(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน สู่ฝันที่มีฉันคุณโลมา เล่ม 1

Tuesday

บทที่ 4

พอพวกเขากินหมี่เตาเซียวเรียบร้อย รู้สึกท้องอืดนิดหน่อย เลยเดินเล่นย่อยอาหารอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น

ใครจะรู้ว่ากลับเจอเข้ากับพวกซูจวิ้น

ไก่อ่อนซูจวิ้นนั่นมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ด้านซ้ายมีคนส่งบุหรี่ให้เขา คนด้านขวาก็จุดบุหรี่ให้ ชั่วขณะที่เขาเหลือบตาขึ้นมาปะกับเฉินชิงเหม่ยที่อยู่ตรงหน้านั้น ทั้งสองคนก็ต่างอึ้งตะลึงไปเลย

เฉินชิงเหม่ยลากเซี่ยจื้อมาใกล้ กล่าวว่า “ซวยแล้ว!” 

ซูจวิ้นตะโกนเสียงดัง “ไล่ตามมัน!” สามสี่คนที่อยู่ข้างซูจวิ้นก็ไล่ตามมาทันที 

ฉากนั่นเหมือนกับถ่ายทำเรื่องกู่หว่าไจ๋อย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่กระบวนทัพดูไม่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเท่าไร

วัยรุ่นหัวทองสามสี่คนที่ไล่ตามอยู่หลังเฉินชิงเหม่ยกับเซี่ยจื้อตะโกนเสียงดัง “หยุดเดี๋ยวนี้!”

“ไอ้โง่สิถึงจะหยุด——”

เฉินชิงเหม่ยเพิ่งโพล่งออกไป จู่ๆ เซี่ยจื้อก็หยุดกึก

“เฮีย——นี่ทำอะไรเนี่ย!”

“นายวิ่งก็ยังแล้วไป ว่าแต่ทำไมฉันต้องวิ่งด้วย?” เซี่ยจื้อย้อนถามเย็นชา

“หา?”

เฉินชิงเหม่ยยังไม่ทันได้สติ จู่ๆเซี่ยจื้อก็หันกลับไป ยกเท้าถีบโครมไปที่คนนำขบวนที่แขนมีรอยสัก อีกฝ่ายตกตะลึงหงายหลังล้มตึงชนเข้ากับอีกคน

หัวทองที่เหลือก็วิ่งหลบไปด้านข้าง ตามติดมาด้วยอีกหมัดที่พุ่งมา แต่น่าเสียดายที่เซี่ยจื้อขายาวแขนก็ยาว ออกหมัดทีหลังแต่ถึงก่อน จนทำให้ไอ้หัวทองเกือบฟันร่วง 

เฉินชิงเหม่ยเบิกตาโต ลูบๆ ศีรษะ “ใช่สินะ…ฉันวิ่งหนีก็แล้วไป ส่วนนายไม่มีความจำเป็นต้องหนีจริงๆ…”

ซูจวิ้นวิ่งมาถึงพอดี มองดูภาพฉากนี้ก็อึ้งตะลึงไป เขาโยนบุหรี่ลงพื้น “มีแต่พวกเฮงซวยไม่ได้เรื่องทั้งนั้น!”

เซี่ยจื้อเข้ามาตรงหน้าเขากะทันหัน ซูจวิ้นยังไม่ทันออกหมัด ขาข้างหนึ่งของเซี่ยจื้อก็ถีบเข้าใส่ชายโครงซูจวิ้น ยันไว้ที่กำแพง กดเขาให้ติดกำแพงไว้ ซูจวิ้นหมดสภาพโดยไม่ทันตั้งตัว 

ข้อเท้ากับครึ่งน่องของเซี่ยจื้อโผล่ออกมาจากขากางเกงวอร์มตัวหลวม แนวกล้ามเนื้ออันสูงยาวและแน่นเป็นมัดก็แข็งตึงขึ้นมาไปตามท่าทางสอดมือล้วงกระเป๋าโน้มตัวลงมาข้างหน้าน้อยๆ ของเซี่ยจื้อ ดูเปี่ยมพละกำลัง 

“ฉันจะบอกให้นะซูจวิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวันใดวันหนึ่งฉันต้องไปใช้เน็ตที่ร้านนายแล้วละก็ ฉันได้ต่อยนายดั้งหักไปนานแล้ว นี่ก็ไว้หน้านายแล้วนายอย่าทำมาไม่รับหน่อยเลย”

ใบหน้าเซี่ยจื้อไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ซูจวิ้นรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งแผ่นหลัง

“ไม่…ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะตามหานาย…” ซูจวิ้นลิ้นพันกันไปหมดแล้ว

“งั้นใครอยากตามหาฉัน?” เซี่ยจื้อส่งเสียงหึเบาๆ

“เป็น…เป็นพี่หลิน…หลายวันก่อนพี่หลินมาที่ร้านเน็ตฉัน ถามว่ารู้จักนายหรือเปล่า”

“อาฮะ? พี่หลินไหน?”

“เย่หลิน เย่หลินที่อยู่ทีมนักกีฬาว่ายน้ำม.Q…นายเคยได้ยินไหม… ”

เซี่ยจื้อผงะไปเลย

ชื่อนั้นแทบจะกินเวลาในวัยเยาว์ของเขาไปถึงสิบปี จะไม่เคยได้ยินได้อย่างไรละ

ภายในใจเหมือนถูกอะไรสะกิดไปทีหนึ่ง 

“เขาหาฉันทำไม?”

“ไม่…ไม่รู้สิ”

“ไม่รู้แล้วนายยังช่วยเขามาหาเรื่องฉัน?”

“เขากับพี่ชายฉันสนิทกันมาก ฉันก็เลย…”

ซูจวิ้นลองคิดดูแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยากขึ้นมากะทันหัน ดีร้ายอย่างไรตนเองก็ยังนับว่าเป็นมังกรตัวหนึ่งในวงการร้านเน็ตของเมือง T เสือสิงห์กระทิงแรดอะไรบ้างที่จะไม่เคยพบเจอ ทำไมถึงมาหมดท่าในมือเจ้าเด็กนี่ได้นะ?

 “ต่อไป ถ้ามีคนตามหาฉัน นายก็โทรศัพท์มาบอกฉันเลย ไม่ต้องเรียกคนมากมายขนาดนี้มาทักทายฉันหรอก ว่าไง?” เซี่ยจื้อเชิดหน้าขึ้น 

“แน่นอนว่าแบบนี้ดีสุดละ!” ซูจวิ้นยิ้มๆ ท่าทางประดักประเดิด “แต่ฉันก็ไม่มีเบอร์โทรของนายนี่!”

“เอามือถือมา แอดวีแชตกัน” เซี่ยจื้อกวักมือ

ซูจวิ้นรีบล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วสแกน

เขามองดูมือของเซี่ยจื้อที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่ ข้อนิ้วหักงอแต่เรียวยาวเปี่ยมพลัง เกรงว่าคุณชายนี่ถ้านึกไม่พอใจขึ้นมาคงจะตั้นหน้าเขาสักหมัดเหมือนคราวก่อนแน่ ในเมื่อสู้ไม่ได้แล้วก็ยอมๆ ไปเถอะ! ถ้าหากยอมๆ ไปแล้วยังจะถูกอัดเพราะท่าทางจริงใจไม่พออีก งั้นก็ไม่คุ้มเลย! 

แล้วสองคนก็แอดวีแชตเป็นเพื่อนกันไปเช่นนี้

เซี่ยจื้อมองเฉินชิงเหม่ยแวบหนึ่ง “ไอเทมในเกมที่ซูจวิ้นให้นายมาก่อนหน้านี้ นายคืนเขาไปหรือยัง?”

“หา? ก็ฉันถูกพี่จวิ้นบล็อกแล้วไม่ใช่เหรอไง? ฉันอยากจะคืนก็คืนไม่ได้หรอก”

เฉินชิงเหม่ยยิ้มอย่างชั่วร้าย มองดูซูจวิ้นเจ้าอันธพาลนี่ที่ถูกเซี่ยจื้อยกเท้ายันติดกำแพงอยู่ข้างถนนซ้ำยังไม่มีโอกาสให้เอาคืนเลยแม้แต่น้อย

“กลับไปก็คืนเลย นายเล่นเป็นตัวผู้ชาย อยากได้ไอเทมอะไร ก็ไปแย่งเอาเอง”

“ได้สิ งั้นเอ่อพี่จวิ้น พี่ก็เลิกบล็อกแล้วให้ผมออกจากบัญชีดำสิ…” เฉินชิงเหม่ยยิ้มกล่าว

เวลานั้นเป็นเพราะคิดว่าซูจวิ้นเป็นหญิงสาวตัวน้อยเขาถึงได้จงใจออดอ้อนขอไอเทม แต่อันที่จริงแล้วเจ้าอันธพาลนี่ไม่ได้เข้าตาเฉินชิงเหม่ยเลยสักนิดเดียว

ซูจวิ้นพยักหน้าทันที “กลับไปจะเลิกบล็อกเลย! กลับไปจะเลิกบล็อก!พรรคพวกกันทั้งนั้น มาสู้ไปด้วยกันเถอะ ส่วนไอเทมน่ะคืนกันไปคืนกันมามันก็ไม่สนุกหรอก…”

“งั้นได้ คราวหน้าไปเล่นเกมที่ร้านเน็ตนาย ก็เก็บที่นั่งดีๆ ไว้ให้เราด้วย! ไม่ลืมจ่ายให้นายแน่”

เซี่ยจื้อเอียงๆ คอ ซูจวิ้นก็เหมือนได้รับการอภัยโทษแล้วจึงรีบพาพรรคพวกไสหัวไป ยิ่งไกลยิ่งดี

เฉินชิงเหม่ยยื่นหน้าเข้ามา ซบไหล่เซี่ยจื้อกล่าว “เฮีย…ฉันก็อยากถูกเฮียยันติดกำแพงบ้างเหมือนกัน~”

เซี่ยจื้อทำหน้าตอบกลับไปว่า “นายมันบ้า” แล้วก็หันตัวเดินไปเลย แต่ในสมองเอาแต่คิดถึงสิ่งที่ซูจวิ้นเพิ่งบอกมาเมื่อกี้ว่า เย่หลินเคยไปตามหาเขาที่ร้านเน็ต

เขาจะหาฉัน ทำไม?

เฉินชิงเหม่ยที่เดินอยู่หลังเซี่ยจื้อเลิกคิ้วขึ้น เขารู้ว่าสันดานของซูจวิ้นเป็นไง เจ้าอันธพาลนั่นไม่มีทางจะยอมถูกเซี่ยจื้อทำให้เสียหน้า แล้วยอมเป็นพรรคพวกพี่น้องกันสามคนแบบนี้ไปได้หรอก ไม่แน่ว่าอาจจะเล่นลูกไม้อะไรอยู่ก็ได้ 

เฉินชิงเหม่ยถอนใจเฮือก “เฮ้อ…”

“นายถอนใจอะไร?”

“ไม่มีอะไร อาจื้อ ต่อไปนายยังคิดจะไปเล่นเน็ตที่ร้านซูจวิ้นนั่นใช่หรือเปล่า”

“ไร้สาระ หรือจะเล่นเน็ตที่บ้านให้ไทเฮาดูหรือไง” 

“อ้อ ฉันรู้ละ” เฉินชิงเหม่ยสอดมือล้วงกระเป๋า เดินตามไปที่ข้างเซี่ยจื้อ 

เซี่ยจื้อเดินไปสองก้าว จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หันกลับมากดศีรษะเฉินชิงเหม่ยไปทีหนึ่ง

“นายแม่งอย่าได้หาวิธีชั่วๆ ไประรานซูจวิ้นอีกละ มีปัญญาก็ไปจัดการกับภาษาอังกฤษห่วยๆ ของนายนั่นจะดีกว่า”

“รู้แล้วน่า” เฉินชิงเหม่ยปัดมือของเซี่ยจื้อออก

ปีนั้นตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่สาม เด็กโตสามสี่คนในโรงเรียนมีเรื่องทะเลาะกับเซี่ยจื้อ ล้อมเซี่ยจื้อไว้แล้วเปิดฉากหาเรื่อง เฉินชิงเหม่ยที่อยู่ข้างๆ ตะโกนว่า “หยุดนะ” อยู่เป็นนานสองนาน เด็กโตพวกนั้นก็ทำเป็นหูทวนลม

วันนั้นเป็นวันแรกที่เฉินชิงเหม่ยร้อนใจจนตาแดง พุ่งเข้าไปตบๆ หัวของพวกนั้น แล้วฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายหันตัวกลับมา ปาทรายทั้งกำมือใส่ตาของอีกฝ่าย แล้วตามติดด้วยหมัดหนักๆ ไปหนึ่งดอก 

“แกต่อยพรรคพวกฉัน——ฉันจะอัดหัวแกให้ยับเลย!”

แรงฮึดนั่นทำให้เด็กคนอื่นๆ อึ้งตะลึงไปเลย

ภายหลังมีอาจารย์มา เฉินชิงเหม่ยถูกเรียกผู้ปกครองมาพบ พ่อแม่ของเขาต้องชดใช้ค่ารักษาพยาบาลให้อีกฝ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว

 

คืนนั้น กระทั่งอาหารเย็นเขาก็ไม่ได้กิน ถูกทำโทษให้ยืนอยู่ที่ลานบ้าน

เซี่ยจื้อมาหาเขา แล้วทั้งสองคนก็กลายเป็นอาหารให้ยุงอยู่ที่ลานบ้านไปด้วยกัน

“ต่อไปเรามาแบ่งงานกันให้ชัดเจนดีกว่า เรื่องใช้แรงหน้าที่ฉัน เรื่องใช้สมองหน้าที่นาย”

“อือ พรุ่งนี้ทั้งโรงเรียนมีท่องกฎระเบียบวินัย มีที่ให้ใช้สมองแล้ว” เฉินชิงเหม่ยกล่าวเอาจริงเอาจัง

สุดท้ายกฎเกณฑ์ฉบับนี้ ก็มีชื่อโด่งดังไปทั่วทั้งโรงเรียนประถมที่หนึ่งแห่งเมือง T เฉินชิงเหม่ยอ่านกฏนั้นเสียงดัง “ที่ไหนมีการใช้ความรุนแรง ที่นั่นก็จะมีการต่อต้าน! นายตบหน้าด้านซ้ายฉัน ฉันไม่มีทางยื่นหน้าขวาให้เด็ดขาด——ฉันจะชูธงลุกขึ้น ต่อต้านการใช้ความรุนแรงจนถึงที่สุด!”

นี่มันเป็นกฎระเบียบวินัยที่ไหนกัน เห็นอยู่ว่าเป็นคำโฆษณา

แล้วเฉินชิงเหม่ยก็เล่าเรื่องที่เด็กสามสี่คนนั้นไปก่อเหตุ เช่น ขโมยรถจักรยานคนอื่นตอนไหน โยนกระเป๋าหนังสือใครทิ้งไปเมื่อไร เขาเล่าตามข้อเท็จจริงออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับโรงเรียนเป็นศาลที่เขาส่งเรื่องฟ้องอย่างไรอย่างนั้น จากเหตุการณ์นี้เขาได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวจนแม้แต่ตัวเองยังอึ้งตะลึง แต่อาจารย์ใหญ่นี่สิโกรธจนหน้าเขียวไปหมด

กระทั่งว่าผู้ปกครองของเด็กพวกนั้นฟังแล้วก็ยังกระอักกระอ่วนใจทำอะไรไม่ถูก ตั้งแต่นั้นมาในโรงเรียนประถมที่หนึ่งแห่งเมือง T ก็ไม่มีใครกล้ารังแกเขากับเซี่ยจื้ออีกแล้ว“นายจะไม่ก่อเรื่องจริงเหรอ?” เซี่ยจื้อสอดมือล้วงกระเป๋าหันหน้ากลับมา ก็เห็นเฉินชิงเหม่ยกำลังก้มหน้า ยิ้มอย่างร้ายกาจพอตัว

“ไม่ก่อเรื่องหรอก”

“อยากทำก็ทำไปเถอะ ถ้าไม่ให้นายก่อเรื่อง นายคงอกแตกตาย” เซี่ยจื้อเชิดๆ หน้า “กฎเดิม ฟ้าถล่ม ก็เรียกฉัน” 

“อือ เรื่องใช้กำลังยกให้นาย ใช้สมองยกให้ฉัน”

ตามที่คาดการณ์ไว้พอซูจวิ้นกลับไปแล้วก็เดือดดาลสุดขีด เอาแต่ต่อสายโทรศัพท์จะนัดพรรคพวกพี่น้องคนอื่นๆ ให้หาโอกาสไปสั่งสอนเซี่ยจื้อกับเฉินชิงเหม่ย

วันนี้เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ซูหยางพี่ชายของซูจวิ้นกลับมาบ้านพอดี กำลังพูดคุย ดื่มเบียร์กันนิดๆ หน่อยๆ อยู่กับเพื่อนมหา’ลัยในห้องเล็กๆ หลังร้านเน็ต 

ไม่เหมือนน้องชายที่มีแต่กลิ่นอายเจนโลกไปทั้งตัว ซูหยางตัดผมสั้นดูสะอาดสะอ้านและสดชื่น สวมแว่นตากรอบดำ ใส่เสื้อไหมพรมแขนยาวสีน้ำตาลเข้ม กางเกงยีนส์ลำลองที่ท่อนล่างก็ขับให้ขาของเขายาวสูงชะลูด แค่ดูก็รู้ว่าเป็นนักศึกษาที่อยู่ในกฎระเบียบ 

เพียงแต่ท่าทางที่ซูหยางเปิดกระป๋องเบียร์ด้วยมือเดียวแล้วยกขึ้นมาซดที่ปาก ดูแล้วก็ไม่ค่อยจะใสซื่อเป็นคนดีสักเท่าไร

“นี่น้องชายนายจะไปจัดการใครอีกล่ะ?”

มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าของซูหยาง น้ำเสียงฟังดูสุภาพอ่อนโยนได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี

“จะไปรู้ห่าไรมันล่ะ เหมือนว่าเมื่อตอนบ่ายมันจะพาคนออกไป แต่สุดท้ายก็หน้าแหกกลับมา” ซูหยางกล่าวอย่างไม่ยี่หระ

“งั้นนายไม่ช่วยเขาหน่อยล่ะ?”

“ช่วยอะไรมัน? หน้าแหกเพิ่มไม่กี่หนก็ทนไม้ทนมือแล้ว แค่เปิดร้านเน็ตจะมาทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้อะไรกันนักหนา” ซูหยางชนกระป๋องเบียร์กับอีกฝ่าย “เย่หลิน เด็กผู้ชายที่นายตามหาคนนั้นน่ะหาเจอหรือยัง?”

“หาเจอแล้ว เขาอยู่มัธยมสาธิตม.T” เย่หลินดื่มไปหนึ่งอึกอย่างเรื่อยเฉื่อย ในสมองนึกถึงท่าทางของเซี่ยจื้อที่ยืนเล่นอยู่กับโลมาอย่างน้อยๆ เป็นครึ่งชั่วโมงในอควาเรียมพลันยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกัน ไม่แน่ต่อไปก็อาจสอบเข้าม.Q ได้เหมือนกัน”

“ใครจะรู้ล่ะ” เย่หลินหัวเราะ

แล้วในเวลานี้เองก็มีเสียงร้องตกใจดังมาจากภายในร้านเน็ต

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น——ไฟไม่ได้ดับนี่! ทำไมหน้าจอดับไป!”

“เล่นเชี่ยอะไรเนี่ย! Boss เราเพิ่งฆ่าไปได้ครึ่งเดียวเอง!” 

“เอ๊ะ! บนจอมีตัวหนังสือ! รีบมาดูเร็ว!”

ซูจวิ้นที่กำลังติดต่อกับบรรดาสมัครพรรคพวกรีบวางสาย พุ่งตรงไปที่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งในนั้น พบว่าบนจอปรากฏตัวหนังสือขึ้นมาสามสี่แถว :

[i]ซูจวิ้น สองทุ่มคืนนี้ ฉันจะรอนายอยู่ที่หน้าน้ำพุในสวนสาธารณะหรูอี้[i] บนจอของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเป็นข้อความแบบเดียวกัน ปิดเครื่องเปิดใหม่ก็ไร้ประโยชน์ 

“เชี่ยเอ๊ย! นี่ร้านเน็ตซิงจี้ถูกแฮกแล้วใช่ไหมเนี่ย?”

“นี่มันส่งสารท้ารบแล้ว? ซูจวิ้นเป็นใครกันฮะ?”

“แกโง่เหรอ! ซูจวิ้นก็เป็นเถ้าแก่ร้านเน็ตนี่ไง! พี่ใหญ่อีสปอร์ตแห่งเมือง T ของเรา! มีคนตั้งมากมายไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรที่มาเล่นเน็ตที่ร้านเน็ตซิงจี้เพื่อขอคำชี้แนะจากพี่จวิ้นโดยเฉพาะน่ะ!”

“งั้นฉันว่า ไม่แน่ว่าจะเป็นสารท้ารบ! ถ้าเป็นสารท้ารบมันก็น่าจะนัดเวลามาว่าจะสู้แพ้ชนะกันในเน็ตตอนกี่โมงกี่นาที! ทำไมอันนี้ถึงนัดเจอกันที่หน้าน้ำพุในสวนสาธารณะล่ะ?”

“อุ๊ย! ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้หญิงที่เล่นเกมสักคน เรียกร้องความสนใจจากพี่จวิ้นก็เป็นได้!”

“บุพเพสันนิวาสพี่จวิ้นมาแล้ว!”

ทุกคนในร้านเน็ตโห่ร้องขึ้นมาเป็นระลอก ส่วนซูจวิ้นที่อยู่ทางฝั่งนี้กลับเหงื่อเย็นไหลโทรม

เพราะแฮกเกอร์คนนี้ช่างร้ายกาจ ซูจวิ้นยุ่งหัวหมุนอยู่นานก็ยังไม่มีวิธีการกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ที่อีกฝ่ายใส่เข้ามาได้เลย

จู่ๆ โทรศัพท์ที่โต๊ะด้านหน้าก็ดังขึ้นมา พอลูกน้องรับโทรศัพท์แล้วก็เขยิบเข้ามากระซิบที่ข้างหูซูจวิ้น “พี่จวิ้น แย่แล้ว! ร้านสาขาอื่นของเราก็ถูกแฮกด้วยเหมือนกัน!”

ซูจวิ้นกัดฟันลุกขึ้นพรวด สาวเท้าเดินไปที่ห้องเล็กด้านใน เคาะๆ ประตู “พี่ใหญ่ พี่อยู่ไหม?”

“ไสหัวเข้ามาเลย”

ซูจวิ้นผลักประตูให้เปิดออกก็เห็นว่าซูหยางพี่ชายของตนเองกับเย่หลินดื่มเบียร์อยู่ในห้องไปเจ็ดแปดกระป๋องแล้ว ทั้งสองเห็นสภาพร้อนใจจนหัวไฟลุกของเขาแล้ว ริมฝีปากก็แต้มรอยยิ้มขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ต้องนัด

“พี่ มีคนพังร้านเรา พี่ดูหน่อยว่าจะจัดการยังไง…คงไม่ถึงขั้นเปิดร้านไม่ได้จนทำให้คนนอกหัวเราะเยาะหรอกมั้ง?” ซูจวิ้นแกะๆ สิวที่แก้ม

ซูหยางไม่ได้ลุกขึ้นเพียงกล่าวเรียบเฉย “พูดกับแกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว ปรองดองก่อเกิดทรัพย์ แกไม่ไปหาเรื่องคนเขา คนอื่นเขาก็คงไม่กินอิ่มไม่มีอะไรทำมาหาเรื่องแกหรอก” 

“พี่ นี่พี่หลินก็อยู่ด้วยนะ…ถ้าพี่จะสั่งสอนผมก็อย่าทำต่อหน้าพี่หลินสิ…” 

เย่หลินก็เชิดหน้าขึ้น “ไปดูกันหน่อยเถอะ เดิมทีฉันก็แค่อยากลองเสี่ยงดวงดู ไม่แน่ว่าจะได้เจอเด็กผู้ชายคนนั้นมาเล่นเน็ตที่นี่ ถ้าร้านเน็ตนายจบเห่แล้วละก็เด็กชายฉันก็คงไม่มาแล้วสิ”

ซูหยางถึงได้ลุกขึ้น หักๆ ข้อนิ้วมือตัวเอง เดินไปนั่งลงตรงหน้าคอมพิวเตอร์ นิ้วเคาะลงบนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว

“น่าสนุกจริงๆ เลยนะเนี่ย”

ผ่านไปนาทีกว่า หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งหมดก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

“พี่หา IP ของไอ้หมอนี่เจอแล้วหรือยัง?”

“ยัง เขาซ่อนตัวได้ดีมาก คนเขาก็นัดแกไปเจอแล้วไม่ใช่เหรอ? แกก็ไปเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้หญิงสวยสักคนที่อยากจะเรียกร้องความสนใจจากแกจริงๆ ก็ได้” ซูหยางหรี่ตายิ้มให้ทีหนึ่ง

“แล้วถ้าเกิดว่า…เกิดว่าอีกฝ่ายพาคนมา รอผมเข้าไปติดกับแล้วจัดการผมล่ะ?”

“งั้นแกก็พาต้าเป่า เอ้อร์สี่แล้วก็อาไฉไปคุ้มครองแกให้หมดเลยไป องค์หญิงของฉัน”

“พี่ พี่ไม่รู้ว่า ต้าเป่า เอ้อร์สี่แล้วก็ยังมีอาไฉอีก…เพิ่งถูกคนซ้อมไปเมื่อบ่ายนี้เอง…”

“เอาเถอะ เอาเถอะ ฉันกับพี่หลินจะไปเป็นเพื่อนแก” ซูหยางมองไปที่เย่หลินที่เพิ่งจะจุดบุหรี่มวนยาวอยู่ในห้องเล็กนั่น “เย่หลิน คืนนี้คงไม่ต้องไปบาร์เหล้าแล้วใช่ไหม?” 

“กะดึกเที่ยงคืน มีเวลาเหลือเฟือ”

เย่หลินลุกขึ้น หยิบเสื้อกันลมตัวยาวนั่นขึ้นมาจากโซฟาแล้วเดินออกมาซูหยางขับรถมาจอดอยู่ใกล้ๆ สวนสาธารณะหรูอี้

นี่เป็นสวนสาธารณะเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ทำเป็นพื้นที่สีเขียวได้ไม่เลวเลย เป็นสถานที่ที่ให้ชาวเมืองมาเดินเล่นพูดคุยกันในยามค่ำคืน

“ดูท่าอีกฝ่ายจะคิดได้ละเอียดรอบคอบดีมาก” เย่หลินกล่าวขึ้นมา

“ละเอียดดีมาก?” 

“ความหมายของพี่หลินของแกก็คือ ในสวนสาธารณะหรูอี้มีคนอยู่มาก อีกฝ่ายนัดแกมาเจอหน้ากันที่นี่ ก็คือไม่กลัวแกจะพาคนมาต่อยเขา เพราะบรรดาลุงๆ ป้าๆ ที่อยู่ในนี้จะต้องแจ้งตำรวจแน่ ซ้ำยังจะกระตือรือร้นเป็นพยานให้อีกด้วย เรียกว่าถ้าก่อเรื่องก็พร้อมส่งแกเข้าไปดื่มชาที่สถานี” ซูหยางตอบ 

“เจ้าเล่ห์จริง!”

“แกมันโง่ต่างหาก”

สามคนลงจากรถ เดินเข้าไปในสวนสาธารณะ

พวกเขาเดินผ่านบรรดาลุงๆ ป้าๆ ที่กำลังเต้นรำ พูดคุยสนทนาเหล่านั้นไป เดินผ่านเหล่าแม่ๆ ที่เข็นรถเข็นเด็กที่กำลังล้อมวงแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเลี้ยงลูกไปจนมาถึงที่หน้าน้ำพุ

บนม้านั่งยาวที่น้ำพุมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ ฉากย้อนแสงแบบนี้ มองเห็นเพียงอีกฝ่ายกำลังนั่งสอดมือล้วงกระเป๋าอยู่ 

“อีกฝ่ายมาคนเดียว แกก็ไปคนเดียวเถอะ ฉันกับเย่หลินจะคอยอยู่ที่นี่ ถ้าแกเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ พวกเราค่อยไปช่วย”

ซูหยางกล่าวจบก็เดินไปที่ใต้ต้นไม้กับเย่หลินแล้ว

“เอ่อ พี่ พี่หมายความว่ายังไง? ดูหุ่นนั่นก่อน แบบนั้นผมยังจะเอาชนะเขาไม่ได้เหรอไง?”

ซูจวิ้นเดินไปที่ม้านั่งตัวนั้นด้วยสีหน้าไม่ชอบใจเลย 

ให้เฮียดูหน่อยสิว่าแกเป็นผีหรือคนกันแน่!

ใครจะรู้ว่าพอซูจวิ้นเดินเข้าไปใกล้ ตอนที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองเขา ไฟที่สุมอยู่ในอกของซูจวิ้นก็พุ่งขึ้นไปถึงกลางกระหม่อมเลยทีเดียว

“เชี่ย——นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแกไอ้เด็กเปรต!”

ซูจวิ้นพุ่งขึ้นหน้าไป กำหมัดกำลังจะต่อยเขา

คนที่แฮกร้านเน็ตซิงจี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเฉินชิงเหม่ยนั่นเอง

เฉินชิงเหม่ยสีหน้าท่าทางเหมือนหมูไม่กลัวน้ำร้อนลวก ยิ้มเหนื่อยหน่าย “นายกล้า——”

“ทำไมฉันจะไม่กล้า!”

กล่าวจบ ซูจวิ้นก็ยังเหลือบไปดูเสียหน่อยด้วยว่าแถวนั้นมีเซี่ยจื้ออยู่ด้วยหรือไม่

“ไม่ต้องมองหรอก พรรคพวกฉันไม่อยู่ ฉันมาหานายเอง นับเป็นการจบเรื่องจบราวกัน”

เฉินชิงเหม่ยกระโดดลงมาจากม้านั่งยาวตัวนั้น มองซูจวิ้นด้วยสายตาเย็นเยียบ “ฉันรู้ว่านายพรรคพวกเยอะ แล้วจะทำไม? ต่อไปถ้านายยังกล้าพาพรรคพวกนายมาหาเรื่องพวกเราอีก หาเรื่องครั้งหนึ่งฉันก็จะแฮกครั้งหนึ่ง! แฮกจนนายเปิดร้านไม่ได้เลย!”

น้ำเสียงของเฉินชิงเหม่ยชัดเจนดังกังวาน ภายในดวงตาดอกท้อที่สวยงามคู่นั้นเวลานี้มีความเย็นเยียบส่องประกาย

“แกว่าอะไรนะ? ฉันจะบอกแกให้รู้ไว้นะ ไวรัสของแกถูกฉันกำจัดเรียบร้อยแล้ว!”

ซูจวิ้นข้ามเรื่องที่ว่าคนกำจัดไวรัสคือซูหยางพี่ชายของตนเองไปโดยอัตโนมัติ

“งั้นก็นับว่านายเก่งนะ” เฉินชิงเหม่ยผายมือไม่ยี่หระ “คราวหน้าฉันค่อยส่งที่แรงกว่าให้นายแล้วกัน!”

“แก…” ซูจวิ้นโกรธสุดๆ

“นายแน่ใจนะว่าจะยกหมัดสูงขนาดนี้? นับจากนี้ เวลานี้เป็นต้นไป มีปัญญานายก็ต่อยฉันมา! นายชอบห้องชุดของแชงกรีลามากเป็นพิเศษเลยไม่ใช่เหรอ? ฉันจะแฮกจนนายเปิดร้านเน็ตต่อไปไม่ได้เลย——กระทั่งห้องน้ำในโรงแรมฮั่นถิง*ก็ยังไม่มีปัญญาไปนอน!” (โรงแรมฮั่นถิง : โรงแรมราคาประหยัดที่มีสาขาอยู่ทั่วทั้งประเทศจีน)

เฉินชิงเหม่ยชี้นิ้วไปทางซูจวิ้น ซูจวิ้นตกใจถอยหลังไปครึ่งก้าว

เย่หลินที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้มาตลอดก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ 

“ใครน่ะ——มาแอบฟังสนุกนักเหรอ!” เฉินชิงเหม่ยตะโกนเสียงดัง

เย่หลินค่อยๆ เดินย่างกรายออกมาจากใต้ต้นไม้

เฉินชิงเหม่ยชะงักไป “เย่…เย่หลิน…ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้…”

โธ่แม่จ๋า คำพูดที่เขาเพิ่งพูดไปพวกนั้นอย่าให้เย่หลินได้ยินเลย! ถ้าหากทำให้เย่หลินมีภาพในหัวที่ไม่ดีกับเซี่ยจื้อด้วยเหมือนกันจะทำยังไง!

“ที่นี่เป็นสวนสาธารณะ ใครๆ ก็มาได้”

เย่หลินหันหน้ามาพูดกับซูหยางที่ยังอยู่ใต้ต้นไม้ว่า “นี่คือเจ้าหนูที่อยู่ด้วยกันบ่อยๆ กับเด็กผู้ชายคนนั้น ก็นับว่าเป็นรุ่นน้อง…ของเราด้วยละมั้ง”

“แล้วนายจะเอาไง เขาแฮกร้านเน็ตของบ้านฉัน จะให้เลิกแล้วต่อกันไปแบบนี้เหรอ?”

น้ำเสียงของซูหยางราบเรียบมาก แค่ได้ยินก็คือในใจคิดว่า “ช่างมันเถอะ” 

“ที่พวกนายทำกันก็เป็นกิจการกับเด็กๆ ไม่ใช่หรือไง ยังจะถือสาหาความกับเด็กอีก แล้วแบบนี้จะหาเงินได้ยังไง?” เย่หลินยกมือขึ้นมากดศีรษะเฉินชิงเหม่ยไปทีหนึ่งเฉินชิงเหม่ยหดๆ คอ เวลานี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำให้ตัวเองดูเก่งกาจเกินไป จึงแสดงบทเป็นลูกหมูตัวน้อยต่อ แบบนี้แล้วไม่ว่าตนเองจะทำ “เรื่องเลว” อะไรไป ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเซี่ยจื้อทั้งสิ้น มันก็จะเป็นแค่เพราะตัวเองไม่ประมาณตัว โง่เง่าเกินไปเท่านั้น

“ก็ได้” ซูหยางคีบบุหรี่อยู่ ก้นบุหรี่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง อยู่ใต้ต้นไม้มองเห็นหน้าไม่ชัด 

ทว่าเฉินชิงเหม่ยกลับสบตากับซูหยาง ลึกล้ำราวหมึกดำ ก้นบึ้งนัยน์ตาแฝงรอยยิ้มเย้ยหยันอยู่บ้าง 

“คราวหน้าถ้ามาก่อกวนที่ร้านเน็ตฉันอีก จะหักกระดูกนายเป็นชิ้นๆ แน่”

ซูหยางยิ้มๆ กวักมือเรียกน้องชายของตนเองที่ตะลึงลานไปแล้ว

เย่หลินเอ่ยปาก “นายดูสิ หักกระดูกอะไรกัน ทำเด็กน้อยตกใจหมดแล้ว หนนี้ฉันยังต้องเลี้ยงมื้อดึกคนเขาให้หายตกใจกลัวด้วยเลย”

ซูหยางชูนิ้วกลางออกมา จากนั้นก็คว้าคอเสื้อซูจวิ้น “ไปละ”

ซูจวิ้นเดินไปพลางก็กล่าวไม่ชอบใจไปพลาง “พี่! จบแบบนี้เหรอ?”

