Monday
ไซว่วั่งน้อยไม่รู้ว่าเพราะอะไรตัวเองถึงตื่นขึ้นมากลางดึก และเขาก็ไม่ชอบการตื่นกลางดึกเช่นกัน เบิกตามองดูโลกอันดำมืด ความรู้สึกนั้นไม่ดีเอาเสียเลย
เขาครางหลายเสียง ไม่มีใครสนใจ ร้องเรียกท่านแม่อยู่หลายคำ ไม่มีใครส่งเสียงตอบ
ไซว่วั่งหงุดหงิดแล้ว บวกกับนอนไม่หลับเป็นทุนเดิม เขาตัดสินใจอาละวาดยกหนึ่ง เขาลุกขึ้นนั่ง ตะโกนเรียก “ท่านแม่ ท่านแม่”
ปราศจากเสียงใดๆ
ไซว่วั่งงุนงง ท่านแม่ไปไหนแล้ว โมหะเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นความตื่นกลัวทันที
ไซว่วั่งนั่งเหม่ออยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ใคร่ครวญว่าจะแหกปากร้องไห้หรือลุกขึ้นไปตามหาดี
ไซว่วั่งขวัญกล้าและแก่นแก้ว ตอนนี้ในเมื่อไม่มีใครเข้มงวดกวดขัน เขาอยากเอาแต่ใจเช่นไรก็เอาแต่ใจเช่นนั้น ยามนี้โดดลงพื้นเท้าเปล่า เดินหาจนทั่วก็หาท่านแม่ไม่เจอ กลับเอะอะตึงตังจนสาวใช้คนหนึ่งสะดุ้งตื่น สาวใช้คนนั้นเพิ่งอายุสิบสองสิบสาม นอนหลับเป็นตาย จู่ๆ ถูกไซว่วั่งปลุก ได้แต่ผงกหัวขึ้นมาถาม “เรื่องอะไร” เห็นไม่มีใครตอบก็งัวเงียหลับไปอีก
ไซว่วั่งใส่รองเท้าแล้วผลักประตูเดินออกไป
แสงจันทร์เย็นเยือก ระแนงเถาวัลย์ทอดเงาสีดำยาวเหยียด ลานสวนของบ้านตัวเองตอนเที่ยงคืนกลับดูน่ากลัวอยู่บ้าง ไซว่วั่งปลอบตัวเองเบาๆ “เจ้าเป็นลูกผู้ชาย ต้องทำตัวเป็นเด็กดีที่มีความกล้าหาญถึงจะถูก”
เช่นนี้เอง เด็กน้อยผู้กล้าหาญจึงเดินถึงด้านนอก
ในลานไม่มีใคร เขาออกจากประตูลาน ป่าท้อที่อยู่ข้างนอกเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับเขาเสมอมา ท่านแม่ไม่อนุญาตให้เขาไป แต่กลไกกับดักในบริเวณนั้น ท่านแม่เคยชี้ให้เขาดูแล้ว
วันนี้เป็นอิสระทั้งที ไซว่วั่งมองเข้าไปในป่าท้ออย่างห้ามใจไม่อยู่ เขาเห็นหญิงชุดแดงคนหนึ่งล่องลอยอยู่ในป่าท้อ เท้าไม่ติดพื้น ลอยอยู่กลางอากาศ
ผมของไซว่วั่งน้อย ‘พึ่บ’ ตั้งชันขึ้นมา
ผี?
ไม่ใช่ เงาร่างนั่นคุ้นตามาก ไซว่วั่งยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น
เขานิ่งไปนานมากก่อนส่งเสียงเรียกเบาๆ “ท่านแม่!”
ท่านแม่ เป็นอะไรไป
ในเมื่อคือท่านแม่ ไม่ว่านางเป็นอะไรไป ไซว่วั่งก็ไม่กลัว เขาวิ่งไปหา ยืนอยู่ใต้เท้าท่านแม่ แหงนคอขึ้น เห็นใบหน้าสยองขวัญ ถึงตอนนี้เหวยไซว่วั่งตกใจร้องไห้จ้าขึ้นมาในที่สุด
แต่ไม่ว่าร้องไห้อย่างไร ท่านแม่สุดที่รักของเขาก็ไม่ส่งเสียงตอบกลับมา
เช่นนี้เอง ไซว่วั่งกระทืบเท้าแหกปากร้องไห้ตามลำพัง กระบวนท่าใดๆ ล้วนงัดออกมาใช้ ทำให้ท่านแม่ขานตอบเขาไม่ได้ เขารู้สึกเสียใจและหวาดกลัว เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุไฉนท่านแม่ไม่ไยดีเขาแล้ว
นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น เพราะอะไรทั้งหมดนี้อยู่ๆ เสียการควบคุม ไม่เป็นอย่างที่เขาคุ้นเคยอีกแล้ว น้ำตาของไซว่วั่งแห้งเหือดบนหน้า นอกจากยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น เขาไร้หนทางอื่นใด
ไม่ทราบผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดมีคนมา ไซว่วั่งหลบอยู่หลังต้นไม้ด้วยความขลาดกลัว คนผู้นั้นยืนอยู่ข้างศพของซือซือ นิ่งอั้นครู่หนึ่ง นำร่างซือซือบนต้นไม้ลงมา ตรวจดูลมหายใจ จับชีพจร ลุกขึ้นยืน มองนิ่งๆ อีกครู่หนึ่งแล้วหมุนกายเดินจากไป
ตั้งแต่ต้นยันท้าย แม้ต่อมาไซว่วั่งโผล่ออกจากหลังต้นไม้ พยายามดึงดูดความสนใจของเขา เขาก็ไม่เหลือบแลไซว่วั่ง
คนผู้นั้นหมุนกายจากไป ทิ้งไซว่วั่งกับแม่ของเขาไว้ในราตรีมืดมิด
ไซว่วั่งอึ้งงัน ตื่นกลัวและเศร้าเสียใจจนด้านชาไปแล้ว เขาไร้น้ำตาเดินวนรอบซือซือหลายรอบเงียบๆ สุดท้ายตัดสินใจนั่งลงข้างกายท่านแม่ ท่านแม่ที่เปลี่ยนเป็นน่ากลัวก็เป็นท่านแม่เหมือนกัน ในราตรีสีดำที่ไร้จุดสิ้นสุดนี้ บรรยากาศที่มืดตื๋อคล้ายมีเจตนาเป็นศัตรู เขาได้แต่ซุกอยู่ข้างกายท่านแม่ด้วยความประหวั่น
ตอนที่หานชิงมาถึง เห็นชุดแดงอันสะดุดตานั้นในความมืด ยังมีเด็กสี่ขวบขดตัวนิ่งอยู่ในชุดแดง แสงจันทร์เยียบเย็นส่องสว่างบนหน้าเด็กน้อยนั่น ดวงหน้าน้อยๆ มีรอยน้ำตาที่ยังไม่แห้งดี นัยน์ตาบวมแดง แต่แววตาเหม่อลอย
ท่านเคยเห็นเด็กที่โดนตีจนหวาดผวาหรือไม่ ทุกรายจะแววตาเหม่อลอย เพราะความเป็นจริงนั้นโหดร้าย ด้วยเหตุนี้ไม่กล้าขบคิดไม่มีเรี่ยวแรงหลบเลี่ยงและต่อต้าน ทำได้เพียงเสาะหาความสงบสุขในโลกจิตวิญญาณของตัวเอง ดังนั้นแววตาเซื่องซึม การตอบสนองเชื่องช้า
หานชิงรู้ซึ้งถึงความซนของไซว่วั่งน้อยอยู่เนืองๆ ชั่วคืนเดียวเด็กที่ไม่ยอมอยู่นิ่งราวกับเป็นโรคสมาธิสั้นคนนี้แน่นิ่งไม่ขยับแล้ว สภาพการณ์นี้ทำให้หานชิงตระหนกและปวดร้าว!
ไฉนเป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร เมื่อกลางวันซือซือถึงกับฝากฝังลูกกับเขาหรือ?
หานชิงเข้าไปอุ้มไซว่วั่งน้อยขึ้นมา กอดไว้แน่นๆ หวังมอบไออุ่นและการปลอบประโลมแก่เด็กคนนี้
ไซว่วั่งถูกอุ้มขึ้นมาถึงค่อยหันหน้ากลับมาช้าๆ เห็นท่านอาหานที่ตนเห็นประจำ รู้สึกเป็นครั้งแรกว่าท่านอาหานไม่ใช่เป้าหมายของการกลั่นแกล้งของเขา แต่เป็นผู้ใหญ่ที่น่าชิดใกล้และพึ่งพาได้ ตอนแรกไซว่วั่งเนื้อตัวสั่นเทาตามด้วยหวีดร้องขณะที่หานชิงก้มตัวลงจับชีพจรซือซือ
หากมีเด็กกรีดร้องอยู่ข้างหูท่าน ท่านจะทราบว่าเสียงแหลมสูงของเด็กน้อยนั้นมีพลังทำลายล้างยิ่งใหญ่ปานใด หานชิงรู้สึกในหู ‘เปรียะ’ หนึ่งเสียง ตกใจจนหวิดโยนไซว่วั่งลงพื้น
ไม่ต้องตรวจชีพจร หานชิงมีประสบการณ์โชกโชนกับเรื่องพรรค์นี้ แค่แตะนิ้วที่ผิวหนังก็ทราบว่าซือซือตายสนิท หมดหนทางช่วยชีวิตแล้ว
ดังนั้นเขาอุดหูตัวเองฝืนทนความปวดแปลบในหู อุ้มไซว่วั่งออกมา
สวรรค์ หานชิงยิ้มขื่น เขาเคยรับปากซือซือดูแลเด็กคนนี้ สวรรค์เอย เด็กคนนี้…
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของไซว่วั่ง หานชิงตะคอกดุเหวยสิง “เจ้ายังเป็นคนหรือไม่ ปล่อยเด็กไว้ตรงนี้คนเดียวได้ยังไง”
เหวยสิงไม่พูดสักคำก็หมุนกายผละไป
หานชิงนิ่งเงียบห้าวินาที
จากนั้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของไซว่วั่ง หานชิงสั่งคนของบ้านสกุลเหลิ่งจัดการเรื่องงานศพซือซือ
มีคนจะรับเหวยไซว่วั่งไป เจ้าตัวน้อยที่กรีดร้องและดิ้นไม่หยุดจู่ๆ ตะโกนเสียงดังลั่น จิกผมหานชิงไว้ตลอดจนหานชิงร้องโอ๊ย ตั้งแต่หานชิงรับตำแหน่งประมุข ตั้งแต่หานชิงเข้าบ้านสกุลเหลิ่ง กระทั่งก่อนหน้านั้นอีก ตั้งแต่หานชิงตัวสูงเกินหนึ่งหมี่*เจ็ดสิบเป็นต้นมา ก็ไม่เคยมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้มาก่อน (หมี่ : เมตร)
คนที่จะเข้ามาอุ้งไซว่วั่งพลันตกใจปล่อยมือทันใด เหวยไซว่วั่งโดดกลับไปเกาะหนึบหานชิงอีกครั้ง หานชิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
จากนั้นรู้สึกว่าสองแขนน้อยๆ นั้นกอดคอเขาไว้แน่นมาก แน่นจนหานชิงแทบหายใจไม่ออก เรือนร่างเล็กๆ นั้นสะอึกสะอื้นตัวโยน กลับกอดหานชิงไว้แน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี ทรงผมของหานชิงหลุดรุ่ย สภาพดูไม่จืด ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่เจ้าตัวน้อยที่กอดคอเขาแน่นนั้นก็ทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจเล็กๆ เจ้าเด็กคนนี้กอดเขาแน่นเหลือเกิน แม้งอแงเอาแต่ใจอยู่ในอ้อมแขน แต่ถูกคนอื่นอุ้มไปกลับทำให้เขาหวาดกลัว
คนเรามักรังแกคนที่ตนไว้เนื้อเชื่อใจ กับคนอื่นนั้นเกรงใจอย่าบอกใคร หานชิงทอดถอนใจ โบกมือไปทางบริวาร มือข้างหนึ่งอุ้มไซว่วั่ง มืออีกข้างตบหลังเด็กน้อยเบาๆ
ไซว่วั่งกรีดร้องจนคอแหบ ตอนแรกแค่ร้อง ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าจะหาท่านแม่!” วนเวียนอยู่แค่ประโยคนี้ไม่หยุด ตราบจนในคอไม่มีเสียงออกมาแล้ว
หานชิงอุ้มเขาไว้ตลอด รอเขาเงียบเสียงไป ในหัวของหานชิงเริ่มส่งเสียงกรีดร้องแทนเหวยไซว่วั่งโดยปริยาย ไซว่วั่งร้องหรือไม่ร้อง ในหัวหานชิงก็มีแต่เสียงกรีดร้องของเหวยไซว่วั่งอื้ออึงตลอดเวลา หานชิงรู้สึกวิงเวียนคลื่นไส้ ตาพร่า เหนื่อยล้าเหลือเกิน
จำต้องยอมรับ ความอดทนของสตรีนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง สตรีเข้มแข็งกว่าบุรุษ
ลองคิดดู วันเวลาในอนาคตข้างหน้าต้องผจญกับความทรมานลักษณะนี้ หานชิงก็หน้าเขียวแล้ว
คนบ้านสกุลเหลิ่งรู้สึกขบขันกับเจ้าตัวเล็กที่เกาะอยู่บนร่างหานชิงเหมือนปลาหมึก หานชิงมิใช่ไม่ขายหน้า เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เขาจะแกะเหวยไซว่วั่งลงมาจากตัว เหวยไซว่วั่งจะส่งเสียงร้องเหมือนรถดับเพลิง และที่ตามหลังมาคือการฟูมฟายอันน่าเวทนา “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าจะหาท่านแม่” เสียงแหบแห้งจนไม่เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งแล้ว ชวนให้สะเทือนใจ
หานชิงรู้สึกปวดร้าว ในเมื่อซบอยู่บนตัวหานชิงแล้วทำให้เขาเงียบเสียงได้ อีกทั้งหานชิงก็แบกรับน้ำหนักสามสิบกว่าจิน*ได้สบาย เช่นนั้นก็อุ้มไว้ก่อนแล้วกัน เขาเป็นแค่เด็กสี่ขวบคนหนึ่ง ไม่ใช่ปลิงยักษ์เสียหน่อย คิดว่าต้องมีสักวันที่บาดแผลทุเลาแล้วยอมลงพื้นกระมัง
(จิน : หน่วยชั่งตวงวัดของจีน เทียบเท่ากับครึ่งกิโลกรัม)
โดนผู้อื่นหัวเราะเยาะนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ…เด็กคนนั้นอย่ากรีดร้องอีกเลย
ไซว่วั่งจึงหลับปุ๋ยอยู่บนตัวหานชิงเช่นนี้เอง
ทรมาทรกรรมอยู่ครึ่งคืนกว่าจะหลับไปทั้งสะอึกสะอื้นตอนฟ้าใกล้สว่าง นัยน์ตาปิดสนิท มือน้อยๆ ร่วงผล็อยอย่างอ่อนแรง ศีรษะน้อยๆ พาดอยู่บนหัวไหล่หานชิง มือข้างหนึ่งยังจับคอเสื้อของหานชิงไว้ด้วยความระแวง
อันที่จริงเด็กสี่ขวบไม่ควรต้องอุ้มแล้ว แต่ดวงหน้าเล็กๆ ราวทูตสวรรค์และท่าทางตะแคงศีรษะอิงซบบนตัวหานชิงอย่างไว้ใจนั้น พาให้ใจอ่อน
หานชิงบรรจงเช็ดคราบน้ำตาและน้ำลายให้เจ้าตัวเล็ก ฝ่ามือใหญ่ที่แสนอบอุ่นประคองศีรษะไซว่วั่งขณะวางลงบนเตียงเบาๆ แล้วโบกมือให้ชุ่ยชีหญิงรับใช้มาเฝ้าดูไซว่วั่ง จากนั้นยืดเหยียดร่างกายช้าๆ ด้วยความปีติยินดีที่แขนขาได้รับอิสรภาพอีกครั้ง
หานชิงไม่ได้พาไซว่วั่งกลับไปส่งที่บ้านของเขา เหวยสิงไม่ได้กลับบ้าน แต่ต่อให้เขากลับบ้านหานชิงก็รู้สึกว่าการส่งเจ้าตัวเล็กที่ตนยังทนไม่ได้ไปถึงเบื้องหน้าเหวยสิงซึ่งเพิ่งเสียภรรยาไปหมาดๆ นี้ไม่ใช่ความคิดที่ดี หานชิงเรียกชุ่ยชีหญิงรับใช้ประจำตัวของซือซือมา และเอาไซว่วั่งไปไว้ที่ห้องเล็กข้างห้องนอนตัวเอง
จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาออกมาก็เจอเหวยสิงมาบอกลาพอดี
หานชิงหมดคำพูด เขาไม่มีวาจาใดให้กล่าว สำหรับโศกนาฏกรรมครั้งนี้เขาในฐานะผู้ชมที่มิอาจสอดมือและช่วยอะไรไม่ได้คนนี้ ไม่มีสิ่งใดสามารถตำหนิผู้อื่น และหมดปัญญาปลอบโยนความเศร้าโศกที่ใหญ่หลวงเช่นนี้
สองคนนิ่งเงียบพักหนึ่ง หานชิงถอนหายใจ “ก็ดี เจ้าไปเถอะ ลืมนางเสีย”
เหวยสิงแค่นหัวเราะ “ลืม?”
ลืม? เหวยสิงคล้ายเห็นแผลไฟลวกขนาดเท่าชามข้าวตรงทรวงอก หนังเปิดเนื้อเหวอะ สีสันอัปลักษณ์น่ากลัว แผลเป็นขนาดใหญ่ปานนี้ จะลืมได้อย่างไร
หานชิงอับจนวาจา ถ้อยคำใดๆ ล้วนเกินความจำเป็น
เหวยสิงถาม “เจ้าไม่ได้คิดจะเลี้ยงเจ้าเด็กแสบนั่นตลอดไปกระมัง”
หานชิงสะอึกวูบ “อย่างไร”
เหวยสิงว่า “ส่งลงเขาไปให้ครอบครัวชาวนาที่ไหนสักครอบครัวแล้วกัน”
นี่ก็เป็นความคิดที่ดี อึดใจใหญ่หานชิงค่อยว่า “นั่นคือลูกชายของซือซือ”
สีหน้าของเหวยสิงเหมือนถูกใครตบแรงๆ หนึ่งฉาด เขาหน้าบึ้ง กัดฟันผรุสวาท “นางแพศยานั่น!”
ตอนเขาจากไปยังไม่เกลียดซือซือเท่าไร ตอนนี้เขาโกรธเกลียดชิงชังซือซือ เพราะอะไร? เขาเคียดแค้นซือซือที่ใช้วิธีนี้มาตัดรอนเขาอย่างไร้เยื่อใยหรือ
ผ่านไปครู่หนึ่ง หานชิงพูด “รอให้ฝังศพซือซือก่อนเถอะ”
เหวยสิงยิ้ม “จำเป็นด้วยหรือ”
หานชิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เหวยสิง อย่างไรนางก็เป็นภรรยาในนามของเจ้า อย่าให้นางต้องอับอายหลังเสียชีวิตเลย”
เหวยสิงเงียบงัน