม

“ว้าว! เซี่ยจื้อ! เทพบุตรนายมาเป็นติวเตอร์ให้นาย! นายรู้สึกว่าโคตรๆ จะมีความสุขเลยไหม!”

“นายอย่าเข้ามาใกล้! ปากมีแต่กลิ่นเกี๊ยวไส้กุยช่าย!”

“ถ้าเป็นเย่หลิน นายคงไม่รังเกียจกลิ่นกุยช่ายหรอก!”

พอเข้าห้องเรียนมา เซี่ยจื้อก็ยัดกระเป๋าหนังสือเข้าไปในลิ้นชัก แล้วส่งการบ้าน

ตอนที่ตัวแทนห้องมาเก็บการบ้านต่างก็ตื่นตะลึง เซี่ยจื้อส่งการบ้านอย่างเปิดเผยขนาดนั้น เดิมทีเขาคิดว่าเป็นตัวอย่างข้อสอบเปล่า แต่คิดไม่ถึงว่าจะเขียนจนเต็มหน้ากระดาษ

อันที่จริงแล้วอาจารย์เก็บข้อสอบไปก็ใช่ว่าจะตรวจแก้ให้ทุกข้อ เพียงแต่หนึ่งคือ เพื่อทำความเข้าใจพวกหัวข้อเหล่านั้นที่นักเรียนไม่เข้าใจ สองก็เพื่อการกำกับดูแล

ดูท่าน่าจะเป็นเพราะตัวอย่างข้อสอบของเซี่ยจื้อที่เขียนจนเต็มนี่แหละทำให้หลินเจวียนอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ตื่นตะลึงจริงๆ

เมื่อก่อนเวลาเรียกตอบคำถามในคาบเรียน จะเรียกตามลำดับเรียงไปเป็นแถว ทุกครั้งที่ถึงคิวเซี่ยจื้อ หลินเจวียนก็จะวนไปที่แถวข้างเลย เพราะหลินเจวียนรู้ว่าแปดเก้าส่วนเซี่ยจื้อไม่รู้คำตอบแน่ หากแต่ครั้งนี้พอหลินเจวียนเรียกชื่อเซี่ยจื้อ เซี่ยจื้อก็ยังตอบอธิบายได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนอีกด้วย ว่าทำไมถึงเลือกคำตอบข้อนั้น ทำให้หลินเจวียนตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก 

นี่จึงลำบากเพื่อนนักเรียนที่อยู่ด้านข้าง เดิมทีเพื่อนนักเรียนคนนั้นคิดว่าอาจารย์หลินจะข้ามเซี่ยจื้อไป ทำให้เขาต้องเตรียมตอบอีกข้อมือไม้เป็นพัลวัน

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal