(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน สู่ฝันที่มีฉันคุณโลมา เล่ม 1

Tuesday

บทที่ 1

แสงไฟตามทางเดินมืดสลัวอยู่บ้าง บางคราวก็ยังกะพริบวูบวาบ

ผนังเก่าเกินไปไม่ได้รับการซ่อมแซมแล้ว ในรอยแตกมีฝุ่นฝังลึก ซ้ำยังมีโฆษณาลอกท่อกับสะเดาะกุญแจด่วนติดอยู่ด้วย

ยังดีที่เป็นเวลากลางวัน บานหน้าต่างที่ปลายสุดของทางเดินเปิดอยู่ มีแสงแดดสาดส่องเข้ามา ไม่เช่นนั้นฉากนี้ก็ดูจะเหมือนถ่ายหนังผีอยู่บ้างจริงนั่นแหละ

นี่เป็นอาคารสำนักงานหลังหนึ่งในเขตเมืองเก่าของเมือง T มีอายุเก่าแก่ประมาณหนึ่งแล้ว ทุกชั้นล้วนมีบริษัทเล็กๆ ชื่อแปลกๆ ตั้งอยู่ห้าหกบริษัท เช่นว่า “คลับ Spa สวยจนหลงรักตัวเอง” เช่นว่า “บริษัทแอบรักเธออยู่ในใจจนมาเปิดบริการแม่สื่อ” เช่นว่า “สตูดิโอรับตกแต่งออกแบบจากหัวเมืองใหญ่” …

แต่ทุกแห่งล้วนมีประตูบานใหญ่โต เอ่อ ไม่สิ เป็น “ประตูเล็กปิดสนิท” ต่างหาก ไม่รู้ว่ายังเปิดกิจการอยู่ หรือว่าเจ๊งไปแล้ว

ที่ปลายสุดของชั้นเจ็ด ก็มีบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง บนประตูใช้กระดาษกาวสีแดงติดชื่อไว้ชื่อหนึ่งว่า——บริษัทโฆษณาเราเชื่อถือได้เป็นที่สุด

แดงฉูดฉาด เด่นสะดุดตามาก

ยังมีสารพัดสีที่สาดลงบนอักษรไม่กี่ตัวนั้นด้วย ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจทำโฆษณา หรือว่าถูกพวกที่มาทวงหนี้สาดสีใส่

หน้าประตูบริษัทวางม้านั่งเจ็ดแปดตัวที่เอียงไปเฉมาอยู่ติดผนัง แต่มีเพียงสองคนที่นั่งอยู่ ต่างก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อย่างเบื่อหน่าย

เซี่ยจื้อสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อวอร์มชุดกีฬา ใส่หูฟังอยู่ สีหน้าท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

อวัยวะที่โดดเด่นบนใบหน้าของเขาเจือด้วยความใสบริสุทธิ์ของวัยเยาว์อยู่บ้าง เพราะไม่มีรอยยิ้มใดๆ บนใบหน้าเลย มองเผินๆ จึงดูสงบนิ่งเรียบร้อย ไหล่กว้างขายาว นั่งอยู่ที่ตรงนั้นดูมีมาดมาก กำลังฟัง…เฟิ่งหวงฉวนฉี*อยู่ (เฟิ่งหวงฉวนฉี : เป็นชื่อวงดนตรีของคู่ศิลปินชาวจีนแผ่นดินใหญ่คือ หยางเว่ยหลิงฮวาและเฉิงอี้ โดยเป็นแนวเพลงป๊อปที่ผสานกลิ่นอายของเพลงพื้นบ้านจีนไว้) 

“เธอเป็นเมฆาที่งดงามที่สุดในใจฉัน ให้ฉันเก็บเธอเอาไว้ด้วยใจ! เก็บเอาไว้!”* ( เป็นเนื้อร้องท่อนหนึ่งจากเพลง “Zui Xuan Minzu Feng” (จุ้ยเซวี่ยนหมิ่นจู๋เฟิง) ของวงเฟิ่งหวงฉวนฉี)

หูฟังนั้นซื้อมาจากร้านค้าแบกะดินหน้าประตูโรงเรียนในราคาเก้าจุดเก้าหยวน มีเสียงลอดออกมาอยู่บ้าง

ชายใส่แว่นกรอบดำที่นั่งอยู่ข้างเขาน่าจะทนไม่ไหวแล้ว จึงกล่าวออกมาว่า “นี่ หนุ่มน้อย เพลงนี้ของนายเปลี่ยนหน่อยเถอะ”

เซี่ยจื้อก็ฟังเบื่อแล้วเหมือนกัน ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมา กดไปที่เพลงต่อไป

“ฉันกำลังแหงนมอง——ไปบนดวงจันทร์! มีความฝันมากมายเพียงใดกำลังโบยบินเป็นอิสระ!”* (เป็นเนื้อร้องท่อนหนึ่งจากเพลง “Yueliang zhi shang” (เยวี่ยเลี่ยงจือซ่าง) ของวงเฟิ่งหวงฉวนฉี)

ชายแว่นกรอบดำสะอึกไป “หนุ่มน้อยที่หล่อมาดดีขนาดนี้ ทำไมชอบฟังเพลงล้างสมองเชยๆ แบบนี้ได้?”

เซี่ยจื้อทำเป็นไม่ได้ยิน ที่จริงแล้วเป็นเพราะตอนสัมภาษณ์งานพาร์ตไทม์ก่อนหน้านี้ ที่เขาฟังมีแต่อะเดล เหมาปู๋อี้ ฮั่วจุน* (เหมาปู๋อี้และฮั่วจุน เป็นศิลปินเพลงป๊อปรุ่นใหม่) อะไรจำพวกนี้ แต่สุดท้ายก็ล้วนไม่ได้งาน

ด้วยเหตุนี้จึงมีพรรคพวกแนะนำเขาว่า เปลี่ยนเป็นเพลงที่ติดดินสักหน่อย อย่าทำให้ตัวเองดูเลิศเลอสูงส่งจนเกินไปนัก เขาจึงเปลี่ยนมาฟังเฟิ่งหวงฉวนฉี

คนมาสัมภาษณ์ไม่ได้มากมายเป็นพิเศษนัก นี่ทำให้เซี่ยจื้อประหลาดใจอยู่บ้าง ก็เพราะอย่างไรเสียก็ได้ชั่วโมงละหนึ่งร้อยแปดสิบหยวน ทุกวันทำงานแค่ชั่วโมงเดียว งานพาร์ตไทม์ที่ให้ค่าตอบแทนสูง เวลาทำงานสั้นขนาดนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ซ้ำยังไม่กระทบต่อการว่ายน้ำและลอกการบ้านด้วย

“หนุ่มน้อย ถ้าอย่างนั้นนายก็อย่าฟังอีกเลย ขืนนายเปิดต่อไปต้องส่งผลต่อการแสดงความสามารถของฉันแน่” ชายแว่นกรอบดำกล่าว

อันที่จริงแล้ว เซี่ยจื้อก็ฟังต่อไปไม่ไหวแล้วเหมือนกัน เพราะอย่างไรเสียก็ไม่ใช่รสนิยมแท้จริงของเขา จึงกดหยุด มองดูใบปลิวห้าหกใบใต้เท้าที่ถูกเหยียบย่ำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนอย่างเบื่อหน่าย

บนใบปลิวพิมพ์…แค่กแค่ก…โฆษณาถุงยางอนามัยยี่ห้อหนึ่ง ฟ้อนต์อักษรกับสีสันเย้ายวนล่อลวงมาก แต่ที่ยิ่งทำให้คนรู้สึกแปลกประหลาดก็คือ ถุงยางยี่ห้อหนึ่งกลับมีโลโก้เป็นโลมาเห็นอยู่ว่าเป็นสัตว์ที่น่ารักสดใสไร้เดียงสา ตาหยีๆ ในรอยยิ้มบริสุทธิ์เจือด้วยความเจ้าเล่ห์——นี่ทำให้ต่อไปเซี่ยจื้อไม่กล้ามองเจ้าโลมาน้อยน่ารักพวกนี้ตรงๆ แล้ว

คำโฆษณาบนใบปลิวก็ยากจะบรรยายในคำเดียวเหมือนกัน

——ไม่ว่าคุณจะทำกี่ครั้ง รับประกันความทนทานและปลอดภัย!

——มีฉันอยู่ ไม่ว่าจะออกแรงยังไงก็ไร้ประโยชน์!

——ไร้ซึ่งความพะวงถึงจะอยู่ยืนยงชั่วฟ้าดินสลาย!

เซี่ยจื้อลูบๆ คาง อืออือ ดีมากยิ่งใหญ่มาก

จากช่องประตูตรงหน้า ก็เหลือบไปเห็นเหมือนเป็นห้องบันทึกเสียงง่ายๆ ห้องหนึ่ง

ดูเหมือนว่าชายแว่นกรอบดำจะสนอกสนใจเซี่ยจื้อเป็นพิเศษ ถามประโยคหนึ่งว่า “หนุ่มน้อย นายเรียนหนังสืออยู่ หรือว่าออกมาทำงานแล้ว?”

“เรียนหนังสือครับ”

“อยู่มหา’ลัยหรือว่าม.ปลายล่ะ?”

“เพิ่งม.หกครับ” เซี่ยจื้อตอบ

“โห! ม.หกก็สูงขนาดนี้แล้วเหรอ?” สายตาของชายหนุ่มมองไล่จากลำคอของเซี่ยจื้อไปถึงสองขาของเขาที่นั่งไขว่ห้างสบายๆ อยู่ “จุๆๆ ขายาวจริงๆ ! นายนั่งอยู่นี่ตั้งนาน หลังยังตั้งตรงอยู่เลย นายเป็นนายแบบใช่ไหมเนี่ย!”

“ฝึกมาจากว่ายน้ำครับ”

เซี่ยจื้อไม่คุ้นชินกับการพูดคุยผูกสัมพันธ์กับคนแปลกหน้ามากนัก ดังนั้นทุกประโยคจึงตอบอย่างสั้นมาก

“ฝึกว่ายน้ำทำให้รูปร่างดีขนาดนี้ได้เลยหรือ? รอต่อไปฉันมีลูกชายแล้ว ต้องส่งเขาไปเรียนว่ายน้ำด้วยเหมือนกัน!”

เซี่ยจื้อไม่ได้พูดอะไรอีกแล้ว ตั้งแต่เขาเกิดมาก็ถูกพ่อแท้ๆ จับกดอ่างอาบน้ำให้เรียนว่ายน้ำแล้ว

แต่ชายแว่นกรอบดำกลับสนอกสนใจอยากจะคุยด้วยเป็นอย่างมาก “ฉันจะบอกให้นะหนุ่มน้อย นายรู้ไหมว่าข้างในสัมภาษณ์งานอะไร?”

“ให้เสียงประกอบโฆษณา”

“งานนี้ ไม่ใช่งานที่ใครๆ ก็ทำได้”

เซี่ยจื้อคิดในใจ จะมีอะไรที่ไม่ใช่ว่าใครๆ จะทำได้? ในใบรับสมัครก็เขียนอยู่ชัดๆ แค่ว่าพูดภาษาจีนกลางได้ชัดตามมาตรฐานก็ใช้ได้แล้วนี่

“นอกจากภาษาจีนกลางต้องดีแล้ว ยังต้องหน้าไม่อายด้วย” ชายสวมแว่นกล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

“หน้าไม่อาย?” เซี่ยจื้อหันหน้ามา

“นายเคยเห็นเหรอว่าโฆษณาไหน หน้าไม่ด้านบ้าง?”

แล้วในเวลานี้ ประตูห้องทำงานก็เปิดออก คนที่เพิ่งเข้าไปสัมภาษณ์เมื่อครู่หน้าแดงราวกับผลมะเขือเทศ สาวเท้าพุ่งตัวออกมา กระทั่งลิฟต์ก็ยังไม่รอ เดินลงบันไดไปเลย

นี่มันเรื่องอะไร?

เวลานี้ ก็มีเสียงเรียกชื่อ “เซี่ยจื้อ” ดังออกมาจากด้านในประตู

เซี่ยจื้อลุกขึ้นยืนอย่างหวาดระแวง ก่อนจะเข้าไปในสมองยังมีประโยคนั้นวนเวียนอยู่ “ต้องหน้าไม่อายด้วย”

คนที่สัมภาษณ์เขา เป็นลุงวัยกลางคนที่ปล่อยปละละเลยไม่ดูแลตัวเองสองคน คนหนึ่งหัวล้าน คนหนึ่งพุงยื่น แล้วก็ยังมีอีกคนทำหน้าที่จัดการกับเครื่องบันทึกเสียง

ตรงหน้าเซี่ยจื้อมีชุดหูฟังกับกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ บนกระดาษพิมพ์บทพูดไว้

หนึ่งในสามส่วนก่อนหน้าบทพูด ล้วนเป็นจำพวก “อือ” “อา” เซี่ยจื้อเห็นแล้วไม่เข้าใจเลย

กลับเป็นสามประโยคหลังสุด ที่คุ้นตาขึ้นมาบ้าง

——ไม่ว่าคุณจะทำกี่ครั้ง เรารับประกันความทนทานและปลอดภัย!

——มีฉันอยู่ ไม่ว่าจะออกแรงยังไงก็ไร้ประโยชน์!

——ไร้ซึ่งความพะวงถึงจะอยู่ยืนยงชั่วฟ้าดินสลาย!

ทันใดนั้น เซี่ยจื้อก็รู้สึกว่าเห็นท่าจะไม่ดีขึ้นมาบ้างแล้ว บางทีแล้วเขาไม่น่าจะฟังเฟิ่งหวงฉวนฉีเลย น่าจะฟังอะเดลต่อ

“เจ้าหนุ่มน้อย ไม่ต้องตื่นเต้น งานของเรานี่ง่ายมาก แล้วก็เข้ากับธรรมชาติของมนุษย์ด้วย” ลุงหัวล้านเอ่ยปากกล่าว

เซี่ยจื้อไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่กลับหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาย้อนถาม “อืออือ อาอาข้างหน้านี่ ก็เป็นบทพูดของผมด้วยเหมือนกันเหรอครับ?”

“ถูกต้อง เสียงของนายต้องฟังดูแล้วทั้งเก็บกด ทั้งมีพละกำลัง เข้าใจไหม?” ลุงหัวล้านอธิบายด้วยความอดทนเป็นอย่างมาก

“โฆษณานี่ ออกอากาศได้?” เซี่ยจื้อเลิกคิ้วขึ้น 

“ออกอากาศได้แน่ ในช่องขายของ”

“สินค้านี่ผ่านการตรวจสอบจากอ.ย.แล้วหรือยังครับ?” เซี่ยจื้อถามอีก

“เรามีสินค้าตัวอย่าง ถ้านายผ่านการสัมภาษณ์ครั้งนี้แล้ว ก็เอากลับไปลองใช้ดูได้เลย”

ไม่ตอบว่าผ่านหรือไม่ผ่านการตรวจสอบ ถ้าอย่างนั้นก็คือสินค้าเถื่อนที่ไม่มีการรับรองคุณภาพสินะ?

“โรงเรียนผมไม่อนุญาตให้มีความรักในวัยเรียน เอากลับไปด้วยก็ไม่มีที่ใช้หรอกครับ” เซี่ยจื้อกระตุกมุมปาก 

“เจ้าหนุ่มน้อย ไม่ต้องอายหรอก เปิดใจให้กว้างหน่อย เสียงของนายดีมาก มี…จะว่าอย่างไรล่ะ…รู้สึกสัมผัสได้ เป็นเสียงที่จัดอยู่ในประเภทมีพละกำลัง ทำให้คนมีความรู้สึกพึงพอใจได้”

เซี่ยจื้อวางกระดาษแผ่นนั้นลง เคาะนิ้วมือทีหนึ่ง มองดูแล้วเรื่อยเฉื่อยมาก ทว่าเสียงกลับดังกังวาน

“นั่นปะไร ลุงครับ เสียงของลุงก็รู้สึกสัมผัสได้มากอยู่เหมือนกันนะครับ จัดอยู่ในประเภทที่ทำให้คนอยากต่อยหน้าสักหมัดค้นหาความรู้สึกพอใจ”

พูดจบก็ไสเก้าอี้ไปด้านหลัง เกิดเป็นเสียงเล็กแหลมดังขึ้นมา เซี่ยจื้อลุกขึ้นยืน สอดมือล้วงกระเป๋าแล้วเดินออกไปเลย

“เจ้าหนุ่มน้อย! เจ้าหนุ่มน้อย! เสียงของนายไม่เลวเลยจริงๆ เกิดมาเพื่อทำงานนี้เลย!”

เซี่ยจื้อปิดประตูดังปัง สั่นสะเทือนจนคำว่า “เชื่อ” ใน “เราเชื่อถือได้ที่สุด” บนประตูร่วงลงมา

ชายแว่นกรอบดำที่ยังรอการสัมภาษณ์อยู่นอกประตูลุกขึ้นมา “หนุ่มน้อย เกิดอะไรขึ้น?”

เซี่ยจื้อตบๆ ไหล่อีกฝ่ายกล่าว “คุณพูดไว้ไม่มีผิด คิดอยากจะผ่านการสัมภาษณ์ก็ต้องหน้าไม่อาย ผมยอมคุณเลย”

กล่าวจบเซี่ยจื้อก็เดินไปที่ลิฟต์แล้ว เดินไปพลางก็เปลี่ยนจากเฟิ่งหวงฉวนฉีมาเป็น “สกายฟอล” (Skyfall) ของอะเดล

หากไม่ใช่เพราะการสอบปลายภาคของภาคเรียนที่แล้วเซี่ยจื้ออยู่ลำดับบ๊วยของห้อง จนทำให้แม่ไม่ให้เงินเขาติดกระเป๋าไว้ใช้ ซ้ำแม่ยังเอาบัตรว่ายน้ำของเขาไปเผาด้วย เขาก็คงไม่ต้องวิ่งวุ่นหางานพาร์ตไทม์ทำไปทั่วเพื่อหาเงินไปซื้อบัตรว่ายน้ำหรอก  

แล้วก็เป็นในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของเซี่ยจื้อดังขึ้น ชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอคือ “ตัวปัญหา”

เซี่ยจื้อขมวดคิ้ว กัดฟันรับโทรศัพท์ “เฉินชิงเหม่ย นายไปหาเพื่อนในเน็ตแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เฉินชิงเหม่ย ฉายา “คนเคยสวย”* ( “คนเคยสวย” : ภาษาจีนอ่านว่า “เฉิงจิงเหม่ย” ออกเสียงคล้ายคลึงกับคำว่า “เฉินชิงเหม่ย”) เพื่อนตั้งแต่เด็กของเซี่ยจื้อ

คนที่เอาใบปลิวสัมภาษณ์งานของบริษัทโฆษณานี้มาให้เซี่ยจื้อก็คือเขา!

ไอ้คนที่แนะนำให้เซี่ยจื้อฟังเฟิ่งหวงฉวนฉีไปสัมภาษณ์งานก็คือเขาเหมือนกัน!

เวลาเกิดเรื่องทุกครั้งต้องตามเซี่ยจื้อไปตามล้างตามเช็ดก็ยังเป็นเขา!

สรุปว่า ที่ไหนดูเชื่อถือไม่ได้ ที่นั่นต้องมีเขา!

“เซี่ยจื้อ! ช่วยฉันด้วย! นายรีบมาช่วยฉันเร็ว!”

ฟังจากเสียง เจ้าบื้อนี่กำลังวิ่งสุดชีวิต หนำซ้ำยังวิ่งจนแทบขาดใจแล้วด้วย

เฉินชิงเหม่ยเป็นผู้ชายติดเกมตามมาตรฐานทั่วไป ถ้านั่งได้ไม่มีทางยืนเป็นเด็ดขาด ถ้านอนได้ไม่มีทางนั่งเป็นแน่นอน ผลงานการวิ่งสี่ร้อยเมตรยังสู้ผู้หญิงวิ่งแปดร้อยเมตรไม่ได้เลย แล้วสวรรค์ก็มอบใบหน้าหล่อเหลาให้เขาอย่างสุดจะไร้ความเป็นธรรมเช่นนี้

ด้วยเหตุนี้เจ้านี่จึงอาศัยว่าตนเองหน้าตาดี วันๆ เอาแต่โปรยเสน่ห์สาวน้อยสาวใหญ่ที่ไม่ประสีประสาอยู่ในเกมออนไลน์

“ช่วยนาย? ช่วยยังไงล่ะ?” เซี่ยจื้อกดปุ่มลิฟต์อย่างเฉื่อยเนือย

“นาย…นายรีบมาเลยนะ! ฉันจบเห่แล้ว!”

“มีครั้งไหนที่นายไม่จบเห่กันล่ะ?”

ลิฟต์มาแล้ว เซี่ยจื้อเดินเข้าไป

เฉินชิงเหม่ยผู้นี้ซวยเรื่องความรักตลอด เวลานัดบอดก็มักจะเจอกับคนที่ยากจะอธิบายออกมาได้ในคำเดียว

เช่นว่าคราวก่อน เขานัดบอดกับผู้หญิงที่อายุมากกว่าเขาสองปี ภาพถ่ายที่ผู้หญิงคนนั้นส่งมาสวยมาก ผิวขาวตาโต ผมเป็นลอนประบ่า ใช้มือเท้าคางอยู่ ในมาดดูดีมีสไตล์แฝงไว้ด้วยความซุกซนขี้เล่น

ก่อนไปพบหล่อน เฉินชิงเหม่ยยังซื้อชุดใหม่ชุดหนึ่งมาโดยเฉพาะ จัดการตัวเองเสียจนดูเป็นหนุ่มติสท์รักอิสระ

ผลสรุปว่าพอได้พบตัวจริงแล้ว ถึงได้รู้ว่ากล้องถ่ายรูปปรับแต่งรูปได้มันช่างน่ากลัวนัก ผู้หญิงคนนั้นไม่เพียงแต่ดำมาก มุมปากยังมีไฝเม็ดเบ้อเร่ออีก หนำซ้ำยังกินเก่งอีกด้วย

เฉินชิงเหม่ยรีบส่งวีแชตมาขอความช่วยเหลือจากเซี่ยจื้อ : [i]ฉันพาตัวเองที่เป็นตัวจริงมาพบหล่อน แล้วทำไมหล่อนถึงไม่พาตัวเองที่เป็นตัวจริงมาพบฉัน? [i]

เซี่ยจื้อแค่นเสียง “หึ” นี่ยังจริงไม่พออีกเหรอ?

พอมาถึงสถานที่ที่พวกเขานัดบอดกัน เซี่ยจื้อก็นั่งลงข้างเฉินชิงเหม่ยทันที ใช้มือข้างเดียวเชยคางเขาขึ้นมา เลิกคิ้ว ยิ้มกล่าว “ที่รัก เธอนี่ใช้ได้เลยนะ! เอาเงินฉันออกมาเที่ยวเล่น คืนนี้ไม่จัดการเธอให้เรียบร้อยคงไม่ได้แล้ว!”

ละครฉากนี้เล่นฉายวนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เฉินชิงเหม่ยรีบแสดงสีหน้าท่าทางนุ่มนวลออกมาทันที “พี่ ไม่ใช่นะ พี่——พี่ฟังผมก่อน ก็หล่อนจะนัดผมออกมาเจอให้ได้! ผมรักเดียวใจเดียวกับพี่…”

แล้วโค้กแก้วหนึ่งก็สาดตามมาติดๆ ยังดีที่เซี่ยจื้อประสาทสัมผัสว่องไว หลบได้ทัน

เฉินชิงเหม่ยถูกสาดใส่เต็มหน้าเต็มตัว เซี่ยจื้อรู้สึกว่าเจ้านี่มันดวงดีเกินไปแล้ว ถ้าหากที่พวกเขานัดกันวันนี้ไม่ใช่เคเอฟซีแต่เป็นร้านหม้อไฟล่ะ ผลลัพธ์นั่นก็จะ “เผ็ดร้อน” แล้ว

“ก็เห็นอยู่ว่านายก็มีผู้ชายเป็นตัวเป็นตนแล้วมาหาฉันทำไม——”

บทพูดประโยคนี้ก็เช่นกัน เซี่ยจื้อฟังมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เหมือนกับสคริปต์ NC ของละครโทรทัศน์อย่างไรอย่างนั้น

จิตใจที่บอบช้ำของเฉินชิงเหม่ย ก็ถูกปลอบประโลมไปในเกมอย่างรวดเร็ว

เขาเจอกับผู้เล่นสาวคนหนึ่ง อีกฝ่ายมีเทคนิคการเล่นอย่างช่ำชอง ปฏิกิริยาว่องไว นอกจากเล่นเกมแล้วก็แทบจะไม่พูดคุยกับเฉินชิงเหม่ยเลย

เฉินชิงเหม่ยหลงรักในความ “เย็นชา” ของอีกฝ่ายแบบนี้ พอไม่มีอะไรทำก็ออดอ้อนแอ๊บแบ๊วกับอีกฝ่าย นึกไม่ถึงว่าจะถึงขั้นทำให้เขานัดอีกฝ่ายออกมาได้จริงๆ

ก่อนจะพบหน้ากัน เซี่ยจื้อก็เตือนเขาไว้แล้ว “นายเคยคิดไหมว่า เกิดว่าที่มาไม่ใช่พี่สาว แต่เป็นน้องนักเรียนล่ะ นายจะทำยังไง?”

“น้องนักเรียนก็ดีเลยสิ เตรียมชุดแฮปปี้มีลของแมคโดนัลด์ไว้ก็เรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอไง?”

“งั้นขออวยพรให้นายปลอดภัยแล้วกัน วันนี้ฉันมีสัมภาษณ์งาน ไม่ว่างมาสนใจนายหรอก”

เพียงแต่เซี่ยจื้อนึกไม่ถึงเลยว่า “ขออวยพรให้นายปลอดภัย” ของเขาจะไม่มีประโยชน์ เฉินชิงเหม่ยที่อยู่ปลายสายนั่นไม่เพียงแต่จะวิ่งจนแทบขาดใจ กระทั่งยังจะร้องไห้ขี้มูกโป่งเกินคำว่าน่าสงสารไปแล้วด้วย

ดูท่าไม่ดีแล้ว

“ตกลงแล้วนายเป็นอะไรกันแน่?” เซี่ยจื้อหรี่ตา เดินออกมาจากลิฟต์ เตรียมจะไปขึ้นรถประจำทาง

“เขาไม่ใช่พี่สาว! เขาเป็นผู้ชาย! เขาเป็นผู้ชาย! เขาเป็นผู้ชาย!”

“เขาเป็นผู้ชายนายก็เลี้ยงชุดแฮปปี้มีลเขาได้นี่”

เซี่ยจื้อคิดในใจ หรือว่าอีกฝ่ายจะต่อยเฉินชิงเหม่ยหรือไง? แต่เฉินชิงเหม่ยเล่นเป็นตัวละครผู้ชาย ภาพถ่ายที่ส่งไปแม้จะแต่งให้ดูสวยหน่อยแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนเพศนี่ กลับเป็นอีกฝ่ายเสียอีกที่เป็นชายทั้งแท่งแต่กลับมาเล่นเป็นตัวละครผู้หญิง นี่ต่างหากถึงจะเป็นการหลอกลวงที่แท้จริง

“มัน เชิญ ฉัน ไป แชง กรี ลา——มัน ยัง เปิด ห้อง วี ไอ พี ไว้ ด้วย——มัน จะ นอน กับ ฉัน——”

สองท่อนแรก เซี่ยจื้อยังรู้สึกว่าไม่มีอะไร ประโยคสุดท้ายนั่นสุดๆ ไม่ได้การแล้ว!

แม้ว่าเซี่ยจื้อจะอยากกระโดดถีบขาคู่ใส่หน้าเจ้าตัวปัญหานี่อยู่ทุกครั้ง แต่หากเจ้าตัวปัญหานี่เป็นอะไรไปจริง ต่อไปจะมีใครให้เขาลอกการบ้านกันล่ะ!

“แหม แชงกรีลาเหมือนจะอยู่ที่ยูนนานไหม? มันนั่งเครื่องเชิญนายไป นายก็ไปสิ!” 

“เฮีย——มันเอาจริง!”

“นายอยู่ที่ไหน?”

“ในตรอกหลังร้านเน็ตซิงจี้! ฉัน…ฉันหลบอยู่หลังถังขยะแล้ว…พวกมันกำลังตามหาฉันอยู่…” เฉินชิงเหม่ยพูดเสียงเบาๆ

“หา? พวกมัน? ไม่ใช่แค่คนเดียว?” เซี่ยจื้อกุมขมับตัวเอง

ที่ร้านเน็ตไอ้ห่านี่มันเหยียบเรือกี่แคมกัน?

“ใช่…เดิมทีเรานัดเจอกันที่ร้านกาแฟตรงข้ามร้านเน็ต…แต่ฉันไม่ยอมตามมันไป มันก็เลยพาคนมาล้อมฉันไว้…พวกมันคนมากฉันทำได้แค่วิ่งหนี”

เรื่องราวร้ายแรงกว่าที่เซี่ยจื้อจินตนาการไว้เสียอีก

“นายส่งโลเคชั่นมาให้ฉัน แล้วก็ถึงฉันจะรีบไปก็ต้องใช้เวลา แต่ว่าให้เรียกรถไปตังค์ฉันไม่พอ…”

เพิ่งจะพูดมาได้ครึ่งเดียว เซี่ยจื้อก็ได้รับอั่งเปาจากเฉินชิงเหม่ยที่ส่งมาทางวีแชต*แล้ว (ส่งอั่งเปาทางวีแชต : ในโปรแกรมสนทนาวีแชตจะมีฟีเจอร์ที่สามารถส่งอั่งเปาหรือโอนเงินให้กันได้) เขียนกำกับไว้ว่า “คุกเข่าขอร้อง”

ปกติให้เขาเลี้ยงปิ้งย่างไม้ๆ ยังไม่เห็นเขาจะกระตือรือร้นขนาดนี้เลย?

เซี่ยจื้อเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง รีบไปที่ร้านเน็ตซิงจี้ทันที

สุดสัปดาห์เขตตัวเมืองเก่ารถติดมากจริงๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะออกมาจากวงล้อมได้ แล้วตอนที่ใกล้จะถึงร้านเน็ตซิงจี้ก็เจอกับอุบัติเหตุเข้า

เซี่ยจื้อสแกนจ่ายเงิน ผลักประตูรถแล้วขายาวก็วิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง

เขาพุ่งตรงไปตามทางที่มีคนเดินข้างทาง วิ่งไปตลอดทาง จนในที่สุดก็มาถึงตำแหน่งที่เฉินชิงเหม่ยอยู่ มองเห็นคนห้าหกคนยืนอยู่ปลายสุดของตรอก เฉินชิงเหม่ยถูกคนหิ้วตัวขึ้นมา กดเอาไว้กับกำแพง

ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้านและตาโตมากใช้มือข้างเดียวยันไว้ที่ข้างหูของเฉินชิงเหม่ย ยิ้มพลางพูดอะไรบางอย่าง 

ยังดีที่ไอ้ตัวปัญหานี่ไม่ได้ถูกจัดการไปตรงนั้นเสียก่อน

แต่พอมาคิดดูอีกที ไอ้ตัวปัญหานี่ไม่ถูกจัดการไปซะก็น่าเสียดายจริงๆ!

เซี่ยจื้อมองดูรูปร่างของคนเหล่านั้นแล้ว อืม ตัวเองน่าจะพอรับมือไหว ก็ไม่กังวลอีกต่อไป ดูละครต่อไปอีกสักพักได้อย่างสบายใจแล้ว

ลงมือเร็วเกินไป เฉินชิงเหม่ยจะไม่ได้รับบทเรียนน่ะสิ 

“ที่…ที่โรงเรียนผมยังมีการบ้าน…เราค่อยนัดกันคราวหน้าเถอะ!” เฉินชิงเหม่ยย่อตัวลง คิดจะมุดลอดออกมาที่ใต้แขนของอีกฝ่าย

ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายปราดเปรียวว่องไวมาก ขยับแขนลงล่างอย่างรวดเร็ว ขวางชิงเหม่ยไว้ได้พอดี

“การบ้านเหรอ…ฉันก็ช่วยนายทำได้นะ”

เซี่ยจื้อหรี่ตาดูอยู่ไกลๆ ดูเหมือนผู้ชายคนนั้นจะเป็นซูจวิ้นเถ้าแก่ร้านเน็ตซิงจี้ ได้ยินว่าเป็นยอดฝีมือในเกมออนไลน์คนหนึ่งด้วยเหมือนกัน ซ้ำยังเคยได้รางวัลในการแข่งอีสปอร์ตอีกด้วย มีแฟนคลับไม่น้อย

ครั้งนี้เฉินชิงเหม่ยไปหาเรื่องบุคคลสำคัญเสียแล้ว

ซูจวิ้นทำท่าเหมือนจะสาวหมัดใส่หน้าเฉินชิงเหม่ย แต่เซี่ยจื้อดูออกว่าซูจวิ้นไม่ได้มีเจตนานั้น แค่อยากเห็นท่าทางหมดสภาพทำอะไรไม่ถูกของเฉินชิงเหม่ยต่างหาก

เฉินชิงเหม่ยให้ตายก็ไม่ยอม ใช้มือยันหน้าอีกฝ่ายไว้ แต่ว่าซูจวิ้นก็หัวเราะ ลากเขากลับมากอดเอาไว้ในวงแขนได้อย่างง่ายดาย 

 นี่มันกลางวันแสกๆ เจ้าเฉินชิงเหม่ยนี่ตาแดงไปหมดทำท่าเหมือนจะร้องไห้แล้ว นี่ทำอะไรกันเนี่ย!

ละครฉากนี้ เซี่ยจื้อทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาเตะกระป๋องโค้กตรงหน้าลอยไปเลย เสียงดัง ‘ปัง’ กระป๋องชนเข้ากับกำแพงข้างตัวเฉินชิงเหม่ย สั่นสะเทือนจนพากันผงะไปทุกคน

เฉินชิงเหม่ยพอได้เห็นเซี่ยจื้อ ตาก็เป็นประกายแทบส่องแสงออกมาได้ “เซี่ยจื้อ——ในที่สุดนายก็มาแล้ว——รีบมาช่วยฉันเร็ว——”

นี่ฉันจะบอกให้นะ…คุณชายน้อย ฉันวิ่งบนถนนมาตลอดทั้งเส้น ไม่ได้จะวิ่งมาดูนายร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ในอ้อมอกผู้ชายคนอื่นแบบนี้หรอกนะ! นายแม่งจะมีจิตวิญญาณต่อต้านสักนิดไหม?

เซี่ยจื้อเดินเข้าไปพลางก็ขยับข้อมือไปพลาง

“ไอ้หนุ่ม! ขอเตือนนายไว้ว่าอย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านเลย!”

หนึ่งในคนที่ติดตามซูจวิ้น เดินเข้ามาหา

เซี่ยจื้อกำลังคิดคำนวณอยู่ในใจว่า จะทำอย่างไรถึงจะดูน่าเกรงขาม งั้นก็แน่นอนว่าต้องลงมือจัดการอีกฝ่ายก่อน——เร็ว แรง แม่นยำ!

คนผู้นั้นเพิ่งจะเดินมาถึงตรงหน้าเซี่ยจื้อด้วยสีหน้าราวกับเป็นผีห่าซาตาน เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วกว่าจะรู้ว่าเซี่ยจื้อตัวสูงมาก ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือใบหน้าสงบนิ่งไม่มีสะทกทะท้าน และไม่มีความคิดจะถอยหนีเลยแม้แต่น้อย

แขนของซูจวิ้นตวัดรัดคอเฉินชิงเหม่ยไว้ ล็อกจนเขาขยับไม่ได้

“อาไฉ ระวังหน่อย เจ้าเด็กนี่ดูเหมือนจะมีฝีมืออยู่”

ซูจวิ้นเพิ่งจะพูดจบ เซี่ยจื้อก็ลงมือทันที ไม่ว่าใครก็เห็นไม่ชัดว่าเขาทำได้อย่างไร หน้าของอาไฉก็ไปชนเข้ากับกำแพงแล้ว เซี่ยจื้อยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาทันที เหยียบไปบนหลังของอาไฉ

แล้วจมูกของอาไฉก็มีสีแดงสองสายไหลลงมาในฉับพลัน ในหูยังมีเสียงดังวิ้งๆ อยู่เลย

เขานึกไม่ถึงเลยว่า เด็กนักเรียนคนเดียวเท่านั้น จะสามารถลงมือได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

สีหน้าของซูจวิ้นเปลี่ยนจากตื่นตะลึงมาขบคิดใคร่ครวญแล้ว “เจ้าเด็กนี่เก่งกาจจริง แกเป็นอะไรกับเขาเหรอ?”

กล่าวไปพลาง ซูจวิ้นก็ตบๆ แก้มของเฉินชิงเหม่ยไปพลาง

“ไม่ได้เป็นอะไรกัน” เซี่ยจื้อตอบ

ทว่าเฉินชิงเหม่ยกลับรีบพูด “เราเป็นเหมยเขียวม้าไผ่กัน!*” ( เหมยเขียวม้าไผ่ :หมายถึงคู่รักที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก )

“เหมยเขียวม้าไผ่ห่าอะไร! นายเป็นเด็กผู้หญิงหรือไง?”

“ก็เราเป็นเหมยเขียวม้าไผ่กันมาตั้งแต่อนุบาลแล้วไง!”

เซี่ยจื้อแค่นเสียงหึในใจทีหนึ่ง ฉันเห็นนายเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้นแหละ

“นายยังจะลอกการบ้านฉันอยู่ไหมฮะ! รีบช่วยฉันเร็ว!”

เซี่ยจื้อมองไปที่ซูจวิ้น “ไม่ต้องรบกวนนายหรอก แค่นายรีบโยนมันกลับมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะเบิ๊ดกะโหลกมันให้ต่อหน้านายเลย”

ซูจวิ้นเอาแต่ส่ายหน้า ดูเหมือนจะได้รับสัญญาณ อีกสามคนจึงเริ่มเดินไปหาเซี่ยจื้อ 

เซี่ยจื้อถลึงตาเหี้ยมเกรียมใส่เฉินชิงเหม่ยไปทีหนึ่ง ความหมายก็คือ บัญชีนี้ข้าจะจำไว้!

สามคนนี้ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรเซี่ยจื้อรุนแรงหรอก ขึ้นหน้าไปซ้ายคนขวาคนอยากจะจับขึงแขนของเขาไว้ ส่วนอีกคนจะรับผิดชอบจัดการเซี่ยจื้อตรงหน้า นึกไม่ถึงว่าพอเซี่ยจื้อกระทุ้งศอกใส่ไปที่ไอ้คนทางซ้าย มันก็จุกจนปอดแทบกระเด็นออกมาแล้ว เซี่ยจื้อแขนยาว ไอ้คนที่อยู่ด้านขวากำลังจะสาวหมัดใส่ก็ถูกหลังมือเขาซัดใส่จมูกไปแล้ว เจ็บจนตาลายไปหมด คนที่อยู่ตรงกลางนั่นพุ่งตัวเข้าไป เซี่ยจื้อก็ถีบโครมหน้าคว่ำคะมำไปเลย 

สองสามคนนั่นร้องโอดโอยคลานขึ้นมาไม่ไหว

ซูจวิ้นเห็นเซี่ยจื้อไม่มีท่าทางตื่นเต้นกดดันเลยสักนิด ก็โอบไหล่เฉินชิงเหม่ยยิ้มถาม “เก่งไม่เบาเลยนะ เคยเรียนมา?”

“ใช่” เซี่ยจื้อดึงๆ ปกเสื้อตนเอง เผยให้เห็นเส้นแข็งเกร็งขึ้นมาที่ลำคอ “นักเรียนม.ปลายก็เคยเรียนกันทั้งนั้น”

“อะไรนะ?” ซูจวิ้นถาม

“มวยทหารตอนฝึกทหารม.ปลาย” เซี่ยจื้อกระดิกนิ้ว “คืนไอ้บื้อนั่นมาให้ฉันได้หรือยัง? เรายังมีการบ้านที่ต้องทำ”

ซูจวิ้นก็ยังยิ้มอยู่ “นายดูข้างหลังก่อน ฉันไม่เคยประมาทศัตรู เพราะฉะนั้นไม่มีทางจะเอามาแต่พวกสวะไม่กี่คนนี่หรอก”

พอเซี่ยจื้อหันหน้าไปมอง ก็เห็นว่ามีเงาคนหลายคนกำลังวิ่งมาที่ปากตรอก

ไม่ว่าพวกมันจะอึดหรือไม่ แต่ว่ามวยทหารไร้เทียมทานเป็นเรื่องจริง

“ทำ…ทำไงดีล่ะ…” เฉินชิงเหม่ยมองเซี่ยจื้ออย่างหมดอาลัยตายอยาก

จู่ๆ เซี่ยจื้อก็พุ่งตัวเข้ามา สองตาจ้องซูจวิ้นเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ตาเห็นอยู่ว่าเซี่ยจื้อกำลังเหวี่ยงหมัดออกมา แต่ซูจวิ้นก็ยังถูกอีกฝ่ายอัดใส่ไม่ทันได้ตั้งตัวอยู่ดี

หมัดนี้อานุภาพร้ายแรงมาก!

ต่อยเข้าหน้าซูจวิ้นไปเต็มๆ สมองสั่นสะเทือนไปหมด

เซี่ยจื้อดึงตัวเฉินชิงเหม่ยมาทันที มาถึงที่ฐานกำแพงปลายสุดของตรอก ก็อุ้มดันตัวเขาขึ้นไป

“เฮีย——นี่…นี่จะทำอะไร!”

“แกปีนขึ้นไปเลย! จะข้ามไม่ข้ามก็แล้วแต่!”

เฉินชิงเหม่ยถูกเซี่ยจื้อดันขึ้นไปนั่งอยู่บนกำแพงในฉับพลัน ขึ้นก็ไม่ได้ ลงก็ไม่ได้ ได้แต่มองสี่ห้าคนนั่นพุ่งมาตาปริบๆ

ซูจวิ้นลูบจมูกไปทีหนึ่ง เลือดกำเดาเต็มมือ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นหน้าไป “ไอ้ห่าแกนี่ใช้ได้เลยนะ!”

ใครจะรู้ว่าเซี่ยจื้อกลับลากซูจวิ้นเข้าหาขวับ ซูจวิ้นพอตาเห็นว่าใบหน้าของตนกำลังจะกระแทกกำแพงแล้วก็ยื่นแขนออกมาบังหน้าไว้ตามสัญชาตญาณ แผ่นหลังจึงโดนคนเหยียบโดยไม่ทันตั้งตัว เซี่ยจื้อเอาตัวเขามาเป็นบันได เพื่อให้ตัวเองกระโดดลอยขึ้นไปบนกำแพง!

ซูจวิ้นขบฟันกรอดๆ แหงนหน้าสบถออกไป “ดูสิว่าพวกแกจะลงมายังไง!”

เซี่ยจื้อนั่งอยู่บนกำแพง หลุบตาลงแค่นเสียงหึ “นายไม่ต้องห่วงหรอก นายเรียกคนมาจัดการกับเราสองคนตั้งมากมายขนาดนี้ ไม่มีน้ำยา หรือว่าไร้ยางอายกัน?”

กล่าวจบ เซี่ยจื้อก็ถลึงตาใส่เฉินชิงเหม่ยไปที ความหมายก็คือ : กระโดดลงไป!

เฉินชิงเหม่ยมองดูถังขยะด้านล่างแวบหนึ่ง แล้วก็มองดูชุดนี้ที่ตนเองเพิ่งซื้อมาใหม่พลางส่ายหน้า

คนข้างหลังพากันล้อมเข้ามาทั้งโขยงแล้ว ท่าทางแต่ละคนเหมือนจะแล่เนื้อเถือหนังพวกเขาสองคนให้ได้

ซูจวิ้นแหงนหน้าอยู่ น่าจะไม่ใช่เพื่อมองเซี่ยจื้อ แต่เพื่อหยุดเลือดกำเดา

เขายกมือขึ้นมาส่งสัญญาณให้บรรดาสมัครพรรคพวกหยุดก่อนชั่วคราว

“ฉันมาคิดดูแล้วที่นายพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน จัดการกับไอ้แห้งผอมกะหร่องอย่างพวกนายสองคน ฉันยังเรียกคนมาตั้งมากมายขนาดนี้ ชกพวกนายสักหมัดก็หาว่าฉันหมาหมู่ ไม่ชกพวกนายสักหมัดฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน ไอ้เหมยเขียวของนายนั่นมันปลอมเป็นโลลิหลอกความรู้สึกฉันในเกม 

เซี่ยจื้อมองมาที่เฉินชิงเหม่ยอย่างไม่อยากเชื่อ แค่นเสียงถาม “นายบ้าดีเดือดจากไหนมาแต่งโลลิ?”

 “ฉันไม่ได้แต่งโลลิ! แอคเค้าท์เกมฉันก็ใช่ว่านายจะไม่เคยเห็น! ฉันเล่นเป็นตัวละครผู้ชาย! จะปลอมเป็นโลลิได้ยังไงกัน?”

ซูจวิ้นแค่นเสียงหึทีหนึ่ง “นายเอาแต่ออดอ้อนฉันตั้งแต่เช้าจรดเย็น เดี๋ยวก็จะเอาไอเท็มนี่ เอาไอเท็มนั่นจากฉัน อยู่เฉยๆ ก็ ‘พี่สาวช่วยผมด้วย’ ‘พี่สาวทำไมพี่ไม่สนใจผมเลย ฮือๆๆๆ’ นายเหมือนเป็นผู้ชายที่ไหนกัน! ฉันยังคิดว่าเป็นโลลิที่มาเล่นเป็นตัวผู้ชายต่างหาก!”

“ก็ฉันส่งรูปไปให้นายดูแล้วนี่!”

“ในรูปนายหน้าตาแบบนี้เหรอ?” ซูจวิ้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เปิดภาพถ่ายของเฉินชิงเหม่ยให้พวกเขาดู

เซี่ยจื้อไม่ได้สายตาสั้น แม้จะอยู่ห่างออกมาไกลมาก แต่ก็ยังเห็นอย่างชัดเจน ตาโตขนาดนั้น ผิวขาวขนาดนั้น ซ้ำยังทำปากจู๋เป็นท่าจุ๊บๆ แม่งอีกด้วย

เซี่ยจื้อพูดอะไรไม่ออกยกเท้าถีบเฉินชิงเหม่ยโครม อีกฝ่ายหน้าคะมำลงไปนอนคว่ำอยู่ในถังขยะ

จากนั้นเขาก็กระโดดลอยตัว เท้าขวาเหยียบอยู่บนกิ่งของต้นไม้ตรงข้ามนั่น เสื้อตัวนอกเลิกขึ้น เผยให้เห็นแนวกล้ามเนื้อส่วนเอวและหน้าท้องที่ตึงเป็นมัด เสี้ยววินาทีนั้น เขาเหลือบไปเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ในมุมที่แสงส่องไปไม่ถึง

ผู้ชายคนนั้นยิ้มพลางมองเซี่ยจื้อ ปลายนิ้วคีบบุหรี่ที่ทั้งเล็กทั้งยาวไว้มวนหนึ่ง ดีดๆ ก้นบุหรี่ตามอำเภอใจ

เซี่ยจื้อลงพื้นมาอย่างมั่นคง

ชายหนุ่มริมฝีปากขมุบขมิบ เหมือนจะพูดว่า “แข็งแรงจริง”

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่ได้ยินเสียงของเขา ทว่าสามคำนั้นกลับตกลงบนเส้นประสาทของเซี่ยจื้อ สั่นสะเทือนขึ้นมาเบาๆ

 “พวกมันกระโดดลงไปแล้ว——เราตามไป——”

“ตีขาพวกมันให้หักให้ได้!”

เซี่ยจื้อได้สติกลับมาก็หมุนตัวมาดึงเฉินชิงเหม่ยออกจากถังขยะ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ลากเขาวิ่งอย่างบ้าคลั่งออกจากตรอกไปทันที

เขาหันกลับไปมองที่มุมมืดนั้นแวบหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มยังคงอมยิ้มมองพวกเขาอยู่ดังเดิม

ไม่รู้ว่าเป็นการขบคิด หรือเป็นการยั่วเย้า

ไม่ง่ายเลยกว่าที่เซี่ยจื้อจะพาเฉินชิงเหม่ยสะบัดหลุดจากคนที่ไล่ตามพวกเขามาได้ เฉินชิงเหม่ยก้มหน้าเกือบจะน้ำลายฟูมปากแล้ว แต่เซี่ยจื้อกลับปรับลมหายใจให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

เขาดึงๆ คอเสื้อของตนไล่ความร้อนออก แล้วก็นึกถึงผู้ชายในตรอกคนนั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง

ตรอกหลังบาร์เหล้าเล็กๆ นั่นดูเหมือนมักจะมีบาร์เทนเดอร์หรือไม่ก็บริกรมาโยนขยะทิ้งบ่อยๆ ล้วงบุหรี่มาสูบกันสักมวนเป็นครั้งคราว

เพียงแต่รอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งรู้สึกว่าชั่วร้าย

“นี่ ดูเหมือนฉันจะ…เห็นเย่หลินแล้ว” เซี่ยจื้อเงยหน้าขึ้นมาก็เตะเฉินชิงเหม่ยไปทีหนึ่ง

เฉินชิงเหม่ยเซไปข้างหน้า ตอบกลับมาว่า “ใคร? เย่หลินไหน?”

“จะมีสักกี่เย่หลินกัน” เซี่ยจื้อเอนหลังพิงตัวกับเสาไฟฟ้า หวนนึกถึงอวัยวะบนใบหน้าที่ไม่ชัดเจนนักของคนผู้นั้นไม่หยุด

หน้าตาอ่อนโยนใจดี แต่กลับแฝงความคมปลาบดุดัน

เซี่ยจื้อเคยเห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่คนผู้นั้นแข่งขันในโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เลนส์กล้องถ่ายเขาในระยะใกล้ เขาสวมแว่นตาว่ายน้ำอยู่จึงมองเห็นดวงตาไม่ชัด แต่ว่าเมื่อออกตัวที่แท่นปล่อยตัว ริมฝีปากของทุกคนต่างพากันเม้มแน่น มีเพียงเย่หลินเท่านั้นที่มีรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะมีแต่ก็ไม่มีนั่น

“เป็นไปไม่ได้! เย่หลินอยู่ในทีมนักกีฬาว่ายน้ำม.Q ! ต่อให้ต่อไปเขาไม่แข่งว่ายน้ำอีกแล้ว…ก็น่าจะเรียนอยู่ที่ม.Q ไม่มีทางจะมาโผล่อยู่…โผล่อยู่ที่นี่ได้…” พูดยาวขนาดนี้ในรวดเดียว เฉินชิงเหม่ยอยากจะอาเจียนขึ้นมาจริงๆ แล้ว

“ก็ใช่…ฉันเห็นเขากำลังสูบบุหรี่…” เซี่ยจื้อถอนใจเฮือก

“ใช่สิ! เย่หลินจะสูบบุหรี่เป็นได้ยังไงกัน? จะมีนักกีฬาคนไหนไม่เห็นว่าร่างกายตัวเองเป็นของสำคัญกันหา?”

“อือ” เซี่ยจื้อพยักหน้า “แต่ก็เป็นไปได้ว่าต่อไปเขาจะไม่ลงแข่งอีกแล้ว”

“ข่าวลือบอกว่าเขาถอนตัวจากการแข่งขันเพราะเป็นโรคหัวใจหรือว่าโรคปอดบวมอะไรนี่แหละไม่ใช่เหรอ? ถ้าหากเป็นเพราะอย่างนั้นจริง เขาก็ยิ่งไม่ควรสูบบุหรี่สิ! ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเย่หลิน! นายก็แค่คิดถึงเทพบุตรของนายเกินไปแล้ว ถึงได้ตาฝาดไป!”

เฉินชิงเหม่ยพิสูจน์ยืนยันกับเซี่ยจื้อเป็นชุดไม่หยุด ว่าคนผู้นั้นที่เขาเจอในตรอกหลังร้านเหล้านั่นไม่มีทางเป็นเย่หลินแน่

“ที่นายพูดมาถูกครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งไม่ถูก”

“ตรงไหนถูก ตรงไหนไม่ถูก?”

เซี่ยจื้อเดินขึ้นหน้าไป หันหลับมามองเฉินชิงเหม่ยแวบหนึ่ง “คนที่สูบบุหรี่อยู่ในตรอกน่ะไม่น่าจะใช่เย่หลินหรอก แล้วก็เขาไม่ใช่เทพบุตรของฉัน”

กล่าวจบเซี่ยจื้อก็เอามือล้วงกระเป๋าเดินหน้าต่อ

ไม่ง่ายเลยกว่าที่พวกของซูจวิ้นจะอ้อมมาถึงอีกฝั่งของตรอก แต่ก็ล้อมเซี่ยจื้อกับเฉินชิงเหม่ยเอาไว้ไม่ได้ ที่ตรงนั้นมีเพียงเงาสูงโปร่งร่างหนึ่ง แหงนหน้าหรี่ตากำลังสูบบุหรี่อยู่อย่างเกียจคร้าน

ก้นบุหรี่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

คนผู้นั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวล้วน ที่เอวมีผ้ากันเปื้อนสีดำผูกไว้ มองดูแล้วสุภาพเรียบร้อยมาก แต่ท่าทางที่ค่อยๆ พ่นควันบุหรี่เป็นวงออกมาอย่างช้าๆ ราวกับยืนอยู่ในโลกอีกใบ

อาไฉที่ถูกเซี่ยจื้อชกอัดใส่จนปอดแทบหลุดก็ทนไม่ไหวแล้ว แผดเสียงออกมา “นี่ เห็นไอ้ลูกหมาสองตัวไหม! คนหนึ่งหน้าตาอย่างกับสาวน้อย แล้วยังมีอีกคนที่ตัวสูงมากใส่เสื้อออกกำลังกาย!”

ผู้ชายสูบบุหรี่เดินออกมาจากเงามืดช้าๆ บุหรี่ที่เหลือเพียงเกือบครึ่งมวนหมุนไปมาอยู่ที่หว่างนิ้วเขา ราวกับจะจิ้มเข้ากลางฝ่ามือเขาได้ตลอดเวลา หากแต่เขาก็เหลือพื้นที่ให้หลบไปได้อย่างง่ายดายตลอด

เชื่องช้าแต่อันตราย

จนกระทั่งเสียงแจ่มชัดกังวานดังขึ้น

“อาจวิ้นเองเหรอ นายไม่เฝ้ากิจการอยู่ที่ร้านเน็ต มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

เมื่ออวัยวะบนใบหน้าของชายหนุ่มเผยให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ บรรดาสมัครพรรคพวกที่อยู่ด้านหลังของซูจวิ้นก็ต่างพากันผงะไปเล็กน้อย 

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าหน้าตาดีมาก ลูกตาใสเป็นประกาย แฝงไว้ด้วยความสงบนิ่งและความเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านราวกับสามารถโอบรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้

เขาสูงมาก ปลายแขนเสื้อเชิ้ตพับอยู่ที่ใต้ข้อศอกพอดี เป็นเพียงแขนท่อนเล็กๆ เท่านั้น เผยให้เห็นแนวกล้ามเนื้อที่แน่นกระชับลื่นไหล แต่ว่ามองไปทั้งตัวแล้วไม่ได้ล่ำสันกำยำ ความกว้างของไหล่กับเอวเมื่อเชื่อมต่อกันแล้ว ความอ่อนช้อยนุ่มนวลกับพละกำลังของเพศชายก็หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

“พี่…พี่หลิน…เอ่อ ฉันถูกคนปั่นหัวเล่นงานมา ก็เลย…” ซูจวิ้นลูบๆ ท้ายทอยยิ้มแก้เก้อ

“แล้วกันไปเถอะ พวกนายคนเยอะขนาดนี้ไปรุมคนเขาสองคนก็ไม่น่าดูนักหรอก” เย่หลินเดินไปตรงหน้ากองขยะที่กระจัดกระจายเพราะเฉินชิงเหม่ยล้มหน้าคะมำใส่บนกองนั่น จากนั้นก็ลงมือจัดแจงยกขึ้นมา

ซูจวิ้นรีบเข้าไปช่วย “พี่หลิน พี่รู้จักไอ้สองคนนั่น?”

“ไม่รู้จัก” เย่หลินหันมายิ้มๆ “เพียงแต่ไอ้หนุ่มคนหนึ่งในนั้นรูปร่างดีมาก ถ้าถูกพวกนายซ้อมไปจริงๆ ก็เสียของแย่”

ซูจวิ้นอึ้งไปสองวินาที กว่าจะกล่าว “อ้อ…พี่หลินบอกไม่ต้องตาม เราก็ไม่ตามแล้ว! มา! พรรคพวกคนละไม้คนละมือ เก็บกวาดขยะหน่อย”

เย่หลินถึงได้คาบบุหรี่ กอดอกถอยหลังไปหนึ่งก้าว กล่าวว่า “นี่สิถึงจะเป็นเด็กดี”

รอจนซูจวิ้นพาสมัครพรรคพวกออกจากตรอกนี้ไปแล้ว คนอื่นๆ ในกลุ่มถึงได้เริ่มถาม

“พี่จวิ้น คนคนนั้นเป็นใครน่ะ? ทำไมพี่ถึงได้เชื่อฟังเขาขนาดนั้น?”

“คนคนนั้นเป็นเพื่อนมหา’ลัยของพี่ชายฉัน เย่หลิน” ซูจวิ้นตอบ

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเพื่อนนักเรียนของพี่เบิ้มนี่เอง! นั่นตัวเทพเลยนี่! พี่ชายคนนี้นี่สูงมากจริงๆ!”

คนกลุ่มนี้เรียกซูจวิ้นว่า “พี่ใหญ่” แน่นอนว่าพี่ชายของซูจวิ้นที่อยู่ที่บ้านคนนั้นก็ต้องเป็น “พี่เบิ้ม” ของพวกเขา

“ฝึกว่ายน้ำ แต่ก่อนเป็นขุนพลคนดังในวงการว่ายน้ำ คนเขาคว้าเหรียญทองระดับประเทศมาแล้ว” ซูจวิ้นตอบ

“เก่งกาจขนาดนี้เชียว? ปีนี้ยังมีแข่งไหม? พวกเราก็ควรไปเชียร์เพื่อนนักเรียนของพี่เบิ้มด้วยหรือเปล่า?”

“ตั้งแต่ปีที่แล้วมาก็ไม่ได้ลงแข่งแล้ว ร่างกายมีปัญหานิดหน่อย” ซูจวิ้นถอนใจเฮือก

“ปัญหาอะไรเหรอ?”

“ดูเหมือนจะเป็นโรคหัวใจ เคยหมดสติระหว่างการแข่งขันไปเลย”

“เฮ้อ งั้นก็น่าเสียดายจริง! มิน่าละตอนนี้ไม่ว่ายน้ำแล้ว ก็เลยมาทำงานที่บาร์เหล้า”

“อย่ามาโง่หน่อยเลย เขาไปทำงานที่บาร์เหล้าก็แค่ปรับตัวเท่านั้นแหละ” ซูจวิ้นเหลือบมองสมัครพรรคพวกตัวเองแวบหนึ่ง ลดเสียงลงแล้วกล่าว “ไม่มีเรื่องอะไรก็อย่าไปหาเรื่องเขา แล้วก็อย่าไปตีสนิทกับเขาด้วย”

“ทำไมล่ะ?”

“พี่เบิ้มของพวกแกเคยเตือนไว้ว่า——คบหากับพี่หลินของฉัน คนโหดเหลี่ยมจัด” 

“นี่ก็…มองไม่ออกเลยจริงๆ”


 

เวลานี้เซี่ยจื้อพาเฉินชิงเหม่ยกลับบ้านมาแล้ว

พอโยนกระเป๋าหนังสือลงบนโต๊ะโดยไม่สนใจไยดีแล้ว ก็ยกเท้าเขี่ยเก้าอี้มาที่ข้างตัว เซี่ยจื้อนั่งลงไปอย่างไม่ยี่หระ กระดิกนิ้วเรียกเฉินชิงเหม่ย

เฉินชิงเหม่ยเข้าใจทันที ส่งมอบตัวอย่างข้อสอบกับสมุดการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมีมาให้ทั้งหมด

ยัง...ยังไม่จบ เซี่ยจื้อยังกระดิกนิ้วต่ออีก 

เฉินชิงเหม่ยเบิกตาโตมองเขา “นายยังจะเอาอะไรอีกหา?”

“ภาษาอังกฤษกับภาษาจีนล่ะ”

“นายยังมีความเป็นคนอยู่ไหมเนี่ย! ลอกวิชาอังกฤษกับจีนของฉัน นายซี้ซั้วเลือกตอบไปเลยยังจะดีเสียกว่า!”

“ขี้เกียจ”

เฉินชิงเหม่ยจึงได้แต่ต้องล้วงเอาวิชาภาษาอังกฤษกับภาษาจีนที่ซุกไว้ลึกสุดในกระเป๋าหนังสือออกมาด้วย เซี่ยจื้อเริ่มลงมือลอกอย่างคล่องแคล่วว่องไว จำเป็นต้องลอกการบ้านทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่คุณนายเฉินฟางหัวผู้เป็นมารดาจะกลับมา

มารดาของเซี่ยจื้อและเฉินชิงเหม่ยเป็นหมออยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน สองคนเป็นเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัย กระทั่งตอนคลอดลูกชายก็ยังคลอดอยู่ในห้องคลอดเดียวกัน เวลานั้นรับปากกันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ถ้าหากคลอดออกมาเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งก็จะเลี้ยงอย่างเหมยเขียวม้าไผ่ให้โตมาเป็นคู่กัน

ใครจะไปรู้ว่าที่คลอดออกมาจะมีจู๋ทั้งสองคน เซี่ยจื้อเกิดก่อนเฉินชิงเหม่ยสิบกว่านาที

เซี่ยจื้อกับเฉินชิงเหม่ยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว หนำซ้ำมารดาสองคนยังฝังความคิดที่ไม่ปกติให้กับเซี่ยจื้อมาตั้งแต่เด็ก “เสี่ยวจื้อเอ๊ย! ลูกต้องจำไว้ว่าลูกกับชิงเหม่ยเป็นเหมยเขียวม้าไผ่กัน ลูกเป็นม้าไผ่ ต้องดูแลเหมยเขียวตัวเองให้ดีๆ ละ!”

ด้วยเหตุนี้ สมัยอนุบาลพอเฉินชิงเหม่ยแย่งข้าวไม่ทันเพื่อน เซี่ยจื้อก็จะออกหน้าช่วย ไม่อย่างนั้นเจ้านี่คงอดตายไปตั้งแต่อนุบาลแล้ว

สมัยประถมเฉินชิงเหม่ยถูกนักเรียนหญิงไล่ตามแกล้งอยู่หน้าแปลงดอกไม้ เข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำชาย ก็เป็นเซี่ยจื้อที่หิ้วเขาออกมา

สมัยมัธยมต้นเฉินชิงเหม่ยถูกอันธพาลในโรงเรียนบังคับให้เอาการบ้านไปให้ ก็เป็นเซี่ยจื้อที่ใช้หมัดเดียวน็อกคนไปสามคน สถาปนาตัวขึ้นเป็นอันธพาลคนใหม่ของโรงเรียน แล้วรับเหมาสมุดการบ้านทั้งหมดของเฉินชิงเหม่ยไว้

ส่วนมัธยมปลายเป้าหมายของเซี่ยจื้อคือเรียนที่โรงเรียนพลศึกษาข้างๆ เติบโตอย่างกำยำล่ำสันในแบบของนักกีฬาว่ายน้ำ แต่เฉินฟางหัวมารดาของเขาบ่นปากเปียกปากแฉะไม่ยอมเซ็นชื่อยินยอม จะให้เซี่ยจื้อเรียนสายสามัญให้ได้ เฉินชิงเหม่ยเจ้าบื้อนี่ก็กลัวว่าถ้าไม่มีการปกป้องคุ้มครองจากเซี่ยจื้อแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ก็ร้องโวยวายจะเป็นจะตาย นี่ก็ตรงกับความตั้งใจของเฉินฟางหัวพอดี ด้วยเหตุนี้เซี่ยจื้อจึงถูกยัดเข้าโรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัย T!

โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัย T เป็นสถานที่แบบไหนกันหรือ? อู่ฟูมฟักบุคลากรของมหาวิทยาลัยชื่อดัง คนมีความสามารถมากมายไม่ขาดสาย อยู่ที่นี่เซี่ยจื้อก็เป็นแค่หางแถว เพื่อนนักเรียนในชั้นเรียนของเขาต่างพากันซาบซึ้งใจที่เฉินชิงเหม่ยลากเซี่ยจื้อมาเข้ามัธยมสาธิตมหาวิทยาลัย T แห่งนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นการอยู่ในสถานที่ที่กระทั่งกินข้าวกลางวันก็ยังต้องท่องศัพท์นี้ ไม่มีเซี่ยจื้อเป็นฐานให้จะให้คนอื่นๆ มีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน? 

ส่วนเฉินชิงเหม่ยไอ้บ้านี่ หน้าตาดีก็ยังพอทำเนา คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมีต่างก็ไม่แย่ ไม่เข้าเรียนก็ยังฟังเข้าใจ

มีเพียงแต่วิชาภาษาจีนกับภาษาอังกฤษของเขาเท่านั้นที่แย่ถึงขั้นกระทั่งเทวดายังคับแค้นใจ ประโยคหนึ่งที่อาจารย์วิชาภาษาอังกฤษมักจะพูดอยู่บ่อยๆ ก็คือ ดูสิว่าเฉินชิงเหม่ยเลือกข้อไหน คนอื่นก็เลือกอีกสามข้อที่เหลือ แค่นี้อัตราการตอบถูกก็สูงขึ้นแล้ว

เฉินชิงเหม่ยในเวลานี้กำลังเท้าคางถอนใจ “นายว่า ทำไมฉันถึงอ่อยไม่เคยถูกคนเลย?”

เซี่ยจื้อพับปิดตัวอย่างข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ หยิบเอาชุดวิชาวิทยาศาสตร์*มาเปิด ( ชุดข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์ : ชุดข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์ในการสอบเกาเข่าหรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะประกอบไปด้วย 3 วิชา คือวิชาฟิสิกส์ วิชาเคมี และวิชาชีววิทยา) “นายพลาดมาเก้าสิบเก้าครั้งแล้ว สู้ต่อไปนะ!” 

“อือ! ฉันต้องเชื่อว่าคนที่เกิดมาคู่กับฉันคนนั้นอยู่ข้างหน้านี่แหละ!”

เซี่ยจื้อหยุดชะงักไป เงยหน้าขึ้นมากล่าวเสริมอีกประโยค “ฉันหมายความว่า นายใกล้จะพลาดครบร้อยแล้วแหละ”

เฉินชิงเหม่ยถูกตอกกลับหน้าหงาย “นายทำแบบนี้ฉันไม่มีความสุขเอามากๆ!”

“นายไม่มีความสุขเอามากๆ แต่ฉันมีนี่!”

“นายจะต้องเสียใจ——ฉันล้วงเอาคูปองว่ายน้ำจากพ่อฉันมาได้ ฉันจะเอาไปเลี้ยงดาวประจำชั้น!”

สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องน้อยๆ ของเฉินชิงเหม่ยนั่นอยู่ได้ไม่ถึงสองวินาทีก็ถูกเซี่ยจื้อตะครุบใส่ล้มคว่ำไปแล้ว

เซี่ยจื้อล้วงไปที่กระเป๋าเสื้อกับกระเป๋ากางเกงของเขาก่อน เฉินชิงเหม่ยดิ้นขัดขืนไม่หยุด

“เฮีย——นี่เฮียจะทำอะไรเนี่ย!”

อีกนิดเดียวเซี่ยจื้อก็เกือบจะดึงกางเกงเขาหลุดแล้ว “นายอยู่ดีมีสุขไปแล้ว! กล้าซ่อนคูปองว่ายน้ำ!”

“โอ๊ย แม่งโว้ย! นายรีบปล่อยฉันเลย! นายทับฉันจนเกือบจะสูญพันธุ์แล้ว! ถึงเวลาจะเกาะนายไปชั่วชีวิตเลย!”

“ไสหัวไปเลยไปๆ!” เซี่ยจื้อดึงกระเป๋าหนังสือของเฉินชิงเหม่ยมา ขุดค้นอยู่นานสองนานก็ขุดจนได้คูปองเชิญไปใช้บริการสระว่ายน้ำของโรงแรมที่เปิดใหม่สองใบจริงๆ

เฉินชิงเหม่ยกดมือเซี่ยจื้อไว้ “เฮีย ฉันไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่คูปองว่ายน้ำนี่เก็บไว้ที่เฮียไม่ปลอดภัยเลย! เฮียรีบเอากางเกงว่ายน้ำ แว่นว่ายน้ำยัดใส่กระเป๋าหนังสือฉันให้ไวเลย เสาร์อาทิตย์เราไปสนุกกัน”

เซี่ยจื้อมองเขาอย่างสงสัย “นายคงไม่ได้หลอกเอาคูปองว่ายน้ำไป แล้วชวนดาวประจำชั้นไปว่ายน้ำเสาร์อาทิตย์หรอกใช่ไหม?”

“ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?” เฉินชิงเหม่ยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก

“ก็ใช่ไง” เซี่ยจื้อตอบอย่างไม่มีอะไรแปลก

“…นายคิดดูให้ดี ถ้าฉันหลอกนาย เวลาซูจวิ้นส่งคนมารุมฉัน ใครจะมาช่วยฉัน?”

“ลุงตำรวจไง” เซี่ยจื้อลุกขึ้นมาแล้ว ล้วงเอากางเกงกับแว่นตาว่ายน้ำของตนออกมาจากในมุมที่ลึกลับมากๆ มุมหนึ่ง ยัดใส่กระเป๋าหนังสือของเฉินชิงเหม่ย “อย่าทำของเฮียหายละ เหลืออยู่แค่นี้แล้ว”

“ที่เหลือถูกคุณน้าโยนทิ้งหมดแล้วเหรอ?”

“อือ…”

“ก็ใครใช้ให้นาย…เป็นบ๊วยติดกันตั้งสองปีละ? ขอแค่ผลการเรียนของนายเอาถ่านสักหน่อย คุณน้าก็คงไม่ถึงขั้นเกลียดที่นายว่ายน้ำขนาดนั้นหรอก” เฉินชิงเหม่ยส่ายหน้าอย่างจนใจ ซ้ำยังจงใจหิ้วกางเกงว่ายน้ำของเซี่ยจื้อออกมาด้วย “โอ้โห เฮีย…กางเกงว่ายน้ำเฮียทำไมเล็กขนาดนี้ มองไม่ออกเลยจริงๆ…”

วินาทีต่อมา เฉินชิงเหม่ยก็ถูกตบกบาลไปทีหนึ่ง

“ไอ้งั่ง! นี่มันแบบยืดหยุ่นสูง! เอาสมุดการบ้านนายกับกางเกงว่ายน้ำเฮียไปแล้วรีบไสหัวไปเลยไป!”

เฉินชิงเหม่ยหัวเราะซื่อๆ แล้วก็สะพายกระเป๋านักเรียนกลับไป

ล่วงเกินซูจวิ้นไปแล้ว งั้นก็เกรงว่าพวกเขาคงไม่สามารถไปเล่นเกมที่ร้านเน็ตได้สักระยะหนึ่ง 

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal