(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน สู่ฝันที่มีฉันคุณโลมา เล่ม 1

Tuesday

บทที่ 3

ตกดึก ซูจวิ้นกำลังถือโทรศัพท์มือถือเล่นเกมอยู่ที่ร้านอินเทอร์เน็ตซิงจี้ โต๊ะที่อยู่ตรงหน้าถูกเคาะเบาๆ สองที

ซูจวิ้นกำลังเล่นเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่พอดีจึงกล่าวเพียงคำเดียวว่า “เอาบัตรประชาชนออกมาลงทะเบียน! จะเอาโซนสูบบุหรี่หรือปลอดบุหรี่!”

โต๊ะตรงหน้าถูกเคาะอีกสองที

ซูจวิ้นก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมามอง ส่วนคนตรงหน้าเขาก็ช่างมีความอดทนอย่างน่าประหลาด รอจนซูจวิ้น KO (น็อกเอาท์) คู่ต่อสู้แล้วถึงได้เอ่ยปาก

“อาจวิ้น”

เสียงที่แจ่มชัดกับร้านอินเทอร์เน็ตที่มีแต่เสียงดังอึกทึกครึกโครมของเกมออนไลน์เกิดเป็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

ซูจวิ้นเงยหน้าขึ้นมา ถึงกับสะดุ้งตกใจ ร้องเฮือกโยนโทรศัพท์มือถือทิ้งแล้วลุกขึ้นยืนทันที

“พี่…พี่หลิน? พี่มาเล่นเน็ตเหรอ?”

เย่หลินที่อยู่ตรงหน้าสวมเสื้อฮู้ดกับกางเกงลำลองตัวหลวม สองมือล้วงกระเป๋า ยิ้มเจิดจ้า สบายอกสบายใจ พลางมองมาที่ซูจวิ้นเถ้าแก่ร้านอินเทอร์เน็ต

“ฉันไม่ได้มาเล่นเน็ต แต่จะมาถามนายหน่อยว่ายังจำสองคนนั้นที่นายยกพวกไปล้อมในตรอกเมื่อคราวก่อนได้ไหม?”

“ทำไมเหรอ? ไอ้เด็กเปรตสองคนนั่นทำให้พี่หลินไม่พอใจเหรอ? ครั้งก่อนผมควรจะจัดการพวกมันไปซะ!”

พอกล่าวถึงเจ้าสองคนนั้นขึ้นมา ซูจวิ้นก็เหมือนมีไฟสุมอก

ใครๆ ก็ต่างกล่าวว่า ยอมถอยหนึ่งก้าวจะมองอะไรได้กว้างไกลขึ้น แต่ซูจวิ้นรู้สึกเพียงว่า ถอยแค่หนึ่งก้าว ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหมากขึ้นละไม่ว่า

เย่หลินส่งเสียงหัวเราะออกมา โบกๆ มือ “เปล่าๆๆ พวกเขาไม่ได้ล่วงเกินอะไรฉัน นายก็ไม่รู้จักชื่อพวกเขาเหมือนกันเหรอ?”

“พวกมันน่าจะเคยมาเล่นเน็ตที่ร้านของผม จะดูว่าพวกมันชื่ออะไรง่ายจะตายไป แต่จะไปหาพวกมันเจอที่ไหนนี่…ผมก็ไม่รู้ละ ชุดนักเรียนม.ปลายก็เหมือนกันไปหมด หนำซ้ำระยะนี้ไอ้เด็กเปรตสองคนนั่นก็น่าจะยังไม่กล้ามาเล่นเน็ตด้วย”

“งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” เย่หลินหมุนตัวกำลังจะออกไป

ซูจวิ้นใจลอยมองแผ่นหลังของเย่หลิน

แต่ไหนแต่ไรมาหากไม่มีธุระเย่หลินไม่มีทางเสด็จมาหรอก ดูท่าไอ้เด็กเปรตสองตัวนั่นจะก่อเรื่องใหญ่แล้ว

เพิ่งจะเดินออกจากประตูร้านอินเทอร์เน็ตไป โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเย่หลินก็ดังขึ้น ชื่อที่แสดงบนจอก็คือ “ไท่ไป๋จินซิง”

ยืนรับลมกลางดึก เขาก้มหน้ายิ้ม เข้าไปชิดที่รั้วข้างทาง รับสายโทรศัพท์

“ฮัลโหล เหล่าไป๋…”

“ฉันเป็นโค้ชของนาย ตกลงแล้วนายจะมีมารยาทสักหน่อยได้ไหม!”

เป็นเสียงของผู้ใหญ่ที่แฝงความกล้าได้กล้าเสียลอยมาจากอีกฝั่ง

“โค้ชไป๋ คืนนี้ไปดื่มอยู่ที่ไหนอีกล่ะ?”

ไป๋จิ่งเหวิน คือผู้ฝึกสอนทีมว่ายน้ำมหาวิทยาลัย Q ของพวกเขา เคยเป็นสมาชิกของทีมนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ ในยุคนั้นเรียกได้ว่ามีผลงานโดดเด่นเจิดจ้าอยู่เหมือนกัน เพียงแต่มีนิสัยรักอิสระ งานอดิเรกคือการดื่ม พอดื่มจนเมาแล้วก็ยังชอบร่ายกลอนที่ไม่มีหัวไม่มีหางขึ้นมาบทสองบท เช่นว่า “ภูผามลายผืนดินเวิ้งว้าง แยงซีเชี่ยวไหลสู่แดนรกร้าง”* (ภูผามลายผืนดินเวิ้งว้าง แยงซีเชี่ยวไหลสู่แดนรกร้าง : วรรคหนึ่งจากบทกลอน “ตู้จิงเหมินซ่งเปี๋ย” (นิราศเขาจิงเหมิน) ของหลี่ไป๋เซียนกวีสมัยราชวงศ์ถัง) หรือเช่นว่า “เมฆาพุ่งทะยานเหนือหน้าทัพ ไอสังหารกลบทับเหนือสะพาน”* (เมฆาพุ่งทะยานเหนือหน้าทัพ ไอสังหารกลบทับเหนือสะพาน : วรรคหนึ่งจากบทกลอน “เติงกว่างอู่กู่จ้านฉ่างไหวกู่” (รำพึงถึงสมรภูมิกว่างอู่) ของหลี่ไป๋เซียนกวีสมัยราชวงศ์ถัง) ได้รับการสรรเสริญว่าเป็นหลี่ไป๋ของก๊อปปี้ มีฉายาว่า “ไท่ไป๋จินซิง” (ไท่ไป๋จินซิง : เป็นเทพแห่งดาวพระศุกร์ตามคติลัทธิเต๋า อยู่ในร่างชายชราผมขาวผู้มีเมตตา)

“นายไม่ยอมกลับทีม ต่อให้ฉันดื่มก็ไม่ได้รู้สึกสบายอกสบายใจหรอก!” ไป๋จิ่งเหวินนิ่งไปสักพัก แล้วกล่าวต่อ “ฉันได้ยินมาว่านายว่ายห้าสิบเมตรได้เวลาเจ๋งเป้งเลยเหรอ?”

ดูท่าพวกหลินเสี่ยวเทียนคงอดรนทนไม่ไหวรายงานโค้ชไป๋ไปแล้ว

“งั้นผมไม่กลับทีมดีกว่า แบบนี้โค้ชจะได้ดื่มให้น้อยหน่อย” เย่หลินล้วงเอาแว่นว่ายน้ำที่พังแล้วอันนั้นออกมาจากในกระเป๋าโดยไม่รู้ตัว

ในโทรศัพท์มีแต่เสียงคนเดินถนนกับเสียงรถวิ่งผ่านไปมา ไป๋จิ่งเหวินนิ่งเงียบไปสองวินาที แต่สุดท้ายก็เอ่ยปากพูดออกมาอยู่ดี 

“เย่หลิน นายควบคุมตัวเองได้ ก่อนหน้าพอนายทุ่มสุดกำลังก็จะ…จะว่ายังไงดีล่ะ งั้นเรียกชั่วคราวว่า ‘ถอดจิต’ ไปก่อนแล้วกัน! แต่ครั้งนี้นายไม่เป็นนี่ มันอาจจะแสดงให้เห็นก็ได้ว่า นายก้าวข้ามช่วงนี้ไปได้แล้ว กลับมาเถอะ” น้ำเสียงที่เดิมทีบ่งบอกว่าเป็นคนใจป้ำกล้าได้กล้าเสียของไป๋จิ่งเหวินทอดช้าเบาลง

เย่หลินยกแว่นว่ายน้ำอันนั้นขึ้นมา มองวิวทิวทัศน์บนถนนตรงหน้าผ่านเลนส์แว่น มันพร่าเลือนและมืดสลัว

ดูท่าแว่นว่ายน้ำอันนี้คงถูกเด็กผู้ชายคนนั้นใช้งานมานานมากแล้ว

“ผมยังก้าวผ่านช่วงนี้ไปไม่ได้เลยครับ ครั้งนี้ก็แค่บังเอิญโชคดีเท่านั้น…เหล่าไป๋ จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้าที่ผมจะถอดจิตไม่ใช่เพราะผมพยายามมากเกินไปหรอก แต่ในทางกลับกันเป็นเพราะผมมีสมาธิจดจ่อไม่พอต่างหาก”

เย่หลินหลับตาลงหวนนึกถึงการประลองกับเด็กผู้ชายคนนั้นขึ้นมา

“วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสความรู้สึกของน้ำที่แตกต่างไปจากปกติได้ มันโอบรับเด็กผู้ชายคนนั้นอย่างไร ผลักดันเขาอย่างไร ห่อหุ้มเขาอย่างไร ไหลผ่านไปตามร่างกายเขาได้อย่างไร…ผมเหมือนกับพวกโรคจิตหวาดระแวง…เวลานั้นผมลืมเรื่องการทุ่มแรงว่ายน้ำไปเลย คิดเพียงว่าไม่อยากให้เขาไล่ตามผมทันเท่านั้น”

“เย่หลินกลับเข้าทีมซะ แล้วนายจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่ทำให้นายมีสมาธิจดจ่อได้อีกเยอะแยะไปหมด”

“มันไม่เหมือนกันครับ ลั่วหลีกับเจียรุ่นก็เก่งกาจมากแล้ว แต่แข่งกับพวกเขาผมก็ยังจิตหลุดไปอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วหลีเห็นความผิดปกติของผม ผมคงจมน้ำในสระตายไปนานแล้ว แต่ว่าการแข่งขันในวันนี้ ผมสัมผัสได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างของเด็กผู้ชายคนนั้น เขาหัวรั้นดึงดันมาก เขาท้าผมแข่งไม่ใช่เพียงแค่เพื่อเอาชนะผมเท่านั้น แต่เพื่ออะไรอีกผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ดูท่า‘เด็กผู้ชาย’ที่นายพูดถึงนี่จะน่าสนใจมากเลย เขาอายุเท่าไร? นายเรียกเขาว่า ‘เด็กชาย’ งั้นก็ยังเป็นเด็กม.ต้นอยู่เหรอ?”

“ไม่ใช่ครับ เขาเป็นเด็กม.ปลาย เพียงแต่เห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของเขาตอนที่ท้าผมแข่งแล้วเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง รู้สึกดูน่ารักนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“เย่หลิน ดูท่านายจะกลัดกลุ้มเอามากๆ” ในน้ำเสียงของโค้ชไป๋มีเสียงหัวเราะแทรกอยู่อย่างชัดเจน

“กลัดกลุ้ม? ผมชนะเขานะ”

“นายชนะเขา แต่ว่าในช่วงยี่สิบสองวินาทีสั้นๆ นั่น เขาควบคุมสมองของนาย”

รูม่านตาของเย่หลินสั่นกระตุกเบาๆ

“ทิ้งท้ายไว้ให้นายอีกคำ” อีกฝั่งของโทรศัพท์มือถือนั่นมีเสียงเปิดกระป๋องอะลูมิเนียมดังแว่วมา เดาว่าไป๋จิ่งเหวินเปิดเบียร์อีกกระป๋องแล้ว “คนอื่นฉันไม่รู้ แต่ถ้าเป็นนาย…ถ้าหากยังคิดหมกมุ่นอยู่ ต้องได้เจอกันอีกครั้งแน่”

พูดจบคำสายสนทนานี้ก็ตัดจบทันที

เย่หลินมองดูโทรศัพท์มือถือยิ้มอย่างจนใจ พูดเบาๆ ว่า “เจออีกแล้วยังไง…ไม่แน่ว่าในสายตาของเด็กนั่น ผมคงเป็นแค่สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งนั่นแหละ” ตั้งแต่เด็กมาแล้วที่พอหลับไปเย่หลินก็มักจะฝัน ฝันว่าตัวเองกลายเป็นสัตว์น้ำ บางคราวก็เป็นปลาเล็กๆ ตัวหนึ่ง บางคราวก็เป็นกุ้ง ว่ายอย่างสบายใจอยู่ในผืนน้ำอันไร้ขอบเขต ถ้าซวยถูกปลาใหญ่กินเข้าไป เขาก็จะตกใจตื่น

ภายหลังอยู่มาวันหนึ่งเขาฝันว่าตัวเองกลายเป็นปลาฉลาม ถูกคนจับมาตัดครีบ ความเจ็บปวดจากการถูกแล่เนื้อเถือหนังทำให้เขาร้องตกใจตื่น เหงื่อเย็นท่วมตัว

คืนวันนั้นบิดารีบพุ่งเข้ามากอดเขาไว้แน่น พูดอยู่ที่ข้างหูเขาไม่หยุดว่า “ไม่ต้องกลัวแล้ว ไม่เจ็บแล้ว” เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วเรื่องราวเหล่านั้นไม่ใช่ความฝัน

เย่หลินนั้นพิเศษ

เขามีความสามารถที่มีความรู้สึกร่วมไปกับน้ำและสัตว์น้ำได้ ความสามารถจำพวกนี้บางทีแล้วอาจจะปรากฏเพียงหนึ่งในร้อยล้าน แต่ประจวบเหมาะที่ตระกูลของเขากลับส่งต่อยีนส์จำพวกนี้

เดิมทีมนุษยชาติก็มีต้นกำเนิดมาจากมหาสมุทร มีความสามารถแปลกพิสดารมากมายที่กล่าวไม่ได้อธิบายไม่ถูก คาดเดาก็ไม่ได้ด้วย

หากแต่ก็มีคนจำนวนน้อยที่ครอบครองความสามารถพวกนี้ พวกเขาถูกเรียกว่า “ชาวสมุทร” เย่หลินก็คือสมาชิกคนหนึ่งในหมู่ชาวสมุทรสายบูรพา

ความสามารถนี้ถือเป็นดาบสองคม ในด้านหนึ่งมันมอบประสาทสัมผัสต่อน้ำอันแข็งแกร่งให้กับเย่หลิน ไม่ว่าจะเป็นแรงลอยตัว ความกดดัน ลักษณะการไหลของน้ำในแบบใดก็ตาม เขาล้วนปรับตัวให้เข้ากันได้ในเสี้ยววินาที ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ความสามารถที่สอดประสานกับน้ำได้สูญเสียการควบคุมไป…ตอนที่เขาลงแข่งขัน พอออกแรงมากเกินไปก็จะเกิดสภาพจิตหลุด จู่ๆ เขาก็หลับไปในน้ำ ความคิดจิตใจไปสถิตอยู่กับสิ่งมีชีวิตตในน้ำที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน

ครั้งที่แล้วที่เกิดเรื่องแบบนี้ เป็นตอนแข่งรายการลีกเมื่อปีที่แล้ว

ยังดีที่ลั่วหลีกัปตันทีมว่ายน้ำชายเห็นความผิดปกติของเขา ตัดสินใจลากเขาขึ้นจากน้ำทันที ไม่เช่นนั้นเขาก็อาจจะตายไปแล้ว

หลังการแข่งขันในลีกครั้งนั้น เย่หลินก็ลองแข่งกับลั่วหลีกัปตันทีมแล้วก็เฉินเจียรุ่นเพื่อนร่วมทีมดูเช่นกัน หากแต่ทุกครั้งที่เขาออกแรงพุ่งโถมไปข้างหน้า ในห้วงความคิดก็จะไปอยู่ที่จุดวิกฤตขาวโพลนในทันที แล้วการถอดจิตก็เกิดขึ้นเช่นนี้ นี่จึงทำให้เขาต้องวางมือจากการว่ายน้ำอย่างเสียไม่ได้ 

อันที่จริงแล้วหากคิดจะวางมือก็วางมือได้โดยไม่รู้สึกอะไร เพราะสำหรับเย่หลินแล้ว การว่ายน้ำไม่ได้พิเศษไปกว่าการกินข้าวนอนหลับมากน้อยสักเท่าใดนักหรอก แต่ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นที่บังเอิญเจอในวันนี้ ทำให้เขายืนหยัดรักษาความเร็วจนว่ายจบห้าสิบเมตรได้

นี่เป็นเพราะอะไร?

บางทีแล้วเย่หลินอาจจะอยากรู้คำตอบนั้น

แล้วก็อาจเพราะยังอยากจะเสพความรู้สึกที่ว่ายน้ำกับเขา ถูกเขาไล่ตามอีกครั้ง


 

หรืออาจเป็นเพราะไม่กล้าไปเล่นเกมที่ร้านเน็ตแล้ว ทำให้เซี่ยจื้อสงบเสงี่ยมอยู่ติดบ้านหลายวัน จนคุณนายเฉินฟางหัวเกิดภาพลวงตาที่ว่า “ระยะนี้เซี่ยจื้อตั้งอกตั้งใจเรียน” ขึ้นมา 

ตรงหน้าของเซี่ยจื้อมีตัวอย่างข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์วางอยู่แผ่นหนึ่ง โทรศัพท์มือถือวางอยู่บนลิ้นชักวางคีย์บอร์ด ทว่าที่เจ้าตัวกำลังศึกษาดูอยู่กลับเป็นวิดีโอบันทึกการแข่งขันสมัยก่อนของเย่หลิน ก่อนที่เซี่ยจื้อจะได้แข่งกับเย่หลิน เขามีภาพในจินตนาการมากมายนับไม่ถ้วน

แต่หลังจากได้แข่งกับเย่หลินแล้ว พื้นที่ให้จินตนาการก็ไม่เหลือหลออะไรอีก หลงเหลือเพียงสองคำ : แข็งแกร่ง

เขานึกถึงการสัมภาษณ์ของเย่หลินหลังการแข่งขันเมื่อสองปีก่อน คู่แข่งของเย่หลินกล่าวว่า เสพความรู้สึกที่ได้กลายเป็นปลาที่โผบิน แหวกน้ำพุ่งตัวมุ่งไปข้างหน้า

พอนักข่าวมาถามเย่หลินบ้าง สีหน้าของเขากลับราบเรียบสบายๆ

เขาบอกว่า เขาชอบน้ำ น้ำทำให้เขารู้สึกสงบ

เวลานั้นเซี่ยจื้อก็รู้สึกได้แล้วว่า เย่หลินเป็นคนที่ไม่มีแรงปรารถนาเรื่องแพ้ชนะ เพียงแต่กับคนคนหนึ่งที่ไม่ยี่หระเรื่องการแพ้ชนะ เช่นนั้นแล้วอะไรที่ทำให้เขาแข็งแกร่งในน้ำได้ถึงเพียงนี้?

แล้วในขณะที่เซี่ยจื้อใจลอยอยู่นั้น วีแชตก็มีข้อความหนึ่งส่งเข้ามาจาก : “คนเคยสวย”

คนเคยสวย : [i]สอบรายเดือนสัปดาห์นี้ เฮียเตรียมพร้อมหรือยัง?[i]

เซี่ยจื้อเหลือบตาขึ้นมามองดูตัวอย่างข้อสอบแบบปรนัยที่ตนเองทำไปเพียงไม่กี่ข้อนั่น แล้วก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว : [i]สอบมาตั้งหลายครั้งแล้ว เรื่องไหนตอบไม่ได้ก็ออกสอบตลอด[i]

คนเคยสวย : [i]เคร นายไม่กลัวไทเฮาบ้านนายเอาอิฐทุบหัวแบะเหรอ?[i]

เซี่ยจื้อ : [i]ลมบูรพาพัด ลั่นกลองรบ โลกนี้ใครต้องกลัวใครกัน?[i] ( ลมบูรพาพัด ลั่นกลองรบ โลกนี้ใครต้องกลัวใครกัน : เป็นวาทะปลุกใจของเหมาเจ๋อตุง)

คนเคยสวย : [i]เก่งจริงพี่ฉันเนี่ย! ต้องกล้าได้กล้าเสีย อย่ามาหัวหด~~~[i]

เซี่ยจื้อ : [i]ว่างมาต่อปากต่อคำกับฉัน ไม่สู้นายไปเอาวิชาอังกฤษกับจีนของตัวเองให้รอดก่อนเถอะ![i]

จู่ๆ คนเคยสวยก็ส่งข้อความเสียงมา เซี่ยจื้อกดเปิดอัตโนมัติ เป็นเสียงเพี้ยนๆ ของหมอนั่นที่กำลังแหกปากร้องเพลงอยู่ 

 [i]“ฉันจะเอาอะไรไปช่วย——อังกฤษเป็นสายน้ำไม่ไหลคืนมา! เรียงความมาทีก็ถึงตาย! ใครจะช่วยใครได้——ให้รักชั่วนิรันดร์!”[i]

มีเสียงมารดาเดินผ่านดังมาจากนอกประตู เซี่ยจื้อตกใจจนต้องยัดมือถือเข้าไปในผ้าห่ม

เซี่ยจื้อสุดจะทนแล้ว ตอบกลับไปว่า : [i]นายเพี้ยนไปแล้วเหรอ! รีบถวายพระพรทูลลาไปเลย นอนยาวไม่ตื่นเลยดีที่สุด![i]

คนเคยสวย : [i]อรุณสวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์ ไม่สู้เราลงหลุมให้สุขสวัสดิ์ไปด้วยกัน~[i]

เซี่ยจื้อหงายเงิบ ใครห่าจะอยากลงหลุมสุขสวัสดิ์ไปกับนาย!

เขาบล็อกไอ้คนเพี้ยนที่เป็นโรควิตกกังวลก่อนสอบไปเลยละกัน

เฉินชิงเหม่ยดูท่าจะรู้ว่า ไม่ว่าจะส่งอะไรไปก็มีแต่เครื่องหมายตกใจตอบกลับมา เขาจึงไปป่วนในกลุ่มสนทนาที่เพื่อนนักเรียนไม่กี่คนสร้างเอาไว้

คนเคยสวย : [i]ฉันเป็นเหมยเขียวคนหนึ่ง ฉันถูกม้าไผ่ของฉันสลัดทิ้งแล้ว[i]

เหยาหมิงของก๊อป : [i]สมน้ำหน้า อาจื้อทำไมไม่ตบเกรียนนายให้ตายเลยล่ะ?[i] 

ยอดคนโฉด : [i]ตบเกรียนมันตาย ก็กลายเป็นของตายจริงสิ[i] 

รองบ๊วย : [i]อาจื้อ สอบรายเดือนหนนี้นายต้องเต็มที่ละ อย่าให้น้องต้องผิดหวัง@อาจื้อ[i]

กลุ่มเล็กๆ ทั้งกลุ่มนี้ รวบรวมเอาสี่อันดับสุดท้ายของชั้นเรียนไว้ทั้งหมด ยกเว้นเฉินชิงเหม่ยที่อาศัยความแข็งแกร่งในวิชาคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์มาดึงคะแนนภาษาอังกฤษกับจีนขึ้นจากหุบเหว จนทำให้ยังอยู่ในเก้าสิบอันดับแรกของชั้นปีได้ ไม่เช่นนั้นนี่ก็จะเป็นกลุ่มเด็กกากจริงๆ แล้ว

เซี่ยจื้อเพียงเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วก็โยนมือถือไปที่อีกฝั่ง


 

บ่ายสองโมงวันศุกร์ก่อนสอบวิชาสุดท้าย เฉินชิงเหม่ยกับเซี่ยจื้อสองคนพิงระเบียงทางเดินอยู่ คนหนึ่งกินไส้กรอกย่าง คนหนึ่งดูดตัวดูดหวานเย็น

“อาจื้อ นาฬิกานับถอยหลังสอบเกาเข่า* ( เกาเข่า : หมายถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียนชั้นมัธยมปลายในประเทศจีน) เขียนขึ้นบนกระดานดำในห้องเรียนแล้ว นายยังไม่คิดจะลงแรงสักหน่อยเหรอ”

“ไม่คิด”

“เชื่อไหมว่าต่อให้นายสอบเข้ามหา’ลัยไม่ได้ ไทเฮาบ้านนายก็จะต้องบังคับนายให้ซ้ำชั้นอยู่ดี ไม่มีทางให้นายไปสอบวิทยาลัยพละหรอก”

“เป็นห่วงตัวเองเถอะ”

พอไม่ทันระวัง ไส้กรอกย่างที่เฉินชิงเหม่ยกินไปได้ครึ่งหนึ่งก็หล่นลงมาจากไม้เสียบแล้วร่วงแผละไปตกลงบนไหล่ของอาจารย์ประจำชั้นปีของพวกเขาพอดี ทิ้งคราบมันเป็นรอยเปื้อนไว้บนชุดสูทที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใส่มากี่ปีแล้ว

เฉินชิงเหม่ยตื่นตกใจนิ่งอึ้งอยู่กับที่

เว่ยซูเป่าอาจารย์ประจำชั้นปี ฉายา “ผู้กล้าจังหน้า” เกลียดสารพัดพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อการเรียน เช่นอ่านการ์ตูน เล่นเกม มีความรักรวมถึงสิ่งที่มอมเมาจนทำให้ไม่สนใจความก้าวหน้าในชีวิตอย่างเข้ากระดูกดำ มักชอบลากนักเรียนมายืนเรียงแถวหน้ากระดานที่ระเบียงทางเดิน เทศนาด่าใส่หน้าโครมๆ และนี่ก็คือที่มาของฉายา “ผู้กล้าจังหน้า”

ในตอนที่เว่ยซูเป่าเงยหน้าขึ้นมาแล้วตะโกนว่า “ใครโยนไส้กรอกลงมา” เซี่ยจื้อก็ล็อกคอเฉินชิงเหม่ยไว้ กดตัวเขาลงด้วยท่าทางเหมือนสิงโตตะครุบลูกแมว

สองคนนั่งยองลง

เฉินชิงเหม่ยหันหน้ามา ก็มองเห็นใบหน้าเคร่งขรึมด้านข้างของเซี่ยจื้อ

เซี่ยจื้อไม่กลัวเหล่าเว่ยแม้แต่น้อย จากร่างกายไปจนถึงจิตวิญญาณ 

“ถ้าฉันเป็นเด็กผู้หญิงจะต้องรักนายแน่นอน” เฉินชิงเหม่ยทำสีหน้าแสดงว่า “เฮีย เฮียโคตรเท่เลย”

“ถ้านายเป็นเด็กผู้หญิง ฉันจะรีบยกนายให้แต่งกับเหล่าเว่ยไปเลย”

เฉินชิงเหม่ยสะอึกสะอื้น “เฮีย เฮียช่างทำร้ายจิตใจคนจริงๆ”

“อย่ามาเรียกฉันว่าเฮีย ฉันอยากจะต่อยนาย”

เวลานี้เสียงสัญญาณตามสายของโรงเรียนดังขึ้นแล้ว แจ้งให้นักเรียนทุกสนามสอบกลับเข้าที่นั่ง

เฉินชิงเหม่ยกับเซี่ยจื้อแยกกันตัวใครตัวมัน อย่างไรเสียคนหนึ่งก็อยู่ที่สนามสอบที่สาม อีกคนอยู่สนามสอบที่เก้า ห่างกันสองชั้นของตึก

เหล่าเว่ยเดินดุ่ม ๆ เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ อยากจะหาไอ้คนที่ทำไส้กรอกหล่นใส่เขาให้ได้ เซี่ยจื้อสอดมือล้วงกระเป๋าเดินผ่านข้างกายเขาไปอย่างสง่าผ่าเผย จู่ๆ ก็ถูกเหล่าเว่ยคว้าตัวไว้ 

“เธอเป็นคนโยนไส้กรอกหรือเปล่า!”

เฉินชิงเหม่ยที่กำลังจะขึ้นบันไดไปสนามสอบของตนเองยืนอยู่ที่หัวมุมพูดเสียงดังว่า “ถ้าเป็นเขา…ที่โยนไปไม่ใช่ไส้กรอกอะไรหรอกครับ แต่จะเป็นตัวดูดน้ำหวานทั้งแท่งที่ยังไม่ละลายต่างหาก!”

ความหมายก็คือ มันจะทำให้เหล่าเว่ยหัวร้างข้างแตกได้เลย

“เธอ——”

เหล่าเว่ยยังไม่ทันจะระเบิดความโกรธออกมา เฉินชิงเหม่ยก็ตะโกนเสียงดังว่า “ถึงเวลาสอบแล้ว——”

เซี่ยจื้อจึงเดินผ่านด้านข้างเหล่าเว่ยเข้าห้องสอบไป

 

 

ตอนที่การสอบสิ้นสุดลงเวลาเพิ่งจะสี่โมงครึ่ง อีกสามคนในกลุ่มบ๊วยสี่คนชวนเซี่ยจื้อไปเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกัน เซี่ยจื้อไม่สนใจสักเท่าไร

ทว่าเฉินชิงเหม่ยกลับส่งวีแชตข้อความชวนขนลุกมา

คนเคยสวย : [i]เฮีย จะไปอควาเรียมเป็นเพื่อนเค้าได้ไหมอะ! กว่าจะปิดก็ตั้งสองทุ่มแน่ะ![i]

เซี่ยจื้อ : [i]ไสหัวไป[i]

คนเคยสวย : [i]ไม่ไปเค้าก็จะเกาะเฮียแน่นเลยนะ~~~[i]

เส้นเลือดเขียวที่ขมับเซี่ยจื้อปูดโปน ระยะนี้ตั้งแต่เฉินชิงเหม่ยกับสาวในอินเทอร์เน็ตคนหนึ่งหยอดคำหวานกันไปมา ข้อความวีแชตที่เขาส่งมาหาเซี่ยจื้อก็ไม่ค่อยจะปกตินัก

แต่พอนึกว่าถ้ากลับบ้าน มารดาจะต้องถามแน่ว่าสอบเป็นอย่างไร ไม่เป็นบ๊วยแล้วใช่หรือเปล่าอะไรทำนองนี้ เซี่ยจื้อก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน ด้วยเหตุนี้จึงตกลงรับคำชวนของเฉินชิงเหม่ยไปอควาเรียมด้วย ถือว่าเป็นเหมือนการรอลงอาญาก็แล้วกัน

อควาเรียมเพิ่งสร้างใหม่ปีนี้เอง พอเห็นว่าเฉินชิงเหม่ยซื้อชานมสองแก้วก่อนจะเข้าไป เซี่ยจื้อก็พอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

“ตอนเล่นเกมนายไปอ่อยใครมาอีกล่ะ?” เซี่ยจื้อรับชานมที่อีกฝ่ายส่งให้ ดื่มไปอึกใหญ่ รู้สึกหวานจนเลี่ยน

“เอ๊ะ นายรู้ได้ยังไง?”

“นายพาฉันมาอควาเรียมแล้วยังซื้อชานมให้อีก นี่แสดงว่ามาดูลู่ทางที่นัดเดตก่อนไม่ใช่หรือไง?” เซี่ยจื้อกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

เฉินชิงเหม่ยยิ้มอย่างน่าหมั่นไส้ “‘ม้าไผ่’ รู้ใจฉันจริง!”

“ไสหัวไปโน่นเลย” เซี่ยจื้อใช้นิ้วมือหนีบขอบปากแก้ว เดินถือเข้าอควาเรียมไปทั้งแบบนี้

แสงไฟในอควาเรียมค่อนข้างมืด โดยรอบมีแต่กำแพงกระจก อีกฝั่งของผนังเป็นน้ำสีฟ้า สัตว์น้ำแต่ละชนิดว่ายไปว่ายมาเชื่องช้า มีปลาทะเลสีสันฉูดฉาด ปลาการ์ตูนฝูงเล็กๆ ฝูงหนึ่งว่ายเอ้อละเหย แล้วก็ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักชื่อด้วย

ได้ยินมาว่าอควาเรียมแห่งนี้ติดหนึ่งในสามอันดับแรกของประเทศ รวบรวมสัตว์ทะเลไว้หลายพันชนิด

แน่นอนว่าการที่ผู้ชายอย่างพวกเขาสองคนมาเดินเที่ยวในอควาเรียมด้วยกันเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะโดยรอบหากไม่ใช่พ่อแม่ที่มากับลูก ก็ต้องเป็นคู่รักหนุ่มสาวที่นัดกันมาออกเดต เวลานี้เห็นเป็นเงาย้อนแสงอิงแอบกันอยู่

เซี่ยจื้อรู้สึกว่าชานมในมือเป็นภาระมาก แถมหวานเกินไปจนไม่อยากกินแล้ว แต่ก็หาที่ทิ้งไม่ได้ สักที ได้แต่ต้องถือติดมือไว้อยู่อย่างนั้น

เฉินชิงเหม่ยเจ้านั่นกำลังถ่ายวิดีโออยู่ คงส่งให้คนคนนั้นที่กำลังจะมาเดตกับเขา

เซี่ยจื้อก็เลยพิงกำแพงยืนรอ เขาเงยหน้าขึ้นมองดูปลาที่ว่ายไปมาอย่างไร้จุดหมายเหล่านั้น

ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความชื่นชอบ “น่ารักมากเลย!”

เธอเดินมาข้างๆ เซี่ยจื้อ ถือโทรศัพท์มือถือไว้ ไม่รู้ว่ากำลังถ่ายอะไรอยู่

เซี่ยจื้อหันกลับมา ถึงได้รู้ตัวว่าที่ข้างตัวของตนนั้น มีโลมาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งมาหยุดอยู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหน

มันแนบตัวติดกับผนังกระจก ตาเล็กหยีแฝงรอยยิ้ม ท่าทางตัวจะนุ่มๆ ลื่นๆ ทำให้คนอยากจะลูบดูสักหน่อยเซี่ยจื้อเห็นแล้วก็ยิ้มออกมาเหมือนกัน เขาใช้แก้วชานมเคาะๆ หน้าของมันผ่านกระจก ใครจะรู้ละว่ามันเองก็พุ่งตัวเข้ามาชนๆ ตรงตำแหน่งที่เซี่ยจื้อเคาะเหมือนกัน แล้วก็สะบัดๆ หาง

“เจ้าตัวเล็ก” เซี่ยจื้อมองดูมัน เจ้าตัวเล็กนี่ออกแรงใช้ปากแนบกับกระจก กระพือสองครีบของมันด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นดีใจมาก “เจ้าหมูน้ำตัวน้อย”

ดูเหมือนว่าเจ้าหมูน้ำน้อยตัวนี้จะชอบเซี่ยจื้อมากเป็นพิเศษ เซี่ยจื้อเดินเหนื่อยหน่ายตามเฉินชิงเหม่ยไประยะหนึ่ง มันก็ตามไปด้วยตลอด ซ้ำยังจะว่ายเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลาอีกด้วย เหมือนอยากจะแทรกตัวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเซี่ยจื้อเอามากๆ

เซี่ยจื้อหยุดฝีเท้าลง งั้นเล่นกับมันหน่อยก็แล้วกัน

“แกรู้สึกเหงาโดดเดี่ยว? หรือว่ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ? อย่ามาตามฉัน ระวังไว้เดี๋ยวจะกลายเป็นสเต็กปลา!”

เซี่ยจื้อดีดนิ้วใส่กระจกไปทีหนึ่ง โลมาน้อยถอยหลังทันที ซ้ำยังแสร้งทำเป็นกลัวตัวสั่น แต่ก็แนบตัวเข้ามาใหม่อย่างรวดเร็ว 

แม้จะรู้ว่าโลมาจำพวกนี้ไม่ว่าเวลาไหนก็หน้าตาเหมือนมีรอยยิ้มอยู่ทั้งนั้น เพราะนั่นเป็นสิ่งที่กำหนดมาจากโครงสร้างกระดูกของพวกมัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เซี่ยจื้อรู้สึกว่าเจ้าตัวนี้มันกำลังยิ้มอยู่จริงๆ

เขายื่นนิ้วออกมาแล้วเคาะลงบนผนังกระจก ปากของเจ้าตัวน้อยนั่นก็ชนเข้าที่ตำแหน่งเดียวกันในทันที ซ้ำยังเอาจุดนี้เป็นจุดหมุน ว่ายวนรอบหนึ่ง สะบัดครีบเหมือนกำลังพูดว่า “ทำไมนายไม่ชอบใจล่ะ ฉันหยอกนายเล่นสนุกหรือเปล่าล่ะ?”

เซี่ยจื้อที่เดิมทีวางมาดเก็กท่าไม่ยิ้มเลยสักนิด เวลานี้แววตากลับอ่อนโยนลง พอนิ้วมือเปลี่ยนตำแหน่งไปจากที่เดิมโลมาตัวนั้นก็ตามไปทันที

แล้วก็เล่นกันแบบนี้ไปครู่หนึ่ง เซี่ยจื้อเริ่มรู้สึกว่าอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดจากการสอบรายเดือนของตนเองก่อนหน้านี้ดีขึ้นมากจริงๆ 

เขาก้มหน้าลงเอาหน้าผากแตะอยู่กับกระจก ปากของโลมาก็ซบอยู่ที่ตำแหน่งนั้นเช่นกัน ราวกับมันกำลังจุมพิตหน้าผากของเขาอยู่

เซี่ยจื้อยกมุมปากขึ้นสูง กล่าวเบาๆ “ถ้าแกเป็นผู้หญิงจะต้องอ่อนโยนน่ารักมากแน่ๆ กำลังปลอบแฟนอยู่ใช่ไหมเนี่ย?”

โลมาน้อยเคลื่อนตัวขยับลงล่างนิดหน่อย ดูเหมือนมันจะสนใจอักษรไม่กี่ตัวที่ตำแหน่งหน้าอกชุดนักเรียนเซี่ยจื้อมาก เอาแต่จ้องไม่วางตา แม้เซี่ยจื้อจะไม่คิดว่าสายตาของโลมาจะสามารถมองเห็นอักษรไม่กี่ตัวนั่นได้ชัดก็ตาม

มองดูท่าทางที่แสนจะจริงจังของมันแล้ว เซี่ยจื้อก็เลยขยับตัวเข้าใกล้ผนังกระจกอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่ เพื่อให้อักษรของโรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัย T ตรงหน้าอกแนบเข้าไปมากที่สุด

ดูเหมือนโลมาน้อยกำลังมองอยู่จริงๆ ซ้ำมันยังเอาปากทิ่มๆ มาที่บนตำแหน่งหน้าอกของเซี่ยจื้ออีกด้วย

เฉินชิงเหม่ยเดินเข้ามา กล่าวล้อว่า “โลมานี่เป็นคนไปแล้วมั้ง?”

“ถ้ามันเป็นคนได้ก็ดีสิ ต้องน่ารักน่าอยู่ด้วยกว่านายแน่ๆ” เซี่ยจื้อแนบฝ่ามือลงไปที่กระจก สีหน้าท่าทางก็อ่อนโยนตามไปด้วย

พวกเขาเดินต่อไปอีกระยะหนึ่ง เจ้าโลมาน้อยตัวนั้นก็เอาแต่อยู่รอบๆ ตัวพวกเขาไม่ไปไหนเลย

“หมุนตัวหน่อย” เซี่ยจื้อหมุนๆ ข้อมือ เดิมทีก็แค่ทำท่าทางตามใจตัวเองเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่ามันกลับหมุนตัวรอบหนึ่งต่อหน้าเซี่ยจื้อจริงๆ 

ท่าทางนั่นเหมือนกับเด็กน้อยใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ มาหมุนตัวโชว์ให้ผู้ใหญ่ดูอย่างตั้งอกตั้งใจ

“มันเคยถูกฝึกมาหรือเปล่าเนี่ย…” เฉินชิงเหม่ยก็เลยทำตามเซี่ยจื้อบ้าง หมุนๆ ข้อมือด้วยเหมือนกัน แล้วพูดออกมาว่า “หมุนรอบหนึ่งให้เฮียดูหน่อย!”

น่าเสียดาย โลมาน้อยตัวนั้นไม่สนใจเขาเลยสักนิด มันสะบัดหางไปอีกด้านโน่นเลย

“เอ๊ะ! ถือดีอะไร! ก็ท่าทางเดียวกัน ทำไมแกไม่หมุนตัวให้ฉัน?”

เฉินชิงเหม่ยตบๆ ผนังกระจกอย่างโมโห โลมาน้อยตัวนั้นเหลือเพียงเงาทิ้งไว้ให้เขา

แต่พอเป็นเซี่ยจื้อที่กวักๆ มือไปทางมัน มันกลับตั้งหน้าตั้งตาว่ายมาจากที่ไกลๆ แถมยังเอาปากมาดุนๆ อยู่ที่ฝ่ามือของเซี่ยจื้ออีกด้วย

เซี่ยจื้อจงใจใช้นิ้วเขี่ยๆ ตรงกระจก โลมาน้อยก็ใช้ปากไปดุนๆ อยู่ที่ตรงนั้น “เจ้าโลมานี่รู้จักเลือกปฏิบัติกับคนตั้งแต่เมื่อไรกัน!” เฉินชิงเหม่ยพูดอย่างไม่ชอบใจ

“ฉันทำไมกัน? อะไรที่เรียกว่าเลือกปฏิบัติ?”

“ก็นาย…นายมันโหดเหี้ยม!”  

“ถ้าฉันโหดเหี้ยมจริง นายยังจะมีชีวิตอยู่เหรอ?”

เซี่ยจื้อกับเฉินชิงเหม่ยหาคำพูดมาแขวะกันไปมา

ดูเหมือนโลมาน้อยตัวนั้นจะไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เซี่ยจื้อไม่สนใจมันแล้ว นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้ปากเคาะๆ มาที่กระจก

เซี่ยจื้อหันหน้ากลับมามอง ยิ้มให้พลางทำท่าเขี่ยปากอีกฝ่าย

“แกชอบฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”

โลมาน้อยกระพือๆ สองครีบของมัน ราวกับกำลังพยักหน้าเสียอย่างนั้น

เฉินชิงเหม่ยขมวดคิ้ว ลากเซี่ยจื้อให้ถอยห่างออกมา กล่าวเบาๆ ว่า “เราไปกันเถอะ…ฉันมีความรู้สึกว่าโลมานี่มันยิ้มกรุ้มกริ่มเป็นพิเศษเลย…” เซี่ยจื้อเห็นว่าเย็นแล้ว เขาต้องกลับถึงบ้านก่อนสองทุ่ม ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกไทเฮาที่บ้านดึงหูแน่

แต่พอเซี่ยจื้อขยับตัวโลมาน้อยก็ตาม

“ใช้ได้เลย——เจ้าตัวเล็กนี่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหนักอยู่…จู่ๆ ก็รู้สึกว่าถ้าเราออกจากอควาเรียมไป เหมือนจะทอดทิ้งมันไว้อย่างนั้นแหละ…” เซี่ยจื้อถอนใจเฮือก ขี้แยขี้มูกโป่งเหมือนเฉินชิงเหม่ยนี่ เซี่ยจื้อไม่ต้องพูดอะไรมากก็อยากจะต่อยเขาให้เละเป็นโจ๊กแล้ว แต่ว่าเจ้าตัวเล็กนี่กลับทำให้เซี่ยจื้อนุ่มนวลอ่อนโยนลงไปทั้งตัวตั้งแต่การเต้นของหัวใจไปจนถึงแววตา

เซี่ยจื้อกวักๆ มือไปทางโลมาน้อย มันรีบว่ายเข้ามาหาตามคาด

“เจ้าตัวเล็ก ฉันต้องกลับบ้านแล้ว คราวหน้าหมอนี่จะมาเยี่ยมแกแทนฉัน จำไว้ด้วยว่า ไม่ต้องไว้หน้าเขา ออกแรงจัดหนักเขาให้เต็มที่” เซี่ยจื้อชี้ๆ ไปที่เฉินชิงเหม่ยทางด้านหลัง 

โลมาน้อยดูท่าจะเข้าใจแล้วว่าเซี่ยจื้อกำลังกล่าวลามัน ดวงตาของโลมาน้อยที่เดิมทีคึกคักร่าเริงก็หงอยเหงาลงไปในทันที กระทั่งว่าสีหน้าที่ยิ้มอยู่ก็ยังเหมือนจะร้องไห้ออกมาเสียอย่างนั้น

จับพลัดจับผลูตอนที่เซี่ยจื้อเอนตัวไปด้านหน้า โลมาน้อยก็ขยับเข้ามาเช่นกัน ปากของมันชนกับกระจกอีกฝั่งนั่น ริมฝีปากของเซี่ยจื้อก็แตะลงไปที่ตำแหน่งนั้นหนึ่งที

แสงจากผิวน้ำส่องหักเหลงบนใบหน้าของเขา ใบหน้าอันหล่อเหลาโดดเด่นของเด็กหนุ่มเปลี่ยนมาเจิดจ้านุ่มนวล เหมือนความฝันที่ไขว่คว้าเอาไว้ไม่ได้

ราวกับโลมาน้อยถูกร่ายมนต์ให้ขยับไม่ได้ มันนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น เหมือนจะสามารถสัมผัสถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนของริมฝีปากเซี่ยจื้อผ่านผนังกระจกได้

เซี่ยจื้อยืดตัวตรง โบกๆ มือให้โลมาน้อย “ที่บ้านฉันมีไทเฮาขี้วีนอยู่ แกก็รีบไปหาไทเฮาที่บ้านเถอะ”

“เป็นเจ้าปีศาจน้อยที่มีเสน่ห์ดึงดูดคนจริงๆ ฉันยังคิดอยู่เลยว่า ตอนที่ฉันนัดเดตกับเพื่อนในเน็ตจะต้องให้นายแกล้งเป็นนักท่องเที่ยวมาอยู่ใกล้ๆ พวกเราด้วยหรือเปล่า โลมาตัวนี้จะต้องมาหานายชัวร์” เฉินชิงเหม่ยพูดอย่างหน้าด้านๆ “ไสหัวไปเถอะ”

ทว่าจู่ๆ เฉินชิงเหม่ยกลับชี้ไปที่โลมาตัวนั้นแล้วกล่าว “อาจื้อ! นายรีบดูเร็ว!”

พอเซี่ยจื้อหันตัวกลับไป ก็เห็นโลมาน้อยตัวนั้นหันหน้าท้องมาทางพวกเขา มันส่ายสะบัดกำลังอวด…แคกๆ…ไอ้ส่วนที่ไม่อาจบรรยายได้นั่น

“มันเป็นตัวผู้นี่! นายดูท่าอวดดีของมันนั่น!”

เซี่ยจื้อรู้สึกอุจาดตาสิ้นดี นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตนเองยังอยากจูบมันสักหน เวลานี้นึกแต่อยากจะต่อยจนมันยิ้มไม่ออกเท่านั้นเลยจริงๆ

“ฮะๆ ฮ่า! อาจื้อ! มันต้องถูกใจนายแน่แล้ว! เมื่อกี้ถึงได้เอาแต่ประจบเอาใจนาย!” เฉินชิงเหม่ยทำหน้าตาสมน้ำหน้า

“มันก็แค่โลมาเด็กตัวหนึ่ง ถูกใจอะไรฉัน? ไปโน่นเลยไป!”

“มันอยากให้นายท้อง! โลมาตัวผู้น่ะ อยากให้สิ่งมีชีวิต สิ่งกำลังร่อแร่ๆ ที่มันเห็นตั้งท้องทั้งนั้นแหละ! ฮะๆฮ่า!”

เซี่ยจื้อผลักเฉินชิงเหม่ยไปทีหนึ่ง

ทว่าเฉินชิงเหม่ยกลับกุมท้องหัวเราะจนยืนตรงไม่ไหว “ฉันว่า——นายเสิร์ชไป่ตู้* ( ไป่ตู้ :ไป่ตู้ (Baidu) เป็นเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของจีนเหมือนกับกูเกิ้ล) ดูหน่อยว่าอะไรเรียกว่า ‘จอมหื่นแห่งท้องทะเล’!”

สัญชาตญาณของเซี่ยจื้อบอกกับตนเองว่าอย่าไปเสิร์ชไป่ตู้ ทว่ากลับควบคุมร่างกายไม่ให้ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาไม่ได้ เมื่อเขารู้เรื่อง “ความรู้สึกนึกคิดอันสูงส่ง” ของสัตว์ชนิดนี้แล้ว ก็ปิดตาตัวเองแน่น

โดยเฉพาะคลิปที่นักดำน้ำถูกโลมาหยอกเล่นเสียจนทรุดนั่น เลวร้ายเสียจนรับไม่ได้

เมื่อเซี่ยจื้อเงยหน้าขึ้นมามองดูเจ้านั่นที่กำลังส่ายหัวสะบัดหางอีกรอบ ก็รู้สึกว่ารอยยิ้มของมันนั้นช่างชั่วร้ายมาก

เซี่ยจื้อทำท่าปาดคอหอยใส่มัน แล้วเดินไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

พวกเขาเดินออกมาจากอควาเรียม เซี่ยจื้อโยนชานมที่ยังเหลือเกินครึ่งแก้วลงถังขยะไปเสียงดัง ‘โครม’

“อาจื้อ! อาจื้อ! นายมาดูนี่หน่อย!”

“ดูอะไร? ดูนายปล่อยไก่หรือว่าดูนายทำเรื่องหน้าด้าน?”

เซี่ยจื้อสอดมือล้วงกระเป๋าเดินเอื่อยเฉื่อยมาที่ข้างตัวเฉินชิงเหม่ย

นั่นเป็นประกาศรับสมัครงานแผ่นหนึ่ง ในนั้นเขียนว่า :

รับสมัครพี่เลี้ยงโลมาพาร์ตไทม์

คุณชอบโลมาไหม?

คุณอยากเล่นกับโลมาไหม?

หากคุณมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ ยินดีต้อนรับคุณเข้าสู่ทีมงานของพวกเรา :

เพศชาย ว่ายน้ำเก่ง ร่าเริงมีชีวิตชีวา มีความอดทน หากเป็นนักกีฬาหรือโค้ชว่ายน้ำมืออาชีพจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

เฉินชิงเหม่ยใช้ข้อศอกกระทุ้งๆ ใส่เซี่ยจื้อ “อย่าว่างั้นงี้เลย ฉันว่างานพาร์ตไทม์นี้ออกแบบมาเพื่อนายโดยเฉพาะเลยนะ!” 

“นายหมายถึงเป็นพี่เลี้ยงให้โลมานี่เหรอ?” เซี่ยจื้อส่งเสียงหึเบาๆ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงโลมาน้อยที่เพิ่งเจอตัวนั้นขึ้นมา

“เฮ้ มีอะไรไม่ดี? สถานที่ที่เขียนไว้ในนี้ก็คืออควาเรียมโลมาของโอเชี่ยนปาร์ค โลมาที่นั่นน่าจะอยู่ในสระน้ำ นายก็แค่โยนลูกบอลให้โลมาไปคาบกลับมาให้นายไม่ใช่หรือไง?”

“โยนลูกบอล? นายคิดว่าพาหมาไปเดินเล่นเหรอ!”

“นายจะแข่งว่ายน้ำกับโลมาก็ยังได้! สระน้ำใหญ่ขนาดนั้น นอกจากนายแล้วก็คือโลมา ว่ายตามใจชอบ! ไม่ต้องเป็นกังวลว่าว่ายทำความเร็วไปได้ครึ่งเดียวยังไม่ทันโผขึ้นมาก็แตะโดนส้นตีนคนอื่นอีกแล้ว!” เฉินชิงเหม่ยพูดเสียจนตาเป็นประกายวิบวับ 

พอเซี่ยจื้อมาคิดดูให้ดี แม้ว่าเฉินชิงเหม่ยจะเป็นคนเชื่อถือพึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ แต่ที่เขาบอกว่า ฝึกว่ายน้ำได้ แล้วยังหาเงินพิเศษได้ด้วย เช่นนี้กลับเป็นเรื่องดี

“ไปเถอะ รอผลการสอบรายเดือนออกมา ไม่แน่ยังต้องโดน ‘ด่าเปิงตีก้นลาย’ อีกชุด”

“ฉันพอจะเดาท่าทางที่ไทเฮาบ้านนายถือมีดทำครัวมือซ้าย จับไม้ถักนิตติ้งมือขวาไล่ฆ่านายได้เลยนะ”

สองคนขี่จักรยานคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง ขี่หายเข้าไปสู่ความมืดในยามราตรี


 

เวลานี้ที่หลังบาร์เหล้า “เฟยเมิ่ง” (หาใช่ฝัน) บริกรสามสี่คนของบาร์เหล้ากำลังอยู่ในช่วงพัก

ผู้หญิงสองคนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มแบบเดียวกัน มือเท้าคางมองดูชายหนุ่มที่ตะแคงหลับสนิทอยู่บนโซฟาตรงหน้า

พวกหล่อนแอบๆ ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพไปสามสี่ภาพ เพราะแสงไฟมืดสลัว อีกทั้งไม่กล้าเปิดแฟลชดังนั้นภาพถ่ายถึงเบลอไปบ้าง

ผู้ชายที่อยู่บนโซฟากำลังหลับตาอยู่ ขนตาทอดลงเป็นเงาสองแผงอยู่ล่างเปลือกตา อวัยวะบนใบหน้าเขาหล่อเหลาโดดเด่นเจือด้วยความละมุนละไมอยู่สักสามส่วน พินิจดูให้ถี่ถ้วนแล้วจะมีความคมปลาบที่ไม่เห็นง่ายนักซุกซ่อนอยู่บ้าง ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมา เอามือยันโซฟาลุกขึ้นนั่ง ออกแรงสูดหายใจเฮือกใหญ่

“พี่…พี่หลิน! พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม? ฝันร้ายใช่หรือเปล่า?”

ผู้หญิงคนหนึ่งในนั้นรีบเทน้ำมาให้เขาหนึ่งแก้ว

เย่หลินยกมือขึ้นมาลูบปอยผมบนหน้าผากไปด้านหลัง เพียงแค่หลับสักตื่นก่อนเข้างานกะดึก นึกไม่ถึงว่าจะถอดจิตไปอีกแล้ว

เขาหวนนึกถึงภาพที่ได้เห็นในห้วงความคิดของตนเอง แล้วรีบจดลงบนกระดาษโน้ตที่อยู่บนโต๊ะ : มัธยมสาธิตม.T

“ที่แท้ก็เป็นรุ่นน้องนี่เอง”

เขาหัวเราะเบาๆ ผู้หญิงสองคนตรงหน้ามองอึ้งๆ 

“พี่หลิน พี่ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?”

“ฉันไม่เป็นไรแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนกะแล้วใช่ไหม?” เย่หลินยกข้อมือขึ้นมามองดูนาฬิกาบนข้อมือ เวลาทุ่มสี่สิบแล้ว

“อือ อีกไม่นานก็จะยุ่งแล้ว”

“ฉันไปล้างหน้าสักหน่อยก่อน”

เย่หลินลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป

เขาก้มหน้าลง เพิ่งจะเปิดก๊อกน้ำ จู่ๆ ก็นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ จึงเงยหน้าขึ้นมามองตนเองในกระจก เย่หลินยื่นมือไปแตะริมฝีปากตนเองโดยไม่รู้ตัว มีภาพเด็กผู้ชายคนนั้นขยับเข้าหากระจกและการจุมพิตนั่นปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิดอย่างอธิบายไม่ถูก

“จุๆ…อาการหนักแล้ว”

เขาใช้สองมือรองน้ำขึ้นมาสาดใส่ใบหน้า

 

 

ผ่านวันศุกร์ทมิฬไปแล้ว เช้าวันเสาร์เซี่ยจื้อก็รีบฉวยโอกาสตอนที่ไทเฮาไปเข้าเวรฉุกเฉินที่โรงพยาบาล ขี่จักรยานไปที่อควาเรียม

เขาครุ่นคิดมาทั้งคืน ก็รู้สึกว่าถ้าหากเป็นไปได้ การได้งานพาร์ตไทม์ที่นั่นเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว

เซี่ยจื้อมาถึงอควาเรียมโลมา พอจอดรถเรียบร้อยแล้ว ก็บอกวัตถุประสงค์ของการมากับเจ้าหน้าที่ จากนั้นเขาก็ถูกพามายังห้องทำงานเล็กๆ ห้องหนึ่ง

ที่นั่นเขาเห็นหญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อกาวน์ขาวคนหนึ่ง

ชั่วขณะนั้นเซี่ยจื้อยังคิดว่าได้เจอกับไทเฮาที่บ้านตัวเองเข้าให้แล้ว เกือบจะชนชามะนาวที่อีกฝ่ายเทให้คว่ำ

“เป็นอะไรไป? เธอตื่นเต้นเหรอ?” หญิงวัยกลางคนยิ้มๆ “เธอวางใจได้ ฉันไม่กินคนหรอก ฉันแซ่ฉู่ คนที่ทำงานในอควาเรียมโลมาเรียกฉันว่าดร.ฉู่ ฉันรับผิดชอบดูแลโลมาที่อายุต่ำกว่าห้าปีในอควาเรียมนี้”

เซี่ยจื้อนึกถึงโลมาน้อยที่ตนเองเห็นเมื่อวานนี้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันกี่ขวบแล้ว

“เธอมีปฏิกิริยาในน้ำดี ว่ายน้ำเก่ง?” เสียงของดร.ฉู่นุ่มนวลมาก

“ครับ”

เซี่ยจื้อนำเอาประกาศนียบัตรที่เข้าร่วมการแข่งขันว่ายน้ำสมัยมัธยมต้นของตนออกมาให้ดร.ฉู่ดู

ดร.ฉู่มองคร่าวๆ แล้วกล่าว “เธอชอบโลมาไหม?”

“พอ…พอได้ครับ” เซี่ยจื้อนึกถึงท่าทางอวดดีของโลมาน้อยตัวนั้นขึ้นมา ก็กล่าวเสริมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวว่า “พวกมันน่ารักมากครับ”

“ถูกต้อง น่ารักมาก แล้วก็ยังร่าเริง แรงดีอีกด้วย อยากรู้อยากเห็นไปหมดเสียทุกอย่าง อีกทั้งยังมีอารมณ์ความรู้สึกมากมาย เธอคิดว่าพวกมันแค่ซุกซนเกเร แต่ว่าพวกมันมักมีเป้าหมายเป็นของตัวเอง เช่นดึงดูดให้เธอเข้าใกล้ เรียนรู้พฤติกรรมของเธอ เอยากสนิทสนมใกล้ชิดกับเธอ งานนี้น่ะก็คือการเล่นเป็นเพื่อนโลมาเด็ก” ดร.ฉู่กล่าว

“จ้างคน…เพื่อมาเล่นกับโลมาเด็ก?”

เซี่ยจื้อคิดในใจ เมื่อก่อนเคยได้ยินแต่ว่าคนยังสู้หมาไม่ได้ ตอนนี้คนสู้โลมาไม่ได้แล้ว ตอนเขาเป็นเด็ก องค์ไทเฮายังไม่เคยคิดจะจ้างคนมาเล่นเป็นเพื่อนเขาเลย

“อย่าดูถูกว่าแค่เล่นกับโลมาเด็ก มันเหน็ดเหนื่อยจิตใจมากทีเดียวละ สมรรถภาพร่างกายของคนทั่วไปก็ยังไม่แน่ว่าจะตามทันเลย ดูแล้วเธออายุไม่เยอะ บรรลุนิติภาวะแล้วหรือ?” ดร.ฉู่ถามอีก

เซี่ยจื้อคิดในใจว่ายังดีที่เพิ่งผ่านวันเกิดตนเองไปเมื่อเดือนที่แล้ว ก็เลยหยิบบัตรประชาชนออกมาให้ดร.ฉู่ดู

ดร.ฉู่ดูเสร็จเรียบร้อยก็พยักหน้า จากนั้นลุกขึ้นยืน

“ไป ฉันจะพาเธอไปดูเจ้าตัวเล็กที่ต้องการเพื่อนเล่นตัวนั้นสักหน่อย”

เซี่ยจื้อรีบลุกขึ้นตามไปทันที

นั่นเป็นสระว่ายน้ำสีครามทั้งผืน น้ำในสระใสสะอาด ตรงกลางสระมีโลมาน้อยตัวหนึ่งจมอยู่ในน้ำไม่กระดุกกระดิก เงียบสงบมาก แล้วก็โดดเดี่ยวมาก

“มันมีชื่อว่าผีผี่ (เจ้าตัวแสบ) เดิมทียังมีโลมาเด็กที่อายุเท่ากันอีกตัวชื่อว่าเล่อเล่อ (เจ้าแฮปปี้) อาศัยอยู่กับมันที่นี่ เดือนก่อนเล่อเล่อถูกส่งไปที่อื่นแล้ว ผีผี่ที่พอไม่มีเพื่อนก็มักจะทำให้ตัวเองจมอยู่ในน้ำ” ดร.ฉู่ถอนใจเฮือก “ก่อนหน้าเราก็จ้างโค้ชมาเป็นเพื่อนเล่นกับมันนะ แต่มันก็ไม่มีความสนใจอะไรเลย ซ้ำยังพุ่งเข้าใส่โค้ชไม่หยุด อยากจะไล่โค้ชให้ออกไป”

เซี่ยจื้อมองดูเงาร่างเล็กๆ นั่น ก็เดาว่ามันน่าจะกำลังใช้วิธีนี้ประท้วงอควาเรียม อยากให้พวกเขาส่งเล่อเล่อกลับมา

“โลมาจมอยู่ในน้ำบ่อยๆ ก็จะหายใจไม่ได้แล้วใช่ไหมครับ?”

“ถูกต้อง” ดร.ฉู่พยักหน้า “เธออยากจะลงไปลองดูสักหน่อยไหม? ไม่แน่มันอาจจะลอยขึ้นมาเล่นกับเธอ”

“ครับ ผมจะลองดู”

เซี่ยจื้อเห็นท่าทางหงอยเหงาเศร้าสร้อยของมันแล้ว ก็นึกอยากจะกอดมันเอามากๆ

เขาเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำสีดำทั้งตัว เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ดร.ฉู่เห็นแล้วรู้สึกประหลาดใจ

“แวบแรกที่เห็นเธอ ฉันคิดแต่ว่าร่างกายของคนหนุ่มน่าจะต้องดีมากอยู่แล้วละ ตอนนี้มองดูเธออีกรอบ ฉันเชื่อแล้วว่าเธอจะต้องว่ายน้ำเก่งมากแน่”

แม้ว่าใบหน้าของเซี่ยจื้อจะเรียบเฉยมากต่อคำชมของดร.ฉู่ ทว่าใบหูกลับแดงขึ้นมานิดหน่อย

เขาอบอุ่นร่างกายเสร็จแล้วก็เดินลงบันไดไป ค่อยๆ ดำดิ่งลงไปในน้ำช้าๆ ตีขาแบบหางโลมาสองสามที เข้าไปใกล้โลมาน้อยตัวนั้น

ดูเหมือนโลมาน้อยจะสัมผัสได้ถึงการเข้ามาใกล้ของเขา มันวนรอบเซี่ยจื้อแล้วว่ายไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

เซี่ยจื้อขยับขึ้นลง วาดแขนขยับเข้าไปใกล้มันอีก

น่าจะเป็นเพราะเซี่ยจื้อใช้การว่ายแบบโลมา โลมาน้อยสงสัยอยู่บ้างว่าเขาเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงหันกลับมาขยับเข้าใกล้เซี่ยจื้อ

พอตอนที่เซี่ยจื้อจะลูบๆ หัวของมัน จู่ๆ มันก็หันหัวว่ายไปอย่างไม่ยี่หระเลย

ดูท่ามันน่าจะรู้แล้วว่าเซี่ยจื้อไม่ใช่โลมา

เจ้าเด็กนี่ฉลาดจริง

แต่ว่าเซี่ยจื้อไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่าความอดทนที่ตนเองมีต่อโลมาน้อยตัวนี้มากกว่าที่มีให้เฉินชิงเหม่ยเจ้าคนขี้แยร้องไห้ขี้มูกโป่งนั่นไปไกลโขเลยทีเดียว

เขาเพิ่มความเร็ว ว่ายไปหามัน

เพื่อไม่ให้ถูกไล่ตามทัน โลมาน้อยจึงเปลี่ยนจากความอืดอาดก่อนหน้านี้มาว่ายอย่างรวดเร็วไปถึงอีกฝั่งของสระ เซี่ยจื้อไล่ตามไปพลาง เจ้าโลมาน้อยก็หลบไปพลาง ว่ายแบบนี้อยู่สองสามรอบได้

อีกทั้งโลมาน้อยตัวนี้ก็ยังนิสัยเสียอยู่บ้างจริงๆ จงใจว่ายช้าลงให้เซี่ยจื้อไล่ตามมันทัน แต่ทุกครั้งที่เซี่ยจื้อจะยื่นแขนออกไปจับหางของมัน มันก็จะสะบัดหางหนีไปทันที

ดูท่าน่าจะเป็นเพราะไม่ได้ว่ายอย่างสบายใจขนาดนี้มานานแล้ว เซี่ยจื้อจึงไม่รู้สึกสักนิดเลยว่าเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนานแล้ว “เซี่ยจื้อ! พวกเธอเล่นกันมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ดูท่าเธอน่าจะปรับตัวให้เข้ากับงานนี้ได้ เรามาคุยเรื่องเวลากับค่าตอบแทนกันหน่อยเถอะ”

เซี่ยจื้อพอได้ยินเรื่องนี้ก็ว่ายมาที่บันได ปีนขึ้นไปบนฝั่ง

พอเขาหันกลับมาก็เห็นโลมาน้อยตัวนั้นที่แม้จะอยู่ไกลไปอีกฝั่งของสระว่ายน้ำ ด้วยท่าทาง “ฉันไม่สนใจนาย” แต่ว่าหัวของมันกลับมองมาทางเขา ตอนที่เขาเดินห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ โลมาน้อยก็ยังว่ายมาใกล้บันไดแล้วลอยตัวขึ้นมา

ทำท่าเหงาหงอยแบบนั้นอีกแล้ว 

เซี่ยจื้อถอนใจเฮือกอย่างไม่มีที่มาที่ไป

จัดแจงตนเองง่ายๆ แล้วก็สวมเสื้อคลุม เซี่ยจื้อมานั่งอยู่ที่ห้องทำงานของดร.ฉู่ ตรงหน้าคือชาขิงที่มีควันลอยฟุ้งถ้วยหนึ่ง

ตอนที่ดร.ฉู่รู้ว่าเซี่ยจื้อยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมหกอยู่ก็รู้สึกลังเลไปพักหนึ่ง

หล่อนคิดว่าชั้นมัธยมหกเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก จึงไม่อยากให้เซี่ยจื้อแบ่งสมาธิความสนใจมาทำงานพิเศษจะดีกว่า

เซี่ยจื้อมาคิดดูแล้วก็เปิดอกบอกความคิดที่แท้จริงของตนเองกับดร.ฉู่ไป

เขาชอบว่ายน้ำ ชอบน้ำ เขาต้องการงานพิเศษนี้

ดร.ฉู่มาคิดดูแล้วก็กล่าวว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ทุกเช้าวันเสาร์เธอมาเล่นเป็นเพื่อนผีผี่สองชั่วโมง สัปดาห์ละครั้ง เมื่อกี้เธอเพิ่งจะบอกผลการสอบรายเดือนของเธอมา ถ้าหากการสอบรายเดือนครั้งหน้า คะแนนของเธอยังไม่มีการขยับเขยื้อนขึ้นเลยละก็ ฉันก็จ้างเธอไม่ได้แล้วนะ”

แม้ว่าผลการสอบรายเดือนของเขาจะเป็นอย่างไร ต่อไปจะสอบติดมหาวิทยาลัยได้หรือไม่นั้นจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับดร.ฉู่เลย แต่ว่าการที่ดร.ฉู่ไม่อยากให้งานพิเศษนี้ส่งผลกับความตั้งใจในการเล่าเรียนของเซี่ยจื้อ เซี่ยจื้อก็พอจะเข้าใจได้อยู่

“ขยับขึ้นหน้าหนึ่งอันดับ ก็นับว่าขยับขึ้นแล้วใช่ไหมครับ?”

“แน่นอน”

เซี่ยจื้อมาคิดดูแล้ว ตัวเองอยู่ที่สองร้อยห้าสิบกว่าของทั้งชั้นปี พื้นที่ในการขยับขึ้นยังมีมากอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงตกลงรับเงื่อนไขของดร.ฉู่

เพราะเซี่ยจื้อได้งานพิเศษนี้ละมั้ง จึงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเฉินชิงเหม่ยก็ไม่ได้พึ่งพาเชื่อถือไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ช่วงตอนกลางวันพอดีว่าไทเฮากลับมาไม่ได้ เขาจึงนัดเฉินชิงเหม่ยออกมากินข้าวกลางวัน

คนเคยสวย : [i]เฮีย ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมเนี่ย? กระทั่งสลึงเดียวก็ไม่กระเด็นอย่างเฮีย กลับจะมาเลี้ยงข้าวฉัน?[i]

เซี่ยจื้อ : [i]อือ ฉันเลี้ยงนาย นายอยากกินอะไร?[i]

คนเคยสวย [i]: มาม่าโรงอาหาร! มาม่าที่ต้มในหม้อเหล็กถึงรสถึงชาติที่สุดแล้ว![i]

เซี่ยจื้อ: [i]…ฉันมาซื้อที่ตลาดแล้ว กลับไปต้มตามสบาย[i]

คนเคยสวย : [i]มันจะเหมือนกันได้ยังไง?[i]

เซี่ยจื้อ : [i]ไปกินหมี่เตาเซียวตงเป่ย*กัน ( หมี่เตาเซียวตงเป่ย : หมี่เตาเซียวหรือหมี่มีดปาด เป็นอาหารขึ้นชื่อของมณฑลซานซีซึ่งอยู่ทางตงเป่ยหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เส้นหมี่จะมีลักษณะเป็นเส้นใหญ่แบนๆ มีความหนาและเหนียวนุ่ม เพราะขั้นตอนในการทำจะใช้มีดปาดแป้งที่นวดเสร็จเรียบร้อยให้ออกมาเป็นเส้นๆ )

คนเคยสวย : [i]นายก็ทำตัวโคตรผู้ชายเกินไปไหม! ฉันอยากกินมาม่าโรงอาหาร![i]

เซี่ยจื้อ : [i]หมี่เตาเซียวตงเป่ย[i]

พวกเขาพิมพ์ซ้ำไปมาระหว่าง “มาม่าโรงอาหาร” กับ “หมี่เตาเซียวตงเป่ย” นับครั้งไม่ถ้วน ท้ายที่สุดเฉินชิงเหม่ยเลือกจะประนีประนอม โดยการนั่งลงที่โต๊ะไม้ตัวเล็กกินหมี่เตาเซียวตงเป่ยเป็นเพื่อนเซี่ยจื้อ

“อาจื้อ ฉันไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่นายเป็นแบบนี้ไม่มีทางจะหาแฟนได้หรอก” เฉินชิงเหม่ยถอนใจกล่าวว่า “กินอิ่มเป็นใช้ได้ ไม่ใส่ใจสภาพแวดล้อมกับความสุนทรีย์เลย”

“นายมีค่าให้ฉันต้องใส่ใจสภาพแวดล้อมกับความสุนทรีย์เหรอ?” เซี่ยจื้อเหลือบตาขึ้นมา

เฉินชิงเหม่ยสูดๆ จมูกไม่พูดอะไรแล้ว

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal