(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : เทพมารสะบั้นเศียร เล่ม 01

Monday

บทที่ 5 : ชุมนุมที่ปากทาง

กู้เซิ่นเหวยผุดลุกขึ้น ความคิดประการแรกคือโถมออกไปเสี่ยงชีวิตกับศัตรู แต่สติสัมปชัญญะอยู่เหนือกว่า ไม่ว่าคนร้ายเหล่านี้มีความเป็นมาอย่างไร ท่านพ่อ อาจารย์และพี่ชายทั้งสองล้วนไม่สามารถต่อสู้ขัดขืน ตนเองยิ่งไม่อาจต้านทานรับการจู่โจมแม้สักคราเดียว เขาสามารถรอดชีวิตมาได้ ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้ว

ทั่วสี่ทิศแปดทางบังเกิดเสียงเป่าหวีดผสมโรงเข้ามา บ้างยาวบ้างสั้น ดังเป็นทอดๆ คล้ายฝูงนกแย่งชิงอาหาร เคลื่อนเข้ามายังซากปรักหักพังของตึกตระกูลกู้ แว่วเสียงกีบม้าดังสับสน คล้ายมีผู้คนนับร้อยนับพันฮือเข้ามา

กู้เซิ่นเหวยก้มกายลง เพิ่งซ่อนตัวอยู่หลังผนังกำแพงที่พังทลายแถบหนึ่ง คบไฟอันหนึ่งก็ถูกโยนข้ามศีรษะเข้ามา จากนั้นกู้เซิ่นเหวยรู้สึกต้นคอตึงวูบ ถูกมืออันใหญ่โตข้างหนึ่งคว้าไว้ เจ้าของมืออันใหญ่โตบังคับม้าเผ่นโผนโจนทะยาน ร่างของกู้เซิ่นเหวยก็ลอยขึ้นจากพื้น

กีบม้าไม่ทันตกถึงพื้น มืออันใหญ่โตก็คลายออก กู้เซิ่นเหวยร่วงฟาดกับพื้นอย่างหนักหน่วง สร้างความเจ็บปวดจนส่งเสียงร้องออกมา กลิ้งตัวไปสองตลบค่อยลุกขึ้นยืน พบว่ารอบข้างชุมนุมด้วยมือดาบที่ขี่ม้า ภายใต้แสงคบไฟสาดส่อง ทุกผู้คนคล้ายสุนัขป่าที่หิวโหย จับจ้องมองเหยื่อตัวเล็กๆ ที่เบื้องหน้า

เรื่องราวทางโลกมักเป็นเช่นนี้ หลังแผ่นดินไหวจะเกิดฝนตก หลังฝนตกเกิดลมพายุ คราเคราะห์คล้ายสัตว์ที่ถูกโจมตีตัวหนึ่ง หยดเลือดจะชักนำสัตว์ที่กินเนื้อมามากมาย ต่อจากนั้นเป็นสัตว์ที่กินซาก ต่อด้วยสิ่งมีชีวิตที่เล็กละเอียด จวบกระทั่งเลือดเนื้อ กระดูก เส้นเอ็นมลายหายสิ้น

การล้างตระกูลกู้เป็นปากแผลฉกรรจ์แผลหนึ่ง หลังจากที่นักฆ่าระลอกแรกกินอิ่มแล้วล่าถอย ที่ด้านหลังปรากฏสุนัขป่า หมาในและนกแร้งตามมา

พวกมันเป็นโจรร้ายและหัวขโมยที่สกปรกโสโครก จำนวนคนไม่ได้มากมายตามที่กู้เซิ่นเหวยคาดคิดไว้ แท้จริงแล้วมีเพียงห้าคน แต่ว่าเสียงหวีด เสียงกีบม้าและคบไฟขยายภาพใหญ่โตกว่าเดิม

กู้เซิ่นเหวยไม่ล่วงรู้ศักดิ์ฐานะของคนเหล่านี้ ยังเข้าใจว่าเป็นศัตรู เขาคล้ายลูกสัตว์ที่ถูกต้อนจนมุมอับตัวหนึ่ง ปากส่งเสียงคำรามเบาๆ กางเล็บที่ไม่แหลมคมเท่าใดออกมา

แส้ยาวแหวกจู่โจมมา กู้เซิ่นเหวยถูกหวดล้มลงอีกครา ฝูงโจรแผดเสียงหัวร่อ หนึ่งในจำนวนนั้นตะปบคว้าร่างของชายหนุ่มขึ้น วางพาดอยู่บนหลังม้า ค้นตัวรอบหนึ่ง ค้นพบถุงเงินใบหนึ่ง จึงยกชูขึ้น ร้องบอกว่า “เด็กน้อยนี้เป็นคนอาชีพเดียวกัน แย่งชิงตัดหน้าพวกเรา”

กู้เซิ่นเหวยล่วงรู้ศักดิ์ฐานะของคนเหล่านี้ ต้องร่ำร้องว่า “ปล่อยข้าพเจ้า” พลางยื่นมือช่วงชิงถุงเงินนั้น

โจรร้ายหัวร่อดังกว่าเดิม ซุกเก็บถุงเงินไว้ในอกเสื้อ ฟาดฝ่ามือใส่กลางหลังของชายหนุ่ม จากนั้นควักล้วงห่อน้ำมันใบนั้นออกมา

กระดูกสันหลังของกู้เซิ่นเหวยคล้ายถูกฟาดหักไป บังเกิดความเจ็บปวดจับใจ แต่ที่ร้อนรุ่มใจยิ่งกว่าเป็นภัมคีร์วิชาฝีมือถูกแย่งชิงไป นั่นเป็นมรดกอันล้ำค่าของตระกูลกู้ ยังสำคัญกว่าชีวิตของเขาอีก

โจรร้ายผิวปากคำหนึ่ง กระชากผ้าน้ำมันออก พบว่าข้างในเป็นสมุดเล่มเบาบางพอพลิกดูกลับไม่รู้จักแม้สักคำเดียว

“คืนแก่ข้าพเจ้า”

กู้เซิ่นเหวยส่งเสียงร่ำร้อง โจรร้ายต่อยหมัดใส่ใบหน้าของเขา ต่อยจนแทบสิ้นสติไป โจรร้ายโยนสมุดทิ้ง ล้วงเชือกเส้นหนึ่งมัดพันธนาการเขาอย่างแน่นหนา จากนั้นกระโดดลงจากหลังม้า ติดตามพวกพ้องไปยังซากปรักหักพังค้นหาของมีค่า

กู้เซิ่นเหวยถูกมัดมือมัดเท้า ได้แต่กระดุกกระดิกราวตัวหนอน ในที่สุดร่วงลงจากหลังม้า จากนั้นคืบคลานเข้าหาสมุดเล่มนั้น

แต่แล้วลมหอบหนึ่งพัดมา โชยพัดคบไฟที่โจรร้ายโยนทิ้งจนสว่างวาบขึ้น เผาไหม้ถูกสมุดเล่มนั้น

อัคคีนี้คล้ายเผาหัวใจของเขา ต้องกลิ้งตัวไปทับเปลวไฟดับลง จากนั้นกลิ้งหลบออกไป คาบสมุดมาด้านข้าง นับว่ารักษาคัมภีร์ประจำตระกูลไว้ได้ แต่สมุดหลายแผ่นแรกถูกเผาไหม้ไปแล้ว

เขามองดูด้วยความรวดเร็ว แต่แล้วตะลึงลานกับที่ นี่กลับเป็นสมุดบัญชีเล่มหนึ่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชากำลังภายในแม้แต่น้อย

กู้เซิ่นเหวยคล้ายถูกน้ำเย็นถังหนึ่งสาดรดใส่ ในแผนการล้างแค้นของเขา คัมภีร์เล่มนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด หากไม่มีคัมภีร์ ด้วยฝีมืออันกระจ้อยร่อยของเขา ต้องฝึกวิชาเป็นเวลาสามสิบปีจึงล้างแค้นได้

เคล็ดวิชาเรียนลัดพลังประสมกลมกลืนมีผลข้างเคียงอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นประมุขตระกูลกู้แต่ละรุ่นจึงเก็บรักษาไว้ มิให้ลูกหลานเปิดอ่าน ฟังว่ามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งฝึกตามเคล็ดวิชาดังกล่าว มีพลังปราณรุดหน้าเท่าตัว ผสานกับสองสุดยอดดาบทวน สร้างชื่อลือกระฉ่อน แต่เพียงสามปีก็เสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน สภาพการตายอเนจอนาถสุดทนดู

กู้เซิ่นเหวยเพราะเพื่อล้างแค้น ไม่คำนึงถึงจุดจบในสามปีให้หลัง แต่ตอนนี้กระทั่งความหวังตกตายตามกันก็อันตรธานหายสิ้น

ฝูงโจรเคลื่อนไหวในซากปรักหักพังด้วยความชำนาญ ไม่ถึงธูปไหม้หมดดอก ก็หิ้วห่อผ้าใหญ่น้อยกลับออกมา ส่งเสียงผิวปากตระเตรียมจากไป

โจรร้ายที่จับตัวกู้เซิ่นเหวยก็กลับมาวางห่อผ้าสองใบลงบนหลังม้า ผลรับของเขาสู้คนอื่นไม่ได้ จึงอารมณ์ไม่ดี พอเดินถึงข้างกายชายหนุ่ม ต้องเตะใส่เท้าหนึ่ง

กู้เซิ่นเหวยเจ็บปวดจนตัวงอ โจรร้ายคว้าจับเส้นเชือกบนร่างของเขา หิ้วกลับมาบนหลังม้า

พริบตานั้น กู้เซิ่นเหวยคล้ายได้คิดอันใด ผ้าน้ำมันที่ห่อสมุดบัญีชีตกหล่นอยู่เบื้องหน้าของเขา ปรากฏแพรขาวมุมหนึ่งโผล่พ้นออกมา ก่อนที่เขาจะถูกหอบหิ้วขึ้นไป กู้เซิ่นเหวยอ้าปากกัดมุมแพรขาวไว้ในปาก เมื่อนอนขวางบนหลังม้า ก็อมแพรขาวไว้ในปาก

ฝูงโจรพากันขึ้นม้า ออกจากตึกลงจากเขา

ที่หมู่บ้านเชิงเชามีโจรร้ายคนหนึ่งเฝ้าเชลยสิบกว่าคนกับวัวและแพะสามสิบกว่าตัว คนเหล่านี้ถูกมัดพันธนาการ ใช้เชือกร้อยเป็นพวง กู้เซิ่นเหวยก็ถูกจับโยนกับพื้น ผูกมัดอยู่ทางด้านหลังของขบวนเชลย

โจรร้ายทั้งสองต้อนเชลยและสัตว์เลี้ยงไปทางตะวันออก กู้เซิ่นเหวยวิ่งไล่กวดตามไท่ทันคายแพรขาวออกจากปาก

เมื่อฟ้าใกล้รุ่งสาง ฝูงโจรที่หยุดลงที่ปากทางแยกแห่งหนึ่ง กู้เซิ่นเหวยพบว่าที่นี้ห่างจากบ้านของตนเองไม่ไกล แต่เขาน้อยครั้งออกจากบ้านช่อง จึงไม่มีความทรงจำต่อเส้นทางสายนี้

เส้นทางเดินจากเหนือลงใต้ตัดผ่านปากภูเขาแห่งหนึ่ง ทอดเป็นระยะทางหลายลี้ ก็บรรจบรวมกับเส้นทางหลักจากตะวันออกถึงตะวันตก ที่ปากทางชุมนุมด้วยผู้คนนับร้อยคน

ผู้คนส่วนใหญ่สวมชุดหนังสักหลาด คล้ายไม่ได้ซักล้างมาก่อน จึงมีคราบน้ำมันจับเกราะกรัง ทุกผู้คนพกพาอาวุธ ดวงตาทอแววดุร้าย คล้ายฝูงสัตว์ร้ายที่ถูกจับต้อนมารวมกัน

ระหว่างโจรร้ายแสดงว่ามีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แยกออกเป็นหลายกลุ่ม ใช้สายตาที่ระแวดระวังจับจ้องมองกัน มือไม่อาจอยู่ห่างจากอาวุธ คล้ายกับจะเปิดศึกได้ทุกเมื่อ

ที่น่าประหลาดคือ ฝูงโจรเบียดเสียดกันอยู่ที่ปากทางด้านตะวันตก ฝั่งตรงข้ามมีพื้นที่โล่งกว้าง แต่ไม่มีผู้ใดก้าวข้ามไปราวกับว่าบนพื้นที่ว่างซุ่มไว้ด้วยภูตผีปีศาจร้าย

ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือ ฝูงโจรชะเง้อคอมองไปยังปากภูเขาด้านทิศเหนือ คล้ายกำลังรอผู้ใด

เมื่อสองชั่วยามก่อน กู้เซิ่นเหวยยังเข้าใจว่าตนเองได้รับการชี้แนะจาก “สำนึกแห่งเทพ” ยามนี้กลับตกเป็นเชลยของฝูงโจร อยู่ร่วมกับบุรุษสตรีที่สกปรกโสโครก

ในเชลยทั้งหมด นับกู้เซิ่นเหวยสกปรกที่สุด ทั้งหยาดเหงื่อ ผงธุลี เถ้ากระดูกเกาะติดกับร่าง ราวกับเป็นรูปปั้นจากดินเลน

กู้เซิ่นเหวยฉวยโอกาสที่ฝูงโจรไม่ทันสังเกต คายแพรขาวที่อมไว้ครึ่งค่อนวันออกมา แต่ไม่กล้าอ่านดู หากซุกเก็บไว้ในอกเสื้อ เขาถูกค้นตัวครั้งหนึ่ง หวังว่าไม่มีครั้งที่สองอีก

ที่เหลือเชื่อคือละแวกบ้านตระกูลกู้กลับชุมนุมด้วยโจรร้ยมากมายถึงเพียงนี้ ฟังว่าคนเหล่านี้สมควรสูญพันธุ์ไปแล้ว เขาเงยหน้ามองดูโจรร้ายที่จับตัวเขามา หวังว่าจะได้รับข่าวสารอันใด

โจรร้ายผู้นี้ก็สวมชุดหนังสักหลาดทั้งที่เป็นฤดูร้อน มีรูปกายกำยำ ไว้หนวดเคราดกหนา หน้าตามอมแมม ที่แก้มซ้ายมีรอยแผลเป็นเส้นหนึ่ง

โจรหน้าบากพบเห็นสายตาที่มองมา จึงกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ไยไม่หนี?”

กู้เซิ่นเหวยย่อมไม่โง่งมถึงเพียงนั้น เขาอยู่ท่ามกลางฝูงโจร รอบข้างล้วนเป็นทะเลทรายเวิ้งว้าง หากวิ่งหนีรังแต่หาที่ตาย อย่าว่าแต่เขาสองมือถูกจับมัด ร้อยรวมกับเชลยอื่น

“ท่านได้เงินแล้ว ยังไม่ปล่อยข้าพเจ้าอีก?”

กู้เซิ่นเหวยแม้กล่าวอย่างแข็งกร่ว แต่พอคาดเดาออกว่าเขากับบุรุษสตรีอื่นรวมทั้งสัตว์เลี้ยง ในสายตาของโจรยึดถือเป็นเงิน

โจรหน้าบากถ่มน้ำลายใส่พื้น คร้านที่จะตอบคามของเด็กน้อยไม่รู้ความผู้นี้

โจรที่มีเค้าใบหน้าชราภาพผู้หนึ่งสำรวจดูฝูงโจรและเชลยที่มาใหม่พลันกล่าวว่า “เหยี่ยวบิน ผลรับไม่นับเป็นอย่างไร”

โจรหน้าบากที่เรียกว่าเหยี่ยวบินร้องเพ้ยอีกครากล่าวว่า “ใต้ปากเสือไม่ทิ้งอาหารไว้”

กู้เซิ่นเหวยใจเต้นระทึกขึ้น คำ “เสือ” ย่อมหมายถึงผู้ที่ทำลายล้างตระกูลกู้ ฝูงโจรแสดงว่าล่วงรู้รายละเอียดของนักฆ่านั้น แต่รออยู่ครึ่งค่อนวัน ยังไม่มีผู้ใดเอ่ยถึง “เสือ” อีก จึงบอกกล่าวเองว่า “ท่านก็ไม่เป็นรองเสือเท่าใด”

เหยี่ยวบินปิดปากสนิท ชั่วครู่จึงกล่างเสียงเย็นชาว่า “เหลวไหล ยังมีผู้ใดร้ายกว่าเทพไร้ผู้ทัดเทียมอีก?”

เทพไร้ผู้ทัดเทียม

ทั่วทั้งแดนซีอวี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักเทพไร้ผู้ทัดเทียม

หัวใจกู้เซิ่นเหวยตกวูบลง ความกล้าแข็งของศัตรูคู่แค้นอยู่เหนือความคาดหมายของเขานัก

หนังสือแนะนำ All

Special Deal