(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน ความปรารถนาไร้เดียงสาของโอเมก้า Low Class เล่ม 1

Wednesday

ตอนที่ 5

โม่ฉือหิ้วคอหรงเชว่เหมือนจิกคอลูกเจี๊ยบเดินไปยังลิฟต์พิเศษ ขึ้นไปยังห้องพักผ่อนส่วนตัวของตัวเอง

เขาผลักประตูแล้วโยนหรงเชว่ทิ้งลงไปบนเตียง ตรึงร่างที่ดิ้นขลุกขลักไว้ ก่อนจะทึ้งเสื้อผ้าราคาถูกบนร่างของอีกฝ่ายออกจนหมด ซึ่งชายหนุ่มสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

ผิวแดงร้อนผ่าวของหรงเชว่สัมผัสไอเย็นภายในห้อง เขาตัวสั่นครู่หนึ่งแต่แล้วก็กระเถิบเข้าหาโม่ฉือที่ยังมีฟีโรโมนคุกรุ่น

โม่ฉือรู้สึกได้ว่าสภาพร่างกายหรงเชว่ที่ผอมบางกำลังสั่นเทา เจ้าตัวเปลือยกายเผยผิวอ่อนนุ่ม ดวงตาดำขลับคู่นั้นจ้องมายังตัวเขา ทั้งยังพยายามกระเถิบเข้าใกล้ยิ่งขึ้น ช่างเหมือนลูกนกที่เพิ่งฟักออกจากเปลือกไข่จริงๆ

จริงอยู่ที่หรงเชว่ดูผอมบาง แต่สองขากลับยาวเรียว ผิวเนียนนุ่ม นิ้วเท้าเล็กๆ นั่นงอเกร็งตามจังหวะที่ร่างสั่นสะท้าน บั้นท้ายแม้จะเล็ก แต่กลับเป็นจุดที่มีเนื้อหนังเยอะที่สุด เนื้อนวลนิ่มเหมือนก้อนแป้ง น่าหยิกเหลือเกิน ทำให้คนอยากจะแยกเรียวขานั่น ก่อนจะอัดความเป็นชายเข้ากาย พลางขยำเนื้อเนียนนุ่มนั่นให้สาแก่ใจ

โม่ฉือไม่ทนอีกต่อไป เขาคลายเข็มขัดออกแล้วจับหรงเชว่พลิกตัว แยกเรียวขากว้างก่อนจะขยายถ้ำรักที่เร่าร้อนเพราะกำลังติดฮีตนั่น กดเอวบอบบางไว้แล้วฝังแก่นกายอันแข็งแกร่งเข้าร่างนุ่มนิ่มในทันที

“โอ้...”

แม้กำลังฮีตอยู่แต่โดนความเป็นชายที่ร้อนผ่าวของโม่ฉือรุกรานจนมิดลำขนาดนี้ ทำให้ช่องทางรักของหรงเชว่รองรับได้ลำบาก ทั้งยังร่วมรักให้หฤหรรษ์ได้ยาก เจ้าตัวนอนหน้าซบเตียง ด้านหลังถูกครอบครองอย่างหนักหน่วง โม่ฉือสอดประสานอย่างไร้ความปราณี แต่ละครั้งล้วนรุกให้ถึงส่วนลึกที่สุด ดันไปถึงโพรงช่องคลอด หรงเชว่เสียวซ่านจนตัวเกร็ง โก่งหลังขึ้น ไม่นานนักเหงื่อบางๆ ก็ผุดขึ้นทั่วร่าง

โม่ฉือเห็นแผ่นหลังเกลี้ยงเกลาและต้นคอระหงของหรงเชว่ ผิวบนต้นคอที่แดงนิดๆ ปรากฎหยาดเหงื่อเกาะพราว ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มอย่างบอกไม่ถูก ในใจอดคิดไม่ได้ว่า กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าคนนี้ช่างสดใหม่และหวานหอมจริงๆ หากเขากัดที่ต่อมต้นคอ มันอาจจะหวานล้ำกว่านั้นก็เป็นได้

เพียงคิดเช่นนี้ ฟีโรโมนที่ปล่อยออกมาจากโม่ฉือก็ดูจะเข้มข้นยิ่งขึ้น หรงเชว่ถูกฟีโรโมนกลิ่นไม้จันทน์มอมเมาไปทั่วร่าง ฟีโรโมนของคนทั้งสองเกิดปฏิกิริยาร้อยรัดอยู่ภายในห้องที่ไม่ใหญ่นัก มันหลอมรวมในอากาศราวกับเปลวไฟที่ลุกโหม

 

 

โม่ฉือตื่นขึ้นมาตอนที่ฟ้าสว่างมากแล้ว เขารู้สึกสดชื่นเหลือเกิน อารมณ์ก็ดีมากด้วย มีบางอย่างที่นุ่มนิ่มอยู่ในอ้อมแขน เมื่อเลิกผ้าห่มขึ้นก็เห็นโอเมก้าที่โดนเขาทรมานตลอดทั้งคืนกำลังนอนหลับหนุนแขนเขาอยู่

โม่ฉือไม่ใช่คนที่หลงไหลไปกับความปรารถนาอันลึกซึ้ง แต่เมื่อคืนเขาร่วมรักจนถึงกลางดึก กระทั่งเจ้าหมาน้อยต้องปล่อยน้ำหลายครั้งกว่าจะผ่านพ้นช่วงติดฮีต จากนั้นก็เริ่มครวญครางขอให้เขาปล่อยตัว จนเมื่ออีกฝ่ายโดนร่วมรักจนตัวสั่นไม่เหลือน้ำให้ปล่อยออกมาอีกแล้ว โม่ฉือถึงได้ยอมวางมือ

แต่พอนึกถึงตอนที่ร่วมรักเสร็จ เขากลับนอนกอดเจ้าหมาน้อยตลอดทั้งคืน พลันเกิดความรู้สึกรังเกียจขึ้นในหัวใจ

เพราะอัลฟ่าอย่างพวกเขามักคิดกันว่า การมีเซ็กซ์นั้นเมื่อคนสองคนนอนกอดกันชนิดเนื้อแนบเนื้อแล้วละก็ นั่นแสดงให้เห็นถึงความหวานชื่น ซึ่งควรจะต้องทำกับคนรักที่รักกันอย่างดูดดื่มเท่านั้น

โม่ฉือกระชากท่อนแขนที่อยู่ใต้ศีรษะของหรงเชว่ออกอย่างไม่นุ่มนวลนัก ลุกจากเตียงด้วยกิริยาที่ดุดัน มองดูนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาเก้าโมงแล้ว เขาหันกลับไปมองคนบนเตียงแวบหนึ่ง ชายที่อยู่บนเตียงท่าทางคงเหนื่อยมาก กระทั่งโม่ฉือดึงแขนออกแล้วเจ้าตัวยังหลับสนิทได้อยู่

เส้นผมแห้งกรอบที่ยุ่งเหยิงปกปิดใบหน้าของเจ้าตัวกว่าครึ่ง เผยให้เห็นคางเรียวและริมฝีปากที่บวมช้ำเท่านั้น

ลำคอและไหล่ที่โผล่อยู่นอกผ้าห่มครึ่งหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยรอยกัดและจูบ ร่างกายผอมบางขดตัวเล็ก นอนนิ่งไม่ขยับอย่างน่าเวทนา ทั้งๆ ที่เจ้าหมาน้อยจงใจติดฮีตล่อลวงเขาแท้ๆ แต่ท้ายที่สุดสภาพนี้กลับเหมือนว่าเขาเป็นฝ่ายทารุณกรรมอีกฝ่ายเสียมากกว่า

กลิ่นฟีโรโมนของสองคนผสมปนเปกันอยู่ในอากาศ หวานล้ำอย่างยากจะบรรยาย โม่ฉือไม่ชอบกลิ่นที่ว่านี้เลย เขาเปิดหน้าต่างกว้างแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

ระหว่างที่อาบน้ำ ชายหนุ่มยังไม่ลืมคิดแผนจัดการคนตัวเล็กที่นอนอยู่บนเตียง

คนคนนี้ยั่วยวนเขาตั้งสองสามครั้งแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า ความรู้สึกที่ได้นอนกับอีกฝ่ายนั้นไม่เลวเลยทีเดียว การตอบสนองทางร่างกายเป็นไปอย่างธรรมชาติช่างน่ารักน่าเอ็นดู กลิ่นฟีโรโมนบนร่างอีกฝ่ายก็ไม่ทำให้เขารังเกียจอะไรนักหนา ยิ่งไปกว่านั้นมันกลับหอมหวานจนเขารู้สึกติดใจอยู่บ้าง...

