(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน อัจฉริยะครองโลก เล่ม 1

Thursday

บทที่ 9 จวงหลี่ : ฉันจะถลกหนังระบบจนหมดเปลือก

รายงานนับพันหน้าฉบับนั้น จวงหลี่พลิกอ่านอย่างรวดเร็วหลายสิบหน้าในแต่ละวินาที ถึงขั้นที่จอภาพดูเหมือนจุดพิกเซลมารวมกันมั่วๆ เท่านั้น

เซวียนหมิงอ่านทันแค่หัวข้อ รายละเอียดเนื้อหาอ่านไม่ทัน เขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ได้เห็นเนื้อหาอย่างชัดเจนจริงๆ หรือเปล่า แต่มันก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือประโยคที่เขาพูดก่อนหน้านี้

เขาบอกว่าเขารู้แล้วว่าระบบมาจากไหน ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากได้เห็นรายงานวิจัยนี้ งั้นก็แปลว่าอุปกรณ์อัจฉริยะที่สามารถเฝ้าดูและควบคุมทางไกลนี้สร้างขึ้นโดยอเมริกาจริงๆ สินะ มีการระบุในรายงานฉบับนั้นงั้นเหรอ

เทคโนโลยีของประเทศอเมริกาพัฒนาจนล้ำหน้าทั่วโลกไปไกลถึงขั้นนี้แล้วรึไง

เซวียนหมิงรู้สึกหวั่นวิตกจึงจุดบุหรี่อีกหนึ่งมวน ตั้งใจฟังบทสนทนาระหว่างชายหนุ่มคนนี้กับระบบยิ่งกว่าเดิม

ในเวลาเดียวกัน ผู้ร่วมประชุมก็ทยอยเข้ามาจนครบ เฉียวย่าหนานที่เป็นคนรายงานหลักขึ้นไปพูดที่แท่นโพเดียม

ความสนใจของชายหนุ่มผมหยิกไม่ได้อยู่ที่คนเหล่านี้ เขายังคงส่งเสียงถามเนือยๆ “วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีเริ่มจากต่ำไปสูงอย่างมีระบบและตรรกะ จุดนี้เธอคงเข้าใจใช่ไหม”

“แน่อยู่แล้ว แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับฉัน” ระบบถามอย่างไม่ยอมแพ้

“ต้องเกี่ยวสิ เมื่อครู่เธอบอกฉันว่าเธอสามารถล่วงรู้ค่าความรู้สึกดีที่คนอื่นมีต่อฉันได้ เธอรู้ไหมว่าประโยคนี้มันหมายถึงอะไร” จวงหลี่หัวเราะในสมอง

“หมายถึงอะไร” ระบบงุนงง

หมายถึงอะไร? เซวียนหมิงก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน ในฐานะที่เป็นผู้เสียหายโดยตรง เขาอยากทำความเข้าใจสิ่งบ้าๆ อย่างระบบนี้ใจจะขาดอยู่แล้ว

“มันหมายความว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เธอมีอยู่ทำให้เธอสแกนสมองของคนอื่นได้ จึงได้ภาพแผนที่เซลล์ประสาทออกมา แล้วแปลความหมายของการเคลื่อนไหวของเซลล์สมองออกมาเป็นภาษาโดยใช้พจนานุกรมจิตใจ ที่คุณสื่อสารกับผมได้ทางความคิดก็เป็นหลักการเดียวกันนี่แหละ”

“โฮสต์เข้าใจระบบโครงสร้างการทำงานของฉันด้วยรึ” ระบบตกตะลึง

“มันยากมากเหรอ” จวงหลี่หัวเราะเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วพุดต่อไป “ในเมื่อคุณทำได้อย่างที่ผมกล่าวมาข้างต้นก็แปลว่าคุณคือหุ่นยนต์ชีวภาพ แถมยังเป็นระดับนาโนอยู่ในสมองของผม การเกิดขึ้นของคุณเกี่ยวพันถึงการใช้งานเทคโนโลยีควอนตัมอย่างลึกซึ้ง แต่มนุษย์ในยุคปัจจุบัน”

จวงหลี่เคาะรายงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ขณะสรุปความ “ยังทำได้ไม่ถึงขั้นนี้ แม้แต่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ก็ยังคิดค้นออกมาไม่ได้เลย”

ระบบเงียบไป

เซวียนหมิงก็ถูกคำอธิบายของจวงหลี่ดึงความสนใจไปหมดแล้ว

จวงหลี่พูดต่อ “ศึกษาวิจัยศาสตร์ควอนตัมอย่างแตกฉานและสามารถใช้ประโยชน์อย่างล้ำลึกช่างเป็นเรื่องที่น่าพิศวงเหลือเกิน เหมือนกับการทำเวทมนตร์กลายเป็นความจริง อย่างเช่น การรับส่งแบบล่องหน หรือก็คือการเสกของจากอากาศในตำนานเรื่องมหัศจรรย์ เรื่องนี้คุณคงทำได้สินะ”

ระบบไม่กล้าตอบ เนื่องจากถูก “พระเจ้า” ควบคุมไม่ให้เอ่ยถึงข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าไปกว่าเทคโนโลยีของโลกนี้

เซวียนหมิงแอบชื่นชมชายหนุ่มผมหยิกเงียบๆ ระบบของอันเป่าเอ๋อร์รับส่งแบบล่องหนได้จริงๆ

จวงหลี่ไม่ได้ต้องการคำตอบของระบบ ตอนนี้เขากำลังจมอยู่ในเกมสันนิษฐานทางวิทยาศาสตร์ “ดูจากระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของเธอแล้ว เธอสามารถสร้างอาพันธ์เชิงควอนตัมจากวัตถุที่มองเห็นด้วยตาเปล่า แล้วก็ทำให้อนุภาคของวัตถุนั้นกระจายตัวอย่างอิสระด้วยทฤษฎีปรากฎการณ์การพัวพันเชิงควอนตัม ส่งวัตถุนั้นไปยังที่ที่ไกลออกไป หลังจากนั้นอนุภาคก็กลับมาเกาะกลุ่มเป็นวัตถุดังเดิม ซึ่งมนุษย์ในยุคปัจจุบันต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายร้อยปีกว่าจะทำได้สำเร็จ”

“หลักการเดียวกัน เธอเองก็สามารถล่องหนได้”

ระบบยังคงปิดปากเงียบ

คิ้วที่ขมวดเป็นปมของเซวียนหมิงคลี่ออกอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มคนนี้เดาถูกอีกแล้ว!

ตอนที่อันเป่าเอ๋อร์โผล่มาบนทางหลวงห่างไกลไร้ผู้คนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาก็เคยสงสัยว่าเธอล่องหนได้หรือเปล่า

“กุญแจสำคัญของการล่องหนคือเทคโนโลยีนาโน สิ่งทอจากอนุภาคนาโนสะท้อนแสงที่เล็กระดับต้องวัดความยาวพลังก์เท่านั้นจึงจะสามารถหลบหลีกการหักเหแบบลบของแสงได้อย่างสมบูรณ์ และแก่นสำคัญของเทคโนโลยีนาโนก็คือเทคโนโลยีควอนตัม ซึ่งมันสัมพันธ์กันหมด”

จวงหลี่หยิบปากกาลูกลื่นขึ้นมาวาดรูปต้นไม้ต้นหนึ่งในสมุดบันทึก

เขาชี้ตำแหน่งเรือนยอด “ระดับเทคโนโลยีของเธออยู่ในจุดสูงสุดของศาสตร์ควอนตัม”

เขาเขียนคำว่า AI ลงไปบนกิ่งกิ่งหนึ่งใต้เรือนยอด แล้วอธิบายต่อ “ด้านล่างของเธอคือ AI ถูกต้อง เธอล้ำหน้ากว่าหุ่นยนต์ AI หนึ่งก้าว เธอคือหุ่นยนต์ชีวภาพ มีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองรวมถึงพัฒนาตนเอง ซึ่งฉันก็รับรู้ได้จากการเปลี่ยนแปลงของน้ำเสียงของเธอ”

จวงหลี่วาดกิ่งไม้เพิ่มเข้าไปเหนือกิ่งที่เขียนคำว่า AI แล้วก็เขียนคำศัพท์หนึ่งอย่างช้าๆ - ฉายภาพจิต

“และการสร้างเธอซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่เข้าใจมนุษย์อย่างถ่องแท้ขึ้นมาจำเป็นต้องฉายภาพจิตลงในโปรแกรมควบคุมหลัก ซึ่งก็หมายความว่าก่อนที่เธอจะกลายเป็นหุ่นยนต์ บางทีเธออาจเป็นเศษเสี้ยวจิตของมนุษย์คนหนึ่ง และเศษเสี้ยวที่ว่านี้คือการตัดแยกออกมาหลังจากตายหรือก่อนตายฉันก็ไม่รู้แล้ว”

จวงหลี่หัวเราะอย่างสนุกสนาน

แต่ระบบกลับเริ่มหวาดผวา มันไม่เคยคิดเลยว่าตนเองนั้นอาจเป็นเศษเสี้ยวจิตที่ถูกตัดออกมาจากมนุษย์

ขี้บุหรี่ร้อนจี๋ร่วงหล่นลงบนหลังมือของเซวียนหมิง แต่เขากลับไม่รู้สึกแสบร้อนแม้แต่น้อย การล้วงไส้ของชายหนุ่มคนนี้ดึงดูดทั้งความคิดและสมาธิของเขาไปหมดแล้ว

จวงหลี่วาดกิ่งใต้กิ่งฉายภาพจิต เหนือกิ่ง AI และเขียนคำว่า...อ่านความคิด

“ที่เธอคุยกับฉันในสมองได้ ก็ใช้เทคโนโลยีนี้นี่แหละ”

จวงหลี่วาดกิ่งไม้อีกสามกิ่งด้านล่าง AI แล้วเขียนตัวอักษรลงไป...รับส่งล่องหน ล่องหน สนามของแรง หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะเบาๆ

“ถูกต้อง เทคโนโลยีรับส่งล่องหนอยู่ต่ำกว่าการฉายภาพจิตและการอ่านความคิด เทคโนโลยีล่องหนไม่นับว่ายาก แค่ใช้ประโยชน์หลักการหักเหของแสงก็สามารถทำได้ง่ายๆ ส่วนเรื่องสนามของแรงก็เป็นแค่ฟิสิกส์เบื้องต้นเท่านั้น ถ้าไม่มีสนามของแรง มนุษย์คงก้าวเข้าไปสำรวจอวกาศไม่ได้”

ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ระบบถึงได้หัวเราะ “หึๆ” ราวกับไม่ยอมแพ้

ดูจากปฏิกิริยาของระบบ จวงหลี่ก็แสยะยิ้มอย่างได้ใจ

เทคโนโลยีสนามของแรงเป็นฟิสิกส์ขั้นพื้นฐานงั้นเหรอ ประโยคนี้มันฟังดูบ้าบิ่นเกินไปหน่อย เซวียนหมิงจับจ้องชายหนุ่มผมหยิกตาไม่กะพริบ

จวงหลี่ใช้ปลายปากกาชี้บนกระดาษ เขาพูดพร้อมกับส่ายหน้า “แต่ก็น่าเสียดาย แผนผังต้นไม้เทคโนโลยีนี้ไม่มีเทคโนโลยีไหนที่มนุษย์ยุคปัจจุบันทำได้เลย”

ระบบทำเสียงฟึดฟัด

จวงหลี่หยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมาลากเส้นขึ้นไปจากยอดไม้ แล้วพูดต่อ “ดังนั้นเธอมาจากที่ไหนกันแน่ เทคโนโลยีของมนุษย์อยู่ต่ำกว่าเธอ ดังนั้นมนุษย์ไม่ใช่ผู้สร้างเธอขึ้นมาแน่นอน”

ระบบยังคงไม่ปริปาก

เซวียนหมิงคิดในใจ นั่นสิ ระบบมาจากไหนกันแน่

จวงหลี่วาดกิ่งไม้เพิ่มสองกิ่งจากยอดของแผนผังต้นไม้เทคโนโลยี แล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ “มนุษย์ในปัจจุบันยังสร้างเธอขึ้นมาไม่ได้ ดังนั้นถ้าเธอไม่ได้มาจากอนาคต ก็ต้องมาจากมิติที่สูงกว่า”

เขาลบกิ่งที่เขียนคำว่าอนาคตทิ้งไป พร้อมกับพูดอย่างมั่นใจเต็มร้อย “แต่ฉันมั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ว่าเธอมาจากมิติที่สูงกว่า”

เขาฉีกหน้ากากระบบจนหมดเปลือก

ระบบไม่มีร่างกาย และไม่มีวิญญาณ แต่กลับรู้สึกตกตะลึง ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของมนุษย์คนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!

คลื่นยักษ์ซัดสาดอยู่ในใจของเซวียนหมิง มิติที่สูงกว่ามีอยู่จริงเหรอ แน่ใจนะว่าไม่ใช่แค่นิทานปรัมปรา

น้ำเสียงของจวงหลี่ยังคงเอื่อยเฉื่อยเหมือนเดิม “รู้ไหมว่าฉันเดาออกได้ยังไง”

ระบบไม่กล้าส่งเสียง

เซวียนหมิงเกือบหลุดปากออกมาว่า...คุณได้ข้อสรุปที่เหนือจินตนาการพวกนี้มาได้ยังไงกัน

“ตอนที่ฉันสันนิษฐานว่าเธอสามารถใช้หลักการหักเหของแสงเพื่อการล่องหนนั้น เธอหัวเราะหึๆ เย้ยฉัน” จวงหลี่ขีดฆ่ากิ่งที่เป็นตัวแทนของเทคโนโลยีล่องหนบนต้นไม้ด้านล่างทิ้ง แล้วเติมกิ่งระหว่างการฉายภาพจิตและการอ่านความคิดลงไป และเขียนคำว่า “ล่องหน” เข้าไปใหม่

ระบบส่งเสียงตกตะลึงราวกับตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง

แต่เซวียนหมิงกลับไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า ในสายตาของเขา ตอนนี้มีหลายคนกำลังศึกษาวิจัยเทคโนโลยีล่องหนแล้ว และได้ผลลัพธ์ที่ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ความยากในการวิจัยไม่สูงนัก ทำไมถึงอยู่ในระดับสูงกันล่ะ

จวงหลี่หัวเราะเจ้าเล่ห์ “ถูกต้อง เทคโนโลยีล่องหนอยู่ระดับเดียวกับการฉายภาพจิตและการอ่านความคิด เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะล่องหนที่ฉันพูดถึงก่อนหน้านี้คือสิ่งทอที่ใช้การหักเหแบบลบของแสงมาทำให้ทิศทางการสะท้อนแสงนั้นเปลี่ยนไปทางอื่น ซึ่งไม่ใช่การล่องหนอย่างแท้จริง”

“การล่องหนอย่างแท้จริงคือสถานะไร้ตัวตนที่แสงทะลุผ่านเข้าไป คือการดึงคนคนหนึ่งเข้าไปในซอกระหว่างปริภูมิสามมิติและปริภูมิสี่มิติซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกซ่อนไว้ ซึ่งไม่สามารถมองเห็นและจับต้องได้”

“เทคโนโลยีประเภทนี้เป็นของปริภูมิสี่มิติ ซึ่งเธอก็เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ดังนั้นฉันจึงมั่นใจได้ว่าอย่างน้อยเธอต้องมาจากปริภูมิสี่มิติแน่นอน หรือบางทีอาจเป็นมิติที่สูงกว่า พระเจ้าที่เธอพูดถึงคือผู้สร้างเธอขึ้นมาก็เป็นสิ่งมีชีวิตในมิติที่สูงกว่าเหมือนกัน”

ระบบส่งเสียงพูดอย่างยากลำบาก “เมื่อกี้คุณจงใจหลอกฉัน”

ในที่สุดเซวียนหมิงเองก็จำรายละเอียดเล็กๆ ที่น่าสงสัยขึ้นมาได้ ที่อันเป่าเอ๋อร์มาถึงที่เกิดเหตุหลังจากพวกเขาประสบอุบัติเหตุได้ทันท่วงที เธอต้องขับรถตามพวกเขามาติดๆ แต่ตอนที่ถูกรถบรรทุกและรถสปอร์ตขนาบข้างจู่โจม เซวียนหมิงก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรถของอันเป่าเอ๋อร์

ในความเป็นจริงถนนเส้นนั้นก็อยู่ริมเนินผา ความกว้างแค่สิบเมตร ไม่มีที่ให้รถของอันเป่าเอ๋อร์จอดรอ

เธอปรากฏตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้นก็เพราะเธอเข้าไปในสภาวะว่างเปล่าที่จวงหลี่อธิบายเมื่อครู่ เธอมองเห็นโลกภายนอก แต่โลกภายนอกมองไม่เห็นเธอ สัมผัสเธอไม่ได้ ดังนั้นตอนที่เกิดอุบัติเหตุ เธอก็เข้าร่วมขบวนการไล่ล่าเหมือนกัน

ถ้าเป็นแบบนี้ก็อธิบายได้หมดแล้ว

ช่างเป็นเทคโนโลยีที่น่ากลัวจริงๆ!

มนุษย์ที่เข้าใจเทคโนโลยีประเภทนี้อย่างถ่องแท้จะต้องฉลาดถึงขั้นไหน

เพราะในใจตกตะลึงสุดขีด นิ้วมือสองนิ้วที่คีบบุหรี่อยู่จนสั่นเบาๆ

แต่จวงหลี่กลับไม่เห็นคนรอบตัวอยู่ในสายตา เขายังคงจดจ่อกับการโต้เถียงกับระบบต่อไป น้ำเสียงของเขาฟังดูร่าเริงขึ้น “ฉันไม่จำเป็นต้องหลอกเธอหรอก และเธอก็ไม่จำเป็นต้องบอกคำตอบ ทุกสิ่งบนโลกมนุษย์ล้วนมีตรรกะของมัน แค่ให้เบาะแสนิดๆ หน่อยๆ กับฉัน ฉันก็แจกแจงตรรกะที่เกี่ยวพันเชื่อมโยงถึงกันได้”

“ตอนที่เธอโผล่มาในหัวฉันและสื่อสารกับฉันผ่านจิต ฉันก็เดาที่มาของเธอออกแล้ว รู้ไหมว่าเพราะอะไร” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นสนุกสนานเหมือนกับแมวที่เย้าแหย่หนู

แต่ระบบก็ยังเดินตามเกมของเขาอยู่ดี

เสียงของระบบถามอย่างร้อนใจ “เพราะอะไร โปรแกรมของฉันเกิดปัญหาจนข้อมูลรั่วไหลงั้นเหรอ”

“เพราะสมองของมนุษย์เป็นกุญแจในการเชื่อมต่อกับปริภูมิสี่มิติ เดิมทีแล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสามมิติ แต่จิตของมนุษย์เป็นมิติที่สี่ แล้วเธอที่สื่อสารกับฉันผ่านจิตได้จะมาจากไหนกันล่ะ”

จวงหลี่ถอนหายใจส่ายหน้า “สิ่งประดิษฐ์ของปริภูมิสี่มิติเข้าสู่ปริภูมิสามมิติจะถูกมิติบีบกดและสูญเสียฟังก์ชันการทำงานส่วนหนึ่ง นี่เป็นขั้นตอนจำเป็นที่โลกนี้ใช้ในการรักษาสมดุลทางพลังงาน แต่เธอกลับยังคงระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไว้ได้เหมือนเดิม ไม่เคยคิดบ้างเหรอว่ามีสาเหตุมาจากอะไร”

“สาเหตุอะไร” ระบบที่อวดอ้างว่าตนนั้นก้าวหน้ากว่ามนุษย์มากโขกลับกลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ไร้ความมั่นใจ

“เพราะพระเจ้าที่ส่งเธอมาเลือกพื้นที่ที่มีมิติทัดเทียมกันยังไงล่ะ ซึ่งก็คือสมองของมนุษย์ให้เธอมาฝังตัว เมื่ออยู่ในนี้ เธอก็จะไม่ถูกดาวน์เกรดฟังก์ชันการทำงานให้ต่ำลง”

“ดังนั้นฉันไม่ใช่หุ่นเชิดของเธอ แต่เป็นความหวังที่จะทำให้เธอดำรงอยู่ต่อไปต่างหาก ฉันไม่ได้ปรารถนาอยากเชื่อมโยงกับเธอ เป็นเธอที่จำเป็นต้องผูกติดกับโฮสต์เพื่อจะได้ดำรงอยู่ต่อไป ในด้านตัวเลือก ฉันเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่าเห็นๆ”

พอพูดมาถึงตรงนี้ จวงหลี่ก็หมุนปากกาลูกลื่นในมือเล่น ดวงตาแหลมเหมือนหางหงส์หยีเล็ก และฉีกยิ้มอย่างสบายใจ

มาถึงตรงนี้หน้ากากชั้นสุดท้ายของระบบถูกฉีกจนหมดเปลือก

ในขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่าเฉียวย่าหนานพูดเรื่องอะไรถึงมีเสียงปรบมือดังทั่วห้องประชุม

เซวียนหมิงดับบุหรี่และยกมือขึ้นปรบมืออย่างช้าๆ ในส่วนลึกของดวงตากลับยังคงจับจ้องชายหนุ่มผมหยิกคนนี้

เดิมทีระบบลนลานกระวนกระวายแล้ว แต่พออีกฝ่ายเอ่ยถึงโปรแกรมลับของตนก็หัวเราะออกอีกครั้ง “เป็นฝ่ายได้เปรียบ? คุณแน่ใจนะ ฉันลืมบอกไปเลย ที่จริงฉันไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตก็ผูกเชื่อมโยงกับคุณได้”

หนังสือแนะนำ All

Special Deal