(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : เทพมารสะบั้นเศียร เล่ม 01

Monday

บทที่ 2 : ออกจากบ้านช่อง

สัตว์ร้ายต้องผ่านช่วงเวลาพิพักพิพ่วน มันความจริงเติบโตกล้าแข็ง สามารถอยู่ได้ด้วยลำแข้งตัวเอง แต่ยังอาลัยอาวรณ์ต่อการดูแลของตัวแม่ เข้าใจว่าชีวิตสมควรเป็นเช่นนี้ ดังนั้นใช้เรี่ยวแรงไปกับการกลิ้งเกลือกและหยอกเย้าแมลง บางครั้งยังปรากฏภาพลูกเสือดาวที่ตัวใหญ่กว่าแม่ยังนอนอาบแดดอยู่ในพงหญ้า รอคอยอาหารเที่ยงส่งถึงมุมปาก หารู้ไม่ว่าชีวิตที่สวยงามยุติลงแล้ว เมื่อตัวแม่เตรียมตั้งท้องใหม่ ลูกตัวโปรดจะกลายเป็นลูกที่ถูกละทิ้ง ได้แต่ร่อนเร่ไปตามลำพัง หากมิใช่ตายอย่างอนาถ ก็เติบโตเป็นเพชฆาตล่าสังหาร

กู้เซิ่นเหวย* ที่มีอายุสิบสี่ปีก็อยู่ในขั้นตอนนี้ ชื่อของเขาแม้เป็นผู้ใหญ่ แท้จริงแล้วยังซุกซนไร้เดียงสา ในสายตาของบิดา มารดาและพี่ชายเห็นว่าใจร้อนไปบ้าง เขาเองก็คิดอ่านว่ารอจนพี่สาวแต่งออก ค่อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่

* กู้เป็นแซ่ เซิ่นเหวยแปลว่ากระทำด้วยความรอบคอบ

ห่างจากวันเวลานี้สามเดือน แผนการที่วางไว้ถูกเหตุไม่คาดหมายตัดขาดไป

มีอยู่วันหนึ่ง บ่าวไพร่ที่เลี้ยงสัตว์ที่หลังเขากลับมาส่งข่าวว่า มีคนผู้หนึ่งขี่ม้าอยู่บนเนินเขาฝั่งตรงข้าม จับตาดูตัวตึกแต่ไกล

นายผู้เฒ่ากู้จึงรุดไปตรวจสอบที่หลังเขา แต่คนผู้นั้นหลบหน้าไปแล้ว เขาขี่ม้าตรวตรารอบหนึ่ง แต่ไม่พบเห็นอันใด

ตระกูลกู้เพิ่งอพยพจากแผ่นดินจงหยวนมายังแดนซีอวี้เมื่อสองปีก่อน ตัวตึกตั้งอยู่ในพื้นที่สีเขียวทางเทือกเขาตอนใต้ของภูเขาเทียนซาน ในรัศมีร้อยลี้เป็นทะเลทรายเคอปี้ที่รกร้าง คงมีแต่เชิงเขามีหมู่บ้านเล็กๆ พักอาศัยด้วยชาวนาสิบกว่าหลังคาเรือน มิน่าเล่านายผู้เฒ่ากู้จึงประหลาดใจต่อข่าวนี้

กู้ชังความจริงเป็นแม่ทัพบู๊ จึงค่อนข้างตื่นตัว ดังนั้นสอบถามเครื่องแต่งกายและความเคลื่อนไหวของคนขี่ม้านั้น จากน้นเพิ่มการระวังป้องกันอย่างเงียบเชียบ

พี่ชายทั้งสองของกู้เซิ่นเหวยเห็นว่าบิดากระทำเกินเหตุ คนขี่ม้านั้นคงเป็นคนเลี้ยงสัตว์ที่มาหาแหล่งน้ำ พอพบว่าที่นี้มีคนก็จากไป

กู้เซิ่นเหวยยามปรกติชมชอบหาเรื่องราวอยู่แล้ว จึงมองเรื่องราว “หนักหนาสาหัส” ดุจเดียวกับบิดา ขี่ลูกม้าตรวจตราดูรอบบ้าน ขอเพียงเกิดลมพัดใบไม้ไหวจะขี่ม้าไปจวบจนพบว่าเป็นกระต่ายหรือนกกาตัวหนึ่ง

ผ่านไปหลายวัน หามีผู้คนสังเกตการณ์ตัวตึกไม่ ดังนั้นคนของตระกูลกู้สิบกว่าชีวิตจัดเตรียมเจี้ยจวง* ให้กับคุณหนูต่อไป นี่เป็นการแต่งไปยังแผ่นดินจงหยวน เป็นระยะทางหลายพันลี้ จึงต้องตระเตรียมข้าวของไม่น้อย

* สินเดิมที่แต่งออกพร้อมกับเจ้าสาว

ทุกผู้คนล้วนมีงานทำ แต่ภารกิจของคุณชายน้อยคือเข้าห้องหับช่วยชุ่ยหลันผู้เป็นพี่สาว ออดอ้อนจนนางไม่ทันออกจากบ้าน ก็หลั่งน้ำตานองหน้า

ในความคาดคิดของกู้เซิ่นเหวย จงหยวนกับซีอวี้เป็นคนละโลก จากกันครั้งนี้ ไม่ทราบเมื่อใดจึงได้พบกัน จึงใช้วิธีการอันไร้เดียงสานี้ผูกมัดจิตใจพี่สาวไว้

วันเวลาที่สงบสุขเพียงเป็นช่วงสั้นๆ หลังจากที่คนแปลกหน้านั้นปรากฏตัว พอถึงค่ำคืนที่สิบ ก็มีผู้คลุมหน้าหลายคนลอบเร้นกายเข้าตัวตึก

ตัวตึกเปลือกนอกหลวมคลาย แท้จริงแล้วนายผู้เฒ่าจัดเวรยามกลางคืนไว้ บ่าวเฒ่าหยางเจินพบว่ามีผู้บุกรุก มีสถานที่หลายแห่งเกิดการต่อสู้กัน แต่ดำเนินไปเพียงช่วงสั้นๆ เมื่อนายน้อยกู้เซิ่นเหวยสะดุ้งตื่นขึ้น เหล่าผู้คลุมหน้าก็ล่าถอยจากไป

ไม่มีผู้ใดรับบาดเจ็บ

คนในตัวตึกล้วนตื่นขึ้นมา บ่าวไพร่สิบกว่าคนอวดโอ่ว่าตนเองขับไล่ผู้คลุมหน้าล่าถอย ฟังจากปากคำพวกเขา คล้ายกับมีศัตรูบุกรุกนับร้อย แต่บ่าวเฒ่าหยางเจินแน่ใจว่าผู้คลุมหน้ามีไม่เกินห้าคน

กู้เซิ่นเหวยไม่พบพานผู้คลุมหน้า จึงรบเร้าถามไถ่บิดากับพี่ชาย สุดท้ายพี่ใหญ่ตวาดสั่งให้หุบปาก เขาค่อยหดศีรษะอยู่หลังที่เท้าแขนของเก้าอี้ ฟังทั้งหมดแยกแยะความเป็นมาและจุดประสงค์ของผู้คลุมหน้าเหล่านั้น

แดนซีอวี้มีขุมกำลังมากหลาย ชื่อคนชื่อสถานที่วุ่นวายสับสน กู้เซิ่นเหวยรับฟังจนสมองพองโต เพียงจดจำชื่อถูฮู่ (คนฆ่าสัตว์) ได้ แต่ในความคาดคิดของเขา ไม่ว่าคนฆ่าสัตว์เป็นใคร ไม่มีใดน่ากลัว บิดาจึงเป็นแม่ทัพที่จริงแท้

ซึ่งความจริงกู้ชังไม่ได้เป็นแม่ทัพที่จริงแท้ตามที่บุตรคนเล็กคาดคิดไว้ ระหว่างอยู่ในแผ่นดินจงหยวน เขาเพียงเป็นราชองครักษ์ในวัง จวบกระทั่งปลดเกษียณ ค่อยได้รับแต่งตั้งเป็นเสินอู่เจียงจวิน (แม่ทัพอาจหาญ) ชั้นที่สาม

แต่กู้ชังกลับมีชื่อเสียงเรียงนามอยู่ในบู๊ลิ้มจงหยวน มีฝีมือสืบทอดจากวงศ์ตระกูล นักบู๊หยางจวินเพราะต้องการร่ำเรียนเพลงทวนตระกูลกู้ จึงยอมลดตัวเป็นบ่าว บุตรคนโตกับคนรองก็จัดเป็นมือดี มีแต่คุณชายน้อยที่ไม่มีความสำเร็จใด

คุณชายน้อยตระกูลกู้มีหน้าตาหล่อเหลา ดูไปเฉลียวฉลาด ทั้งนิยมวิชาบู๊ เพียงมีจุดอ่อนที่ขาดความอดทน ตอนแรกเล่าเรียนอย่างแข็งขัน ผ่านไปหลายวันก็ละทิ้ง เขายังเป็นบุตรคนเล็ก ได้รับการตามใจจากบิดามารดา และพี่ชายพี่สาว ยิ่งส่งเสริมข้อบกพร่องนี้แก่เขา

หลังจากนั้นกู้เซิ่นเหวยเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วทั้งลานตึก สอบถามเหตุการณ์ที่โจรร้ายบุกรุกเคหสถานเมื่อคืน คนในตัวตึกเข้าใจว่ารบชนะรอบหนึ่ง ที่น่าเสียดายคือจับตัวศัตรูไม่ได้ กระทั่งรอยเลือดสักหยดก็ไม่ทิ้งไว้

กู้เซิ่นเหวยพอฟังเกิดความผิดหวัง หันไปตำหนิเด็กรับใช้ของตนเองนามหมิงเซียง ที่ไม่ปลุกเรียกตนเอง

หมิงเซียงอายุไล่เลี่ยกับกู้เซิ่นเหวย ทั้งเป็นหนึ่งเดียวที่กล้าขัดคอกับนายน้อย จึงโต้แย้งว่า “นายน้อย ท่านเป็นคนฝึกวิชาบู๊ สายตาสอดส่องหกทิศ หูสดับแปดทาง ข้าพเจ้าเป็นเด็กรับใช้ พอหลับใหลต่อให้ถูกทุบตีจนตายยังไม่รู้ตัว ไหนเลยปลุกเรียกท่านได้?”

กู้เซิ่นเหวยโต้เถียงสู้เด็กรับใช้ไม่ได้ ยามขุ่นแค้นได้แต่วิ่งไปหาพี่สาว

ที่ต่างกับคนในหมู่ตึกคือนายผู้เฒ่ากู้ชังกับบ่าวเฒ่าหยางเจินล้วนเคร่งขรึมจริงจัง ควบคุมบ่าวไพร่เข้มงวดกว่าเดิม ทั้งส่งคนออกไปสืบหาข่าวคราว

แต่กู้เซิ่นเหวยไม่กังวลสนใจเท่าใด เขาเชื่อมั่นต่อพลังฝีมือของบิดากับพี่ชาย ต่อให้ศัตรูยกมาทั้งกองทัพ ตัวตึกก็จะตั้งทัพสู้ ตนเองได้แต่ชมดูความครึกครื้นสนุกสนานอยู่ด้านข้าง

อย่าว่าแต่แดนซีอวี้ตอนนี้ต่างกับสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นแดนซีอวี้ประกอบด้วยแคว้นใหญ่น้อย มีค่ายพรรคนับไม่ถ้วน เกิดคดีปล้นสะดมชิงทรัพย์ ชาวบ้านได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ตอนนี้ทุกประการล้วนผ่านพ้น แคว้นจงหยวน เป่ยถิง ซวอเล่อบรรลุข้อตกลง สถานการณ์ค่อยคืนสู่ความสงบ ดังนั้นนายผู้เฒ่ากู้ชังอพยพจากจงหยวนมายังซีอวี้ ปลูกสร้างตัวตึกบนพื้นที่สีเขียว ยึดถือเป็นแดนสุขาวดี

กู้เซิ่นเหวยไม่เคลือบแคลงสงสัยต่อคำพูดของบิดา ยังคงใช้ชีวิตตามปรกติ ฟ้าพอมืดค่ำลง ก็ถูกบิดาไล่ให้เข้านอน อย่างรวดเร็วก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

ยามเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอย กู้เซิ่นเหวยรู้สึกมีคนโยกคลอนตัวเอง จึงลืมตาขึ้น กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เป็นไร โจรร้ายมาอีกหรือ?”

เด็กรับใช้หมิงเซียงก็อ้าปากหาวดุจเดียวกับนายน้อย ยกชูเทียนไขขึ้น กล่าวว่า “มิใช่โจรร้าย แต่เป็นนายผู้เฒ่า”

กู้เซิ่นเหวยฝืนใจคืบคลานลุกขึ้น เห็นเงาร่างอันซูบผอมของบิดายืนอยู่หน้าประตู

“ฮวนเอ๋อ* สวมใส่เสื้อผ้า ส่งพี่สาวเจ้าระยะทางหนึ่ง”

* แปลว่าหรรษา

ฮวนเอ๋อเป็นชื่อเล่นของกู้เซิ่นเหวย คงมีแต่คนใกล้ชิดจึงเรียกหา

“พี่ชุ่ยหลันจะออกเดินทางแล้ว? ทางบ้านพี่เขยยังไม่ส่งคนมารับตัว”

กู้เซิ่นเหวยกล่าวอย่างสงสัยใจ ตอนนี้ห่างจากกำหนดเวลาที่วางไว้เกือบสองเดือน เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจแม้แต่น้อย

กู้ชังส่งเสียงดังอืมม์ กล่าวว่า “เรื่องราวเกิดความเปลี่ยนแปลง ต้องเร่งเร็วขึ้น”

กู้เซิ่นเหวยง่วงเหงาจนไม่มีสมาธิครุ่นคิด จึงรับคำคราหนึ่ง ภายใต้การช่วยเหลือของหมิงเซียง เขาสวมเสื้อผ้าใส่หมวกงอบ กู้ชังผูกห่อผ้าที่เตรียมไว้กับกลางหลังของเขา ทั้งเสียบกระบี่สั้นลงในสายรัดเอวของเขา

วิชาฝีมือประจำตระกูลกู้ประกอบด้วยดาบทวนสองสุดยอด ไม่ถนัดในการใช้กระบี่ กระบี่สั้นนี้จัดทำสำหรับกู้เซิ่นเหวย ตัวกระบี่หน้าแคบ ยาวไม่ถึงสองเชียะ หนักราวหนึ่งชั่ง ยามปรกติบิดาเป็นผู้เก็บรักษา ยากนักที่กู้เซิ่นเหวยจะใช้ออก ยามนี้ตื่นเต้นยินดียิ่ง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง คิดชักออกมาชมดู

กู้ชังกดมือบุตรชายไว้ กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าถือเป็นบุรุษของตระกูลกู้ ให้ใช้มันคุ้มครองพี่สาวเจ้า และคุ้มครองตัวเอง อย่าได้นำออกมาอวดโอ่”

กู้เซิ่นเหวยรับคำ ห้วงสมองปรากฏภาพเหตุการณ์เหล่าผู้คลุมหน้ามาชิงตัวเจ้าสาว เขาถือกระบี่สั้นคุ้มครองอยู่เบื้องหน้าพี่สาว

กู้ชังนำเด็กทั้งสองออกทางประตูหลัง บนเส้นทางเงียบสงบ ที่เบื้องนอกผู้คนสามคนรออยู่ก่อน ประกอบด้วยคุณหนูกู้ชุ่ยหลัน หญิงรับใช้ประจำตัวจี๋เซียง และบ่าวชราหยางเจิง

หยางเจิ้งกับกู้ชังเป็นทั้งอาจารย์ทั้งสหาย และเป็นทั้งบ่าวรับใช้ กู้เซิ่นเหวยฝึกฝีมือกับเขาหลายปี ดังนั้นเรียกหาเป็นอาจารย์หยาง

กู้ชังอุ้มบุตรชายคนเล็กขึ้นม้า เด็กรับใช้หมิงเซียง ปีนป่ายขึ้นม้าเอง ต้องส่ายโงนเงน ยังไม่ตื่นจากหลับใหล

มีเพียงห้าคนห้าม้า กู้ชุ่ยหลันคลุมเสื้อคลุม ไม่มีสมบัติพัสถานใด หญิงรับใช้ทั้งสี่ติดตามไปคนเดียว พกพาสัมภาระไม่มาก

“พี่ใหญ่กับพี่รอง ท่านแม่เล่า ท่านพ่อไม่ไปกับพวกเราหรือ?”

กู้เซิ่นเหวยกล่าวถามขึ้น ขบวนผู้คนนี้ไม่คล้ายคุ้มครองส่งเจ้าสาว กลับคล้ายอพยพลี้ภัย

“พวกเจ้าไปก่อน พวกเราจะตามหลังไป”

กู้ชังคล้อยตามคำหนึ่ง ตบตะโพกม้าเร่งรัดให้ออกเดินทาง

กู้เซิ่นเหวยดึงสายบังเหียน คิดถามให้แน่ชัด หยางเจิงชิงกล่าวคำ “ไป” ตบเร่งรัดม้าของกู้เซิ่นเหวยออกเดินทาง เมื่อเขาหเหลียวหน้ามอง บิดาก็หายลับกับตา ถึงกับไม่ได้บอกต่อบุตรีที่คิดแต่งออกแม้สักคำหนึ่ง

ม่านวิกาลมืดครึ้ม ดวงเดือนประดับฟ้า เป็นเวลาเที่ยงคืน กู้เซิ่นเหวยคับข้องใจยิ่ง นี่ต่างกับภาพพี่สาวแต่งออกตามที่เขานึกฝันไว้โดยสิ้นเชิง

 

นักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่านักฆ่า

กู้เซิ่นเหวย+กู้ชัง+ซ่างกวนฝ่า+ซ่างกวนนู่+เทพไร้ผู้ทัดเทียม+ตู๋ปู้หวง+ตระกูล+ซีอวี้+

นักฆ่า+ชายฉกรรจ์+ศิษย์+อาจารย์+องค์หญิง+องค์ชาย+ฮ่องเต้+ฮองเฮา+ไทเฮา+องครักษ์+ทหารรักษาพระองค์+คุณชาย+คุณหนู+หญิงสาว+บัณฑิต+ผู้แทนพระองค์+เชื้อพระวงศ์+คนบุญหนักศักดิ์ใหญ่+ราชทัณฑ์+นักบู๊พิทักษ์ตึก+ผู้สูงศักดิ์+เด็กชาย+เด็กหญิง+หญิงรับใช้+เชียนหนิวเป้ยเซิน/