นึกถึงสองครั้งที่ได้ร่วมรักกัน ชายคนนั้นถูกเขาทรมานจนหมดสภาพ โม่ฉือพลันใจอ่อนยวบอย่างไม่รู้สาเหตุ

เขาคิดไปไกลว่าถ้าอีกสักครู่ออกจากห้องน้ำมาแล้วพบว่าคนตัวเล็กที่ขดตัวเปลือยกายอยู่ใต้ผ่าห่มที่มีเพียงผมยุ่งๆ โผล่ออกมา และอยู่ในสภาพดวงตาแดงเรื่อ ร่างกายสั่นเทา น้ำตาปริ่มด้วยความตกใจเหมือนหมาน้อยนั่น หากเข้ามาจับชายเสื้อของเขา ขอโทษเขาอย่างน่าเวทนา และสัญญาว่าจะไม่คิดเอาสเปิร์มของเขาไปอีก บางทีเขาอาจจะพิจารณาปล่อยอีกฝ่ายไปก็ได้

โม่ฉือแทบจะตกใจกับความมีคุณธรรมของตัวเอง เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็หวังจะได้เห็นคนตัวเล็กอ้อนวอนขอร้องเขาจริงๆ

ดังนั้นเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมาเห็นเพียงเตียงกว้างที่ว่างเปล่า และกระดาษที่วางไว้บนหัวเตียงซึ่งระบุว่า ‘ขอบคุณที่ดูแลผมนะครับ ลำบากคุณแล้ว’ ใบหน้าหล่อเหลาพลันแดงก่ำคล้ายภาพที่ระบายด้วยสีน้ำมันจัดจ้านเลยทีเดียว

ไม่รู้ว่าทำไมโม่ฉือถึงมีความรู้สึกเหมือนโดนปล้ำ แถมเจ้าคนที่ปล้ำก็สะบัดก้นหนีเขาไปทิ้งไว้เพียงกระดาษแผนเดียวอีกด้วย เขารู้สึกเหมือนโดนหมิ่นเกียรติเลยทีเดียว

กระดาษแผ่นนั้นถูกฉีกขาดกระจุยกระจาย โม่ฉือกัดกรามกรอดๆ จ้องเศษกระดาษในถังขยะ ความโมโหที่เกิดขึ้นไม่ลดลงเลยแม้จะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว นั่นไงละ สำหรับเจ้าหมาน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนั่น เอาตัวมาฉีกเนื้อเถือหนังให้ตายทั้งเป็นถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด!

 

 

หรงเชว่หนีออกจากห้องของโม่ฉือมาได้ก็รีบกลับไปอาบน้ำที่ห้องของตัวเอง เตรียมตัวตายอยู่ในห้องพัก

เหยียนซีไม่อยู่บ้าน หรงเชว่โทรหาก็ไม่รับสาย เขาจึงเขียนจดหมายฝากฝังไว้ถึงสองหน้ากระดาษเต็ม แล้วนำมาวางไว้บนโต๊ะกาแฟเพื่อให้อีกฝ่ายกลับมาอ่านได้สะดวก

ในตอนแรกเขายังหวังว่าอาจจะโชคดีรอดมาได้ แต่ครั้งนี้ต้องบอกเลยว่าหรงเชว่ไม่คิดจะมีชีวิตรอด แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมโม่ฉือถึงไม่ปล่อยให้เขาไปใช้ยาระงับฟีโรโมน แต่ในฐานะที่เป็นพนักงานของโม่กรุ๊ป กลับไม่ได้กินยาระงับฟีโรโมนตามเวลาที่กำหนด จนส่งผลให้เกิดฮีตขึ้นมากลางดึกแล้วยั่วยวนบิ๊กบอสให้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วย หากรวมหนี้แค้นเก่าใหม่ทั้งหมดแล้ว เขาไม่น่าจะรอด

โม่ฉือรู้แล้วว่าหรงเชว่เป็นพนักงานในบริษัทตัวเอง หากคิดจะหาเขาให้เจอย่อมเป็นเรื่องง่าย หรงเชว่อาศัยจังหวะที่โม่ฉืออาบน้ำอยู่รีบหนีกลับบ้าน เพราะอยากจะสั่งเสียเหยียนซีก่อน จากนั้นก็ไปหาเสื้อผ้าดีๆ มาสวม รอเผชิญหน้ากับความตาย

ตอนที่จากมานั้น หรงเชว่ได้ทิ้งโน้ตเอาไว้ หวังว่าโม่ฉือจะเห็นแก่ความมีมารยาทของเขา อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เวลาที่จับตัวเขาไปจะได้ให้เขาตายอย่างไม่ทรมานมากนัก

 

 

ทว่าสองชั่วโมงหลังจากนั้น หรงเชว่ก็นั่งอยู่ในรถหรูอีกครั้ง มองดูโม่ฉือที่มีทีท่าอยากจะบดขยี้เขาทั้งเป็น รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขาไร้เรี่ยวแรงอ่อนยวบ สมองที่ไม่ได้ฉลาดนักคิดต่ออย่างยืดยาวว่า เห็นทีโม่ฉือคงจะไม่ได้อารมณ์ดีขึ้นจากโน้ตที่เขาทิ้งเอาไว้ให้

ไม่รู้ว่ารถยนต์คันนี้จะขับไปถึงที่ไหน เขาไม่กล้าเอ่ยปากถาม ได้แต่นั่งขดตัวอยู่ในรถหรูอย่างเงียบๆ เพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จผมสั้นๆ ของหรงเชว่จึงดูนุ่มเป็นพิเศษ ดวงตาแดงช้ำยังไม่หายบวม มุมหนึ่งของริมฝีปากถูกกัดจนถลอก ลำคอปรากฏรอยจูบเป็นจ้ำๆ ดวงตาดำขลับเหมือนหมาน้อยออกจะกระวนกระวายไม่เป็นสุข แฝงความความระมัดระวัง ท่าทางอิดโรย เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนโดนทรมานมาอย่างหนัก ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน

ระหว่างที่หรงเชว่กำลังคิดว่าโม่ฉือจะลากเขาไปเผาแล้วฝังเลยหรือเปล่านั้น มือถือของโม่ฉือพลันดังขึ้นมา เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันในสถานที่ปิดเช่นนี้ ทำให้หรงเชว่ตกใจตัวสั่น ดวงตาที่เหมือนดวงตาของหมาน้อยมองหาที่มาของเสียง พลางกลั้นลมหายใจ ท่าทางหวาดหวั่นจริงๆ

โม่ฉือกดปุ่มฟัง เป็นสายจากเลขาที่โทรมารายงานผลการตรวจสอบหรงเชว่

ปลายสายแจ้งเรื่องการทำงานของหรงเชว่ในบริษัท เป็นการย้ำว่าหรงเชว่มีงานที่ต้องอยู่ทำโอทีจริงๆ ถึงได้อยู่จนดึกดื่น

หลังจากวางสายแล้ว สีหน้าของโม่ฉือไม่ถมึงทึงอีกต่อไป เดิมที่เขาคิดว่าเจ้านี่น่าจะมาอ่อยเขาแน่ๆ ดังนั้นตอนที่เจ้าตัวร้องขอให้ปล่อยตัวเพื่อจะได้ไปใช้ยาระงับฟีโรโมนนั้น โม่ฉือจึงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังทำมารยาสาไถยอยู่จึงไม่ยอมปล่อยตัว ซ้ำยังยิ่งไม่ได้ใช้สมองคิดสักนิดก็ลากคนตัวเล็กเข้าห้องพักแล้ว ทั้งหมดนี้เขาคิดไม่ถึงว่าจะเป็นการเข้าใจผิดอย่างแท้จริง

เพราะความพิเศษของร่างกายโอเมก้า รัฐบาลได้ออกคำสั่งมานานแล้วว่าทุกคนมีหน้าที่ช่วยเหลือโอเมก้าที่ติดฮีตกะทันหันให้ได้ใช้ยาระงับฟีโรโมนอย่างเร่งด่วน

ฉะนั้นหากพูดกันตามข้อเท็จจริงแล้ว เรื่องเมื่อคืนวานนั้นเกิดขึ้นเพราะเขาเข้าใจผิดไปเอง

หากเขาให้หรงเชว่ได้ใช้ยาระงับฟีโรโมนทันเวลาย่อมไม่เกิดเหตุการณ์เลยเถิด ประกอบกับตัวเขาเองก็หวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ ถึงได้ปล่อยเลยตามเลยไปเช่นนั้น

โม่ฉือเงยหน้าสบตาผู้ชายที่มีท่าทีหวาดหวั่น เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตัวสั่นเมื่อรับรู้ถึงสายตาของเขาจึงรีบหดคอด้วยความหวาดกลัว

โม่ฉือกระแอมในลำคอด้วยสีหน้าเย็นชา เอ่ยเสียงทุ้ม “เมื่อกี้เช็กแล้ว เรื่องเมื่อคืนมันบังเอิญเท่านั้น”

หรงเชว่รีบพยักหน้า ในเมื่อโม่ฉือมั่นใจว่าเขาไม่ได้จงใจจะมีความสัมพันธ์ด้วย เช่นนั้นเขาอาจจะยังมีชีวิตรอดอยู่ จึงลอบถอนหายใจ

แน่ละ โม่ฉือย่อมไม่มีวันยอมรับต่อหน้าหรงเชว่เด็ดขาดว่าเรื่องเมื่อคืนวานเกิดจากความเข้าใจผิดของตัวเขาเอง ยังคงมีท่าทีหยิ่งยโส นั่งไขว่ห้างพลางเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “แต่...ในฐานะเป็นโอเมก้าแล้วยังไม่เคร่งครัดกับการใช้ยาระงับฟีโรโมน แถมจงใจติดฮีตตรงหน้าฉันอีก การทำความผิดโง่ๆ แบบนี้...”

“ขอ ขอโทษ...” พอโม่ฉือพูดแบบนี้ออกมา ก็ได้ยินเสียงสั่นๆ เอ่ยขอโทษของหรงเชว่ดังขึ้นเหมือนที่คาดการณ์ไว้ “ผมยังไม่เคยเกิดเหตุเหนือความคาดหมายแบบนี้มาก่อนเลย...”

“ไม่เคยเกิด ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิดตลอดไป” โม่ฉือแค่นเสียงเย็น มองดูใบหน้าใสสะอาดที่แสนจะซื่อบื้อของหรงเชว่ “ถ้าจู่ๆ นายเกิดติดฮีตขึ้นมาระหว่างที่ทำงานอยู่ รู้ไหมจะทำให้เกิดผลเสียยังไงกับบริษัท? อัลฟ่าทั้งหมดของบริษัท ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งสำคัญมากน้อยแค่ไหน จะต้องหยุดงานที่ทำทันทีแล้วต้องออกไปอยู่ข้างนอกบริษัท พวกเขาจะต้องรอจนครบสองชั่วโมงก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีกลิ่นฟีโรโมนของนายแล้ว ถึงจะกลับเข้าไปทำงานต่อได้ นายน่าจะรู้ว่าบริษัทเรามีอัลฟ่ามากแค่ไหน แล้วพวกเขาทำงานตำแหน่งอะไร? ถ้าต้องหยุดงานถึงสองชั่วโมง มันจะส่งผลเสียให้บริษัทมากแค่ไหน? หรงเชว่ย่อมรู้ดีว่าโอเมก้าคนหนึ่งหากเกิดฮีตขึ้นมาในสถานที่ที่มีผู้คนอยู่มากมายแล้วละก็ จะเกิดความวุ่นวายและส่งผลร้ายแรงมากแค่ไหน แต่เขาก็พยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “แต่...แต่ผมเป็นโอเมก้าโลว์คลาส กลิ่นฟีโรโมนอ่อนมาก...ต่อให้พยายามปล่อยฟีโรโมนออกมามากแค่ไหน ก็มีอัลฟ่าน้อยคนที่จะได้รับกลิ่นของผม...”

โม่ฉือคิดไม่ถึงว่าเจ้าคนตัวเล็กนี่ยังจะกล้าเถียงต่อหน้าเขาได้อีก โม่ฉือถลึงตาใส่อย่างดุดัน เอ่ยเสียงดังว่า “นายกำลังสงสัยคำพูดของฉัน?”

หรงเชว่หวาดกลัวฉับพลัน ขดตัวอยู่ฟากหนึ่งของรถ ส่าบศีรษะไปมาเหมืองของเล่นป๋องแป๋งเลยทีเดียว

 

 

ตอนที่ 6

รถที่แล่นมาตลอดหยุดลงทันที โม่ฉือลงจากรถก่อนแล้วหันไปมองหรงเชว่ที่อยู่ด้านใน “ลงมา”

หรงเชว่รีบลงจากรถทันทีโดยไม่รีรอ ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าก็มองเห็นป้ายชื่อของโรงพยาบาลเอกชนห่งหนึ่งก็ถึงกับตะลึงงันในทันใด

เขาไม่โง่พอจะคิดว่าโม่ฉือว่างมากเลยพาเขามาเดินเล่นในโรงพยาบาลหรอกนะ หากเทียบกับการมาเดินเล่นแล้ว เขารู้สึกว่าโม่ฉือพาเขามากระทำการการุณฆาตเสียมากกว่า

โม่ฉือเดินไปสองก้าวเห็นหรงเชว่ยืนข้างรถไม่ขยับ จึงอดที่จะเลิกคิ้วไม่ได้แล้วกล่าวเร่ง “ยืนเซ่อทำไมล่ะ? ตามมาเร็วเข้า ฉันยิ่งรีบๆ อยู่”

หรงเชว่ตกใจจนน้ำตาคลอ จมูกแดงไปหมด ตัวของเขาสั่นยืนแข็งไม่กล้าขยับ วิงวอนอย่างน่าสงสาร “ประ...ประธานโม่ ผมผิดไปแล้ว...ผมมันไม่ดีเอง ไม่ควรทำให้คุณโกรธ คุณ...คุณอย่าฆ่าผมเลย ที่บ้านผมยังมีคุณปู่อายุแปดสิบ...”

โม่ฉือมองดูเจ้าหมาน้อยที่ไม่รู้คิดบ้าอะไรในสมอง เส้นเลือดที่ขมับถึงกับเต้นตุบๆ เลยทีเดียว จากนั้นก็เอ่ยเน้นทีละคำออกมา “ฉันบอกตั้งแต่เมื่อไรว่าจะฆ่านาย?”

ทั้งสองร่วมรักกันสองครั้ง แต่ละครั้งไม่ได้ป้องกันเลย เพื่อความปลอดภัย โม่ฉือจึงคิดพาอีกฝ่ายมาตรวจร่างกายให้มั่นใจว่าไม่มีโรคติดตัว จริงๆ แล้วเขาสามารถสั่งให้คนอื่นทำแทนได้ แต่เรื่องที่เขานอนกับโอเมก้าโลว์คลาสถึงสองครั้งนี่ไม่ใช่เรื่องที่บอกใครได้ แถมยังเป็นเรื่องน่าขายหน้าอีกด้วย เขาจึงเป็นคนพามาเองเพื่อความสบายใจ

ทว่าเจ้านี่กลับคิดว่าเขาจะพามาฆ่าทิ้ง? มีสมองหรือเปล่า? คนอย่างโม่ฉือเนี่ยนะ ถ้าต้องการจะฆ่าใคร จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองหรือ?

หรงเชว่ยังคงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว โม่ฉือทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว “ถ้านายยังไม่เดินมาอีก ฉันจะยัดนายเข้าตู้เก็บศพในห้องดับจิตเดี๋ยวนี้เลย!”

เมื่อได้ยินโม่ฉือพูดอย่างนั้น หรงเชว่เกิดความกลัวขึ้นมาจริงๆ รีบวิ่งตามไปโดยไม่เต็มใจเท่าไร

เพราะแจ้งล่วงหน้าเอาไว้แล้ว เมื่อเข้ามาในโรงพยาบาลก็มีเจ้าหน้าที่มาดูแลเป็นพิเศษ ไม่จำเป็นต้องรอคิว ใช้เวลาไม่นานก็เจาะเลือดเอาไปตรวจ ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย

โม่ฉือรู้ดีว่าแม้จะร่วมรักกันถึงสองครั้งโดยไม่ได้ป้องกัน แต่หรงเชว่ก็ไม่น่าจะตั้งท้องได้หรอก แต่เพราะเห็นว่าในเมื่อมาโรงพยาบาลแล้วก็ทำอัลตราซาวน์ให้มั่นใจกันไปเลย

คนที่โรงพยาบาลไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา แต่การที่คนคนนี้สามารถทำให้โม่ฉือพามาตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตัวเองได้นั้น ต่างคิดว่าทั้งสองต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาแน่

คุณหมอชราที่ตรวจทั้งสองก็คิดเช่นนั้น เมื่อดูผลตรวจอัลตราซาวน์ ก็มั่นใจว่าสองคนนี้เป็นสามีภรรยากัน จึงเอ่ยขึ้นว่า “ผลการตรวจเลือดไม่มีปัญหา คุณทั้งสองคนร่างกายแข็งแรง ผลอัลตราซาวน์พบว่าโอเมก้ายังไม่มีร่องรอยการตั้งครรภ์ พวกคุณน่าจะรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี โอเมก้าโลว์คลาสตั้งท้องยาก แถมผลตรวจนี้ยังบอกว่า สภาพโพรงช่องคลอดของคุณยังไม่สมบูรณ์...”

ถึงหรงเชว่จะรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี แต่พอได้ยินคุณหมอที่ชำนาญด้านนี้บอกก็ยิ่งทำให้เขาผิดหวังมากยิ่งขึ้น คุณหมอที่เชี่ยวชาญมากๆ ยังพูดแบบนี้ เห็นทีโอกาสในการตั้งท้องของเขาคงริบหรี่เสียแล้ว...

คุณหมอย่อมเห็นความผิดหวังจากสีหน้าของหรงเชว่จึงเอ่ยปลอบใจ “แต่พวกคุณไม่ต้องกังวลใจไป แฟนคุณเป็นอัลฟ่าระดับซูเปอร์ไฮคลาส โอกาสที่ทำให้คุณตั้งท้องจึงมีสูงมาก พวกคุณช่วยกันเติมเต็มข้อบกพร่องนี้ได้ การตั้งท้องถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้นเอง ตอนนี้พวกคุณต้องทำใจให้สบาย บำรุงร่างกายให้ดี คุณน่ะผอมเกินไปแล้วนะ ต้องกินอาหารบำรุงดีๆ หน่อย พอร่างกายสมบูรณ์ก็ตั้งท้องได้เอง...”

“อ๊ะ?” หรงเชว่พอจะรู้แล้วว่าคุณหมอเข้าใจผิดคิดว่าเขากับโม่ฉือเป็นคู่รักกัน จึงรีบปฏิเสธ “คุณหมอ เข้าใจผิดแล้วครับ พวกเรา พวกเราไม่ใช่คู่รัก...”

เขาอดมองดูโม่ฉือที่หน้าตาเรียบเฉยอยู่ด้านข้างแวบหนึ่งไม่ได้ ใบหน้าเล็กๆของหรงเชว่ก็ร้อนขึ้นมาอย่างระงับไม่อยู่ การมีคนรักอย่างโม่ฉือน่ะเหรอถือเป็นเรื่องที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด

คุณหมอกำลังตรวจดูผลแล็ปของทั้งสองพอได้ยินที่หรงเชว่พูดก็ถึงกับดันแว่นของตัวเองขึ้นทันที “อ้อ คุณยังไม่โดนตีตรานี่ งั้นก็ไม่ใช่คู่รักกันจริงๆ นั่นแหละ หมอขอเสนอให้พวกคุณตีตราเถอะ เพราะตอนที่ตีตราอัลฟ่าจะเสียวกระสันต์เพิ่มขึ้น แล้วมีโอกาสสูงมาที่โคนอวัยวะเพศจะขยายตัวเกิดน็อต* (น็อต : หมายถึง การที่โคนของอวัยวะเพศชายขยายตัวและล็อหติดอยู่ในโพรงช่องคลอดคู่นอน ซึ่งจะต้องปล่อยน้ำอสุจิให้หมดก่อน ถึงจะคลายตัวกลับมาเป็นปกติ) ล็อกติดในร่างกายของโอเมก้า แล้วจะทำให้มีโอกาสในการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นมากเลยทีเดียว”

หรงเชว่ยิ่งฟังก็ยิ่งหน้าแดง รู้สึกรับไม่ไหวเมื่อพูดถึงเรื่องตีตราเกิดน็อตทำนองนี้ ไม่รู้จะตอบยังไงจึงได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ “เปล่า เปล่าครับ คุณหมอ เรา เรา....”

โม่ฉือเห็นอีกฝ่ายซื่อบื้อจนหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ จะกลายเป็นโคมแดงอยู่รอมร่อแล้ว ถ้าคุณหมอยังเข้าใจผิดพูดต่อไปเรื่อยๆ เจ้าหมาน้อยนี่อาจจะอายหน้าแดงจนระเบิดไปเลยก็เป็นได้

เห็นอีกฝ่ายเขินอายและร้อนรนจนพูดไม่เป็นภาษา พลันนึกถึงเรื่องที่ตัวเองอยากถามคุณหมอขึ้นมาได้ เขาบอกหรงเชว่ว่า “นายออกไปก่อน”

หรงเชว่เหมือนได้รับคำสั่งที่ช่วยปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ เขารีบลุกขึ้นออกจากห้องตรวจไปนั่งที่เก้าอี้หน้าประตูโดยดี

โม่ฉือไล่หรงเชว่ออกไปข้างนอกแล้วจึงถามคุณหมอด้วยน้ำเสียงเข้ม “ขอถามหน่อย ผลตรวจฟีโรโมนของผมไม่มีปัญหาใช่ไหม?”

คุณหมอมองดูผลแวบหนึ่ง “ไม่มีปัญหา แข็งแรงดี”

โม่ฉือขมวดคิ้ว “แต่ทำไมผมถึงหวั่นไหวกับฟีโรโมนของโอเมก้าโลว์คลาสได้ง่ายขนาดนั้นล่ะ?”

คุณหมอดันแว่นหนาบนหน้าตัวเองขึ้นอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าสบตาโม่ฉือ “คุณเป็นอัลฟ่าระดับซูเปอร์ไฮคลาส ฟีโรโมนแข็งแกร่งมาก สามารถต่อต้านฟีโรโมนของโอเมก้าได้สูงกว่าอัลฟ่าธรรมดา ปกติแล้วคุณไม่น่าจะหวั่นไหวกับโอเมก้าโลว์คลาส”

“แต่ก็หวั่นไหวจนเผลอตัวไปแล้ว” โม่ฉือกัดฟัน “แถมไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย”

คุณหมอวิเคราะห์ “บางทีอาจเป็นเพราะพวกคุณมีความเข้ากันได้สูงมาก...”

ว่าแล้วก็หยิบผลการตรวจของคนทั้งสองมาดูแล้วเอ่ยว่า “ระดับความเข้ากันมีค่า ร้อยละแปดสิบเจ็ด...”

ชายหนุ่มพูดต่อว่า “ก็ถือว่าไม่สูงมาก ขอแค่ผมไม่อยาก ต่อให้เข้ากับโอเมก้าได้สูงถึงร้อยละเก้าสิบห้า ก็ไม่ทำให้ผมหวั่นไหวได้” คุณหมอพยักหน้าเห็นด้วย “อัลฟ่าระดับซูเปอร์ไฮคลาสสามารถทำได้จริงๆ”

โม่ฉือยิ่งไม่เข้าใจ “แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”

คุณหมอวางผลตรวจลงจากนั้นก็หันไปเหลือบมองหรงเชว่ที่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ที่นอกห้อง แล้วหันกลับมามองโม่ฉือ เอ่ยอย่างมีนัยยะ “คุณมีรสนิยมชอบโอเมก้าสเปกนี้”

“รสนิยมของผมเหรอ?” โม่ฉือคิดว่ามันช่างเป็นเรื่องน่าตลก รอบตัวเขาเต็มไปด้วยชายหญิงที่ดีเลิศมากมาย แต่ละคนหน้าตาสวยงาม ออร่าเจิดจ้าน่ารักน่าเอ็นดู ทั้งยังฉลาดเฉลียวเรียกว่าสมบูรณ์ครบทุกอย่าง แต่คุณหมอกลับพูดว่าเขาถูกใจสเปกแบบเจ้าหมาน้อยซื่อบื้อที่รูปร่างอย่างกับถั่วงอกเนี่ยนะ แถมยังเป็นโอเมก้าโลว์คลาสอีกต่างหาก?

โม่ฉืออดไม่ได้ที่จะหันไปมองหรงเชว่ที่กำลังนั่งเจียมตัวรอเขาอยู่นอกห้อง หลังจากสืบหาที่อยู่ของอีกฝ่ายเจอในตอนเช้า เขาก็ให้บอดี้การ์ดไปลากตัวเจ้านี่ออกจากห้องเช่าโทรมๆ นั่นทันที เป็นเพราะต้องรีบเดินทาง ทำให้เจ้าหมอนี่จึงสวมเพียงเสื้อฮู้ดดี้* (เสื้อฮู้ดดี้คือเสื้อแจ็กเก็ตกันหนาวที่มีฮู้ด) สีขาว และกางเกงยีนส์เก่าๆ เสื้อตัวนั้นดูหลวมโพรก ออกจะเทอะทะเมื่อสวมอยู่บนตัวเขา ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูผอมบางมากขึ้นกว่าเดิม บวกกับใบหน้าเล็กใสขาวนวลและดวงตาดำเหมือนหมาน้อย ส่งผลให้เอีกฝ่ายดูเหมือนเด็กมัธยมปลายเลยทีเดียว

เวลานี้เจ้าหมาน้อยกำลังมองคุณแม่คนหนึ่งที่อุ้มลูกน้อยอยู่ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นและอิจฉา ท่าทางเจ้านี่คงจะชอบเด็กมากจริงๆ มุมปากของเขาจึงเผลอยกขึ้นเผยรอยยิ้มบางๆ แก้มเป็นสีชมพูระเรื่อในขณะที่มองเด็กน้อยข้างตัวด้วยความเอ็นดู

ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของโม่ฉือ หรงเชว่เหลียวหลังมองทันที รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ดวงตาดำขลับกลมโต เจ้านี่ช่างเหมือนหมาปอมที่เขาเคยเลี้ยงเมื่อตอนเป็นเด็กเหลือเกิน

บ้าเอ๊ย!

โม่ฉือมีสีหน้านิ่งสงบ อดสบถในใจไม่ได้ว่า ทำไมเจ้านั่นถึงได้น่ารักเป็นบ้าเลยวะ!

ต่อให้เป็นเช่นนั้น โม่ฉือยังไม่อาจยอมรับคำพูดของคุณหมอที่ว่าเป็นเพราะ ‘รสนิยม’ ของเขาเองได้ เขาเดินหน้าบึ้งออกจากห้องตรวจมา

ด้านหรงเชว่พอเห็นโม่ฉือเดินออกมาก็รีบลุกขึ้นยืนทันทีแล้ววิ่งตามหลังเขาไป ช่างเหมือนหมาน้อยจริงๆ

เดิมทีโม่ฉือพาหรงเชว่มาโรงพยาบาลก็เพื่อตรวจเช็กว่าอีกฝ่ายไม่มีโรคอะไรติดตัว เวลานี้ผลตรวจออกมาว่าไม่มีปัญหา เขาจึงคร้านจะพูดกับอีกฝ่ายแล้ว ระหว่างที่รอคนขับรถมารับ โม่ฉือหันไปสบตาหรงเชว่พลางเอ่ยเสียงเย็นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เรื่องเมื่อวานถือเป็นความผิดของฉันเหมือนกัน ฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมก็ถือว่าเจ๊ากันไป”

พอเห็นคนตัวเล็กทำท่าโล่งอกแล้วโม่ฉือเลยเน้นเสียงหนักกว่าเดิมย้ำว่า “แต่ ต่อไปอย่ามาหวังสเปิร์มของฉันเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะไม่เกรงใจแล้ว!”

“ครับ ครับ” หรงเชว่พยักหน้ารัวๆ สีหน้าจริงจัง ต่อให้เขาใจกล้ามากแค่ไหน ก็ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้อีก

โม่ฉือเอ่ยน้ำเสียงดุดัน “ต่อไปเวลาอยู่ในบริษัทต้องเดินเลี่ยงฉัน เข้าใจไหม? ถ้าให้ฉันเห็นนายแม้แค่แวบเดียว งานที่นี่ก็ไม่ต้องทำอีกต่อไปแล้ว”

หรงเชว่พยักหน้าอย่างจริงจังสุดชีวิต ไม่กล้าซี้ซั้วสักนิด “ครับๆๆๆ”

 เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีรู้สึกผิด โม่ฉือก็คร้านจะเอาเรื่อง ทว่าคนขับรถก็ไม่มาสักที ระหว่างรอเขาจุดบุหรี่สูบ “เอาละ นายไปได้แล้ว”

หรงเชว่ได้ยินว่าโม่ฉือยอมปล่อยเขา ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก แค่กล่าวลาแล้วเผ่นหายไปเลย

โม่ฉือยืนสูบบุหรี่พลางมองดูอีกฝ่ายที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุนจนเกือบจะล้มกระแทกพื้นลงไปแล้ว เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายโคตรซื่อบื้อ ไม่คิดว่าตัวเองจะนอนกับคนแบบนี้ถึงสองครั้ง ถือเป็นความด่างพร้อยในชีวิตจริงๆ...

ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ไกลออกไปเรื่อยๆ บุหรี่ในมือมอดไหม้ไปพอสมควรแล้ว ขณะกำลังจะถอนสายตากลับมานั้นก็เห็นร่างชายคนหนึ่งที่ดูไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไรเข้าไปใกล้หรงเชว่พอดี เหมือนคนคนนั้นทำท่าจะตีสนิทเจ้านั่น

ผู้ชายคนนั้นโอบไหล่หรงเชว่ไว้ โม่ฉือที่อยู่ในท่าสูบบุหรี่ยืนนิ่งพินิจภาพตรงหน้าอย่างจริงจัง

โม่ฉือเห็นทั้งสองพูดคุยอะไรกันสักอย่างอยู่ไกลๆ แล้วหรงเชว่ก็พยักหน้าหงึกหงักเหมือนคนโง่ ผู้ชายคนนั้นยิ้มเจ้าเล่ห์ โอบไหล่เจ้างั่งนั่นแล้วกำลังจะพาเข้าไปในผับด้านข้าง ส่วนเจ้าคนโง่ก็ปล่อยให้โดนโอบโดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรทั้งสิ้น

โม่ฉืออดหัวเราะหยันในใจไม่ได้ ผู้ชายคนนี้ช่างโง่จริงๆ แค่เห็นก็รู้ว่าคนแปลกหน้านั่นไม่ใช่คนดี หน้าตาชั่วร้าย แถมยิ้มยังเจ้าเล่ห์อีกด้วย เจอโอเมก้าระหว่างทางก็ลากเข้าผับไปด้วยกันแล้ว จะต้องมีเป้าหมายอะไรสักอย่างแน่นอน เจ้าหมาน้อยเดินตามเข้าผับไปแบบนั้น น่ากลัวว่าจะตายยังไงก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ...

แต่ลองคิดอีกที เขากับเจ้าหมาน้อยนอนกันแค่สองครั้งเท่านั้น ความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่านั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหรือตาย ล้วนแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาสักนิด

ถึงแม้จะคิดเช่นนี้ แต่สายตาของโม่ฉือก็ยังคงไม่ละไปจากตัวของหรงเชว่ เมื่อเห็นเจ้าหมาน้อยกำลังจะถูกพาตัวเข้าไปในผับที่น่าจะเป็นผับลับๆ อีกทั้งชายคนนั้นยังเดินพลางลูบมือน้อยๆ นั่นพลางอย่างน่าสะอิดสะเอียน

โม่ฉือถึงกับเส้นเลือดที่ขมับปูดอีกครั้งหลังจากที่พยายามทำให้มันกลับเป็นปกติได้อย่างไม่ง่าย คิดว่าตัวเองใกล้จะยอมแพ้คนตัวเล็กเสียแล้ว ชายหนุ่มบี้บุหรี่ในมือแล้วโยนเข้าถังขยะข้างทาง จากนั้นก็สาวเท้าก้าวเดินออกไป

หรงเชว่กำลังจะจะผลักประตูเข้าไปในผับ ต้นคอพลันถูกคว้าหมับ รู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลัง เขาเซถลาไปด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว แผ่นหลังปะทะกับแผงอกแข็งแกร่ง หรงเชว่เงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นดวงตาเย็นชาคู่สวยของโม่ฉือ

เมื่อเหยื่อถูกคนแย่งไปจากมือต่อหน้าต่อตา เจ้าคนล่าเหยื่อที่ใกล้จะสมหวังจึงจะอ้าปากด่า แต่พอหันมาเห็นโม่ฉือที่มีกลิ่นอายดุดันก็จ๋อยไปทันที

โม่ฉือคร้านจะพูดมาก เพียงเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมก็ทำให้ฝ่ายหลังตกใจฉี่แทบราดรีบหนีไปในทันที

ต้นคอของหรงเชว่ยังคงอยู่ในอุ้งมือของโม่ฉือ เขารู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เขาแหงนศีรษะเล็กน้อย ดวงตาดำขลับจ้องอีกฝ่าย “ประ...ประธานโม่ ยังมีธุระอะไรอีกหรือ?”

โม่ฉือยังไม่ทันตอบ คนขับรถก็นำรถมาจอดข้างทางพอดี โม่ฉือเปิดประตูรถแล้วดันอีกฝ่ายให้เข้าไปในรถได้ง่ายดาย ก่อนจะตามเข้าไปติดๆ

หรงเชว่ที่ถูกยัดตัวเข้าไปในรถยังคงงุนงงง ไม่ทันได้สติดีนักก็ได้ยินโม่ฉือด่ารุนแรง

“นายโง่หรือเปล่า? สมองไม่ดีก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลซะ ยังจะไปผับ ไปเกาะแกะคนแปลกหน้าง่ายๆ แบบนี้อีก? คิดว่าตัวเองมีชีวิตอยู่นานเกินไปแล้วใช่ไหม?”

หรงเชว่มองโม่ฉือที่ทำหน้าตาดุดันแล้วรู้สึกผวาขึ้นมา จึงรีบหดคอทันที “ก็ ก็เขาบอกว่าในผับมีงานพาร์ทไทม์ที่เหมาะกับผม...”

“ผับสั่วๆอย่างนั้นให้โอเมก้าอย่างนายไปทำพาร์ทไทม์โดยเฉพาะเนี่ยนะ หมายความว่ายังไงนายไม่รู้หรือไง?” “เอ่อ...”

โม่ฉือมองดูใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่งุนงงไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก เขาหัวเราะเสียงหยันออกมา “อ้อ จริงด้วย นายอยากท้องมาตลอดเลยนี่? ได้ทำพาร์ทไทม์แบบนี้คงได้ท้องสมใจอยาก”

พอโม่ฉือพูดแบบนี้แล้ว สีหน้าของหรงเชว่ก็ปรากฏแววอับอายฉายชัด ใบหน้าขาวนวลแดงขึ้น ยังไม่ทันได้ตอบอะไร โม่ฉือก็หัวเราะขึ้นมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

ถึงฉันไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของนาย แต่นายยังคงเป็นพนักงานของบริษัทฉัน ในฐานะที่เป็นบอส ฉันขอเตือนนายหน่อย นายน่าจะรู้ตัวดีว่าไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงได้อยากจะรีบมีเด็กนัก แต่นายควรต้องระวังตัวให้ดีกว่านี้ไม่ใช่ว่ามั่วไปทั่วแต่ไม่ได้ท้องดันจะติดโรคมาแทนน่ะสิ”

“ผม ผมเปล่า...” หรงเชว่ตื่นตระหนกเพราะความเข้าใจผิดของโม่ฉือ หน้าแดงยิ่งกว่าเดิม “ผมไม่มีโรคติดตัว...”

จากนั้นก็พูดเสริมเสียงเบา “ผมไม่ได้มั่ว...”

โม่ฉือกลับไม่เชื่อ “ไม่จำเป็นต้องโกหกฉัน”

“ผมพูดจริงๆ” หรงเชว่ร้อนรน หลุบตาแดงๆ นั่นลงเหมือนหมาน้อย เขามองดูโม่ฉือที่นั่งคนละฝั่งเอ่ยเสียงเบา “ผมไม่ได้มั่ว...ที่โรงแรมนั่นเป็นครั้งแรกของผม...”

โม่ฉือเห็นท่าทางของหรงเชว่ไม่เหมือนจะโกหกก็ประหลาดใจ ทั้งยังเกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่อธิบายไม่ถูก “นายมีอะไรกับฉันเป็นครั้งแรก?”

หรงเชว่พยักหน้าที่ตอนนี้แดงก่ำไปหมดแล้ว

โม่ฉือยังไม่อยากจะเชื่อ “นายอยากมีลูกมากขนาดนั้น จะนอนกับฉันเป็นครั้งแรกได้ยังไง?”

หรงเชว่ขดตัวบางๆ ของตัวเองทันที พูดตามจริง “เพราะสภาพร่างกายผมไม่ดี นิสัยก็ไม่ได้ร่าเริงอะไร ไม่มีผู้หญิงคนไหนมาชอบผมหรอก ยิ่งไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมอุ้มท้องลูกของผมด้วย...แถมผมยังเป็นโอเมก้าโลว์คลาส อัลฟ่าที่สนใจผมก็มีน้อยมาก”

โม่ฉือเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีหวั่นกลัว ฟังแล้วก็เหมือนที่พูดมาจะมีเหตุผลอยู่ นึกถึงท่าทางที่เจ้านี่ยั่วยวนเขาแล้ว ก็ไม่เหมือนคนมีประสบการณ์สักเท่าไร โม่ฉือซักไซ้ต่อ “ไม่เคยนอนกับใครสักคนเลย?”

หรงเชว่ลังเลครู่หนึ่ง “เคยมีอัลฟ่าคนหนึ่งบอกว่าชอบผม แต่เราไม่เคยนอนด้วยกัน...”

โม่ฉือเลิกคิ้วเหมือนจะสนใจขึ้นมา “มีอัลฟ่ามาบอกรัก นายน่าจะสมหวังแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่นอนด้วยกันล่ะ?”

หรงเชว่หลุบตามองกางเกงยีนส์เก่าๆ ของตัวเอง สีหน้าหดหู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “เพราะ เพราะตอนหลังผมรู้ว่าที่เขาบอกว่าชอบผมนั่นน่ะ ไม่ได้ชอบจากใจจริง แต่คิดจะเล่นๆ เท่านั้น...”

หร่งเชว่หัวเราะเสียงขื่นขึ้นมาก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เขาชอบเพราะเห็นว่าผมทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่างเพื่อให้ได้ตั้งท้อง...เหมือนหยอกล้อลูกหมาลูกแมวเล่นนั่นแหละ...”

เห็นเจ้าหมาน้อยเศร้าจมูกแดงจนจะร้องไห้แล้ว โม่ฉือขมวดคิ้วเขาไม่คิดว่าจะมีคนเลวแบบนั้น ไม่ใช่ว่าโม่ฉือรังเกียจคนใช้ชีวิตเละเทะ แต่การที่ฝ่ายนั้นใช้ความหวังของคนอื่นมาเป็นเบี้ย ให้ทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ มันต่ำช้าเกินไป...

ชายหนุ่มคิดดูแล้วก็เห็นว่าเจ้าหมาน้อยนี่น่าสงสารอยู่เหมือนกัน

ท้ายที่สุดโม่ฉือก็ทำใจไล่อีกฝ่ายลงจากรถไม่ลง เขาจึงไปส่งหรงเชว่กลับบ้านอย่างมีคุณธรรม

หรงเชว่ซาบซึ้งมากกับความมีน้ำใจของชายหนุ่ม เมื่อมาถึงที่พักลงจากรถแล้วเขายังกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองส่งรถหรูที่ขับออกไปก่อนจะหมุนตัวขึ้นตึก

 

 

ตอนที่ 7

เมื่อหรงเชว่เข้าไปในห้อง ไม่ปรากฏร่องรอยว่าเหยียนซีกลับมาให้เห็นเลย หรงเชว่ฉีกจดหมายที่เขาเขียนคำสั่งเสียเอาไว้ทิ้งลงถังขยะ เขาไม่ติดใจสงสัยคำพูดของโม่ฉือแล้ว คนยิ่งใหญ่แบบนั้นไม่น่าจะพูดจาไร้สัจจะหรอกจริงไหม ในเมื่อเจ้าตัวเป็นฝ่ายพูดเองว่าจะไม่เอาเรื่องกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาย่อมสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างสบายใจ

นึกถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งนั้นแล้ว เหมือนฝันมหัศจรรย์เลยทีเดียว หากไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมายนี้ขึ้น เขากับคนอย่างโม่ฉือไม่น่าจะได้เจอกันเลยชั่วชีวิต

หรงเชว่บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร โอเมก้าอย่างเขาต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากกับคุณปู่ตามลำพัง จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าโม่ฉือเป็นเพียงคนเดียวที่เขาได้ใกล้ชิดด้วย คนอื่นๆ ต่างก็มีคนพิเศษของตัวเอง บางทีหรงเชว่อาจจะมีบ้างสักคนก็เป็นได้ 

คนในยุคนี้ไม่สนใจเรื่องความบริสุทธิ์กันหรอก หรงเชว่ไม่ได้รู้สึกเสียดายสักนิดที่มอบครั้งแรกของตัวเองให้กับคนที่ตัวเองอาจจะไม่ได้เจอะเจออีกเลยในชั่วชีวิตนี้ เขากลับรู้สึกโชคดีเสียด้วยซ้ำ โม่ฉือเป็นอัลฟ่าระดับซูเปอร์ไฮคลาส คุณสมบัติดีเลิศทุกด้าน เป็นคนที่เขาไม่อาจจับต้องได้ตลอดชีวิต ได้นอนกับคนแบบนี้ถือว่าเขาได้กำไรเสียด้วยซ้ำ...

เสียดายเพียงอย่างเดียวคือ ต่อให้ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอัลฟ่าที่ดีเลิศเช่นนี้ แต่เขากลับตั้งท้องไม่สำเร็จ

เขาถูกพ่อแม่ทอดทิ้งตั้งแต่ยังเล็ก ต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างถนนเพียงลำพัง จนกระทั่งคุณปู่คนหนึ่งเก็บเขาไปเลี้ยง แล้วตอนนี้ละแค่อยากจะมีลูกของตัวเองกลับยากลำบากเหลือเกิน บางครั้งหรงเชว่ก็คิดว่าตัวเองคงเกิดมามีชีวิตที่อ้างว้างแน่ๆ ...

บางครั้งความคิดที่ผุดขึ้นก็ทำให้คนเศร้าใจได้ แต่หรงเชว่ยังคงมุ่งมั่นกับการมีชีวิตต่อไปในอนาคต เขาไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อพบเจออุปสรรค แม้ปกติจะมีนิสัยไม่ค่อยพูดและขี้ขลาด แต่หลายปีที่ผ่านมาเขาได้สร้างตัวเองให้แข็งแกร่งตายยากเหมือนแมลงสาป ไม่ใช่ว่าเจอเรื่องสะเทือนใจแค่ครั้งสองครั้งก็จะล้มพับลงไปได้

หลังเรื่องของโม่ฉือจบลง หรงเชว่ยังคงตั้งใจใช้ชีวิตและขยันทำงานต่อไป

อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมา อุตส่าห์ทำโอทีอย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันก็มีข่าวดีเกิดขึ้น

มีการปรับเปลี่ยนพนักงานระดับผู้บริหารเกิดขึ้น ผู้จัดการคนใหม่ย้ายมาจากบริษัทลูกแห่งหนึ่ง เป็นอัลฟ่าที่มีหน้าตาสุภาพบุคลิกเรียบร้อย

ในยุคสมัยนี้อัลฟ่าได้รับพรจากสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาส่วนใหญ่มีความสามารถมากแต่ละคนล้วนเก่งฉกาจ เช่นเดียวกับบริษัทใหญ่อย่างโม่กรุ๊ปที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ล้วนเป็นอัลฟ่าทั้งนั้น

อัลฟ่าส่วนมากโดดเด่นมาแต่กำเนิด พวกเขามีต้นทุนที่ดีเลิศ จึงมักจะดูถูกพนักงานที่เป็นเบต้าและโอเมก้าธรรมดาทั่วไป

แต่ผู้จัดการคนใหม่กลับต่างออกไป เขามีชื่อว่าเฟ่ยเจ๋อ เป็นอัลฟ่าที่เก่งมาก แถมหน้าตายังดีอีกด้วย แม้จะมีข้อดีสารพัดแต่กลับนุ่มนวลถ่อมตัว ไม่เหมือนอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่หยิ่งยโส ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยพูดค่อยจามากนัก แต่กลับดูแลหรงเชว่ที่พูดคุยไม่เก่งเป็นอย่างดี

บริษัทใหญ่อย่างโม่กรุ๊ปมีพนักงานโอเมก้าน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หรงเชว่ไม่ได้มีเส้นสายอะไร แถมคุณสมบัติยังธรรมดามากอีกต่างหาก เป็นคนที่มักจะถูกดูแคลนอยู่เสมอ น้อยครั้งที่เขาจะได้พบเจอกับอัลฟ่าที่มีมารยาทและเข้ากับคนง่ายอย่างนี้ ยิ่งไปกว่านั้น การได้ผู้จัดการเฟ่ยเจ๋อมาเป็นหัวหน้าถือเป็นเรื่องน่ายินดีมาก มื้อเที่ยงของวันนี้ หรงเชว่ไปกินข้าวกับโจวเฉียนที่แคนทีน ได้ข่าวว่าเที่ยงนี้จะมีผู้บริหารมาตรวจสอบ ดังนั้นอาหารในแคนทีนจึงมีมากมาย กระทั่งคนที่มากินก็มีเยอะเป็นพิเศษ

หรงเชว่และโจวเฉียนมาช้า เมื่อเข้าไปในแคนทีนก็พบว่ามีคนมากินเต็มไปหมด ต้องบอกว่าอาหารในแคนทีนมีเยอะมาก อาหารทุกประเภท ขนม ผลไม้ ล้วนมีมากมาย กระทั่งเป๋าฮื้อก็ยังมี เรียกได้ว่าเทียบเท่าบุฟเฟ่ต์ของโรงแรมระดับห้าดาวเลยทีเดียว

ทั้งสองยืนลังเลใจอยู่หน้าอาหารมากมาย แล้วก็เลือกได้ในที่สุด

เมื่อประคองถาดที่มีอาหารกองเป็นภูเขาน้อยๆ กลับมาหาที่นั่ง พวกเขาพบว่าแคนทีนขนาดใหญ่นี้มีผู้คนจับจองที่นั่งกันหมดแล้ว ไม่มีที่ว่างเหลืออยู่เลย

ระหว่างที่หรงเชว่และโจวเฉียนมองหาที่นั่งนั้น ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ “เสี่ยวหรง เสี่ยวโจว มาตรงนี้สิ”

พอหันไปหาที่มาของเสียง ก็เห็นว่าเป็นเฟ่ยเเจ๋อและเพื่อนร่วมงานอีกสองคนเพื่อนร่วมงานทั้งสองเพิ่งกินเสร็จ ต่างลุกให้เขาสองคนนั่งคน หรงเชว่และโจวเฉียนเห็นแล้วรีบนั่งลงทันทีโดยไม่คิดมาก

