Tuesday
แปดทิศไพศาล ลั่วหยางอยู่กลาง หลังความวุ่นวายยุคหวังหมั่ง (เชิงอรรถ : หวังหมั่ง (45-23 ปีก่อน ค.ศ.) พระญาติทางฝ่ายไทเฮาของจักรพรรดิฮั่นเฉิงตี้ ยึดอำนาจราชวงศ์ฮั่น ปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซิน) ราชวงศ์ฮั่นย้ายราชธานีมาลั่วหยางได้กว่าสี่สิบปีแล้ว
ลั่วหยางหลังพิงภูเขาหมังซาน หน้าติดแม่น้ำลั่วสุ่ย ตลาดจินซื่อทางตะวันตกของเมืองพระราชวังเป็นจุดคึกคักจอแจที่สุด ผู้คนคลาคล่ำรถราขวักไขว่ บุรุษหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่คนหนึ่งพิงตัวกับเสาผูกม้า สีหน้าอ่อนล้าเหมือนหลับตาพักผ่อน และเหมือนยืนหลับไปแล้ว
เป็นยามบ่ายพอดี แสงตะวันจ้าจนแสบตา ตลาดที่คึกคักเริ่มเงียบลง มีเพียงเสียงค้อนตีเหล็กเป็นระยะเสียงดังกังวาน เป็นค้อนเหล็ก
เสียงทึบหนักของค้อนใหญ่ดังประสานกันหน้าหลังเป็นแผ่นผืน นี่เป็นย่านตีเหล็กที่ขึ้นชื่อที่สุดของ
จินซื่อ ทั้งถนนมีแต่ร้านตีเหล็ก สร้างคันไถ ตะเกียง กรรไกรแก่ราษฎรและบ้างก็เป็นงานรับใช้ทางการ
บุรุษหนุ่มยืนหลับตานิ่งท่ามกลางคลื่นเสียงเหล่านี้
สตรีชุดขาวคนหนึ่งสวมหมวกมีม่านคลุมหน้าเดินชดช้อยเข้ามา ถนนในเมืองฝุ่นทรายปลิวคลุ้ง รอยล้อรถยังมีโคลนเลน สตรีเดินมากลับไม่แปดเปื้อนแม้แต่น้อย มาถึงหลังบุรุษชุดขาวก็ชนใส่ “หลับอีกแล้วหรือ”
บุรุษหนุ่มส่งเสียงเบาๆ แต่ไม่ขยับ
“ถามหมดทุกร้านแล้ว ไม่มีช่างเหล็กคนไหนชื่อฉีฮวาน” สตรีกล่าว “ท่านว่าเจ้าตัวน้อยในวังหลวงหลอกพวกเราหรือไม่”
“ท่านหาอยู่ครึ่งค่อนวันแล้ว” บุรุษลืมตาเหมือนหลับไม่เต็มตื่น บิดตัวคลายเมื่อยขบ “ถึงตาพี่รองหรือยัง”
“เราต่างคนต่างหา ดูใครหาพบก่อน”
บุรุษตรงไปหาหลี่เจิ้ง (ผู้ใหญ่บ้าน) ล้วงพู่กันปิ่นอันหนึ่งออกมา พู่กันปิ่นคือพู่กันขนาดสั้นที่จัดทำอย่างประณีต เป็นเครื่องประดับประจำกายชุดขุนนางบุ๋นราชวงศ์ฮั่น ยามเข้าประตูท้องพระโรงเสียบที่จอนผม หลี่เจิ้งพอเห็นพู่กันปิ่นก็รู้ว่านี่เป็นขุนนางที่มาในชุดลำลอง จึงรีบค้อมคารวะ แต่ถูกบุรุษยั้งไว้ “ข้าพเจ้าขอสอบถามเล็กน้อย”
“ใต้เท้า...” หลี่เจิ้งเปลี่ยนคำเรียกหา “เซียนเซิงโปรดถาม”
“ในร้านช่างเหล็กพวกนี้ ใครฝีมือดีที่สุด และร้านใดรับงานในวัง”
“มีอยู่สองร้านที่รับงานในวังเป็นครั้งคราว ส่วนด้านฝีมือต้องเป็นฮั่วสือชี...”
บุรุษหนุ่มไปที่ร้านฮั่วสือชี ในมือคลึงพู่กันปิ่นเล่น ความจริงพู่กันหักแล้ว เมื่อครู่บุรุษหนุ่มจับตรงรอยหักไว้ตบตาผู้คน พอช้อนตามองก็เห็นสตรีชุดขาวยืนนิ่งที่มุมถนน บุรุษหนุ่มตรงเข้าไปกำลังจะพูด สตรีทำท่าจุปากบอกให้ฟัง ฟังจังหวะและปรบมือตาม บุรุษหนุ่มคิดครู่หนึ่งยิ้มพลางส่ายหน้า สตรีชุดขาวดึงขลุ่ยไผ่เลาหนึ่งออกมาผิวบรรเลงบนถนน นอกผ้าคลุมสีขาวเพียงเผยขลุ่ยครึ่งเลาและมือหยกคู่หนึ่งที่กดรูขลุ่ย นิ้วเรียวดั่งลำเทียนพลิ้วไหว เสียงเพลงดุจสายน้ำ
เสียงขลุ่ยอ้อยอิ่งลอยล่องปะปนด้วยเสียงตีเหล็ก คล้ายสายใยจะขาดมิขาดแหล่แต่ต่อเนื่องไม่หยุด บุรุษหนุ่มรู้สึกฟ้าดินมิวุ่นวายอีกต่อไป เสียงอึกทึกสลายสิ้น มีเพียงเสียงขลุ่ยวิเวกกังวานหวานประสานกับเสียงตีเหล็กจากร้านหนึ่ง ค้อนเหล็กเคาะเป็นจังหวะ ค้อนใหญ่มักกระแทกกระทั้นยามบทเพลงพลิกผัน เสียงขลุ่ยกับเสียงค้อนพัวพันกัน ท่ามกลางความวิเวกปะปนด้วยเสียงคำรนสู้รบ...แม้จะเป็นยามเที่ยง บุรุษหนุ่มกลับรู้สึกหนาวเย็น สตรีผิวขลุ่ยก้าวเดิน บุรุษหนุ่มตามติดหลังกาย เสียงขลุ่ยพลันสูงขึ้น เสียงค้อนยิ่งร้อนรัวราวกับหมื่นม้าทะยานโผน สองเสียงต่อสู้กัน บุรุษหนุ่มรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของกระบี่พกพา ความฮึกเหิมอัดอก
ค้อนใหญ่กระแทกสามครา ทุ้มหนักสะท้านสะเทือน เสียงขลุ่ยพลันหยุดลง บุรุษหนุ่มรู้สึกฟ้าดินคล้ายเงียบงัน... เสียงจอแจตามปกติจึงค่อยชอนไชเข้าหูอย่างช้าๆ พบว่าตนเองยืนอยู่หน้าร้านหนึ่งแล้ว หลังผ้าม่านที่ถูกรมด้วยควันไฟ เสียงค้อนทุ้มหนักดังอีกครา สตรีเลิกม่านเข้าไปก็เห็นช่างตีเหล็ก
ภายในร้านมืดมาก ช่างตีเหล็กเงาหลังสูงใหญ่ล่ำสัน เปลือยร่างท่อนบน รอยสักบนศีรษะล้านเลี่ยนทอดตัวถึงแขนและแผ่นหลัง เพ่งให้ละเอียดจึงเห็นว่าเป็นกิเลนตัวหนึ่ง ภายใต้การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ราวกับมีชีวิต หยาดเหงื่อบนนั้นสะท้อนแสงแดงโร่ของเตาไฟ บุรุษร่างใหญ่เอียงตัวนำเครื่องเหล็กแดงฉานจุ่มลงในโอ่งน้ำ ควันขาวพลันลอยขึ้นพร้อมเสียงชี่ชี่
สตรีเปิดผ้าคลุมหน้า เผยใบหน้าสาวน้อยใบหนึ่ง เค้าหน้านุ่มนวลน่าเอ็นดู ยังมีแววเขินอายอยู่บ้าง และคารวะกลางไอหมอกร้องเรียกเบาๆ คำหนึ่ง “ฉีเซียนเซิงหรือ”
ไอหมอกสลายสิ้น บุรุษร่างใหญ่หันมา หนวดเคราเต็มหน้า ค้อมตัวเล็กน้อยกล่าวว่า “แม่นางจำคนผิดกระมัง”
“จังหวะการตีเหล็กของเซียนเซิงเมื่อครู่เป็นบทเพลงกวี ก่วงหลิงส่าน ชัดๆ
“คนหยาบกร้านเคาะตีซี้ซั้ว ไยจักกล้ารับคำเรียกขานเซียนเซิง”
“เล่ากันว่า ก่วงหลิงส่าน ถ่ายทอดแต่เนี่ยเจิ้งแห่งราชวงศ์โจวตะวันออก เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าบทเพลงเนี่ยเจิ้งลอบสังหารหานหวัง เป็นบทเพลงโบราณยากที่สุดของทั่วหล้า” นางกล่าวพลางมาถึงหน้ากระบี่ที่แขวนอยู่แถวหนึ่ง
กระบี่ที่ตีเสร็จแล้วยาวสั้นไม่เท่ากัน ห่วงที่ด้ามกระบี่ร้อยด้วยเชือกเส้นหนึ่ง กระบี่สิบกว่าเล่มจึงแขวนเอาปลายลงสู่พื้น สตรีสาวใช้ขลุ่ยไผ่กวาดครั้งหนึ่ง กระบี่ทุกเล่มกระทบกัน ส่งเสียงโลหะติงตัง สตรีตั้งใจฟังจากนั้นใช้ขลุ่ยเคาะกระบี่ เห็นชัดว่ากำลังบรรเลง ก่วงหลิงส่าน ต่อ
“บิดาของเนี่ยเจิ้งหลอมกระบี่ให้หานหวัง ครบกำหนดยังไม่สำเร็จจึงถูกหานหวังประหาร” เสียงอ่อนเยาว์ของสตรีดังขึ้นท่ามกลางเสียงกระบี่ “เนี่ยเจิ้งเติบใหญ่ฝึกกระบี่ เข้าวังลอบสังหารหานหวังไม่สำเร็จ หนีเข้าภูเขาลึกฝึกขิม ทำลายโฉม กลืนถ่านให้เสียงเปลี่ยน เจ็ดปีจึงสำเร็จ”
เสียงดนตรีเริ่มช้าลง “หลังออกจากภูเขาเข้าสู่แคว้นท่านอีกครา กลับพบภรรยาระหว่างทาง แม้ประจันซึ่งหน้ามิรู้จัก ภรรยาพลันร่ำไห้ เนี่ยเจิ้งถาม : ‘ฮูหยินไยจึงร่ำไห้’ ภรรยาตอบ ‘สามีข้าออกท่องเที่ยว เจ็ดปีไม่กลับ เห็นฟันของท่านละม้ายเขาจึงคิดถึงจนร่ำไห้’ เนี่ยเจิ้งกลับเข้าภูเขาอย่างเศร้าใจ ใช้หินกระแทกฟันหลุด...” ดวงตาสตรีน้ำตาคลอหน่วย ขลุ่ยเคาะกับปลายกระบี่แต่ละเล่มแรงขึ้น น้ำเสียงแหบแห้งแต่กลับเร่งร้อน “ผ่านไปอีกสามปี เนี่ยเจิ้งออกจากภูเขาไปบรรเลงพิณกลางตลาดแคว้นหาน ชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า หานหวังจึงเรียกตัวเข้าวัง เนี่ยเจิ้งซ่อนดาบคมในพิณ หลังบรรเลง ก่วงหลินส่าน จบก็พุ่งเข้ารอบสังหารหานหวัง...” สุดท้ายขลุ่ยกระแทกปลายกระบี่ เสียงแหลมสูงดังเพียะ ขลุ่ยหักแล้ว เสียงก็ขาดห้วงลง
ในร้านเงียบสนิท สาวน้อยปรบมือกล่าวช้าๆ ท่ามกลางเสียงปรบเป็นจังหวะที่มั่นคงว่า “ทางการทิ้งศพกลางตลาด ตั้งรางวัลสูงลิ่วอยากทราบชื่อมือสังหาร แต่ไม่มีผู้ใดรู้จัก มีสตรีนางหนึ่งลูบศพร่ำไห้ฟูมฟาย บอกว่าเขาคือเนี่ยเจิ้ง ต้องเป็นเนี่ยเจิ้งสามีข้าแน่! เขาไม่ต้องการพัวพันถึงคนในครอบครัว แต่ข้ามิอาจทนมีชีวิตอยู่สืบไปโดยที่ชาวโลกมิทราบชื่อของเขา ร่ำไห้จนแทบขาดใจแล้วกอดศพตาย”
สาวน้อยหยุดปรบมือ ในร้านเงียบงันครู่หนึ่ง บุรุษร่างใหญ่เริ่มงานในมืออีกครั้ง “แม่นางฝีมือดี น่าฟังยิ่ง”
“อันว่าดนตรีเป็นเสียงจากใจ ยากจะปลอมแปลง ขณะเซียนเซิงใช้แรงกายยังเคาะตีบทเพลงนี้ได้ตามใจชอบ แสดงออกถึงจิตปณิธานของเซียนเซิงได้ดีที่สุด”
บุรุษร่างใหญ่ชะงัก มือซ้ายคว้าค้อนเล็กอีกครา เอียงตัวเบี่ยงก้าวหนึ่ง เหมือนจะเข้าใกล้เตาหลอมมากขึ้น แยกฝ่าเท้าตามสบาย ข้างเตามีผู้ช่วยคนหนึ่งรีบเป่าหีบลมทันที
บุรุษหนุ่มพลันตื่นตัว พบว่าบุรุษร่างใหญ่กับผู้ช่วย เตาหลอม เขียงเหล็ก โอ่งไม้ชุบน้ำและบรรดาเครื่องมือเครื่องไม้ระเกะระกะเกลื่อนพื้น รวมทั้งกระบี่ห้อยหัวแถวนั้น กลายเป็นค่ายกลพยัคฆ์มังกรวุ่นวายพิสดารพยุหะหนึ่ง และที่ตนเองยืนอยู่เป็นแดนมรณะ บุรุษหนุ่มสาวเท้าก้าวเดียวถึงหน้าสาวน้อยจับมือไว้แน่น
บุรุษร่างใหญ่ชำเลือง มือขวาคว้าค้อนใหญ่ขึ้นเดินไปที่เขียงตีเหล็ก พึมพำว่า “พวกท่านจำคนผิดแล้ว ข้าพเจ้าเป็นเพียงช่างเหล็กที่พอจะรู้ดนตรีอย่างหยาบๆ เท่านั้น คนที่นี่ต่างรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นใคร”
“ข้าพเจ้าทราบ ท่านคือฮั่วสือชี ช่างเหล็กฝีมือดีแห่งชุมชนร้านเหล็ก” บุรุษหนุ่มกล่าวพลางจูงสาวน้อยก้าวไปสองก้าว
ผู้ช่วยลุกขึ้น ถือถังไม้ใบเล็กเติมน้ำลงโอ่งไม้
บุรุษหนุ่มรู้ว่าตนเองย้ายที่ ค่ายกลพยัคฆ์มังกรวุ่นวายของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเป็นพยุหะวงล้อ แล้วแปรเป็นพยุหะต้าหวั่ง สลับเปลี่ยนไม่กี่ครั้ง ก้าวต่อไปตนเองได้แต่ออกจากประตู จึงชักกระบี่ดังเคร้งแทงออกไป พริบตานั้นปลายกระบี่จี้ตรงหลังคอของบุรุษร่างใหญ่ บุรุษร่างใหญ่นิ่งกับที่ไม่ขยับ บุรุษหนุ่มเสือกกระบี่ถึงหน้าบุรุษร่างใหญ่ “เซียนเซิงช่วยข้าพเจ้าซ่อมแซมกระบี่นี้เถิด”
กระบี่ลักษณะสูงส่งโบราณ ตัวกระบี่สลักด้วยอักขระจ้วนโบราณ “เฟยกง”
บุรุษร่างใหญ่ถอนใจเฮือก หันกายถามว่า “สองท่านโปรดเข้าไปสนทนาเถิด”
ทั้งสามเข้าไปกระท่อมที่อยู่ข้างๆ เป็นห้องต่ำเตี้ยโกโรโกโสเหมือนห้องส้วม ฉีฮวานเปิดประตูแสดงทีท่า บุรุษหนุ่มจึงได้แต่จูงสาวน้อยก้มศีรษะเข้าไป ฉีฮวานปิดประตู แสงพลันสลัวลง บุรุษหนุ่มกับสาวน้อยรู้สึกพื้นดินหมุนคว้าง ผนังห้องก็คืนสู่ปกติ ยังไม่ทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไรทั้งสามเข้าสู่ห้องลับห้องหนึ่ง
บุรุษร่างใหญ่คารวะอย่างนอบน้อม “ข้าพเจ้าคือฉีฮวาน”
“ข้าพเจ้าปานเชา” บุรุษหนุ่มประสานมือคารวะชี้ไปที่สาวน้อย “น้องสาวข้าพเจ้าปานเจา”
“คุณชายน้อยสบายดีไหม”
“คุณชายน้อย?” ปานเชางุนงง “คุณชายน้อยท่านใด”
บรรยากาศพลันผนึกตัวหนักอึ้ง ทั้งสามจ้องมองกันไร้วาจา
ฉีฮวานพลันลงมือ คว้าใส่กระบี่ที่เอวปานเชา ปานเชาไม่ขยับแต่ตัวกระบี่เด้งออกจากฝักเองสามนิ้ว มือของฉีฮวานกำลังจะคว้าถูกคมกระบี่ จึงรีบหดมือกลับ
ปานเชาก้าวเฉียงออกไปก้าวหนึ่ง ขวางหน้าปานเจาไว้
เสียงเพียะดังขึ้น บนพื้นพลิกเอากลไกออกมารัดข้อเท้าทั้งสองของปานเชา ส่วนกระบี่ที่หว่างเอวของปานเชาก็โลดเต้นออกจากฝักและอยู่ในมือปานเชาแล้ว
ฉีฮวานไม่รู้คว้าค้อนลักษณะเหมือนผลแตงจากที่ใดเหวี่ยงใส่ ปานเชาใช้ปลายกระบี่เขี่ยใส่มือที่กำค้อนของฉีฮวาน ลงมือทีหลังแต่ถึงก่อน
ค้อนเหล็กนั่นถึงกับบานออกเหมือนบัวตูม ดอกบัวที่ประกอบด้วยคมมีดดอกหนึ่งเหมือนโล่อันหนึ่งขวางสภาวะกระบี่ไว้
สภาวะกระบี่ไม่หยุด คมกระบี่สะท้านต่อเนื่องจะทำลาย “บัว” ให้แหลกลาญ
ปลายกระบี่แทงเข้าดอกบัว “กลีบบัว” แต่ละกลีบเชื่อมต่อกัน หมุนคว้างบานออกคล้ายปีกที่กางออก ส่วนขนคือมีดแต่ละเล่มประกายเย็นเยียบกวาดเข้าใส่
ปานเชาสองเท้าถูกล่ามไว้ไม่อาจหลบหลีก ข้างหลังเป็นปานเจาผู้เป็นน้องสาว เขาย่อมไม่อาจหลบ กระบี่ในมือจึงทิ่มใส่ “ปีก” แต่ปีกนั่นกลับสลายตัว ขนสามสิบหกอัน—มีดสามสิบหกเล่มกระจายเกลื่อนฟ้า ม้วนหุบลงที่ตัวปานเชา
ในสายตาของปานเชา มีดเหล่านี้ลอยเข้ามา
ในสายตาของฉีฮวาน มีดเหล่านี้ลอยอยู่เช่นกัน ราวกับขนนกที่เบาหวิวไร้น้ำหนัก กระจายและตั้งขึ้นเหมือนนกกระเรียนสลัดขนกลางอากาศ ปล่อยให้กระจัดกระจาย ในใจว่างเปล่า ฉีฮวานเห็นมีดที่เหมือนใบหลิวลอยตกเกลื่อนพื้น ในใจโหวงเหวงเหมือนสูญเสียอะไรไป เขาเห็นบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าที่ชื่อปานเชารั้งกระบี่จึงเพิ่งตกใจตื่นตัว
สำนึกกระบี่! นี่เป็นสำนึกกระบี่ ฉีฮวานเคยได้ยินมาว่าหลังสำเร็จในวิถีกระบี่แล้วแบ่งได้เป็นสี่มิติ ได้แก่ สภาวะกระบี่ กระแสกระบี่ สำนึกกระบี่และพลังกระบี่ เมื่อครู่ปานเชาใช้สำนึกกระบี่คลุมตนเองไว้และคลุมมีดบินทุกเล่ม พริบตานั้นทุกสิ่งคล้ายว่างเปล่า นี่เป็นสำนึกกระบี่แบบใด สำนึกกระบี่เชื่อมโยงกับจิต บุรุษเยาว์วัยที่ชื่อปานเชานี้เป็นคนเยี่ยงไรหนอ
“คุณชายน้อยที่ท่านพูดถึงคือเสี่ยวไช่กงกงหรือ” ปานเชาถาม
ฉีฮวานย้อนถาม “นี่เป็นกระบวนท่ากระบี่อะไร”
“ข้าพเจ้าคิดค้นขึ้นเอง ยังมิได้มีชื่อ” ปานเชากล่าว
“ผู้ใดว่าไร้ชื่อ ข้าเรียกมันว่าสิบเอ็ดอนิจจัง” ปานเจากล่าว
“สิบเอ็ดอนิจจัง?”
“เพราะพี่ชายข้าเพียงคิดค้นสิบเอ็ดอนิจจัง วันข้างหน้ายังจะมีอนิจจังที่สิบสองแน่” ปานเจากล่าว
อนิจจัง? ฉีฮวานนึกในใจ เป็นกระบี่ที่ทำให้ผู้คนจิตตกอย่างแท้จริง ก้มลงใช้ด้ามค้อนที่ไร้หัวสัมผัสกับพื้น เห็นเศษมีดบนพื้นเหมือนเป็นแม่เหล็กดึงดูดซึ่งกันและกัน เรียงรายเป็น “ปีกนก” เหมือนธรรมชาติ ฉีฮวานม้วนด้วยพลัง พริบตานั้นก็กลิ้งตัวกลายเป็นบัวตูม (ค้อน)
ปานเชาทำลายความเงียบ “ใช่กงกงเป็นคนข้างพระวรกายของฮ่องเต้ รู้ว่าข้าพเจ้าได้รับบัญชาเดินทางเข้าสู่แดนซีอี้ว์ จึงให้ข้าพเจ้านำกระบี่นี้มามอบให้ท่าน บอกว่าเซียนเซิงจะไปแดนซีอี้ว์ร่วมกับข้าพเจ้า”
กลไกที่เท้าของปานเชาเปิดออกแล้ว ฉีฮวานเงยหน้า “ครั้งนี้ที่ไปที่ใดของซีอี้ว์”
“มิทราบ มุ่งตะวันตกตลอด เดินไปดูไป อาจต้องไปยังที่ที่ไม่เคยมีผู้ใดไปมาก่อน”
“การไปครั้งนี้จะได้กลับมาหรือไม่”
“มิทราบ แดนไกลโพ้นนับหมื่นลี้ อาจไปโดยมิหวนกลับ”
“เข้าใจแล้ว จะเดินทางเวลาใด ข้าพเจ้าต้องตระเตรียมเล็กน้อย”
ปานเชาชักกระบี่ “เฟยกง” ออกมาอีกครั้ง ดีดใส่ตัวกระบี่คราหนึ่ง เสียงกระหึ่มปานมังกรคำราม “เซียนเซิงเป็นคนสำนักม่อเจียกระมัง”
ฉีฮวานแววตาวาววับ จ้องปานเชาเขม็ง
ปานเชาสอดกระบี่เข้าฝักแล้วประคองไว้ด้วยสองมือ “คบเพลิงเดียวของฉิน ผู้ทรงภูมิทุกสำนักร่อยหรอ จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้เทิดทูนหรูเจีย ร้อยสำนักล่มสลาย มีเพียงสำนักม่อเจียที่อยู่เฝ้าวงยุทธจักรเพียงลำพัง เล่ากันว่าเข้าร่วมกับกบฏโจรคิ้วแดง บัดนี้ล่มสลายไปแล้ว” ปานเชากล่าว “เซียนเซิงโปรดอย่าตระหนก ข้าพเจ้าเลื่อมใสอย่างยิ่งต่อแนวคิด ‘เฟยกง’ (มิโจมตี) แล ‘เจียนอ้าย’ (รักผู้ควรรัก) ส่วนเราก็เป็นผู้หลงเหลือสำนักหนึ่งในร้อยสำนัก—สื่อเจีย (สำนักประวัติศาสตร์)”
ฉีฮวานรับกระบี่ “ที่แท้เป็นคนตระกูลปานผู้เขียนประวัติศาสตร์ชาตินี่เอง”
“ถ้าเช่นนั้นอีกหนึ่งเดือนให้หลัง รอฉีเซียนเซิงไปด้วยกัน?”
“การไปตะวันตกครานี้ เกรงว่ายังต้องมีอีกคน”
“เซียนเซิงโปรดชี้แนะ”
“ปานเซียนเซิงรู้จัก ‘เต้าเจีย’ ในร้อยสำนักหรือไม่”
“มีสำนักโจรจริงหรือ” ปานเจาสอดคำ “ฟังว่าพวกเขาคิดตามเต้าจื๋อ และความจริงเต้าทั่วเป็นน้องชายของหลิ่วซย่าฮุ่ยที่นวลนางนั่งตักยังมิหวั่นไหว ยังเคยก่นด่าขงจื่อด้วยซ้ำ” ปานเจาหันไปมองปานเชา “ใช่ไหม พี่รอง”
“พวกเขาไม่เรียกตัวเองเป็นสำนักโจร หากแต่ร้องเป็นสำนักจื๋อ” ปานเชากล่าวกลั้วหัวเราะ
“มิผิด” ชีฮวานรับคำ “คนที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงท่านนี้ ความจริงเป็นชนรุ่นหลังของหลิ่วซย่าจื๋อ เป็นมหาโจรที่อาละวาดไปสองนครา—หลิ่วเผินจื่อ”
สองพี่น้องตระกูลปานออกจากห้องลับ กล่าวอำลากับฉีฮวานที่หน้าร้าน
“ครานี้ถือว่าข้าพเจ้าหาพบก่อนกระมัง?” ปานเจากล่าวอย่างยิ้มย่อง
“ใช่” ปานเชายิ้มน้อยๆ ตามใจน้องสาว
“ดูเหมือนพี่รองจะตื่นเต้นนะ”
“กลไกสำนักม่อทั่วหล้ามิมีสอง!” ปานเชาทอดถอน “เมื่อครู่หากเราพูดจาผิดพลาด คงไม่มีชีวิตรอดออกมา”
“อ้อ เช่นนี้หรือ”
ฉีฮวานมองดูจนเงาหลังของสองพี่น้องลับจากคลองจักษุ หันไปมองหลังคาทางตะวันออกของเมืองพระราชวังที่งามสง่า กำลังทอประกายระยิบระยับกลางแสงอัสดง “คุณชายน้อย ท่านเติบโตแล้วจริงด้วย”