ตระกูลกู้ ตระกูลกู้เพิ่งอพยพจากแผ่นดินจงหยวนมายังแดนซีอวี้เมื่อสองปีก่อน ตัวตึกตั้งอยู่ในพื้นที่สีเขียวทางเทือกเขาตอนใต้ของภูเขาเทียนซาน ในรัศมีร้อยลี้เป็นทะเลทรายเคอปี้ที่รกร้าง คงมีแต่เชิงเขามีหมู่บ้านเล็กๆ พักอาศัยด้วยชาวนาสิบกว่าหลังคาเรือน มิน่าเล่านายผู้เฒ่ากู้จึงประหลาดใจต่อข่าวนี้ วิชาฝีมือประจำตระกูลกู้ประกอบด้วยดาบทวนสองสุดยอด ไม่ถนัดในการใช้กระบี่ กระบี่สั้นนี้จัดทำสำหรับกู้เซิ่นเหวย ตัวกระบี่หน้าแคบ ยาวไม่ถึงสองเชียะ หนักราวหนึ่งชั่ง ยามปรกติบิดาเป็นผู้เก็บรักษา ยากนักที่กู้เซิ่นเหวยจะใช้ออก ยามนี้ตื่นเต้นยินดียิ่ง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง คิดชักออกมาชมดู ซ่างกวนนู่ยิ่งแค้นชายหนุ่มที่เล็ดลอดจากร่างแหนั้น คนที่ประคองตัวมีชีวิตรอดอีกไม่กี่วันนั้นต่อให้ตายอีกร้อยครั้ง ก็ไม่อาจชดเชยมือขวาของตนเอง กู้เซิ่นเหวย (กู้เป็นแซ่ เซิ่นเหวยแปลว่ากระทำด้วยความรอบคอบ) “แปลว่าหรรษา ฮวนเอ๋อเป็นชื่อเล่นของกู้เซิ่นเหวย ที่มีอายุสิบสี่ปีก็อยู่ในขั้นตอนนี้ ชื่อของเขาแม้เป็นผู้ใหญ่ แท้จริงแล้วยังซุกซนไร้เดียงสา ในสายตาของบิดา มารดาและพี่ชายเห็นว่าใจร้อนไปบ้าง เขาเองก็คิดอ่านว่ารอจนพี่สาวแต่งออก ค่อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คุณชายน้อยตระกูลกู้มีหน้าตาหล่อเหลา ดูไปเฉลียวฉลาด ทั้งนิยมวิชาบู๊ เพียงมีจุดอ่อนที่ขาดความอดทน ตอนแรกเล่าเรียนอย่างแข็งขัน ผ่านไปหลายวันก็ละทิ้ง เขายังเป็นบุตรคนเล็ก ได้รับการตามใจจากบิดามารดา และพี่ชายพี่สาว ยิ่งส่งเสริมข้อบกพร่องนี้แก่เขา+นายผู้เฒ่ากู้ กู้ชังความจริงเป็นแม่ทัพบู๊ จึงค่อนข้างตื่นตัว ดังนั้นสอบถามเครื่องแต่งกายและความเคลื่อนไหวของคนขี่ม้านั้น จากน้นเพิ่มการระวังป้องกันอย่างเงียบเชียบ ซึ่งความจริงกู้ชังไม่ได้เป็นแม่ทัพที่จริงแท้ตามที่บุตรคนเล็กคาดคิดไว้ ระหว่างอยู่ในแผ่นดินจงหยวน เขาเพียงเป็นราชองครักษ์ในวัง จวบกระทั่งปลดเกษียณ ค่อยได้รับแต่งตั้งเป็นเสินอู่เจียงจวิน (แม่ทัพอาจหาญ) ชั้นที่สาม แต่กู้ชังกลับมีชื่อเสียงเรียงนามอยู่ในบู๊ลิ้มจงหยวน มีฝีมือสืบทอดจากวงศ์ตระกูล นักบู๊หยางจวินเพราะต้องการร่ำเรียนเพลงทวนตระกูลกู้ จึงยอมลดตัวเป็นบ่าว บุตรคนโตกับคนรองก็จัดเป็นมือดี มีแต่คุณชายน้อยที่ไม่มีความสำเร็จใด+พี่ชายทั้งสองของกู้เซิ่นเหวย+ผ่านไปหลายวัน หามีผู้คนสังเกตการณ์ตัวตึกไม่ ดังนั้นคนของตระกูลกู้สิบกว่าชีวิตจัดเตรียมเจี้ยจวง* ให้กับคุณหนูต่อไป นี่เป็นการแต่งไปยังแผ่นดินจงหยวน เป็นระยะทางหลายพันลี้ จึงต้องตระเตรียมข้าวของไม่น้อย ชุ่ยหลันผู้เป็นพี่สาว +บ่าวเฒ่าหยางเจิน และบ่าวชราหยางเจิง เนื่องจากอยากฝึกวิชาทวนตระกูลกู้จึงยอมลดตัวเป็นบ่าว หยางเจิ้งกับกู้ชังเป็นทั้งอาจารย์ทั้งสหาย และเป็นทั้งบ่าวรับใช้ กู้เซิ่นเหวยฝึกฝีมือกับเขาหลายปี ดังนั้นเรียกหาเป็นอาจารย์หยาง+เด็กรับใช้ของกู้เซิ่นเหวยนามหมิงเซียง หมิงเซียงอายุไล่เลี่ยกับกู้เซิ่นเหวย ทั้งเป็นหนึ่งเดียวที่กล้าขัดคอกับนายน้อย จึงโต้แย้งว่า “นายน้อย ท่านเป็นคนฝึกวิชาบู๊ สายตาสอดส่องหกทิศ หูสดับแปดทาง ข้าพเจ้าเป็นเด็กรับใช้ พอหลับใหลต่อให้ถูกทุบตีจนตายยังไม่รู้ตัว ไหนเลยปลุกเรียกท่านได้?”+หญิงรับใช้ประจำตัวจี๋เซียง ++++++++++++++++++

ต่างประเทศ ชนชาติหู+ถูเจี๋ย+ถูฟาน+ม่อชว่อเข่อข่าน+เอี๋ยนเจินเฮ่า+ชนเผ่าเซวี่ยเอียนทวอ+ชนเผ่าปาเซ่อนี+ฉีจินใหญ่

คนอื่น กับกลุ่มคน ชาย ++++++++++++++++ถูฮู่ (คนฆ่าสัตว์) +ประมุขอินทรีทองเป็นเทพไร้ผู้ทัดเทียมรุ่นที่เจ็ด แท้จริงแล้วมิใช่เทพ เขาไม่ได้มีอาณาเขตของตนเอง แต่สามารถไปทั่วทั้งสามสิบหกแคว้นของแดนซีอวี้(พื้นที่ตะวันตกของประเทศจีน หมายถึงแดนซินเกียง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศจีน) เขาไม่มีข้าราชบริพาร แต่ไม่ว่าเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์หรือกรรมกรคนแบกหาม พอได้ยินชื่อของเขาล้วนหน้าถอดสีสิ้น ไม่มีผู้ใดทราบว่าเทพไร้ผู้ทัดเทียมมีฝีมือสูงต่ำเพียงไหน เขาไม่เคยเข้าร่วมการประลองยุทธ์อย่างเปิดเผย คนที่เสาะหาเขาหรือคนที่เขาเสาะหาล้วนตกตายหมดสิ้น เทพไร้ผู้ทัดเทียมแทบไม่มีศัตรู ผู้ที่ถูกเขาฆ่าตาย กระทั่งสุนัขยังถูกตัดหัวทิ้ง  ซ่างกวนฝ่ายึดถือบัญญัติทั้งสองข้อของนักฆ่าอย่างเคร่งครัด สำหรับกับเขา หลักการทั้งสองข้อนี้แทบมีค่าเท่ากับชีวิต ดังนั้นเมื่อเขาทราบว่าบุตรชายคนที่แปดไม่ได้ขุดรากถอนโคน ความโกรธแค้นของเขาเป็นที่ทราบได้ เทพไร้ผู้ทัดเทียมทั้งเจ็ดรุ่นสืบทอดมาร้อยกว่าปี ฆ่าคนนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดถึงเพียงนี้มาก่อน กลับฆ่าคนผิดไป+ซ่างกวนฝ่า มีใบหน้าซูบยาว ผิวคล้ำเล็กน้อย เบ้าตาลึกกลวง ตระกูลซ่างกวนพำนักอยู่ที่แดนซีอวี้นานปี จึงมีสายเลือดของชนชาติหู(คำเรียกคนต่างชาติ) เจือปน เมื่อเขาโกรธแค้น สายตาเย็นเยียบราวกับภูเขาหิมะบนทะเลทรายเคอปี้+บุตรคนที่แปด นู่เอ๋อ แทบเป็นพิมพ์เดียวกับบิดา เพียงแต่อายุยังเยาว์ ใบหน้าแดงก่ำราวเหล็กที่เผาไฟจนแดงแผ่นหนึ่ง ซ่างกวนฝ่าต้องทำอะไร กฎก็คือกฎไม่มีข้อยกเว้นต่อผู้คนและเรื่องราวใด เขาบ่มความพลุ่งพล่านคิดฆ่าคนเอาไว้ สะบัดดาบฟันมือขวาของคนบุตรคนที่แปด ซึ่งเป็นมือที่จับดาบขาดสะบั้น+แต่ซ่างกวนฝ่าลังเลขึ้นมา เขานึกถึงมารดาของบุตรคนที่แปด สตรีนางนี้เคยให้ความสุขหฤหรรษ์แก่เขา รอยยิ้มที่ยั่วเย้า เรือนร่างที่งดงาม ถึงแม้ผ่านไปนานปียังติดตาตรึงใจ นางตายด้วยโรคร้ายที่ไม่ทราบชื่อ โรคร้ายกำเริบรวดเร็วยิ่ง ดังนั้นคำวิงวอนก่อนตายของนางทำให้ผู้คนยากปฏิเสธได้ “ขอให้นู่เอ๋อเติบโตเป็นบุรุษเช่นเดียวกับท่าน”+นักฆ่าเป็นหัวกะทิของป้อมอินทรีทอง มือดาบเป็นทหารรับจ้างของป้อมอินทรีทอง พวกเขาเคยสัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีไม่ทรยศต่อซ่างกวนนู่ นักฆ่าและมือดาบได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่ห้องโถงแล้ว พวกเขาคล้ายแพะแกะที่รอรับการเชือดเฉือน มองดูนายน้อยโถมเข้าห้องมา ดาบเงื้อขึ้นฟันลง ฟันลงเงื้อขึ้นใหม่ โดยที่ไม่สามารถหลบหลีก ไม่มีผู้ใดกล้าหลบหลีก มือข้างแล้วข้างเล่าถูกฟันขาดเสมอข้อ ราวใบไม้กลางน้ำค้างแข็ง ไม่มีผู้ใดส่งเสียงร่ำร้อง เมื่อคนเหล่านี้ถูกจัดสรรให้กับซ่างกวนนู่ ก็ต้องมอบทุกสิ่งออกไป รวมทั้งชีวิตด้วย+++++++++ตู๋ปู้หวง (เทพไร้ผู้ทัดเทียม) +++++เคยมียอดฝีมือคนหนึ่งคิดล้างแค้นให้กับบิดา ฝึกฝีมือสิบปี พอออกท่องเที่ยวก็กวาดพิชิตไปทั่ว จวบจนมั่นใจถึงสิบส่วน จึงเสาะหาศัตรูจนพบ เข่นฆ่าจนไม่เหลือแม้สัตว์เลี้ยง สุดท้ายเหลือเพียงบุตรกำพร้ากับหญิงม่ายกลับมืออ่อน เขาคิดเป็นวีรบุรุษ ต้องการได้ชื่อว่า “ไม่ฆ่าเด็กและสตรี” เพราะความคิดชั่ววูบกลับเพาะสร้างเป็นชนวนเภทภัยถึงแก่ชีวิต บุตรกำพร้ากับหญิงม่ายสามารถล้างแค้นหรือ ย่อมไม่สามารถ บุตรกำพร้านี้ทื่อด้าน ต่อให้ฝึกฝีมืออีกร้อยปี ก็ไม่อาจต้านทานรับนิ้วเดียวของยอดฝีมือ หญิงม่ายมีหน้าตาพื้นเพธรรมดา ต่อให้ยอมขายตัว ก็ไม่อาจล่อลวงให้ผู้อื่นล้างแค้นให้กับตัวเอง แต่ศัตรูของยอดฝีมือมีเงินทอง หญิงม่ายนั้นปล่อยข่าวว่าผู้ใดสามารถล้างแค้นให้กับนาง จะแบ่งสมบัติของนางให้ครึ่งหนึ่ง สตรีที่ไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าคนใช้วิธีวาดขนมเปียะเป็นค่าตอบแทน กลับชักนำผู้คนมานับไม่ถ้วน พอถึงตอนท้ายผู้คนที่เข้าออกบ้านช่องของยอดฝีมือนั้นแทบไม่เคยว่างเว้นมาก่อน ยอดฝีมือนั้นกระทั่งยามนอนยังต้องลืมตาข้างหนึ่ง สุดท้ายเขายังคงถูกฆ่า ผู้ที่ฆ่าเขาเป็นคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามผู้หนึ่ง คนไร้ชื่อเสียงเรียงนามนั้นฮุบสมบัติของบุตรกำพร้ากับหญิงม่ายนั้น มอบที่ดินผืนเล็กๆ ให้กับสองแม่ลูกพอเป็นพิธี+นักฆ่ามิใช่แม่ทัพ ดังนั้นเขายังลึกซึ้งชั่วร้ายและไร้น้ำใจกว่าแม่ทัพ เคยมียอดฝีมือท่านหนึ่งถือกำเนิดจากตระกูลใหญ่ มีฝีมือสูงเยี่ยม ตั้งแต่วัยหนุ่มฉกรรจ์ก็ยากพบพานคู่มือเปรียบติด ผู้ที่เดินทางมาขอรับคำชี้แนะต้องนัดหมายล่วงหน้า หลังจากประลองยุทธ์ล้วนยอมรับนับถือ เขาขึ้นเป็นยอดฝีมือที่หนึ่งแห่งแผ่นดิน สุดท้ายยอดฝีมือผู้นี้ตายแล้ว ตายโดยที่อายุไม่ถึงสามสิบปี นอนอยู่ในท้องร่องสิบกว่าวันค่อยถูกผู้คนพบเห็น สภาพศพเน่าเฟะเปื่อยยุ่ย คนเก็บศพถึงกับไม่อาจหักใจให้บิดามารดาของเขาเห็นสภาพของศพ เขาที่ตกตาย เพราะกระทำความผิดพลาดประการหนึ่ง นั่นคือออกจากบ้านเข้าสู่ยุทธจักร ผู้ที่เดินทางมาขอรับคำชี้แนะต่างเคารพกฎ ทั้งสองยืนเผชิญหน้า รอบข้างยืนไว้ด้วยผู้อาวุโสชาวบู๊ลิ้มเป็นสักขีพยาน พอกล่าวคำ “เริ่มได้” ก็ลงมือประลองความเร็วและความแม่นยำ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สะดวกกับการใช้ฝีมืออันต่ำช้า ยอดฝีมือที่คุ้นกับการ “ประลองยุทธ์อย่างเที่ยงธรรม” พอออกจากบ้านเข้าสู่ยุทธจักร ก็ไม่อาจต้านทานรับการจู่โจมแม้สักคราเดียว ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาถูกผู้ใดฆ่าตาย และไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาถูกฆ่าอย่างไร เพียงทราบว่าบาดแผลคร่าชีวิตอยู่ที่ด้านหลัง+

คนอื่น กับกลุ่มคน หญิง ++++++++++++++++++

ตาย ++++++++++++++++++++++++++++++

สัตว์ สัตว์เลี้ยง พาหนะ บรรทุก +++++++++++++++++ลูกเสือดาว+

ความรู้ +++++++++++++++++++++บัญญัติข้อแรกของนักฆ่าคือห้ามเปิดเผยคิดลงมือต้องมีความมั่นใจ พยายามช่วงชิงจังหวะเวลาชัยภูมิพื้นที่ หากว่าซ่อนตัวในความมืดก็เป็นความได้เปรียบอย่างมาก ต่อให้เป้าหมายของท่านเป็นขอทานที่อัมพาตครึ่งซีกร่าง ท่านก็ต้องยึดถือเขาเป็นสุดยอดฝีมือ เร้นกายเข้าใกล้ จากนั้นจ้วงแทงดาบจากด้านหลัง ท่านรู้สึกขายหน้าใช่หรือไม่ นั่นก็มิผิด ขอทานนั้นไม่ขายหน้า เพราะว่าเขาเป็นคนตายแล้ว ยังมีความเป็นไปได้หนึ่งในร้อยคือ เขาอาจเป็นสุดยอดฝีมือปลอมตัวเป็นขอทาน หลอกให้ท่านติดกับ มีคำกล่าวว่า “การทหารมิหน่ายเล่ห์” แม่ทัพที่รบชนะจึงเป็นยอดขุนพล ผู้ใดสนใจว่าเขาใช้วิธีการใด โดยเฉพาะไพร่พลของเขายิ่งสำนึกขอบคุณผู้บัญชาการศึกไม่เลือกวิธีที่ใช้ เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงมีชีวิตอยุ่ มีโอกาสซ่องเสพกับผลพวงแห่งชัยชนะ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่จะเลือกโจมตีตากด้านหลังปีกข้างของข้าศึก มีแต่ตัวโง่งมที่หลงลำพองจึงคิดทำศึกอย่างเปิดเผย นักฆ่ามิใช่แม่ทัพ ดังนั้นเขายังลึกซึ้งชั่วร้ายและไร้น้ำใจกว่าแม่ทัพ บัญญัติข้อที่สองของนักฆ่าคือห้ามมืออ่อน ยามลงมือต้องดุดัน ต้องขุดรากถอนโคน ฆ่าคนไม่เพียงเพื่อปิดปาก ทั้งยังเพื่อลบ “ชื่อ”++++++++++++++เทพมรณะสะบั้นเศียรแปล-เรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาจีนชื่อ ซื่อเหยินจิง ซึ่งแปลตรงตัวว่า คัมภีร์คนตาย ผู้แต่งใช้นามปากกาว่า ปิงหลินเสินเชี่ย แปลว่าน้ำแข็งกรายเบื้องหน้าเทพ มีความยาวกว่าสามล้านแปดแสนตัวอักษร และใช้เวลาเขียนร่วมสองปีจึงจบเรื่อง ที่น่าสนใจคือเรื่องนี้ย้ายสมรภูมิจากแผ่นดินจงหยวนมายังแดนซีอวี้ หรือชายแดนตะวันตก ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานนักฆ่า ค่ายพรรคโจรมิจฉาชีพ ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่ง ตลอดจนขุมกำลังต่างๆ ตัวเอกของเรื่องประสบภัยถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล จึงตั้งปณิธานคิดล้างแค้น หากว่าตนเองตกอยู่ในห้วงคับขันอันตราย กลายเป็นความกดดันอย่างสูง สมควรใช้คำจำกัดความว่า “ขวัญล่อลอยเก้าชั้นฟ้า สังขารร่วงลับเก้าห้วงน้ำ ผู้มีชีวิตเศร้าโศกศัลย์ คนตายอยู่เย็นเป็นสุข” ถือเป็นเรื่องจีนแนวกำลังภายในที่ห่างหายไปนานพอสมควร

หนังสือแนะนำ All

Special Deal