เฟ่ยเจ๋อเองก็เพิ่งจะได้นั่งไม่นานนัก เขายังมีท่าทีถ่อมตัวและนุ่มนวลเหมือนเดิม เมื่อเห็นพวกหรงเชว่นั่งลงก็ยิ้มแย้มชวนคุย

ไม่ง่ายเลยที่จะมีอาหารดีๆ มาให้กินมากมายขนาดนี้ หรงเชว่จึงไม่คิดจะพูดคุยให้เสียเวลา เขานั่งลงข้างเฟ่ยเจ๋อ แล้วลงมือกินอย่างตั้งอกตั้งใจทันที

ระหว่างที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอื้ออึงเลยทีเดียว จากนั้นแคนทีนกว้างใหญ่พลันสงบเงียบ เดาว่าผู้บริหารคงมาตรวจสอบกันแล้ว 

 หรงเชว่ที่กำลังกัดไก่ทอดกรอบอยู่ เงยหน้าแล้วหันไปมองที่ประตูแคนทีนโดยอัตโนมัติ เห็นเป็นโม่ฉือที่ไม่ได้พบกันนานแล้วกำลังเดินเข้าแคนทีนมาโดยมีคนอื่นๆ เดินตามอยู่ด้านหลัง

เดิมทีพวกเขารู้กันมาก่อนแล้วว่าจะมีผู้บริหารมาที่แคนทีน กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นท่านประธานที่ลงมาตรวจดูด้วยตัวเอง พนักงานที่อยู่ในแคนทีนล้วนเคร่งเครียดขึ้นมา พากันกระซิบกระซาบโดยอัตโนมัติ

 ในทันทีที่เห็นโม่ฉือ หรงเชว่ตกใจจนแทบจะสำลักอาหาร กว่าจะกลืนไก่ที่อยู่ในปากลงคอไปได้นั้นช่างยากลำบาก เขามองดูใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมที่อยู่ไม่ไกลของอีกฝ่ายแล้วรีบหดคอทันใด

หรงเชว่ายังจำได้ดีถึงคำเตือนของโม่ฉือที่ไม่ให้เขาปรากฏตัวตรงหน้า เช่นนี้หรงเชว่จึงรู้ดีว่าควรรีบหลบออกไปจากแคนทีนนี่ก่อนที่อีกฝ่ายจะสังเกตเห็น

ทว่าขบวนผู้บริหารของโม่ฉือกลับยืนอยู่ใกล้ประตูแคนทีน ถ้าหรงเชว่แอบหนีไปตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเสนอตัวไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายน่ะสิ ยิ่งไปกว่านั้นพอหรงเชว่ก้มดูไก่ทอด เนื้อแกะย่าง และคากิตุ๋นที่กินได้เพียงนิดเดียวในถาดอาหารของตัวเองแล้ว

เขาทำใจทิ้งไม่ลงจริงๆ...

ในแคนทีนแห่งนี้มีคนอย่างน้อยๆ ก็ตั้งหลายร้อยคนแล้ว แถมจุดที่เขานั่งอยู่ก็ไม่สะดุดตาเท่าไร น่าจะไม่ซวยขนาดโม่ฉือเห็นหรอกมั้ง หรงเชว่จึงลงมือกินต่อ เขาคิดว่ารอให้โม่ฉืออยู่ห่างจากแถวหน้าประตูเสียก่อน แล้วค่อยอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่สังเกตเผ่นออกไปน่าจะดีกว่า

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว หรงเชว่จึงก้มหน้าก้มตากินเต็มที่ต่อไป

ระหว่างที่ก้มหน้าตั้งใจกินคากิอยู่นั้น จู่ๆ ตะเกียบคู่หนึ่งก็คีบไส้กรอกมาวางในจานเขา หรงเชว่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของตะเกียบคู่นั้น ก็เห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเฟ่ยเจ๋อ

เฟ่ยเจ๋อคีบไส้กรอกมาวางในถาดอาหารของหรงเชว่แล้วยิ้ม “ท่าทางนายจะชอบกินเนื้อ”

หรงเชว่ไม่รู้ว่าเฟ่ยเจ๋อมองตัวเองนานแค่ไหนแล้ว พอนึกถึงท่าทางการกินคากิของตัวเองเมื่อครู่ก็รู้สึกกระดากอายหน้าแดงทันที ทว่าปากยังเคี้ยวเนื้ออยู่ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

เฟ่ยเจ๋อเห็นหรงเชว่ที่เคี้ยวแก้มตุ่ยด้วยความเอร็ดอร่อยก็รู้สึกขำ คิ้วสวยเลิกขึ้นเล็กน้อย ทั้งยังคีบไส้กรอกมาวางเพิ่มให้อีก

“ไส้กรอกนี่รสชาติไม่เลว ลองชิมดู”

ส่วนโจวเฉียนที่นั่งตรงข้ามหรงเชว่ก็กินอย่างเอร็ดอร่อย “โหย ผู้จัดการ ลำเอียงจัง ผมก็อยากกินไส้กรอกเหมือนกันนะครับ”

เฟ่ยเจ๋อมองดูใบหน้ากลมโตจนเนื้อที่คางจะหลุดออกมาของอีกฝ่าย “ฉันว่าไส้กรอกไม่เหมาะกับนายหรอก เครื่องวิ่งในห้องยิมของบริษัทนั่นน่ะเหมาะกับนายมากกว่า ถ้านายปล่อยให้ตัวเองอ้วนอย่างนี้ต่อไป ระวังจะหาแฟนไม่ได้นะ”

เมื่อถูกทักถึงรูปร่างโจวเฉียนถึงกับช็อตฟิลด์ไปเลยทีเดียว เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาแทะข้าวโพดอย่างน่าสงสาร พลางมองดูหรงเชว่ที่มีเนื้ออยู่เต็มถาดอาหารอย่างน้อยใจและอิจฉา ก่อนจะคร่ำครวญออกมาว่า “นายเองก็ชอบกินเนื้อเหมือนกับฉัน แต่ทำไมกินยังไงก็ไม่อ้วน โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม!”

“เพราะฉันมัวแต่ทำงานเก็บเงิน เลยกินเนื้อทุกวันไม่ได้ไง” ว่าแล้วหรงเชว่ก็กินไส้กรอกที่เฟ่ยเจ๋อคีบให้ต่อหน้าโจวเฉียนผู้มีสายตาตัดพ้อจนเกลี้ยง นั่นไงละ มันช่างนุ่มชุ่มฉ่ำอร่อยเหมือนอย่างที่ชายหนุ่มบอกไว้เลยทีเดียว ดวงตากลมโตหรี่ พูดจากใจจริง “อร่อยมาก...”

เฟ่ยเจ๋อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทียินดีเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ เขายิ้มกว้างกว่าเดิม มองดูข้อมือบอบบางนั่นแล้ว อดไม่ได้ที่จะคว้ามาไว้ในอุ้งมือตัวเอง เอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ “นายผอมเกินไปแล้ว น่าจะกินให้เยอะๆ หน่อย ไส้กรอกน่าจะยังมีอยู่อีก ถ้านายรู้สึกว่าอร่อยก็ไปเอามาเพิ่มสิ”

หรงเชว่รู้ว่าตัวเองผอม แต่กลับเป็นคนที่กินได้เยอะ เพียงมื้อเดียวก็กินเนื้อของบริษัทไปไม่น้อยแล้ว จึงรู้สึกไม่ดี “ไม่ต้อง ไม่ต้อง แค่นี้พอแล้วครับ ยิ่งไปกว่านั้นคนอื่นๆ ยังไม่ได้กินข้าวเลย ผมกินไปตั้งเยอะ คงไม่ดีแน่ถ้าจะไปตักเพิ่มอีก”

เฟ่ยเจ๋อยังยิ้มอยู่อย่างเดิม หันไปมองเสี้ยวหน้าหรงเชว่ “ปกตินายทำโอทีเยอะที่สุด แล้วก็เหนื่อยที่สุด กินเยอะสักหน่อยจะเป็นอะไรไป”

ไม่เคยมีอัลฟ่าคนไหนอ่อนโยนกับเขาอย่างนี้มาก่อน หรงเชว่รู้ว่าที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้กับตัวเอง เป็นเพราะเจ้าตัวมีนิสัยดี จึงอดไม่ได้ที่ในใจจะรู้สึกหวั่นไหว

เขาเผลอคิดไปว่า หากเฟ่ยเจ๋อที่เป็นคนเข้าใจจิตใจคนอื่นและเป็นคนดีแบบนี้ได้ล่วงรู้ความคิดที่เขาอยากจะตั้งท้องแล้วละก็ เฟยเจ๋อจะช่วยเขาไหมนะ

ข้อเสนอแปลกประหลาดและบ้าระห่ำเช่นนี้ คงมีอัลฟ่าน้อยคนที่จะยอมรับได้ แต่ดูจากนิสัยของเฟ่ยเจ๋อแล้ว คนคนนี้คงจะไม่โหดร้ายเท่าโม่ฉือ...

ในระหว่างที่คิดอยู่นั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางโม่ฉือ กลับไม่คิดว่าจะได้สบตากับอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง

เมื่อสบตาที่คมลึกนั่น หรงเชว่ขนลุกเกรียว จำได้ดีถึงคำเตือนที่ดุดันของชายหนุ่มในตอนนั้น เขาตกใจจนต้องรีบเบนสายตาหลบ

ในใจภาวนาขอให้ตัวเองคิดมากเกินไปเอง คนมากินข้าวในแคนทีนมากขนาดนี้ หรงเชว่คงไม่ซวยถึงขนาดที่อีกฝ่ายสังเกตเห็นได้จริงๆ หรอก...

ถึงจะหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองแล้วก็ตาม แต่หรงเชว่กลับกินอะไรไม่อร่อยอีกเลย เนื้อในถาดอาหารตรงหน้าไม่หอมเสียแล้วสิ เขาไม่กล้าหวังว่าจะโชคดีอีกต่อไปแล้วละ เพียงกล่าวกับเฟ่ยเจ๋อและโจวเฉียนเล็กน้อยจากนั้นก็ค่อยๆ หดหัวออกไปจากแคนทีน

สภาพอากาศช่างเข้ากับสภาพของหรงเชว่ในเวลานี้จริงๆ พอถึงตอนบ่ายฝนเริ่มตก ฟ้าเริ่มร้อง อารมณ์ของเขาก็แย่พอๆ กับอากาศในตอนนี้ เขาหวาดหวั่นไปตลอดช่วงบ่าย

โชคดีที่พอถึงเวลาเลิกงาน โม่ฉือก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ตัวเขาเองก็ไม่ได้รับแจ้งว่าให้ออกจากงาน หรงเชว่ถึงโล่งใจได้เสียที เขาคิดว่าตัวเองอาจคิดไปเอง โม่ฉือคงจะแค่บังเอิญมองมาทางฝั่งเขาโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นเขาก็ได้

เพราะหรงเชว่ไม่เคยโดดเด่นเลยเมื่ออยู่ท่ามกลางอัลฟ่าและเบต้า หากโม่ฉือเห็นเขาท่ามกลางคนหลายร้อยคนได้มันคงเป็นเรื่องที่แปลกมาก

แต่จะให้คิดอย่างไร หรงเชว่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีนิดๆ กระทั่งมาสลายหายไปในตอนค่ำ

วันนี้หรงเชว่ก็ทำโอทีเหมือนปกติ เมื่อทำงานเสร็จเขาเหลือบมองนาฬิกาไปโดยอัตโนมัติ เห็นว่าเหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะสี่ทุ่มแล้ว จึงคิดถึงอาหารมื้อดึกของบริษัทขึ้นมา อย่างไรเสียคืนนี้ก็ไม่มีธุระอะไรที่ไหน แถมข้างนอกฝนยังตกไม่หยุดด้วย งั้นก็รอต่ออีกสักหน่อยดีกว่า เดี๋ยวจะได้เอาอาหารมื้อดึกกลับห้องพักไปกินเป็นของว่างตอนกลางคืนของวันพรุ่งนี้

หรงเชว่ยังคิดถึงเรื่องการตั้งท้อง ในเมื่อไม่มีงานให้ทำต่อแล้ว เขาจึงใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาว่าโอเมก้าโลว์คลาสอย่างเขาจะมีวิธีไหนที่ทำให้ตั้งท้องได้บ้าง

ระหว่างที่กำลังคลิกอ่านอย่างตั้งใจอยู่นั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีเงาดำคร่อมอยู่ทางด้านหลัง หรงเชว่หันหลังกลับมามองทันที และได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของโม่ฉือ

เขาตกใจตัวสั่น เมาส์ในมือร่วง ไม่รู้ว่าช่วงนี้มันเป็นอะไรกันนักกันหนา ประธานใหญ่ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยปรากฎตัวในเขตทำงานทั่วไป กลับมาปรากฏตัวยามค่ำคืน แถมยังบังเอิญเจอเขาด้วย

“ประ...ประธาน ประธานโม่...” หรงเชว่ลุกขึ้นยืนอย่างหวาดหวั่น ตกใจจนพูดตะกุกตะกัก

โม่ฉือมองดูเจ้าหมาน้อยที่ตกใจเพราะเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ “ดึกขนาดนี้แล้ว ยังอยู่บริษัททำไมอีก?”

หรงเชว่ยังคงพูดตะกุกตะกัก “ผม...ผม...ผม...ทำ ทำโอทีครับ...”

โม่ฉือเหลือบมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้านหลังโม่ฉือ เอ่ยเสียงเย็น “ปกติแล้วนายทำงานแบบนี้ในเวลาโอที?”

หรงเชว่เหลียวมองไปที่จอคอมพิวเตอร์แวบหนึ่ง ก็เห็นว่าหน้าจอปรากฏภาพโฆษณาชุดชั้นในสุดเซ็กซี่ มีนายแบบสวมหูแมวและกระดิ่งแมวโพสต์ท่าเย้ายวนอยู่เต็มจอ โดยมีข้อความด้านข้าง “ต่อให้เป็นโอเมก้าโลว์คลาส ก็ยังทำให้อัลฟ่าหลงไหลโหยหาได้”

ที่แท้ตอนที่หรงเชว่พบว่าโม่ฉืออยู่ข้างตัว เขามือสั่นเลยเผลอไปกดโฆษณาด้านข้างกรอบข้อความเข้า

เมื่อเห็นภาพบนหน้าจอ หรงเชว่พลันหน้าแดงรีบกดปิดพัลวัน แต่การกดปิดโฆษณาจำพวกนี้ ใช่ว่ากดครั้งเดียวจะสำเร็จ แถมพอกดปิดมันยังเปลี่ยนไปสู่หน้าซื้ออีก ซึ่งภาพด้านในยิ่งวาบหวิวกว่าเดิม ทั้งยังมีเสียงครางกระเส่าแฝงมาอีกด้วย หรงเชว่หน้าร้อนด้วยความอับอายกระทั่งควันแทบพุ่ง อธิบายตะกุกตะกัก “แค่ แค่ ทำงานจริงๆ ครับ มันแค่บังเอิญ บังเอิญเท่านั้น...” โม่ฉือมองดูคนที่ใบหน้าแดงก่ำลนลานปิดโฆษณาวาบหวิวนั่นแล้ว ก็แค่นเสียงเย็นก่อนจะย้อนถาม “งานแผนกวางแผนการผลิตนี่มันเกี่ยวข้องกับโฆษณาโป๊ตั้งแต่เมื่อไร?”

หรงเชว่ต้องใช้ความพยายามมากพอสมควรกว่าจะปิดหน้าโฆษณาดังกล่าวได้ เขาทำอะไรไม่ถูกได้แต่กำมือไม่รู้จะตอบอย่างไร ก็ได้ยินอีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “รับเงินโอทีจากบริษัท แต่ยังจะกล้าขี้เกียจหน้าตาเฉยแบบนี้ สงสัยว่าบริษัทจะเลี้ยงคนว่างงานเยอะเกินไปแล้ว...”

 “ผมไม่ได้ขี้เกียจ” หรงเชว่รู้สึกทั้งหวาดกลัวและน้อยใจนิดๆ “ผมเพิ่งทำงานเสร็จ เห็นว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะได้รับอาหารมื้อดึกแล้วก็เลยตั้งใจจะรออยู่ก่อน...”

พูดออกไปแต่ก็ยังกลัวว่าโม่ฉือจะไม่เชื่อ หรงเชว่จึงชี้กองเอกสารบนโต๊ะให้ดู “นี่เป็นสิ่งที่ผมทำโอที ผมไม่ได้ขี้เกียจ...”

ทุกครั้งที่เห็นหรงเชว่ โม่ฉือรู้สึกว่าเจ้านี่มักจะท้าทายขีดความอดทนของเขาเสมอ “ถึงกับทำโอทีเพราะอยากได้อาหารมื้อดึก?”

จริงๆ แล้วสิ่งนี้ถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่เขาทำโอที ดังนั้นหรงเชว่จึงพยักหน้าอย่างซื่อสัตย์

โม่ฉืออดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นพูดออกมาสั้นๆ แต่ชัดเจนว่า “จน”

หรงเชว่อับอายพูดไม่ออก หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะเอาประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จากบริษัทหรอก เขาเพียงต้องการจะใช้ชีวิตสบายๆ แต่สังคมในทุกวันนี้สร้างความกดดันอย่างสูงให้กับคนที่ต้องพึ่งพาตัวเอง คนที่ไม่มีฐานะหรือเส้นสายใดๆ ในเวลานี้หรงเชว่เองก็ไม่มีปัญญาจะไปหาเงินมากมายได้หรอก จึงต้องประหยัดอดออมทุกทาง เพื่อจะได้มีเงินเก็บเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน

โม่ฉือที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดย่อมไม่เข้าใจความเศร้าของคนทั่วไปที่จะจ่ายเงินสักหยวนก็ต้องใช้อย่างคุ้มค่าที่สุดหรอก

โม่ฉือเห็นอีกฝ่ายไม่พูดจึงเอ่ยต่อ “พรุ่งนี้ฉันจะให้ผู้จัดการแผนกตรวจดูเนื้อหางานที่นายทำโอที อาหารมื้อดึกกับเงินค่าโอทีของบริษัทไม่ได้มีไว้ให้คนที่ชอบเอาเปรียบอย่างพวกนายนะ”

หรงเชว่ลำบากใจยิ่งกว่าเดิม ได้แต่ห่อไหล่เอ่ยเสียงเบา “ขอ ขอโทษ...ต่อไปจะไม่ทำแบนี้แล้ว ผมจะกลับละ ไม่เอาอาหารมื้อดึกไปแล้ว...”

เขาก้มหน้าทันทีที่พูดจบ เก็บข้าวของลวกๆ แล้วรีบเดินออกไปอย่างทุลักทุเลที่สุดท่ามกลางสายตาเย็นชาของท่านประธานโม่

โม่ฉือมองดูร่างผอมบางที่ลนลานหนีไป พลันรู้สึกหมดสนุก

หนังสือแนะนำ All

Special Deal