“ไม่ใช่แค่จบแบบนี้หรอก ต่อไปแกยังต้องเห็นพวกมันเป็นมิตร ทุกครั้งที่คนเขามาเล่นเน็ต แกต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี”

“ถือดีอะไรกันฮะ!”

“ก็ถือว่าพี่หลินของแกชอบไง”

แล้วซูจวิ้นก็ถูกซูหยางกดตัวดันเข้าไปในรถทั้งแบบนี้

“ยังต้องให้ฉันต้อนรับพวกมันอีก ฝันไปเถอะ!”

“แกเล่นชนะไอ้เด็กนั่นไม่ได้ ถือซะว่าเป็นเพื่อนกับคนฉลาดก็ยังดีกว่าเป็นศัตรูกันละนะ”

รถขับออกไปแล้ว เหลือเฉินชิงเหม่ยยืนอยู่ข้างๆ เย่หลิน เจ้าตัวกำลังทำหน้า “อึดอัด” ได้พอเหมาะพอเจาะเลย

เย่หลินยกมือขึ้นมาดูนาฬิกา “ยังเหลือเวลาอีกสามชั่วโมงกว่าก่อนฉันไปทำงาน ไป ฉันจะเลี้ยงอะไรนายหน่อย ชอบอะไร?”

เฉินชิงเหม่ยตาเป็นประกายวิบวับขึ้นมาทันที “เย่…เย่หลิน…ฉันโทรเรียกเซี่ยจื้อเพื่อนฉันออกมาด้วยได้ไหม! ได้กินข้าวกับนาย เขาต้องดีใจมากๆ แน่!”

แต่เย่หลินกลับกุมโทรศัพท์มือถือของเฉินชิงเหม่ยไว้ไม่ให้อีกฝ่ายโทร กล่าวว่า “คือฉันมีเรื่องที่เกี่ยวกับเขาอยากจะถามนายหน่อย คราวก่อนที่สระว่ายน้ำโรงแรม ดูเหมือนเขาจะโกรธฉัน”

“อ๋อ…ไม่ใช่หรอก! ไม่ใช่! เขาไม่ได้โกรธนาย เขา…แคร์นายมาก…โอ๊ย! ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน!”

เฉินชิงเหม่ยออกแรงลูบๆ ท้ายทอย ด้วยท่าทางเหมือนกลัวว่าตนเองจะพูดอะไรผิดไปแล้วทำให้เย่หลินมีภาพจำที่ไม่ดีกับเซี่ยจื้อ

“ไม่เป็นไร เราค่อยกินไปคุยไป”

เย่หลินยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขามีความโอบอ้อมอารีมาก ทำให้คนสบายใจอย่างน่าประหลาด

แล้วเฉินชิงเหม่ยก็เดินตามเย่หลินไป

ที่โรงเรียนมัธยมสาธิตแห่งมหาวิทยาลัย T เย่หลินถือเป็นบุคคลระดับตำนาน ได้ตำแหน่งเดือนโรงเรียนติดต่อกันสามปีนี่ยังไม่ต้องพูดถึง ไม่เพียงคว้ารางวัลมากมายจากการว่ายน้ำ การสอบเกาเข่าก็ยังเป็นจอหงวนสายวิทย์ระดับมณฑล*อีก ( เกาเข่าหมายถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียนชั้นมัธยมปลายในประเทศจีน การเป็นจอหงวนของเกาเข่าก็หมายถึงการมีผลคะแนนรวมเป็นที่หนึ่งในระดับเมืองหรือระดับเขตปกครองตนเอง โดยแบ่งเป็นแผนกสายวิทย์และสายศิลป์) สมบูรณ์แบบกระทั่งจะอิจฉายังไม่มีแรงไปอิจฉาเลย

เดิมทีคิดว่าเย่หลินอยู่ระดับสูงส่ง การไปกินมื้อดึกก็ต้องเป็นสถานที่มีระดับมาก นึกไม่ถึงว่ากลับพาเฉินชิงเหม่ยไปกินของรถเข็นข้างทาง

เฉินชิงเหม่ยมองดูเย่หลินดึงตะเกียบออกจากกันให้ตัวเองแล้ว ก็รู้สึกว่าทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นนี้นี่ดูไม่น่าใช่เรื่องจริงสักเท่าใดนัก

“ฉันเห็นว่าทุกวันจะมีนักเรียนมากินอาหารกันที่นี่เยอะแยะ ก็เลยพานายมา ไม่ชอบเหรอ?”“ไม่ใช่…ไม่ใช่…แต่ในใจของฉัน นายเป็นเทพสูงส่งที่ไม่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องมนุษย์เลย! นึกไม่ถึงว่าจะกินของแบบนี้ด้วย…”

“เมื่อก่อนตอนที่เรียนอยู่สาธิตม.T ก็มากินที่นี่ พวกนายล่ะ?”

“พวกเราเหรอ? เซี่ยจื้อชอบกินข้าวผัดไข่ที่นี่ แล้วก็ผักกาดขาวผัดเค้กข้าวด้วย!” 

“อ้อ พวกนายน่าจะเป็นสัตว์กินเนื้อไม่ใช่เหรอ?”

เย่หลินลากกาน้ำร้อนมาลวกตะเกียบกับชามให้เฉินชิงเหม่ย 

“อยากจะถ่ายรูปไปให้เซี่ยจื้อดูเหลือเกิน! เทพบุตรเขาไม่มีวางมาดเลยสักนิด ช่างเอาอกเอาใจดูแลคนเป็นจริงๆ!”

พอฟังมาถึงตรงนี้ เย่หลินก็หัวเราะออกมา “เทพบุตร? ฉันเป็นเทพบุตรของใครกัน?”

“เซี่ยจื้อ เพื่อนตั้งแต่เด็กของฉัน! เขาชอบนายมากเลย!ตั้งแต่ตอนสิบขวบที่เขาไปดูนายแข่งแล้ว หลังจากนั้นทุกสนามที่นายแข่งในเมือง T เขาก็จะตามไปดูหมด!”

เย่หลินผงะไปเล็กน้อย “ตอนเขาสิบขวบ ฉันก็สิบสองขวบไหม…”

“ใช่แล้ว! นายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในวัยเด็กของเขาเลยนะ!”

เฉินชิงเหม่ยรู้ว่าเซี่ยจื้อแคร์เย่หลินมากเพียงใด แต่ด้วยนิสัยของเขาแล้ว ต่อให้โลกแตกก็ยังปากแข็งอยู่ดี เช่นนั้นก็ให้เพื่อนสมัยเด็กคนนี้สารภาพรักกับเย่หลินแทนให้ก็แล้วกัน!

“ชื่อของเขาเขียนยังไง?” เย่หลินถาม

“เซี่ยในคำว่า ‘เซี่ยเทียน’ (ฤดูร้อน)! จื้อในคำว่า ‘จี๋จื้อ’ (เป็นที่สุด)”

เย่หลินหลุบตาลงเล็กน้อย เห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นภายใต้แสงไฟสีเหลืองสลัว ทว่าก็กลับทำให้คนเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

“เป็นจื้อที่เป็นที่สุดจริงด้วย”

“อะไรนะ?” เฉินชิงเหม่ยขยับศีรษะเข้าไปใกล้ ฟังไม่ชัดว่าเมื่อครู่เย่หลินพูดอะไร

“ไม่มีอะไร ข้าวผัดไข่มาแล้ว”

เฉินชิงเหม่ยหยิบช้อนขึ้นมากินไปได้สองคำ จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาถาม “เอ่อ แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่สาธิตม.T?”

“โรงเรียนมัธยมดังที่อยู่ใกล้ร้านเน็ตนั่นก็มีแค่มัธยมสาธิตม.T ที่เดียว นายฉลาดขนาดนั้น ฉันไม่เชื่อว่านายอยู่โรงเรียนมัธยมอื่นหรอก”

“อ๋อ ไม่เสียทีที่เป็นเทพ! ตรรกะดีมากเลย!”

“อันที่จริงแล้วฉันมองเห็นต่างหาก” เย่หลินยิ้มแล้วเทโค้กให้เฉินชิงเหม่ยแก้วหนึ่ง

“มองเห็น? เมื่อไรกัน?”

“บ่ายวันศุกร์นายกับเซี่ยจื้อใส่ชุดนักเรียนไปที่อควาเรียม”

“อะไรนะ? ทำไมเราไม่เห็นนาย? นายก็อยู่ที่นั่นด้วย!”

“ฉัน…อยู่ที่ฝั่งกระจกนั่น” เย่หลินใช้น้ำเสียงกึ่งล้อเล่นกล่าว

“อีกฝั่งของกระจก…” เฉินชิงเหม่ยเข้าใจในทันที “ฉันรู้แล้ว นายต้องเห็นเซี่ยจื้อกำลังเล่นกับโลมาตัวนั้นอยู่แน่ ใช่ไหม! เราเล่นกันสนุกมากก็เลยไม่เห็นนาย!”

เฉินชิงเหม่ยคิดในใจ เย่หลินจะอยู่ที่อีกฝั่งของกระจกได้อย่างไรกัน! ก็อีกด้านเป็นปลาในอควาเรียมนี่! หรือว่าเย่หลินจะเป็นโลมาขี้อ้อนตัวนั้นหรือไง!

เย่หลินยิ้มแต่ไม่ตอบเพียงถามต่ออีกว่า “เซี่ยจื้อว่ายน้ำดีขนาดนั้น ถ้าหากเขาได้เข้าร่วมการแข่งขันหรือว่ากลุ่มฝึกอบรม จากความสามารถของเขาจะเป็นนักกีฬาชั้นหนึ่งระดับประเทศเลยก็ยังมีความเป็นไปได้ แต่ฉันไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย”

“ตอนม.ต้นเขาเคยเข้าร่วมการแข่งขันตั้งเยอะแยะ เก่งมากๆ เลยละ แต่ว่าตอนม.สามพ่อของเขาเสีย แม่เขาไม่ยอมให้เซี่ยจื้อฝึกว่ายน้ำต่อ เขาก็เลยไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันอีกเลย” เฉินชิงเหม่ยก้มหน้าลง พอนึกถึงบิดาของเซี่ยจื้อ ก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมากะทันหัน

“พ่อของเขาเสีย แล้วทำไมแม่เขาถึงไม่ให้เขาฝึกว่ายน้ำต่อล่ะ?”

“พ่อของเซี่ยจื้อคือเซี่ยอวิ๋น เขาเคยได้เหรียญทองแดงหนึ่งร้อยเมตรฟรีสไตล์ชายในรายการชิงแชมป์โลก…”

เย่หลินตกตะลึงไปเลย

“ฉัน…เคยอ่านข่าวนั่นนะ ตอนนั้นมีรถยนต์ส่วนตัวคันหนึ่งตกสะพานข้ามแม่น้ำ เซี่ยอวิ๋นช่วยชีวิตเด็กกับคนท้องในรถออกมา…แต่ว่าเขาไม่ได้กลับขึ้นมาอีกเลย”

“น้ำพรากชีวิตเขาไป สำหรับแม่ของเซี่ยจื้อแล้ว นี่คงเหมือนเป็นเรื่องต้องห้ามเลยละมั้ง…ฉันเดาว่าถ้าหากเซี่ยจื้อยังว่ายน้ำต่อไป ก็จะทำให้แม่เขานึกถึงเรื่องของพ่อเขาในตอนนั้นขึ้นมาน่ะ” เฉินชิงเหม่ยกัดช้อนพลาสติก ไม่รู้ว่าควรจะพูดต่อไปดีหรือไม่

คำพูดเหล่านี้เซี่ยจื้อไม่มีทางบอกเย่หลินอยู่แล้ว เพราะเซี่ยจื้อจะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าเย่หลินแน่ แต่ส่วนลึกในใจของเซี่ยจื้อย่อมต้องหวังให้เย่หลินเข้าใจเขา

ในเมื่อเป็นคนที่เซี่ยจื้อเฝ้าใฝ่หา เช่นนั้นแล้วเฉินชิงเหม่ยก็เชื่อว่าเย่หลินจะไม่ทำร้ายเซี่ยจื้อ 

“แล้วเซี่ยจื้อล่ะ? วันนั้นฉันแข่งกับเขา ฉันสัมผัสได้ว่าสมรรถภาพทางกายกับเทคนิคของเขาไม่เหมือนสภาพที่ว่างเว้นไปสามปีเลย”

“เขามักจะไปว่ายน้ำช่วงพักกลางวันแล้วก็ช่วงเสาร์อาทิตย์! มีแค่ตอนพักกลางวันที่ในสระว่ายน้ำจะไม่มีคน แบบนั้นจะได้ฝึกอย่างหนำใจ เขาจะวิ่งทุกเช้า วิดพื้นแล้วก็ออกกำลังกายสารพัดอย่าง ตื่นเช้ามากเพราะฉะนั้นเลยจะหลับในเวลาเรียน…”

มือของเย่หลินยังจับกระป๋องโค้กอยู่ ได้ยินเพียงเสียง ‘กรอบแกรบ’ กระป๋องโค้กถูกบีบจนแบนไปแล้ว

เฉินชิงเหม่ยเงยหน้าขึ้นมา “เย่…เย่หลิน?”

“ไม่มีอะไร เซี่ยจื้อเป็นนักกีฬาที่ฉันชื่นชมมาก พอพูดถึงเรื่องของเขาขึ้นมา ฉันก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้างเหมือนกัน”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง…”

“ในเมื่อทุกคนก็อยู่สาธิตม.T นายจะเรียกฉันว่ารุ่นพี่หรือพี่หลินก็ได้”

“โอ๊ย! ใช่แล้ว!” เฉินชิงเหม่ยลูบๆ ท้ายทอย ยิ้มเก้อเขิน

“วันนั้นพอเซี่ยจื้อแข่งกับฉันเสร็จ ก็รีบออกจากสระว่ายน้ำไปเลย เป็นอะไรไป?”

น้ำเสียงของเย่หลินนุ่มนวลมาก มองตาเขาแล้วจะทำให้คนรู้สึกอยากระบายความในใจออกมาอย่างน่าประหลาด

“เอ่อ เซี่ยจื้อเคารพเทิดทูนพี่เสมอมา…ตอนเด็กเขาไปดูการแข่งขันของพี่กับพ่อเขา พอพ่อถามเขาว่าโตขึ้นอยากเป็นไมเคิล เฟ็ลปส์หรือเปล่า เขาบอกว่า…เขาอยากเป็นพี่ เขาเสิร์ชหาวิดีโอบันทึกภาพการแข่งขันของพี่ตั้งมากมาย หลายปีก่อนตอนที่หวั่งผาน* ( หวั่งผาน : คือเทคโนโลยีคลาวด์ที่ใช้เก็บข้อมูลออนไลน์เหมือนกูเกิ้ลไดรฟ์) ยังไม่แพร่หลาย เขาจะดาวน์โหลดการแข่งขันของพี่แล้วไรต์เก็บใส่แผ่นซีดีไว้ดูท่าว่ายของพี่ครั้งแล้วครั้งเล่า”

เย่หลินหัวเราะเบาๆ “เขาดูไม่เบื่อเหรอ?”

“ดูไม่เบื่อ” เฉินชิงเหม่ยยักไหล่อย่างจนปัญญา “ผมดูอยู่ข้างๆ เกือบจะหลับไปแล้ว เขายังลากผมขึ้นมาพูดอย่างตื่นเต้นว่าการวาดแขนของพี่มันเยี่ยมขนาดไหน การหายใจของพี่มันเป็นธรรมชาติมากขนาดไหน จุดศูนย์ถ่วงของพี่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้…เขาบอกว่าพี่เกิดมาคู่กับน้ำเลย”

เย่หลินก้มหน้าอยู่ ปลายนิ้วสั่นอย่างน่าประหลาด

“หลังจากที่พี่ถอนตัวจากการแข่งขันเพราะปัญหาสุขภาพ เซี่ยจื้อเสียใจมาก เขาเสิร์ชหาข่าวคราวของพี่ทุกวัน พวกข่าวลือที่ว่าพี่เป็นโรคหัวใจ พี่เป็นโรคปอดอักเสบ พี่ไปกินยาที่ไม่ควรกินจนในที่สุดก็เป็นโรคจำพวกหลอดเลือดสมอง เรื่องพวกนี้ทำให้เขาหน้าเศร้าทุกวัน พี่หลิน บางทีแล้วคู่แข่งกับแฟนคลับของพี่อาจจะสนใจเรื่องสภาพร่างกายของพี่ แต่ไม่มีทางจะมีใครที่เหมือนเซี่ยจื้อหรอก เขาไม่สามารถปล่อยวางเรื่องที่พี่ออกจากวงการว่ายน้ำไปอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุได้”

“เพราะฉะนั้น…หลังจากที่เขาแข่งกับฉันแล้ว ตอนที่รู้ว่าร่างกายฉันแข็งแรงดีมาก ก็เลยโกรธขนาดนั้น”

เฉินชิงเหม่ยรีบโบกมือ “ไม่ใช่ครับ! เขาไม่ได้โกรธ! เขาไม่ได้โกรธพี่จริงๆ!”

เย่หลินยิ้ม “ใช่แล้ว ผลการเรียนของเขาที่มัธยมสาธิตม.T เป็นยังไงบ้าง? ในเมื่อไม่มีผลงานใช้โควตานักกีฬาไม่ได้ แล้วสอบเข้าปกติล่ะ?”

เฉินชิงเหม่ยเผยสีหน้าลำบากใจออกมา “พี่หลิน…เมื่อกี้ผมก็บอกพี่ไปแล้วว่าเขาหลับในห้องเรียนอยู่บ่อยๆ…ผลการเรียนจะดีได้ยังไงล่ะ วนเวียนอยู่อันดับที่สองร้อยห้าสิบกว่าของชั้นปีตลอด…ถ้าเขาจะตั้งใจสักหน่อย สอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมดาสักแห่งของเมืองนี้ก็น่าจะพอได้ละมั้ง…”

“อ๋อ พวกนายเพิ่งสอบรายเดือนไปใช่ไหม” เย่หลินถาม

“ใช่ครับ…ผลคะแนนของเขาน่ะผมก็พอจะประมาณการออกมาได้ ถ้าผมสอบได้คะแนนไม่ดี กลับบ้านก็โดน ‘ฟาดสองเด้ง’ เขากลับบ้านก็โดนแม่ ‘ด่าเปิงตีก้นลาย’ ”

“อือ ฉันรู้แล้วละ นายกลับไปแล้วอย่าบอกเขาถึงเรื่องที่เราคุยกันวันนี้นะ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ! เซี่ยจื้อต้องดีใจมากแน่!”

“เขาไม่มีทางดีใจหรอก” เย่หลินดีดหน้าผากเฉินชิงเหม่ยไปทีหนึ่งเหมือนพี่ชายทำกับน้องชาย “เขาต้องทำตัวไม่ถูก ก็นายเล่าเรื่องของเขาให้ฉันฟังหมดแล้ว เขาต้องเสียหน้ามากแน่”

เฉินชิงเหม่ยเข้าใจในทันที “เอ๊ะ! พี่รู้ได้ยังไงว่าเขาจะเป็นแบบนี้?”

“สัญชาตญาณบอก”

กินข้าวเรียบร้อย เย่หลินก็เดินออกจากตรอกเล็กๆ มากับเฉินชิงเหม่ย เดินผ่านถนนขายอุปกรณ์กีฬาพอดี เย่หลินเห็นว่ายังมีเวลาอีกมาก จึงพาเฉินชิงเหม่ยเข้าไปเดินเล่นดูสักหน่อย เฉินชิงเหม่ยเดินตามหลังเย่หลิน พลางคิดในใจว่ารับกลิ่นไอเด็กเทพจากเย่หลินให้มากสักหน่อย ไม่แน่ว่าสอบรายเดือนคราวหน้าตนเองก็อาจจะเข้าไปอยู่ในสนามสอบที่สองได้แล้ว?

เย่หลินซื้อแว่นตาว่ายน้ำอันหนึ่ง ตอนออกจากประตูมาก็ส่งให้เฉินชิงเหม่ย

“เอ๋? พี่หลิน พี่จะให้แว่นว่ายน้ำผมเหรอ?”

“นายไม่ชอบว่ายน้ำหรอกมั้ง ให้นายนายก็ไม่ใช้นี่” เย่หลินหัวเราะออกมา

“ให้เซี่ยจื้อเหรอครับ? พี่รู้ได้ยังไงว่าแว่นตาว่ายน้ำเขาหายไป?”

“ถือว่าเป็นของปลอบใจคะแนนสอบรายเดือนครั้งนี้ของเขาแล้วกัน ต่อไปจะไม่มีอะไรที่ผ่านไปได้อย่างสบายๆ ขนาดนี้อีกแล้ว

ในตอนนั้น เฉินชิงเหม่ยไม่ได้เข้าใจความหมายที่เย่หลินว่า “ต่อไปจะไม่มีอะไรที่ผ่านไปได้อย่างสบายๆ ขนาดนี้อีกแล้ว” คิดเพียงแต่ว่า แว่นตาว่ายน้ำนี้เหมาะกับเซี่ยจื้อเหลือเกิน

คมชัด กันน้ำ กันไอ ทั้งรูปลักษณ์ก็ยังเจ๋งเป้งมากอีกด้วย

“จะไม่ให้บอกเขาจริงหรือว่าพี่ซื้อให้เขา?”

“อย่าบอกเขา” เย่หลินมองเฉินชิงเหม่ยอย่างจริงจัง “นายจะปิดปากสนิทใช่ไหม?”

“แน่นอนครับ!” เฉินชิงเหม่ยทำหน้าจริงใจ

“แล้วก็ นายก็รู้ว่าคนฉลาดแกล้งเป็นคนโง่ไปตลอดไม่ได้หรอกใช่ไหม?”

“หา?”

“เพราะเรามักจะใช้วิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย” เย่หลินหัวเราะ แล้วหันหลังจากไป

เฉินชิงเหม่ยก็หัวเราะเช่นกัน เขาถือแว่นว่ายน้ำแกว่งไปมา

“สุดยอดไปเลย เทพธิดามีใจ เซียงอ๋องปากแข็ง* แทะเม็ดแตงรอดูงิ้วดีกว่า” ( “เทพธิดามีใจ เซียงอ๋องปากแข็ง” : เดิมมาจากท่อนหนึ่งของ “เสินหนี่ว์ฟู่” ของซ่งอวี้ที่ว่า “เซียงอ๋องมีใจ เทพธิดาไร้ใจ” หมายถึงการแอบรักข้างเดียว)

 

 

ในบาร์เหล้า “เฟยเมิ่ง” ตอนเที่ยงคืน เย่หลินใส่เสื้อเชิ้ตขาวยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์

ด้านล่างมีหญิงสาววัยรุ่นนั่งอยู่มากมาย มองดูเย่หลินผสมเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าอย่างชื่นชมมาก

พอถึงตอนตีสามตีสี่ คนในบาร์เหล้าถึงได้ค่อยๆ น้อยลง

เย่หลินก้มหน้าอยู่ นิ้วมือเปื้อนเหล้าอยู่นิดหน่อยพอดี เขาไม่ได้รีบเช็ดออกในทันที หากแต่เขียนอักษร “จื้อ” ตัวหนึ่งลงบนโต๊ะ

“อุ๊ย พี่หลินกำลังทำอะไรอยู่น่ะ! คิดอะไรในใจเหรอ?”

ผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งเดินผ่านมาจากทางด้านหลังเขา เย่หลินถึงได้รู้ว่าตนเองเหม่อไป

“ไม่มีอะไร”

บาร์เทนเดอร์หญิงที่อายุมากกว่าหน่อยอีกคนกล่าวล้อ “เทพบุตรของพวกนาย ดูท่าอยากลงไปเกิดในโลกมนุษย์แล้ว!”

“อะไรนะ พี่หลินจะลงมาโลกมนุษย์? กับใครเหรอ?”

หนุ่มสาวสามสี่คนต่างล้อมกรูกันเข้ามา อยากดูว่าเย่หลินเขียนอักษรอะไรไว้บนโต๊ะ

เย่หลินถอนใจเฮือกราวกับกลัวโลกจะไม่ถล่ม กล่าวว่า “สองตัวมู่ไม่ใช่หลิน ล่างตัวเถียนมีซิน*” (สองตัวมู่ไม่ใช่หลิน ล่างตัวเถียนมีซิน : เป็นการทายตัวอักษรในคำ “สองตัวมู่ไม่ใช่หลิน” เดิมทีอักษรตัวมู่สองตัวรวมกันจะกลายเป็นอักษรหลินหมายถึงป่าไม้ ในที่นี้ไม่ใช่หลิน หากแต่เป็นอักษร “เซียง” ส่วน “ล่างตัวเถียนมีซิน” การเติมอักษร “ซิน” เข้าไปที่ด้านล่างของอักษร “เถียน” จะกลายเป็นอักษร “ซือ” เมื่อรวมสองอักษรเข้าด้วยกันจะกลายเป็นคำว่า “เซียงซือ” หมายถึง “คิดถึง”)

“ไม่ใช่ละมั้ง เย่หลิน นาย ‘ตกหลุมรัก’ จริงเหรอเนี่ย”

“เมื่อก่อนยังรู้สึกว่าฤดูใบไม้ผลิดีมาก จู่ๆ วันนี้ก็รู้สึกว่าฤดูร้อนน่ารักที่สุด”

ทันใดนั้น ในบาร์เหล้าก็มีเสียงโอดครวญดังไปทั่ว

 

 

สุดสัปดาห์ก็ผ่านไปเช่นนี้ แล้ววันจันทร์อันชั่วช้าก็มาถึง

เซี่ยจื้อขี่จักรยานมาถึงที่ปากตรอก ก็เจอเข้ากับเฉินชิงเหม่ย

“โอ๊ยๆๆๆ! เพราะวันจันทร์อันชั่วช้านี่ ทำให้ฉันต้องพรากจากเสาร์อาทิตย์ไปแบบนี้!” เฉินชิงเหม่ยร้องโอดครวญ

เซี่ยจื้อเอียงคอมองเฉินชิงเหม่ย “ทำไมรู้สึกว่าแค่เสาร์อาทิตย์ผ่านไป นายก็ดูมีสง่าราศีขึ้นมาเลย?”

“มันแน่อยู่แล้ว ฉันได้เจอเทพบุตรมา…” พอเฉินชิงเหม่ยนึกถึงเรื่องที่รับปากเย่หลินไว้ ก็หุบปากทันที

“ฉันเห็นนายก็เท่ากับเห็นเทพบุตรประสาทละมั้ง!”

เซี่ยจื้อออกแรงถีบจักรยาน พริบตาเดียวก็ทิ้งห่างเฉินชิงเหม่ยไปไกลโข

เหล่าบรรดาอาจารย์มักจะเคารพต่อวิชาชีพมาก สุดสัปดาห์เดียวเท่านั้นก็ตรวจข้อสอบทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว

ระหว่างคาบเรียน เฉินชิงเหม่ยดูคะแนนวิชาคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ของเซี่ยจื้อแวบหนึ่ง เขากลืนน้ำลายเอื้อกกล่าวว่า “นายนี่มัน…! สีแดงบานเป็นดอกเห็ด เป็นบ๊วยอย่างไม่ต้องสงสัยเลยจริงๆ!” 

เซี่ยจื้อไม่มีปฏิกิริยาอะไรแม้แต่น้อย ขณะนั้นเฉินซั่วผู้ที่เป็นที่สองจากบ๊วยก็เดินมาที่ข้างตัวเขา อ้าแขนกว้างจะเข้ามากอด “อาจื้อ! ขอบใจที่นายช่วยฉันไว้อีกครั้ง! ถึงแม้ว่าหนนี้ฉันจะไม่มีความก้าวหน้า แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ถอยหลังเหมือนกัน!”

เซี่ยจื้อผายมือ “ค่าขอบคุณล่ะ?”

เฉินซั่วทำท่ายากจะเชื่อ “เรารู้จักกันมานานขนาดนี้ นายกลับพูดเรื่องเงินกับฉัน?”

“ไม่ให้เงิน ก็ทำลายความรู้สึกฉันน่ะสิ”

เฉินซั่วแสร้งหยิบเอาธนบัตรใบละหนึ่งหยวนมาตบใส่ฝ่ามือเซี่ยจื้อ “มีแค่นี้แหละ นายทุนเองก็ไม่มีเสบียงเหลือแล้วเหมือนกัน!”

เวลานี้หัวหน้าห้องที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักตะโกนเสียงดังว่า “เซี่ยจื้อ! เหล่าเว่ยหานาย! คุยกันตามปกติ!”

เฉินชิงเหม่ยกับเฉินซั่วปิดปากยิ้ม

สองสามปีในชั้นมัธยมปลายนี่ หลังการสอบไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เซี่ยจื้อมักจะถูกเหล่าเว่ยเรียกไปคุยด้วยตลอด เหล่าเว่ยสามารถบ่นนักเรียนทุกคนที่เรียนไม่ดีรวมถึงพวกที่ไม่สงบเสงี่ยมทำตัวให้ดีจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาได้เลยเชียวละ มีเพียงเซี่ยจื้อเท่านั้นที่มักจะไหวตัวหาทางหนีทีไล่ออกมาทัน

“เฮีย ผมจะรอชื่นชมการแสดงของเฮียนะ” เฉินชิงเหม่ยยกนิ้วโป้งให้

“ฉันจะจับตาดูนายให้ดีเลย” เฉินซั่วโห่ร้องตาม

เซี่ยจื้อใช้เท้ายันเก้าอี้นั่งให้ถอยออกแล้วเดินออกไปจากห้องเรียน ทิ้งท้ายไว้ว่า “ชีวิตคนก็เหมือนนกน้อยที่คับแค้น ตอนที่เราพ่ายแพ้ก็มักจะมีหมูสามสี่ตัวคอยหัวเราะเยาะ”

พอมาถึงห้องทำงานประจำชั้นปีของเหล่าเว่ย เห็นเขากำลังใส่แว่นดูผลการสอบรายเดือนของเซี่ยจื้ออยู่

ไม่รู้ว่านับตั้งแต่เมื่อไรเป็นต้นมา ที่ใบรายงานผลการสอบของนักเรียนทำเหมือนกับใบแจ้งเงินเดือนเสียอย่างนั้น

เพียงแต่โดยทั่วไปในใบแจ้งเงินเดือนก็จะเขียนแต่เงินประจำตำแหน่ง เงินเดือน เงินประกันชีวิต เงินตอบแทนตามความสามารถอะไรจำพวกนี้

แต่บนใบรายงานผลการเรียนของเซี่ยจื้อคือภาษาจีน คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ลำดับที่ในชั้นปี ซ้ำยังมีช่องอันน่ารังเกียจที่ให้ผู้ปกครองเซ็นชื่อด้วย

“อาจารย์เว่ยครับ” เซี่ยจื้อมาตรงหน้าของเหล่าเว่ยที่กำลังก้มหน้าอยู่ 

“เซี่ยจื้อเอ๊ย เธอดูผลการสอบของเธอนี่สิ…ก่อนหน้าเธอรับปากฉันไว้ว่าจะพัฒนาวิชาเลขกับฟิสิกส์ เคมี ชีวะขึ้นมา แล้วนี่เธอ…”

“ขอโทษด้วยครับอาจารย์เว่ย แต่ว่าผมทำเต็มที่ที่สุดแล้ว เนื้อหาในชั้นเรียน ผมรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจแล้วจริงๆ ตอนทำข้อสอบผมก็รู้สึกว่าตัวเองทำได้ แต่ก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ดี…ดูท่าผมจะไม่เหมาะกับการเรียนไหมครับ…”

ทุกประโยคของเซี่ยจื้อเปี่ยมด้วยความรู้สึกจนใจ ไม่เห็นค่าตนเอง แสดงออกตลอดเวลาว่าตนเองทำผิดต่อความคาดหวังของอาจารย์เว่ย

เหล่าเว่ยมองเขาถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง อยากจะด่าเซี่ยจื้อเหมือนที่ด่านักเรียนคนอื่นเหมือนกัน แต่ว่าเซี่ยจื้อก็พิจารณาตนเองแสดงความสำนึกผิดอย่างจริงใจมากแล้ว แถมเจ้าตัวก็ไม่มั่นใจในตนเองมากพอแล้วด้วย เหล่าเว่ยจึงได้แต่ปลอบใจเขาไม่หยุด ให้กำลังใจ เกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ

“เซี่ยจื้อเอ๊ย เธอเชื่อครูนะ แค่เธอขยันกว่านี้อีกสักหน่อย ยืนหยัดต่อไปอีกสักหน! สอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมดาๆ สักแห่งในท้องถิ่นได้แน่!”

เซี่ยจื้อเหลือบตาขึ้นมา เม้มปากถามว่า “อาจารย์เว่ยครับ…นอกจากอาจารย์แล้ว ไม่มีใครคิดว่าผมสอบเข้าได้หรอกครับ…”

เหล่าเว่ยก็ปลอบใจไปอีกชุด จากนั้นก็ปล่อยเซี่ยจื้อกลับห้องเรียนไป

พอเดินออกมาจากห้องทำงานของชั้นปี เซี่ยจื้อก็ยืดแผ่นหลังตรง ความกลัดกลุ้มบนใบหน้าสลายหายไปหมด เดินกลับมาที่ห้องเรียน

เฉินชิงเหม่ยขยับเข้ามาหา “นี่ วิธีที่นายใช้จัดการกับเหล่าเว่ยคืออะไรกันแน่ฮะ?”

“ยอมรับผิด”

“หา? เหล่าเว่ยยอมรับไม้นี้ด้วย?”

“ยอมรับผิดครั้งเดียวไม่มีประโยชน์ ต้องยอมรับผิดไม่หยุดแล้วก็ไม่ต่อต้านไม่แสดงความอึดอัดคับข้องใจด้วย เหล่าเว่ยจะได้รู้สึกว่าถึงแม้สมองนายจะไม่ดี แต่กิริยามารยาทไม่มีปัญหา” เซี่ยจื้อตอบ

“พระเจ้า…โคตรเห่ยเลย!”

“ข้าวที่สุกงอมต้องโน้มรวงลง ฉันก้มตัวยอมรับผิด เพราะฉันเป็นผู้ใหญ่กว่าเหล่าเว่ย”

“นายมันบรรลุแล้ว ฉันจะไม่ยอมให้ใครทั้งนั้นนอกจากนายคนเดียว” เฉินชิงเหม่ยฉวยจังหวะออดเข้าเรียนดัง รีบกลับไปนั่งที่ตัวเอง

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal