(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : เทพมารสะบั้นเศียร เล่ม 01

Monday

บทที่ 4 : ล้างทั้งตระกูล

กู้เซิ่นเหวยหยิกต้นขาตัวเอง บังคับมิให้หลับใหล เขาขี่ม้าตลอดคืนทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งอ่อนล้า ค่อยทราบว่าการขี่ม้าเป็นความยากลำบากอย่างยิ่งยวด นึกถึงครั้งกระโน้นเขารอนแรมจากแผ่นดินจงหยวนมายังแดนซีอวี้ เขานอนขดตัวอยู่ในอ้อมอกของผู้ใหญ่ หาล่วงรู้ถึงความโหดร้ายของทะเลทรายเคอปี้ไม่

เขาหยุดม้าลง ที่เบื้องหน้ามีเส้นทางสองสาย สายหนึ่งขึ้นเหนือ สายหนึ่งลงใต้ อาจารย์หยางเพียงบอกให้มุ่งตะวันตก ไม่ได้บอกว่าระหว่างเหนือใต้ให้เลือกทางสายใด

ดีที่ระหว่างทางเริ่มมีผู้คนสัญจร แต่ที่โชคร้ายคือผู้คนหลายขบวน ไม่สามารถพูดภาษาจงหยวน ในที่สุดพบพานคนเลี้ยงสัตว์กลุ่มหนึ่ง มีอยู่คนหนึ่งสามารถพูดภาษาจงหยวน พอฟังชายหนุ่มบอกว่า ต้องการหาจอมทัพหยาง ต้องหัวร่อฮาฮาออกมา

“เมืองหลวงไม่มีจอมทัพหยาง ทั่วแคว้นซวอเล่อก็ไม่มีจอมทัพหยาง”

กู้เซิ่นเหวยกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า “อาจารย์หยางบอกว่ามีก็ต้องมี”

“ฮาฮา อาจารย์เจ้าแต่งเรื่องหลอกเจ้า แคว้นซวอเล่อเราไม่มีจอมทัพ มีแต่แม่ทัพกับตูเว่ย”

เหล่าคนเลี้ยงสัตว์หัวร่อดังๆ จากไป ทิ้งให้กู้เซิ่นเหวยยืนตะลึงลานกับที่

กู้เซิ่นเหวยมิใช่ตัวโง่งม เขาเพียงบริสุทธิ์ไปบ้าง เนื่องเพราะไม่เคยถูกหลอกมาก่อน พอนึกทบทวนโดยละเอียด ก็พบว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่ถูกต้อง

ชายหนุ่มบังเกิดลางสังหรณ์อันอัปมงคลขึ้น

กู้เซิ่นเหวยหันหัวม้ากลับเส้นทางเดิม สีหน้าเขม็งตึงเครียด เขาพบว่าตนเองถูกกันออกนอกเส้นทาง ความรู้สึกนี้ไม่ดี หวังว่าเมื่อพบกับบิดาและหยางเจิงใหม่ ดูว่าพวกเขาจะอธิบายอย่างไร

เวลายามเที่ยง กู้เซิ่นเหวยยังไม่พบกับพี่สาวและพวกทั้งสี่ ปรากฏขบวนพ่อค้าคณะหนึ่งมาจากทางตะวันออก ทุกคนแตกตื่นลนลาน คล้ายถูกปล้นชิงทรัพย์ หนึ่งในจำนวนนั้นร้องบอกต่อชายหนุ่มที่ควบม้าเพียงลำพังว่า “กลับไป กลับไป”

กู้เซิ่นเหวยไม่สนใจคำตักเตือน หัวใจยิ่งเขม็งเกร็งกว่าเดิม ม้าคู่ขามีน้ำลายแตกฟอง เขายังหวดแส้เร่งม่าให้เร็วกว่านี้

ครึ่งชั่วยามให้หลัง เขามองแต่ไกลเห็นทวนยาวเล่มหนึ่งปักตั้งอยู่ข้างทาง ด้ามทวนสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายคันธงที่ปราศจากผืนธง

ที่ปลายทวนเสียบศีรษะหัวหนึ่ง ผมขาวยุ่งเหยิงกระพือพัดพลิ้ว

เมื่อเคลื่อนใกล้เข้าไป กู้เซิ่นเหวยจดจำออกว่าเป็นอาจารย์ของตนเอง เป็นบ่าวเฒ่าหยางเจิง ตายในสภาพสองตาเบิกโพลง คล้ายตายอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ

เขาเคยใช้ทวนเดียวทิ่มแทงสังหารศัตรูสามคน เพียงชั่วข้ามคืนก็ถูกปลิดศีรษะหลุดจากบ่า คนที่ฆ่าเขาคงต้องการประกาศศักดา จึงเสียบศีรษะอยู่บนทวนยาว เป็นการแสดงต่อผู้สัญจร

ต่อจากนั้นกู้เซิ่นเหวยเห็นซากศพที่ตายบนพื้น ทั้งมีมากกว่าหนึ่งซาก

ซากศพของหยางเจิงอยู่ข้างทวนยาว บนร่างปราศจากร่องรอยบาดแผล คนฆ่าลงมืออย่างรวบรัดชัดเจน เพียงกระบวนท่าเดียวก็ตัดศีรษะเขาลงมา กู้เซิ่นเหวยคำนวณไม่ออกว่าคนผู้นี้มีฝีมือสูงล้ำเพียงไหน

ที่ด้านข้างยังมีซากศพสามซาก ซากหนึ่งเป็นหญิงรับใช้จี๋เซียง หน้าอกใบหน้ามีรอยแผลดาบไขว้ตัดกัน โลหิตชโลมเสื้อผ้าจนแดงฉาน นางไม่มีวิทยายุทธ์ คนร้ายกลับใช้ออกหลายกระบวนท่า เพียงเพื่อทรมานนาง

อีกซากหนึ่งเป็นเด็กรับใช้หมิงเซียง เขายังสวมใส่เสื้อผ้าของนายน้อย กู้เซิ่นเหวยเพียงอาศัยเสื้อผ้าจำแนกศักดิ์ฐานะของซากศพ เนื่องเพราะศีรษะของหมิงเซียงขาดหายไป ทั้งไม่ได้ปักอยู่ที่ปลายทวน และไม่ถูกทิ้งอยู่ละแวกใกล้เคียง

กู้เซิ่นเหวยพลิกร่วงลงจากหลังม้า คุกเข่าทั้งสองอาเจียนออกมา จวบกระทั่งกระเพาะยังไม่มีสิ่งใดให้อาเจียน เขาค่อยบังคับตัวเองมองดูซากศพสุดท้าย เนื่องเพราะซากศพนี้แปลกประหลาดยิ่ง

ที่กู้เซิ่นเหวยคลายใจลงคือซากศพสุดท้ายนี้มิใช่พี่สาว หากเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง มีอายุไล่เลี่ยกับตนเอง บนร่างมีรอยบาดแผลเกลื่อนกลาดดุจเดียวกับจี๋เซียง แต่เค้าใบหน้าแปลกตา ไม่เคยพบพานมาก่อน

กู้เซิ่นเหวยกระโดดขึ้นม้า ควบขับไปทางตะวันออกสืบต่อ เขาต้องการทราบร่องรอยของพี่สาว คิดกลับบ้านไปทำความเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวใด

ในความทรงจำของเขา ตระกูลกู้ไม่มีศัตรู ที่แผ่นดินจงหยวนไม่มี ที่แดนซีอวี้ยิ่งไม่มี

เวลาใกล้ค่ำ กู้เซิ่นเหวยกลับมาถึงหมู่บ้านเชิงเขา ที่นี้มีชาวนาสิบกว่าหลังคาเรือนเช่าที่ดินของตระกูลกู้ หากเป็นยามปรกติ เวลานี้สมควรปรากฏควันไฟหุงหาอาหารลอยกรุ่น แต่วันนี้ทุกบ้านช่องปิดประตู ไม่ก่อควันไฟแม้แต่น้อย

เมื่อมองไปบนเขา ตึกตระกูลกู้กลายเป็นเถ้าถ่านแถบหนึ่ง

กู้เซิ่นเหวยมาถึงหน้าบ้านของตนเอง กระโดดลงจากหลังม้า ยืนเหม่อลอยซึมเซา มองดูซากปรักหักพังสีดำ คล้ายตกอยู่ในห้วงฝันร้าย ไม่ว่าใช้ความพยายามอย่างไรก็ไม่ฟื้นตื่นมา

บ้านช่องมอดมลายในลักษณะนี้หรือ คนตายในลักษณะนี้หรือ?

กู้เซิ่นเหวยเหยียบย่ำเศษกระเบื้องและไม้หักซึ่งยังมีความร้อนหลงเหลือ ตรวจสอบทีละห้อง ดูเหมือนว่าหลังคาและผนังห้องยังคงอยู่

นี่เป็นการเข่นฆ่าสังหารโดยปราศจากการต่อสู้ขัดขืน ซากศพทุกซากยังอยู่ตำแหน่งเดิม ถึงแม้ถูกเผาจนดำเป็นตอตะโก แต่จากตำแหน่งที่อยู่ กู้เซิ่นเหวยพอคาดเดาออกว่าผู้ตายเป็นใคร

ท่านพ่อกู้ชังกับท่านแม่นางสีซื่อนอนเคียงคู่ ล้วนถูกตัดศีรษะไป กู้เซิ่นเหวยใช้ความพยายามอย่างยากเย็น เคลื่อนย้ายเศษกระเบื้องและแผ่นไม้ที่ทับร่างออก ค่อยพบเห็นโครงกระดูกสองซาก กู้ชังมีฝีมือสูงเยี่ยม แต่เมื่อเผชิญศัตรูภายนอก กลับไม่รู้สึกตัว

พี่ชายทั้งคู่ก็นอนกับที่เดิม ถูกตัดศีรษะไปเช่นกัน ล้วนตายอย่างเงียบงัน ถึงแม้ฝึกฝีมือสิบกว่าปี แต่ไม่มีโอกาสใช้ออก

บ่าวไพร่และชายฉกรรจ์ในตึกล้วนมีซากศพสมบูรณ์ คนร้ายคล้ายเพียงให้ความสนใจต่อศีรษะของเจ้าบ้านเท่านั้น

แต่พี่สาวยังไร้ร่องรอย ห้องส่วนตัวของนางคงมีแต่เพียงซากศพของหญิงรับใช้สามคน ถึงแม้ถูกเผาไหม้จนผิดสารรูป แต่กู้เซิ่นเหวยยังจำแนกออกว่าหามีพี่สาวไม่

จากชายหนุ่มที่มีชีวิตที่สุขสบาย ได้รับการตามใจตั้งแต่แรก พลันตกอยู่ในสภาพบ้านช่องพินาศผู้คนล้มตาย ความรู้สึกประหลาดแรกคือหวาดหวั่นพรั่นกลัว ต่อจากนั้นความเดือดดาลคลั่งแค้นเกาะกุมจิตใจ เขาต้องตามหาพี่สาวจนพบ เขาต้องล้างแค้น ฆ่าศัตรูทั้งหมด ไม่ว่าศัตรูมีมากน้อยเท่าใด มาจากสารทิศใด

ความคิดล้างแค้นพอบังเกิด กู้เซิ่นเหวยค่อยฟื้นฟูสติสัมปชัญญะมาบ้าง เขาย่อมไม่อาจออกไปตามหาศัตรูด้วยมือเปล่า หากต้องการข้อมูลบางส่วน

ตัวตึกถูกปล้นชิง ทรัพย์สินส่วนใหญ่ถูกกวาดไป แต่สมควรทิ้งอันใดไว้บ้าง

กู้เซิ่นเหวยไม่สนใจสภาพเศรษฐกิจของทางบ้านมาก่อน แต่ยามนี้รายละเอียดปลีกย่อยของการดำรงชีวิตผุดขึ้นในห้วงสมอง ช่วยให้ค้นพบความลับบางอย่าง

ที่ใต้เตียงของพี่รอง เขาขุดพบถุงเงินเล็กๆ ขณะที่เคลื่อนย้ายศพที่อยู่ข้างบนออก เขาแทบหลั่งน้ำตาออกมา แต่สะกดกล้ำกลืนไว้ หลั่งน้ำตามีประโยชน์ใด เมื่อเขายังเด็ก นี่อาจมีส่วนช่วยเหลือได้แต่ตอนนี้เพียงแสดงออกถึงความขลาดเขลา

เส้นทางล้างแค้นยืดยาว ตอนนี้เขากระทั่งศัตรูเป็นใครยังไม่ทราบ เรื่องสำคัญเฉพาะหน้าคือจัดการกับซากศพของคนในบ้านอย่างไร

ประมุขตึกตระกูลกู้กระทั่งซากศพที่สมบูรณ์ยังไม่ทิ้งไว้ ทั้งถูกเผาจนกลายเป็นตอตะโก พอกระทบถูกก็หักกลาง กู้เซิ่นเหวยจึงเคลื่อนย้ายศพของพี่ชายทั้งสองมาที่ห้องของบิดามารดา จัดเรียงคู่กับโครงกระดูกทั้งสอง

ที่ว่า “ห้องหับ” แท้จริงแล้วหลังคาห้องยุบลงมา ผนังกำแพงถล่มลง มีแต่เถ้าถ่าน อิฐ กระเบื้อง ไม้หักและภาชนะเหล็ก คาดว่าอีกไม่นาน ที่นี้จะกลายเป็นหลุมฝังศพรกร้าง ถูกทวิชาติจตุบาทเหยียบย่ำทำลาย

เขาไม่อาจให้ญาติมิตรของตนเองหลังจากตกตายโดยไม่มีซากศพสมบูรณ์ ยังถูกเหยียบย่ำทำลายซ้ำเติม

กู้เซิ่นเหวยหักใจอำมหิต เสาะหาอิฐก้อนหนึ่ง คุกเข่าลงกับพื้น ทุบทำลายซากศพโครงกระดูกทั้งสี่จนแตกแหลก เขาออกแรงทุบทำลาย ราวกับปฏิบัติต่อศัตรู น้ำตาไม่ทราบไหลหลั่งตั้งแต่เมื่อใด

“ฟ้าดินไม่ยุติธรรม”

กู้เซิ่นเหวยร้องอย่างคับแค้น กอบเถ้ากระดูกโปรยขึ้นฟ้า ตระกูลกู้ไม่สมควรมีชะตากรรมเช่นนี้ ท่านพ่อแม้ฝึกวิชาบู๊ แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นในยุทธจักร ระหว่างที่รับราชการ ยิ่งระมัดระวังตัว ไม่ล่วงเกินผู้ใด

อาจบางทีท่านพ่อมีศัตรูอย่างลับๆ แต่ตระกูลกู้ดั้นด้นเดินทางมาถึงแดนซีอวี้ ยังมีศัตรูใดติดตามมาถึงที่นี้?

กู้เซิ่นเหวยขบคิดไม่เข้าใจ จึงป้ายความผิดทั้งหมดไปที่ฟ้า ขว้างอิฐก้อนนั้นใส่ท้องฟ้า

หลังจากที่ฟ้าปฏิบัติต่อตระกูลกู้อย่างโหดร้าย คล้ายยังเย้ยหยันนายน้อยตระกูลกู้เป็นการซ้ำเติม ก้อนหินลอยขึ้นไปไม่กี่เชียะ ก็กรีดเป็นเส้นโค้ง ตกลงที่นอก “ประตู” ทุบใส่กระถางดอกไม้ดังตัง

ต้นทับทิมในกระถางถูกเผาเป็นไม้ดำท่อนหนึ่ง กระถางก็ถูกเผาจนกรอบ หลังเสียงทุบใส่ก็ปริแตกแยกออก

กู้เซิ่นเหวยใช้เรี่ยวแรงจนหมดสิ้น หลังจากขว้างก้อนอิฐออกไป ก็คุกเข่าลง สองมือยันพื้น ปากส่งเสียงหอบหายใจ กระทั่งเรี่ยวแรงด่าทอยังไม่มี

พริบตาต่อมา การเย้ยหยันของฟ้าก็กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ กู้เซิ่นเหวยมองดูเนื้อดินที่ยังรักษาสภาพของกระถางไว้ พลันโถมออกไปราวคลุ้มคลั่ง กอบดินที่มอดไหม้โยนรากของต้นไม้ทิ้ง สุดท้ายขุดห่อน้ำมันใบเล็กๆ จากก้นกระถางใบหนึ่ง

เขาใช้มือบีบดู แน่ใจว่าภายในเป็นตำราเล่มหนึ่ง ค่อยระบายลมจากปาก ซุกเก็บไว้ในอกเสื้อหลังห่อเงิน

เขาหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งอพยพมาถึงแดนซีอวี้ มีอยู่คืนหนึ่งบังเอิญเห็นบิดายัดของสิ่งหนึ่งไว้ในกระถางดอกไม้ ตอนนั้นเขานึกสงสัย แต่ไม่ได้ตั้งใจแยกแยะ จวบกระทั่งบ้านช่องพินาศผู้คนล้มตาย ห้วงสมองพลันบังเกิดปฏิภาณวูบ คาดเดาออกว่าบิดาซุกซ่อนอันใดไว้

ในห่อน้ำมันซุกซ่อนเคล็ดวิชาเรียนลัดสำหรับฝึกพลังประสมกลมกลืน

พลังประสมกลมกลืนแบ่งเป็นพลังหยินเก้าลำดับชั้นกับพลังหยางเก้าลำดับชั้น แม้แต่กู้ชังเพียงฝึกพลังหยินและหยางถึงชึ้นที่ห้า แต่มีเคล็ดลับประการหนึ่ง ช่วยเพิ่มพลังในเวลาอันสั้น เพียงแต่แฝงภัยซ่อนเร้น ดังนั้นทายาทตระกูลกู้ไม่มีผู้ใดฝึกปรือ

กู้เซิ่นเหวยเชื่อว่าพลังประสมกลมกลืนขั้นสุดยอดเป็นวิชาไร้ผู้ต่อต้าน พริบตานั้นสวรรค์มิใช่ตัวการแห่งพิบัติภัยของตระกูลกู้ หากชี้ช่องทางล้างแค้นแก่เขาสายหนึ่ง

กู้เซิ่นเหวยเพิ่งด่าทอฟ้า ดังนั้นเขายึดถือปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์นี้เป็น “สำนึกแห่งเทพ” เขาเพิ่งมีอายุสิบสี่ปี ที่ผ่านมามีชีวิตอยู่ใต้ปีกของบิดา พี่ชาย คิดไม่ถึงสักวันหนึ่งต้องแบกภาระล้างแค้น

เขาต้องการ “สำนึกแห่งเทพ” สนับสนุนความคิดล้างแค้น

แต่ประเด็นสำคัญคือเสาะหาญาติคนสุดท้าย เป็นท่านพี่ชุ่ยหลัน นางอาจยังมีชีวิตอยู่ กำลังถูกเคี่ยวกรำทรมานอยู่ที่ใด

ยามนี้ “สำนึกแห่งเทพ” คล้ายล้อเล่นอีกแล้ว ที่เบื้องนอกพลันบังเกิดเสียงหวีดแหลมเล็กดังขึ้น

หนังสือแนะนำ All

Special Deal