(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน ยุทธภพเหนือชะตา เล่ม 01

Monday

บทที่ 6 ลงหวาย

กาลเวลาดั่งสายน้ำไหล ห้วงกะพริบตาไซว่วั่งน้อยห้าขวบแล้ว วันครบรอบวันเกิดของเขาวันนั้นหานชิงตรึกตรองหลายตลบ ตัดสินใจแสร้งทำเป็นลืม วันนั้นเป็นวันครบรอบวันเกิดของเหวยไซว่วั่ง และเป็นวันครบรอบวันตายของมารดาไซว่วั่ง 

ทว่าตั้งแต่เช้าตรู่เหวยไซว่วั่งก็หายไปไม่เห็นแม้เงาแล้ว หานชิงมีคำพูดจะบอกไซว่วั่ง จึงออกจากบ้าน เดินเล่นไปพลางตามหาเจ้าตัวเล็กจอมดื้อไปพลาง

ร่องรอยของเหวยไซว่วั่งค้นหายากเย็นเสมอมา หานชิงสงสัยเหลือเกินว่าเจ้าตัวเล็กวัยห้าขวบคนนี้ไปเรียนรู้ความสามารถพรรค์นี้มาจากที่ไหน เด็กน้อยคนหนึ่งปีนต้นไม้เหมือนลิง ตอนลิงตัวนี้อยู่บนต้นไม้ ใครก็อย่าหวังจะจับเขาออกมาจากผืนป่าที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แต่ว่าวันนี้ไซว่วั่งน้อยไม่ได้ขุดหาไส้เดือนอยู่ในป่า

หานชิงร้องเรียกไซว่วั่งหลายรอบที่ชายป่า ไม่มีใครโผล่มาให้เห็น เขาสืบเท้าไปทางสุสานของบ้านสกุลเหลิ่ง ผ่านเรือนเก่าของซือซือ ตัดเถาวัลย์จื่อเถิงเล็กน้อยใส่ในตะกร้า

เมื่อถึงเบื้องหน้าหลุมฝังศพซือซือก็เห็นเงาร่างเล็กจ้อยสายนั้น เหวยไซว่วั่งยืนเหม่ออยู่หน้าหลุม

เงาหลังเล็กๆ ของเด็กคนนั้นดูเล็กอย่างยิ่ง วังเวงอย่างยิ่ง เดียวดายอย่างยิ่ง ภายใต้การขับเน้นของป้ายสุสานขนาดใหญ่ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่นั้น

หานชิงวางตะกร้าดอกไม้ลง หนึ่งปีมานี้ไซว่วั่งน้อยปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดี หานชิงไม่คิดว่าเขายังจำเรื่องนี้และวันนี้ได้ หากไซว่วั่งน้อยอยากร้องไห้ในขณะที่ไม่มีใครอื่น หานชิงไม่อยากรบกวนเขา

ไซว่วั่งน้อยเดินขึ้นหน้า ยื่นมือลูบตัวหนังสือบนป้ายสุสานอย่างอ่อนโยนและอาวรณ์ บางครั้งเจ้าตัวเล็กซุกซน นั่งอยู่บนตักหานชิงก็จะลูบไล้ใบหน้าหานชิงเช่นกัน เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ของตอนกลางวัน พูดคำหวานๆ ปะเหลาะเอาใจหานชิง

หานชิงรู้สึกรวดร้าวใจเล็กน้อย จังหวะนี้เองเหวยไซว่วั่งทำเรื่องที่หานชิงกระทั่งหลับฝันก็ยังคิดไม่ถึง เขาถอยหลังหนึ่งก้าว ดึงกางเกงลงแล้วปัสสาวะรดหลุมศพของซือซือ

หานชิงตะลึงลานกับภาพนี้ ตราบจนเหวยไซว่วั่งถ่ายเบาเสร็จเรียบร้อย เขาถึงแผดเสียง “เหวยไซว่วั่ง!”

ไซว่วั่งตกใจสะดุ้งโหยง เหลียวหน้ากลับมาเห็นหานชิง ตื่นตระหนกแต่ไม่ได้แสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกมา หานชิงเดินไปหา ไม่รอไซว่วั่งพูดอะไรก็ตบเขาหนึ่งฉาดใหญ่ ตวาดถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่นี่คือสถานที่อะไร!”

เหวยไซว่วั่งโดนตบฉาดนี้ ไม่ได้ปล่อยโฮเหมือนเด็กทั่วไป เขายกมือกุมแก้ม ถลึงตาจ้องหน้าหานชิง หานชิงตะคอก “ข้ารักเวทนาเจ้ามาตลอด แต่วันนี้เจ้าก้าวร้าวเกินไปแล้ว”

เขาฉวยมือเหวยไซว่วั่งขึ้นมาแล้วลากถึงหน้าหลุมศพซือซือ ตวาดว่า “คุกเข่า!”

ไซว่วั่งไม่เคยเห็นหานชิงเดือดดาลเท่านี้มาก่อน เขาใช่ว่าไม่กลัว แต่เหวยไซว่วั่งย่อหย่อนการอบรม ไม่เคยเรียนรู้ขนบธรรมเนียมทำนองนี้ ดังนั้นเขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

หานชิงตะคอก “เหวยไซว่วั่ง!”

เหวยไซว่วั่งตกใจกับความเกรี้ยวกราดของหานชิง จิตใจว้าวุ่นสับสน ใจหนึ่งคือศักดิ์ศรีเล็กๆ ของเขา ใจหนึ่งคือเกรงกลัวหานชิงโกรธ แต่หานชิงโมโหแทบลมจับกับปฏิกิริยาต่อต้านของเขา อย่าว่าแต่เด็กตัวเท่านี้เลย แม้กระทั่งเหวยสิงพ่อของเหวยไซว่วั่งซึ่งยังมีฐานะเป็นศิษย์พี่ของหานชิงด้วย ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของท่านประมุขอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้

หานชิงยกมือข้างหนึ่งกดบ่าไซว่วั่งบังคับให้คุกเข่าลงไป มิคาดไซว่วั่งที่ดื้อดึงผิดวิสัยจู่ๆ โดนจับกดคุกเข่าบนพื้น กลับทำให้เขาเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นในใจ พอหัวเข่ากระทบพื้นก็โดดลุกขึ้นทันที

ถึงตอนนี้หานชิงโมโหจนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้ว ดูเอาเถอะ ตามใจจนได้ตัวประหลาดอะไรออกมาแล้ว

หานชิงชี้เหวยไซว่วั่ง “เหวยไซว่วั่ง เด็กดื้อก็ต้องมีขีดจำกัด เรื่องที่เจ้าทำวันนี้บีบให้ข้าต้องใช้กฎบ้าน!”

เหวยไซว่วั่งไม่ส่งเสียง ดวงตาดื้อดึงคู่นั้นไม่ทราบมีสิ่งใดอยู่ แววตาเหมือนกับเหลิ่งอู้ไม่มีผิด หานชิงกำหมัดแน่น ลดเสียงค่อยลง “เจ้าตามข้ามา ข้าไม่อยากตีเจ้าหน้าหลุมศพแม่เจ้า”

เหวยไซว่วั่งเหลียวหน้าไปมองป้ายหินขนาดใหญ่แผ่นนั้นแวบหนึ่ง ในดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความอาลัยรักและเศร้าตรมที่เด็กคนหนึ่งจะแสดงออกมาได้ จากนั้นเดินตามหานชิงไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

หานชิงสงสัยเหลือเกิน เด็กคนนี้ดูไม่เหมือนแล้งน้ำใจ เขาเกเรอย่างนี้เป็นเพราะอะไรกัน

ความดื้อของเด็กน้อย หากท่านทราบสาเหตุก็จะรู้สึกควรค่าแก่การให้อภัย แต่ไซว่วั่งน้อยเม้มปากแน่น ปราศจากทีท่าจะอธิบาย

รอจนเดินถึงหน้าประตูบ้าน เพลิงโทสะของหานชิงก็สงบลงแล้ว เขานั่งลงบนเก้าอี้ตรงกลางโถงใหญ่ สีหน้าแม้ยังขึงขังทว่าไม่เหลือแววโกรธแต่อย่างใด ไซว่วั่งน้อยวัยห้าขวบยืนคอแข็งอยู่ตรงนั้น กลับทำให้เขานึกขำ

“เอาเถอะ” หานชิงว่า “บอกมา เพราะอะไรถึงทำอย่างนั้น”

ไซว่วั่งนิ่งเงียบ

หานชิงถาม “เจ้ารู้หรือไม่นั่นเป็นสถานที่อะไร” 

เงียบ

หานชิงได้แต่ถามเองตอบเอง “นั่นเป็นสุสานของแม่เจ้า เจ้ารู้หรือไม่การทำเช่นนั้นเป็นการลบหลู่ผู้ล่วงลับอย่างร้ายแรง”

ไซว่วั่งเม้มปากแน่น หน้าแดงก่ำ นัยน์ตาฉ่ำน้ำอีกครั้ง

หานชิงรอแล้วรอเล่า ไซว่วั่งทั้งไม่ได้ร้องไห้และไม่ได้เปล่งเสียง

หานชิงจำต้องเรียกชุ่ยชี “ไปหยิบหวายที่สนามฝึกเล็กมาให้ข้าเส้นหนึ่ง”

สนามฝึกเล็กคือสถานที่ฝึกปรือวิทยายุทธ์ของบ้านสกุลเหลิ่ง จึงเป็นเรื่องปกติที่คนบ้านสกุลเหลิ่งเตรียมหวายไว้ที่นั่น

ชุ่ยชีหายไปพักใหญ่ก็กลับมา

หานชิงว่า “ไซว่วั่ง อธิบายการกระทำของเจ้ามา ไม่อย่างนั้น…ข้าก็ต้องตัดสินตามความเข้าใจของตัวเอง”

ไซว่วั่งกัดริมฝีปาก เบือนหน้าช้าๆ

ดื้อด้านอะไรอย่างนี้!

หานชิงรับหวายมา “ไซว่วั่ง เจ้าคุกเข่า ข้าไม่ใช่พ่อแม่เจ้าก็จริง แต่เป็นผู้อาวุโสของเจ้า คุกเข่าเดี๋ยวนี้”

ไซว่วั่งว้าวุ่นใจอีกคำรบ แม้บนหน้ายังแสดงอารมณ์ดื้อรั้น ดวงตากลับเริ่มมีรอยหวั่นไหวลังเล

แต่เด็กที่ถูกตามใจจนเคยตัวคนนี้กลับดึงดันไม่เปลี่ยน หัวเข่ากระตุกหลายที ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

หานชิงได้แต่เงื้อหวายฟาดลงไป ตอนฟาดยังจำได้ว่านี่เป็นแค่เด็กห้าขวบคนหนึ่ง ต่อให้เกเรปานใดก็ทำได้เพียงอาศัยความเจ็บมากำราบให้เขากลัว ไม่อาจทำโทษรุนแรง เขายังไม่ถึงวัยที่ต้องรับโทษทัณฑ์ เดิมทีวันนี้หานชิงจะรับเขาเป็นศิษย์ อาศัยอยู่ในบ้านสกุลเหลิ่งมีอาจารย์แล้วก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป เริ่มศึกษาวิชาความรู้ก็กลายเป็นคนบ้านสกุลเหลิ่งอย่างเป็นทางการ ต้องเคารพกฎระเบียบของบ้านสกุลเหลิ่ง

ตามกฎของบ้านสกุลเหลิ่ง เด็กดื้ออย่างไซว่วั่งอาจถูกเฆี่ยนตีถึงตายก็เป็นได้

ดังนั้นหานชิงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องรับศิษย์ ขณะหวายเส้นนั้นหวดลงไปพยายามควบคุมแรงหวดอย่างเต็มที่

ไซว่วั่งร่างสะท้านเฮือก คิ้วยู่ทันใด ตามด้วยฟันซี่เล็กหนึ่งแถวขบกัดบนริมฝีปาก

หานชิงไม่เคยรับใครเป็นศิษย์ เขากลับเป็นถึงประมุขของค่ายพรรคอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ เคยใช้ดาบใช้กระบี่สั่งสอนผู้อื่น หวายกลับไม่เคยใช้มาก่อน

ส่งผลให้ไม่ชิน ฟาดครั้งที่หนึ่งก็สำนึกเสียใจแล้ว พยายามปลุกปลอบใจตัวเอง ‘เด็กคนนี้สมควรได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง ไม่อาจปล่อยให้เคยตัว เขาห้าขวบแล้ว สมควรรู้จักกฎรู้จักระเบียบแล้ว’

จากนั้นฟาดอีกหนึ่งที 

เหวยไซว่วั่งปวดแสบปวดร้อนกลางหลัง ผสานกับความน้อยใจของเขา… เด็กมักคิดเสมอว่าความน้อยใจของตัวเองนั้นผู้อื่นจะทราบโดยไม่ต้องบอก และรู้สึกว่าตัวเองนั้นถูกเสมอ คนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมก็คือตนเอง

เขาขบริมฝีปากสะกดเสียงครวญครางและอ้อนวอน แต่น้ำตายังคงไหลริน

หานชิงถอนหายใจ “ไซว่วั่ง เจ้ารู้ผิดหรือไม่” มอบทางลงให้ข้าทีเถอะ

เด็กห้าขวบคนนั้น ถึงหานชิงไม่ได้ออกแรงฟาดเต็มเหนี่ยว เขาจะทนได้สักเท่าไรกัน ความเจ็บแปลบที่ถ่ายทอดมาจากกลางหลังทำให้เขากางนิ้วทั้งห้า อยากหลบ อยากหนี อยากโอดครวญ อยากดิ้นรน แต่ในเมื่อศักดิ์ศรีของเขาไม่อนุญาตให้เขาคุกเข่า ย่อมไม่อนุญาตให้เขาแสดงความอ่อนแอด้วยการโอดครวญและดิ้นรนเช่นกัน ห้านิ้วที่แผ่ออกอย่างสั่นเทานั้นหุบแน่นเป็นกำปั้นอีกครั้ง จากนั้นน้ำตาเอ่อล้น เบื้องหน้าสายตาพร่ามัว น้ำตาพรูพรั่งดั่งสายฝน

เด็กดื้อรั้นคนนั้นกัดริมฝีปากอย่างน่าขัน ทั้งที่เจ็บจนหน้าแดง น้ำตาอาบแก้ม ยังฝืนทำท่าทางของชายชาตรี ทั้งที่ร้องไห้แล้วกลับยังกลั้นไว้ไม่ยอมเปล่งเสียง ส่งผลให้ค่ำคืนอันเงียบสงัดสามารถได้ยินเสียงที่เขากลืนสะอื้นในคอกลับลงท้องไปดังสนั่น

หานชิงเงื้อหวาย จากนั้นรู้สึกว่าหวายเหมือนจะหนักไปแล้ว กำราบเด็กดื้อและจองหองด้วยวิธีนี้ถือเป็นการทำร้ายเด็กคนหนึ่งอย่างใหญ่หลวงเกินไปกระมัง ส่วนความเกเรของเขา หานชิงคิดว่าสำหรับเด็กห้าขวบคนหนึ่ง ปัสสาวะใส่หลุมฝังศพกับปัสสาวะรดกำแพงบ้านตัวเองมีอะไรแตกต่าง

ไซว่วั่งตึงเครียดและหวาดผวา ทว่าการเฆี่ยนตีที่รอคอยกลับไม่มาเยือน หานชิงถอนหายใจ “ไม่ต้องร้องแล้ว ไซว่วั่ง เจ้าไปคิดดูให้ดีเถอะ” หวายถูกแขวนขึ้นไปบนผนัง หานชิงเรียกชุ่ยชี “ไปเก็บกวาด เดี๋ยวให้ไซว่วั่งนอนที่ห้องปีกข้างฝั่งตะวันตก”

ชุ่ยชีทำหน้าเหมือนกินมะระ แต่ไม่กล้าพูดอะไร รับคำแล้วไปจัดการตามคำสั่ง

ไซว่วั่งตะลึงลาน “ท่านอาหาน”

หานชิงว่า “เจ้าก็โตแล้ว ไซว่วั่ง นอนห้องตัวเองจะได้สบายหน่อย”

ไซว่วั่งโยเย “ไม่เอา ไม่เอา ข้าไม่เอา”

แต่งวดนี้เขาไม่ได้โถมเข้าไปรบเร้า เพราะหานชิงยืนหน้าบึ้งอยู่ตรงนั้น

คราวนี้ เหวยไซว่วั่งปล่อยโฮดังลั่น

หานชิงหมุนกายจากไป

…..

คืนนั้นตอนหานชิงเอนกายนอนรู้สึกเวิ้งว้างชอบกล

เตียงใหญ่ขนาดนี้ นอนยืดแขนเหยียดขาได้สบาย แต่ความรู้สึกเวิ้งว้างทำให้หานชิงพลิกตัวไปมานานมากกว่าจะหลับ ช่วงกลางดึกสะลืมสะลือยื่นมือไปคลำดูว่าผ้าห่มยังอยู่บนตัวไซว่วั่งหรือไม่ คลำเจออากาศธาตุ หานชิงลุกพรวดขึ้นนั่ง จากนั้นนึกได้ว่าเขาไล่เหวยไซว่วั่งไปนอนกับชุ่ยชีที่ห้องปีกข้างแล้ว

สะดุ้งตื่นกลางดึกกลางดื่น ความรู้สึกเช่นนั้น… ฟ้าเป็นสีดำ ดินเป็นสีเหลือง เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา

หานชิงถอนหายใจ เตียงที่ว่างลงครึ่งหนึ่งถึงกับทำให้เขาเกิดความรู้สึกสะทกสะท้อนใจสุดแสน

โชคดีที่เตียงนั่นแค่ว่างลงเพราะขาดเด็กห้าขวบคนหนึ่งไป

นอกประตูมีเสียงฝีเท้าเบากริบแว่วมา หากเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่งเบาถึงขั้นนี้ แสดงว่าเขามีพลังภายในอันลึกล้ำ มีพลังภายในลึกล้ำย่อมต้องมีวิทยายุทธ์อันยอดเยี่ยมเช่นกัน หานชิงเอนตัวนอนช้าๆ หากมีใครลอบเล่นงานเขา เขาก็ไม่ถือสาลอบเล่นงานกลับไป เขาเพียงเป็นคนดีและใจกว้าง แต่ไม่ใช่คนโง่เขลา

ประตูเปิดออกเบาๆ หานชิงไม่เห็นคน

ลี้ลับจริงๆ มารดามันเถอะ

นอกประตูไม่มีคน แต่ประตูกลับเปิดเอง จากนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีก คราวนี้อาศัยแสงจันทร์ หานชิงแจ่มแจ้งในเรื่องหนึ่ง ก็คือนอกจากยอดฝีมือยุทธภพ ยังมีเสียงฝีเท้าของเด็กเล็กก็เบามากเช่นกัน

เพียงเห็นเด็กน้อยเหวยไซว่วั่งสะอื้นแผ่วๆ ปีนขึ้นเตียงช้าๆ จากนั้นขดตัวกลมอยู่ข้างเท้าหานชิง ส่งเสียงสะอึกสะอื้นอีกที ร่างคลายอาการเกร็งก่อนหลับไป

หานชิงอึ้งงัน ความรู้สึกที่พรรณนาไม่ถูกเอ่อล้นในอก คล้ายเป็นความซาบซึ้ง คล้ายเป็นความปวดใจ คล้ายเป็นความรักเอ็นดู 

หานชิงเบิกตาโพลงมองดูพระจันทร์ดวงโตข้างนอกพลางถามตัวเอง ‘ข้าไปรักเด็กที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจหนำซ้ำเป็นลูกของศัตรูเข้าไปได้อย่างไร’

หานชิงลุกขึ้นอุ้มไซว่วั่งขึ้นมาวางไว้ข้างกายซึ่งเจ้าตัวเล็กเคยนอนประจำ ดวงหน้าน้อยๆ ภายใต้แสงจันทร์ราวกับทูตสวรรค์ สงบนิ่งและไร้เดียงสาปานนั้นทำให้หานชิงรู้สึกปวดแปลบกลางใจ เด็กน้อยที่น่าเวทนา คิดว่าเขาคงมีเหตุผลของเขากระมัง แม้เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็สมควรมีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะอธิบายกระมัง หานชิงคลำถูกรอยแผลบวมตุ่ยสองแนวบนหลังผ่านเสื้อผ้าเนื้อบางของไซว่วั่ง 

เจ้าตัวเล็กที่หลับฝันอยู่รู้สึกเจ็บจึงครางเบาๆ แล้วพลิกตัว ปากก็พึมพำ “อย่าตี”

หานชิงถามเบาๆ “ไซว่วั่ง เพราะอะไรถึงดื้อ”

เขาไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบ ตอบหรือไม่ตอบล้วนไม่สำคัญ แต่ไซว่วั่งส่งเสียงในห้วงครึ่งหลับครึ่งตื่น “นางไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าเกลียดนาง”

หานชิงเข้าใจว่าไซว่วั่งตื่นแล้ว แต่ไม่ใช่ เด็กที่หลับฝันอยู่คนนั้นสะอื้นไห้ไร้น้ำตา ละเมอหาเบาๆ “ท่านแม่ ท่านแม่”

หนังสือแนะนำ All

Special Deal