(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน

Tuesday

ตอนที่ 3 : โลกของเทพเซียนก็ใช้การอนุมานได้

ปัญหานี้ ไม่มีผู้ใดตอบได้

หลี่อวี้ชุนกล่าวว่า “แรงจูงใจที่มารร้ายจะปล้นชิงเงินภาษีคืออะไร?

เจ้าเมืองเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เผ่ามารกระทำตามอารมณ์ ไร้เหตุผล หากต้องการค้นหาสาเหตุ ก็ไม่ต่างจากหาเรื่องปวดศีรษะใส่ตัว”

ดรุณีชุดเหลืองกลับเห็นต่าง “เนื้อมนุษย์มีรสชาติดียิ่งกว่า......อืม พวกท่านรอสักครู่ รอข้ารับประทานซาลาเปาหมดก่อน”

นางยัดซาลาเปาเนื้อเข้าปาก ใบหน้ากลายเป็นซาลาเปาใบน้อย พยายามกลืนลงไป ดื่มน้ำชาอึกหนึ่ง ค่อยย้อนกลับไปสนทนาเรื่องรับประทานเนื้อคนได้อย่างเต็มที่

“พวกมารทำสิ่งใดไร้ความยำเกรง ในสายตาของพวกมัน เงินทองมิได้น่าเย้ายวนเท่าเนื้อมนุษย์ ต่อให้ต้องการเงินทอง  ปล้นชิงจากผู้คนย่อมง่ายดายกว่าปล้นชิงเงินภาษีมากนัก”

ปล้นชิงเงินภาษีกลางถนนในเมืองหลวงอาณาจักรต้าเฟิ่ง เสี่ยงอันตรายเกินไป

เจ้าเมืองเฉินพยักหน้าเบา ๆ กล่าวว่า “มีเหตุผล ไม่อาจตัดข้อสงสัยว่ามีคนบงการ”

หลี่อวี้ชุนหรี่ตาลง กล่าวว่า “เช่นนั้นผู้ใดสามารถบงการให้มารร้ายมาปล้นชิงเงินภาษี? เหตุผลคือสิ่งใด? เหตุใดต้องเป็นเงินภาษีชุดนี้ และต้องเป็นจำนวนสิบห้าหมื่นตำลึง”

“พวกเราลองจินตนาการว่า ผู้ที่บงการเบื้องหลังกำลังต้องการเงินก้อนใหญ่ แต่ไม่อาจก่อเรื่องเอิกเกริกจนเกินไป...กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ไม่อาจปล้นชิงทรัพย์โดยไร้ความยำเกรง” หัวใจของเจ้าเมืองเฉินกระตุกคราหนึ่ง

“ด้วยเหตุนี้ จึงพุ่งเป้ามาที่เงินภาษี?” ดรุณีชุดเหลืองเม้มริมฝีปากงดงามเบา ๆ

“เส้นทางขนส่งเงินภาษีนั้นไม่แน่นอน หน่วยองครักษ์ดาบสวี่ผิงจื้อจะเป็นผู้กำหนดขึ้นกะทันหัน แต่พวกปีศาจกลับสามารถดักซุ่มอยู่ในแม่น้ำล่วงหน้า...หรือในขณะขนเงินภาษี มีหนอนบ่อนไส้” หลี่อวี้ชุนกล่าวพลางจ้องมองเจ้าเมืองเฉิน

“ไปเชิญยอดคนจากลัทธิหยูสำนักศึกษาอวิ๋นลู่มาใช้ “วิชาถามใจ””

ดรุณีชุดเหลืองค้อนแวบหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านดูแคลนวิชาส่องปราณของสำนักซือเทียนเจี้ยนหรือ ข้าบอกแล้วว่า ทหารที่ขนส่งเงินภาษี ไม่มีผู้ใดทราบเรื่อง”

ความคิดของทุกคนพลันสะดุดลง ทั้งสามคนกลับสู่ความนิ่งเงียบอีกครั้ง

อากาศรอบตัวพลันนิ่งสงัด

หลี่อวี้ชุนก้มหน้าอ่านบันทึกคดีอย่างละเอียด เจ้าเมืองเฉินถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ดรุณีชุดเหลืองหมุนเล่นเข็มทิศที่ห้อยเอว คิดเพียงว่าเมื่อตะวันตกดิน จะออกจากศาลเมืองจิงจ้าว ไปขอรับประทานอาหารกับองค์หญิงใหญ่

ฝีมือปรุงอาหารของห้องเครื่องในวัง จัดเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน!

หากเทียบกับอีกสองคน ดรุณีชุดเหลืองนามว่าไฉ่เวยคล้ายมาในฐานะแขก หรือผู้ที่ช่วยสนับสนุนคดีมากกว่า

นางไม่มีตำแหน่งขุนนาง แม้จะเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบคดีนี้ แต่ก็มิได้แบกความรับผิดชอบไว้มากนัก

เจ้าเมืองเฉินกลอกตาเล็กน้อย เอ่ยหยั่งเชิงขึ้นว่า “ยามนี้คดีคืบหน้าช้ามาก แต่เวลากลับไม่รอช้า จนผู้คนร้อนใจดั่งไฟลน ใต้เท้าหลี่ มิสู้ ลองไปสอบถามจากเว่ยกง?

ชายวัยกลางคนชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง แค่นเสียงดังเฮอะ กล่าวว่า “ขุนนางบุ๋นมีการสอบ หน่วยคนเคาะยามของพวกข้าก็มีเช่นกัน บอกตามตรงว่า นี่เป็นข้อทดสอบที่เว่ยกงมอบให้ข้า”

เจ้าเมืองเฉินฝืนยิ้มกล่าวว่า “หากไม่สามารถคลี่คลายคดีนี้ ตำแหน่งใต้ก้นของข้าคงไม่อาจรักษาไว้ได้ คนทั้งราชสำนักกำลังจับตาดูพวกเราอยู่”

ทั้งสองคนจ้องมองกันอย่างนิ่งงัน บรรยากาศยิ่งหนักอึ้ง

 

------------------------------

 

“หากเป็นมารร้ายก่อกวน เช่นนั้นข้าก็จนปัญญา!” ใบหน้าสวี่ชีอันซีดเผือด สัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายของสวรรค์

โลกใบนี้มีเหล่ามารร้าย มีเผ่ามารดำรงอยู่กับมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ ต่างฝ่ายต่างล่า ต่างฝ่ายต่างกลืนกิน

เทือกเขาสือว่านทางชายแดนใต้ มีอาณาจักรหมื่นมาร เป็นแหล่งรวมตัวที่ใหญ่ที่สุดของเผ่ามาร

ห้าร้อยปีก่อน แว่นแคว้นทางตะวันตก ภายใต้การนำของศาสนาพุทธ ได้ประกาศเปิดศึกกับอาณาจักรหมื่นมารทางใต้ ทำสงครามต่อเนื่องเป็นเวลาหกสิบปี จึงสามารถถล่มอาณาจักรมารจนราบคาบ

บันทึกประวัติศาสตร์เรียกสงครามครั้งนี้ว่า “เจี๋ยจื่อสยบมาร”

หลังสงครามครั้งนั้น เผ่ามารประสบความสูญเสียใหญ่หลวง ค่อย ๆ อ่อนกำลังลง ศาสนาพุทธกลับรุ่งเรืองถึงขีดสุด พุทธธรรมขจรขจาย

หากอธิบายตามภาษาของสวี่ชีอัน มนุษย์เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะจากสงครามช่วงชิงสถานะสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในครั้งนี้

หากการปล้นชิงเงินภาษีเป็นฝีมือของหมู่มาร เช่นนั้นเขาจะต้องชิงเงินนั้นกลับมา จึงจะสามารถปกป้องตนเองและตระกูลสวี่ได้

ในฐานะผู้ฝึกกายธาตุขั้นสูงสุด สวี่ชีอันเห็นว่าตนเองคงไม่สามารถพลิกคดีได้แล้ว

เข้าสู่ฤดูสารท อากาศเย็นชื้น สวี่ชีอันกลับหลั่งเหงื่อโซมกาย

เขากำลังกลัว!

เมื่อหลอมรวมความทรงจำเจ้าของร่างเข้ามา เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถแหกคุกได้ ยิ่งรู้ว่าสังคมที่พระราชอำนาจของฮ่องเต้แสนยิ่งใหญ่ อำนาจส่วนบุคคลนั้นเปราะบางยิ่งนัก

จะรอดหรือตาย จะประทานให้หรือช่วงชิง ขึ้นอยู่กับดำริของฮ่องเต้

ในอดีตเขาเคยจินตนาการว่าหากได้ย้อนเวลาไปในอดีต คัดลอกบทกวีผู้อื่นไปอวดโอ่ คงเป็นเรื่องสมใจไม่น้อย บัดนี้กลับถูกความเป็นจริงตบหน้าฉาดใหญ่

ย้อนเวลาแล้วกลับถูกสังคมทุบตี

“ไม่ นี่เป็นเพียงการคาดเดา เป็นเพียงการคาดเดาของศาลเมืองจิงจ้าว ข้าจะไม่ปล่อยให้การคาดเดาของพวกเขามีอิทธิพลกับข้า ข้าจะวิเคราะห์ด้วยตัวเอง......ยังมีทางรอด ยังมีทางรอด...”

สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดอันรุนแรงทำให้เขาสงบลงอย่างรวดเร็ว ความคิดรัดกุมและชัดเจนยิ่งขึ้น

“เหตุใดมารจึงต้องปล้นชิงเงินภาษี หรือเนื้อมนุษย์ไม่หอมหวน......ต่อให้ขาดเงินทอง ก็ไม่จำเป็นต้องเล็งเป้ามาที่เงินภาษี...นักเล่านิทานเคยเล่าว่า สตรีเผ่ามารล้วนงดงามแช่มช้อย รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น...ไม่รู้ว่าจะมีนางปีศาจแมว นางปีศาจสุนัขหรือไม่......”

“เพียะ!” สวี่ชีอันตบหน้าตนเองฉาดหนึ่ง “เริ่มต้นคิดใหม่!”

การพิเคราะห์เน้นที่กระบวนการตัด นำเอาเงื่อนงำทั้งหมดที่มีออกมา แล้วจัดความเกี่ยวข้อง

มิเช่นนั้นจะกลายเป็นเส้นขนที่ขยุมเป็นก้อน ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน

คดีเงินภาษีมีเบาะแสที่ชัดเจนสองอย่าง

หนึ่ง ลมปีศาจ!

สอง ระเบิดหลังจากเงินภาษีตกลงแม่น้ำ!

นอกจากผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ผู้ฝึกวิชาสายต่าง ๆ ล้วนมีความสามารถสร้างลมปีศาจได้ ฉะนั้น เบาะแสแรก บอกได้เพียงว่า “มีผู้ฝึกวิชา” เข้าร่วม ไม่อาจระบุเป้าหมายที่ละเอียดกว่านั้น

เช่นนี้ ความน่าสงสัยของผู้ฝึกยุทธ์อย่างอารองก็ยิ่งลดลง แต่ยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดหรือไม่

เบาะแสที่สองคือระเบิด เป็นข้อสงสัยที่ไม่สมเหตุสมผล การต่อสู้ของผู้ฝึกวิชาระดับสูง สามารถก่อให้เกิดการระเบิดได้ นับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ในคดีเงินภาษีหายสาบสูญนี้ ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น การระเบิดนี้จึงไม่มีเหตุผล

“เว้นแต่ไม่อาจไม่ระเบิด!” สวี่ชีอันพึมพำขึ้น

“ผู้ฝึกวิชาแต่ละสาย มีอาชีพใดที่ต้องอาศัยระเบิดเพื่อบรรลุเป้าหมาย?

สวี่ชีอันขบคิดครู่หนึ่ง ยังหาเงื่อนงำไม่ได้ สุดท้ายพลันแตกตื่นที่พบว่า ตนเองกำลังผิดพลาดเช่นเดียวกับศาลจิงจ้าว

กระบวนการคิดของศาลจิงจ้าวมีปัญหาแต่แรก อาศัยเบาะแสที่เด่นชัดที่สุดของคดี ตัดสินว่าคนร้ายคือมารร้าย จากนั้นก็มุ่งไปตามแนวคิดนี้โดยไม่หวนกลับ

นี่อาจไม่ผิด แต่ปัญหาอยู่ที่ การตัดสินเช่นนี้อาจหยาบจนเกินไป

แม้สวี่ชีอันจะหลอมรวมกับความทรงจำของเจ้าของร่างแล้ว แต่ยังคงใช้แนวคิดแบบคนสมัยใหม่ ใช้ประสบการณ์ชาติที่แล้วของตนเองเป็นหลัก เขาชอบการเก็บเบาะแสจากบันทึกคดี ค่อย ๆ ย่อยรายละเอียดที่ผู้คนไม่ทันสังเกต ก่อนจะหาข้อสรุป

“แนวทางนี้ ยามกะทันหันยังคิดไม่ออก เช่นนั้นก็เปลี่ยนแนวทางอื่น ลองทะลวงจากมุมอื่น ตัดประเด็นมารร้ายก่อกวนออกไปก่อน ตั้งสมมติฐานว่านี่เป็นฝีมือมนุษย์ ที่ตั้งใจวางแผนอย่างละเอียด”

“เช่นนั้น เขาจะต้องทิ้งช่องโหว่ไว้ในคดีอย่างแน่นอน”

“ทฤษฎีแลกเปลี่ยนวัตถุของลั่วข่าเอ่อร์ บอกต่อพวกเราว่า การก่ออาชญากรรมใด ๆ ล้วนต้องทิ้งร่องรอยทางตรงและทางอ้อมไว้ในที่เกิดเหตุ...ร่องรอยต่าง ๆ แบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ จำรายละเอียดได้ไม่ชัดเจน น่าจะเป็นรอยมือ รอยเท้า ลายนิ้วมือ ร่องรอยยานพาหนะ เครื่องมือต่าง ๆ”

“จุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่เบาะแสชัดเจนที่สุดสองประการนี้ แต่อยู่ที่ร่องรอยที่มีรูปลักษณ์...”

จากสิ่งที่อ่านจากบันทึกคดี สวี่ชีอันลองจินตนาการภาพการขนส่งเงินภาษีของอารองทั้งหมดในสมอง

อะดรีนารีนสูบฉีด เซลล์สมองทำงานคึกคัก ทบทวนเหตุการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า วิเคราะห์รอบแล้วรอบเล่า

ข้อมูลและเบาะแสทั้งหมดในบันทึกคดีรวมกัน สมองของของเขาทำงานราวกับซีพียู ความเร็วสูง

หลังจากประกอบส่วนต่าง ๆ ของข้อมูลเข้าด้วยกัน คดีนี้ก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

โดยไม่ทันรู้ตัว สวี่ชีอันรู้สึกว่าตนเองกำลังเข้าสู่ภาวะบางอย่าง ดวงวิญญาณของเขาล่องลอยออกไป ลอยออกจากกายเนื้อ ลอยออกจากสิ่งปลูกสร้าง ไปอยู่กลางอากาศเหนือเมืองจิงจ้าว

เวลาคล้ายไหลย้อนกลับ ทางทิศตะวันออกบังเกิดแสงรำไร ดวงตะวันกำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า สวี่ผิงจื้อนำพาทหารสวมชุดเกราะกลุ่มหนึ่ง คุ้มกันเงินภาษี มุ่งหน้าไปยังกรมคลัง

เวลานี้เป็นเวลาช่วงเหม่าสองเค่อ......เดินทางไปตามถนนกว่างหนาน ทันใดนั้นเกิดลมปีศาจ ม้าแตกตื่น ตกสู่แม่น้ำ

ตูม!

ผิวน้ำเกิดระเบิด คลื่นสูงพุ่งขึ้นฟ้า

เสียงระเบิดคล้ายดังก้องในใจของสวี่ชีอัน เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ ขาทั้งสองข้างดีดออก ได้สติขึ้นมา

สายตาฉายแววเหนื่อยล้า ใบหน้ากลับยินดีและคึกคัก

“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว ฮาฮาฮา ข้าไขปริศนาได้แล้ว!!”

สวี่ชีอันหัวร่อราวคลุ้มคลั่ง ออกแรงทุบลูกกรง “มีใครอยู่บ้าง ๆ รีบมาเร็ว”

ผู้คุมคุกที่อยู่เวรได้ยินเสียงตะโกน จึงถือคบไฟเดินเข้ามาตวาดว่า “อย่าส่งเสียงหนวกหู รำคาญในการมีชีวิตอยู่แล้วรึ” กล่าวจบก็เคาะลูกกรงเพื่อข่มขู่สวี่ชีอัน

สวี่ชีอันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คลายมือจากลูกกรงเพื่อไม่ให้ถูกฟาดนิ้ว กล่าวเสียงทุ้มว่า “ข้าต้องการพบท่านเจ้าเมือง”

“เป็นนักโทษคนหนึ่ง กลับต้องการพบท่านเจ้าเมือง...ไม่รู้จักส่องน้ำปัสสาวะตนเองดูบ้าง” ผู้คุมคุกมีโทสะจนหัวร่อออกมา ยื่นคบไฟผ่านลูกกรง แทงใส่สวี่ชีอัน

สวี่ชีอันถอนหลังหลบอีกครั้ง

“เจ้ากล้าหลบ?” ผู้คุมคุกลูบกุญแจที่เอว ยิ้มแยกเขี้ยวกล่าวว่า “วันนี้บิดาจะฟาดขาเจ้าให้หัก”

“ข้ามีเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับคดีปล้นชิงเงินภาษี ข้าต้องการพบท่านเจ้าเมือง หากส่งผลกระทบถึงคดี เจ้าต้องรับผิดชอบ” สวี่ชีอันจ้องหน้านิ่ง

ใบหน้าผู้คุมคุกพลันผนึกค้าง

 

--------------------------------

 

เรือนด้านหลัง ดรุณีชุดเหลืองรับประทานซาลาเปาเนื้อเสร็จ ก็หันไปแทะอ้อยต่อ บางครั้งยังล้วงผลไม้แช่อิ่มจากถุงหนังกวางใบเล็กมาร่วมรับประทาน

ด้านหนึ่งหารืออย่างกลัดกลุ้ม อีกคนหนึ่งกลับไร้หัวจิตหัวใจ

“ฮ่องเต้มีบัญชาให้พวกเราไขคดีภายในห้าวัน เพราะเวลายิ่งผ่านไปนาน อาจไม่สามารถตามเงินภาษีกลับคืนมาได้” เจ้าเมืองเฉินนั่งไม่ติด จึงเดินวนไปมาภายในห้อง

“แต่เวลากระชั้นชิดถึงเพียงนี้ พวกเราก็อับจนปัญญา การไขคดีจำเป็นต้องใช้เวลา”

เจ้าเมืองตบโต๊ะคราหนึ่ง กล่าวเสียงหนัก ๆ ว่า “ข้าจะไปขอร้องเว่ยกงด้วยตนเอง นำบันทึกคดีมาให้ข้า”

หลี่อวี้ชุนลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ข้าจะไปพร้อมกับท่าน”

ดรุณีชุดเหลืองชม้ายตามองแวบหนึ่ง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “วิธีนี้ใช้ได้ เมื่อให้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเฟิ่งออกโรง ท่านทั้งสองก็จะไม่ถูกฮ่องเต้เอาผิด เพียงแต่ การถูกเว่ยกงลดคุณค่า ยังหนักหนาสาหัสกว่าถูกฮ่องเต้เอาผิดมากนัก” กล่าวจบพลันแย้มยิ้มออกมา เผยให้เห็นเขี้ยวสีขาวเป็นประกาย

บุรุษวัยกลางคนมีสีหน้าหมองคล้ำ

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก้มหน้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ค้อมกายกล่าวว่า “เรียนท่านเจ้าเมือง ผู้คุมคุกรายงานว่า เมื่อครู่สวี่ชีอันหลานชายของสวี่ผิงจื้อบอกว่ามีเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับคดีปล้นชิงเงินภาษี ต้องการพบใต้เท้า”

สายตาทั้งสามคนพลันผนึกค้าง

สวี่ชีอัน ถ้าจำไม่ผิด นี่เป็นบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคดี หลังผ่านการลงทัณฑ์ไต่สวนเบื้องต้น ถูกระบุเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง

เจ้าเมืองเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “นำตัวเข้ามา”

ไม่นาน สวี่ชีอันในชุดนักโทษเปื้อนคราบโลหิตแห้งกรังก็ถูกนำตัวมา ขณะเดิน มา โซ่ตรวนมือเท้ากระทบกันส่งเสียงดัง

 
สั่งซื้อได้ที่ www.siamintershop.com คลิ๊ก >>> https://bit.ly/3Ce2nHA
 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal