(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน 36 อาชาสะท้านฟ้า เล่ม 1

Tuesday

บทที่ 2 สำนักโจร

เมื่อห้าสิบปีก่อน นครฉางอันถูกกบฏโจรคิ้วแดงและสงครามทำลาย แต่รากฐานยังอยู่ แม้ราชวงศ์ฮั่นจะย้ายนครหลวงไปตะวันออก แต่ชาวบุ๋นยังคงถกกันไม่หยุดหย่อนถึงข้อเด่นข้อด้อยระหว่างฉางอันกับลั่วหยาง และข้อเสนอให้ย้ายราชธานีกลับฉางอันก็ไม่เคยยุติ แม้เขตพระราชฐานจะไม่อยู่แล้ว แต่ตระกูลใหญ่กลับยิ่งรุ่งเรือง ร้านค้าหอคณิกาผุดราวดอกเห็ด จอมยุทธพเนจรจากทุกสารทิศพากันมาแย่งพื้นที่

ถนนจางไถผ่าแบ่งนครฉางอันเป็นตะวันออกกับตะวันตก ประตูชิงหมิงข้างคลองหมิงทางตะวันออกคึกคักอย่างยิ่ง แม้ส่วนมากจะเป็นร้านค้าเล็กๆ ก็ตาม กลางตลาดมีศาลเจ้าเล็กก่อด้วยหิน แต่ข้างในกลับบูชาจื่อลู่ผู้เป็นศิษย์ของขงจื่อ ข้างศาลเจ้ามีคนแสดงการละเล่นพื้นเมือง หาบเร่ร้องขายของเสียงจ้อกแจ้กอย่างยิ่ง ตะวันยังสูงโด่ง ช่างกุญแจหลิ่วไคกลับเริ่มเก็บแผงแล้ว

หลิ่วไคอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ท่าทางเกียจคร้านแต่ใบหน้าหล่อเหล่า ปกติดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ผมเผ้าเรียบร้อยสะอาด บางครั้งยังเสียบดอกไม้ที่จอนด้วย

ผู้คนในตลาดหยอกเย้า “เก็บแผงแล้วหรือ จะไปร้านแม่ม่ายฮวาอีกหรือ”

หลิ่วไคหัวร่อแต่ไม่กระบิดกระบวน “ทำอย่างไรได้ ไปจางไถไม่ไหว”

ถนนจางไถเป็นแหล่งหอคณิกาชั้นสูง

คนในตลาดประชดส่ง “งั้นเจ้าก็ไปโอ้อวดเถิด!”

ตามริมคลองหมิงปลูกต้นท้อเต็มไปหมด ในป่าดอกท้อมีร้านสุราร้านหนึ่ง จำหน่ายสุราดอกท้อและสตรีเจ้าของร้านหน้าตาสะสวยก็แซ่ฮวา (แปลว่าดอกไม้) เป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว บรรดาพ่อค้าหาบเร่ตัวเล็กตัวน้อยรอบข้างมักมาแวะดื่มที่นี่เป็นประจำ อาจเพราะอยากชมดูเถ้าแก่เนี้ยในคอกเสมียนตอนตวงสุรากระมัง ฮวากว่าฟู่หรือแม่ม่ายฮวาเคยเห็นโลกกว้าง จึงสามารถพูดคุยเล่นหัวกับพวกคนหยาบกร้านได้ แต่ถ้าจะฉีกหน้าก็ฉีกเลย และใช้กระบวยไม้ตวงสุราไล่ตีคน ผู้ตีและผู้ถูกตีต่างไม่มีฝ่ายใดคุมแค้น วันหลังยังคงมาหยอกเย้าเล่นหัว มีอยู่พักหนึ่งขุนนางคนหนึ่งคล้ายต้องตาฮวากว่าฟู่จึงมาดื่มสุราทุกวัน พอเมาก็ฟุบหลับกับโต๊ะ ทำเอาลูกค้าไม่กล้าพูดเสียงดัง ภายหลังขุนนางผู้นี้ไม่มาแล้ว ดูเหมือนฮวากว่าฟู่จะปฏิเสธไม่ยอมเป็นอนุภรรยา ร้านเล็กๆ แห่งนี้จึงครึกครื้นเหมือนเดิม บรรดาลูกค้าหยอกเย้าฮวากว่าฟู่ว่าน่าเสียดาย ฮวากว่าฟู่บอกว่านางเองก็นึกเสียใจเช่นกัน

ไม่รู้เพราะอะไร ฮวากว่าฟู่กลับต้องตาช่างกุญแจหลิ่วไค ทั้งสองก็ไม่เกรงคำครหา บรรดาคนตลาดร้านถิ่นพากันซักถามหลิ่วไคว่ามีดีอย่างไร หลิ่วไคกล่าวว่ากุญแจบ้านนางข้าเป็นผู้ติดตั้งให้เอง และข้าเก็บลูกกุญแจไว้ดอกหนึ่ง

 

หลิ่วไคมาถึงร้านสุราของคู่ขาก็ต้องตกใจสะดุ้งโหยง นอกร้านคนมุงแน่นขนัด ทุกคนถือชามสุราใบหนึ่ง กลับสำรวมไร้สุ้มเสียง พอเห็นหลิ่วไคก็พากันเปิดทางให้สายหนึ่ง

เหลือบมองทุกคนหลายครั้ง ดูเหมือนไม่ใช่คนแถวนี้ หลิ่วไคพกความสงสัยเข้าไปในร้าน เห็นในร้านมีแขกเหรื่อนั่งเต็ม ถือชามสุราอย่างสำรวมเช่นกัน บนโต๊ะมีกับข้าวเต็มโต๊ะ

หลิ่วไคตรงเข้าในคอกเสมียน กระซิบถามฮวากว่าฟู่ “นี่มันอะไรกัน”

ฮวากว่าฟู่กล่าวว่า “ข้าจักรู้ได้อย่างไร ต่างก็บอกว่าหาท่าน”

“ข้าไม่รู้จักพวกมัน”

“ข้าดูแล้วพวกมันล้วนเป็นชาวยุทธจักรรุ่นเยาว์ในเมือง แต่เกรงอกเกรงใจดี ต่างก็ซื้อสุรา ชามข้าไม่พอใช้แล้ว คงรวยแน่”

“ชาวยุทธจักร?” หลิ่วไคหันไปมองอย่างพิเคราะห์ ที่นั่งข้างหน้าต่างมิใช่ลู่เฉินผู้นำจอมยุทธ์หรอกหรือ เห็นลู่เฉินยกชามคารวะต่อโต๊ะข้างๆ คนที่โต๊ะข้างๆ ตัวไม่สูง เครายาวจรดอกมีคนห้อมล้อมหลายคน ก็ยกชามคารวะตอบเช่นกัน ท่าทางไม่เบา

หลิ่วไคเหลียวมองรอบร้าน พบว่าทุกคนก็จ้องมองตนจนอดขนลุกไม่ได้ ยังคงเป็นลู่เฉินที่ลุกขึ้นเดินเข้ามา ประสานมือคารวะ “ขออภัยที่ข้าพเจ้าลู่เฉินสายตาใช้มิได้ ถึงกับจำท่านจอมยุทธ์หลิ่วไม่ได้”

คนเครายาวก็เดินถึงคอกเสมียน คารวะอย่างเป็นทางการ โค้งตัวต่ำ คนในร้านกว่าครึ่งโค้งตาม คนผู้นั้นกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจี้เมิ่ง เลื่อมใสท่านจอมยุทธ์มานาน!”

หลิ่วไคงงงัน จี้เมิ่งเป็นหัวหน้าชาวยุทธ์ทางตะวันตกของเมือง บัดนี้ถึงกับเหยียบย่างตะวันออกของเมืองด้วยตัวเอง มิน่าเล่านอกร้านจึงมีคนมุงเต็มไปหมด ในร้านนี้เกรงว่าคนมีหน้ามีตาทั้งฝ่ายธรรมและอธรรมทั่วฉางอันคงมากันครบแล้ว

“จะ…จอมยุทธ์อะไรกัน” หลิ่วไคชักอยากหลบไปหลังสตรี

“จอมยุทธ์หลิ่ว เมื่อเร้นกายที่นี่ พวกเราก็มิกล้าเชื้อเชิญให้ท่านจอมยุทธ์ออกจากภูเขา เพียงมายลโฉมคารวะทักทายเท่านั้น” ลู่เฉินแห่งตะวันออกของเมืองกล่าว

“จอมยุทธ์หลิ่วอาศัยทางตะวันออกจนคุ้นแล้ว ข้าลู่เฉินยังคุ้มครองคนผู้หนึ่งมิได้กระนั้นหรือ” ลู่เฉินหันไปกล่าวกับจี้เมิ่ง

“จอมยุทธ์หลิ่วยังต้องให้ท่านคุ้มครองหรือ” จี้เมิ่งหัวร่อเย็นชาพลางโค้งให้หลิ่วไคอีกครา “ขอเพียงจอมยุทธ์หลิ่วยินดี เหล่าจอมยุทธ์ตะวันตกของเมืองล้วนยินดีปฏิบัติตามการนำของท่านจอมยุทธ์หลิ่ว” สิ้นเสียงคนในร้านคุกเข่าลงกว่าครึ่งถึงกับมีน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเทิดทูนมิแปลกปลอม

หลิ่วไคตัวสั่น​ “พวกท่าน…ข้าพเจ้ามิได้…” หลิ่วไคพลันร่ำไห้โฮ คุกเข่าลงกับพื้นเช่นกัน “ข้าพเจ้ามิใช่จอมยุทธ์แต่อย่างใด ข้าพเจ้าเป็นเพียงช่างตีเหล็กคนหนึ่ง…พี่ใหญ่ทั้งสองท่าน ท่านจอมยุทธ์เยาว์วัยทุกท่าน พวกท่าน…อย่าล้อข้าเล่นแล้ว…”

ฮวากว่าฟู่ทนดูต่อไม่ไหว จึงยองตัวลงกอดหลิ่วไคที่กำลังกลัวจนร่ำไห้ เงยหน้ามองพี่ใหญ่ทั้งสองแต่มิกล้าพูดอะไร พี่ใหญ่ทั้งสองมองหน้ากัน จี้เหิงหันไปถามลูกน้องเบาๆ “ข่าวผิดพลาดหรือไม่” ลูกน้องนั่นบอกว่ามิทราบ แต่เรื่องนี้คงได้แต่เชื่อว่ามี มิอาจสงสัยว่ามิมี ต่อให้เป็นความเท็จแพร่ออกไป ก็บอกว่าพี่ใหญ่อยากคบหากับจอมยุทธ์ทั่วแผ่นดิน ได้ชื่อว่าซื้อกระดูกม้าด้วยพันตำลึงทอง (เชิงอรรถ : คำพังเพยโบราณจากหนังสือจ้านกั๋วเช่อ อุปมาว่ากระหายที่จะได้ตัวผู้ทรงภูมิ)

จี้เมิ่งพยักหน้าแล้วคารวะต่อหลิ่วไคกับฮว่ากว่าฟู่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ”จอมยุทธ์หลิ่วอาจมีบางอย่างไม่สะดวก ถ้าเช่นนั้นจี้เมิ่งขออำลา วันหลังค่อยมาเยือนใหม่” กล่าวจบก็โบกมือถึงกับทิ้งทองคำ คันฉ่องทอง เหลืองและทรัพย์สินอื่นๆ ไว้ นำพลพรรคจากไป

ลู่เฉินดูเหมือนไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด แต่ก็ทิ้งข้าวของและเงินไว้บ้างแล้วถอยออกไป บอกหลายคนว่าวันหลังต้องคอยเฝ้าสังเกต “จอมยุทธ์หลิ่ว” หากมีความเคลื่อนไหวผิดปกติใดๆ ให้รายงานทันที

 

ยามวิกาล ฮวากว่าฟู่นั่งลูบคลำทองคำและทรัพย์สินตามลำพัง โดยเฉพาะคันฉ่องยิ่งรักชอบลูบคลำไม่วางมือ

“เจ้ากล้าใช้ของพวกนี้จริงหรือ” หลิ่วไคขดตัวบนเตียง

“พวกเขาให้เจ้าเอง”

“พวกเขาคงเข้าใจผิดแน่”

“ทำไมพวกเขาจึงเรียกท่านเป็นจอมยุทธ์”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

“งั้นจอมยุทธ์หลิ่วที่พวกเขาอุตส่าห์แบกสมบัติมามอบให้ เป็นผู้ใด”

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”

“งั้นทำไมท่านไม่ไปกับพวกเขา”

“ตอนนั้น…ข้าไม่กล้า”

“เจ้ายังไม่นอนหรือ”

“ข้าอยากลูบคลำของวิเศษพวกนี้อีกหน่อย…”

วิกาลคล้อยดึก ฮวากว่าฟู่แทบจะหลับไปพร้อมการลูบคลำคันฉ่องทองเหลือง หลิ่วไคลุกขึ้นในความมืด ยังได้ยินเสียงกรนสม่ำเสมอของฮวากว่าฟู่ที่อยู่ข้างกาย หลิ่วไคคลุมเสื้อตัวหนึ่ง เปิดหน้าต่างแล้วพลิ้วกายออกไปอย่างเงียบเชียบ

ส่วนฮวากว่าฟู่พลันลืมตา

จันทร์เสี้ยวกลางฟ้า

หลังคาทุกบ้านในฉางอันล้วนมีเกล็ดน้ำค้างปกคลุมภายใต้แสงจันทร์

หลิ่วไคเปลือยเท้าสยายผม เหินบินเท้าแทบไม่แตะพื้นบนหลังคา หลิ่วไคกระโจนสู่สันหลังคาบ้านใหญ่หลังหนึ่งแล้วพลันหยุดลง มองดูอีกปลายของสันหลังคา ณ ที่แห่งนั้น บุรุษหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งยืนโอบกระบี่ด้วยสีหน้าอ่อนล้า

“ดูสภาพของท่านแล้วคงเพิ่งลุกจากเตียง” บุรุษหนุ่มกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ท่านหนีครานี้ เท่ากับยืนยันว่าเป็นจอมโจรหลิวเผินจื่อ”

หลิ่วไคหรือหลิ่วเผินจื่อสองมือไพล่หลังไม่ขยับ หลังกายพลันปรากฏประกายเย็นเยียบสามสายพุ่งใส่บุรุษหนุ่ม เกิดเสียงเบาๆ หลายครา กระบี่อยู่ในมือบุรุษหนุ่มแล้ว ดูให้ละเอียดอีกทีพบว่าปลายกระบี่ร้อยอาวุธลับสามชิ้น “เข็มย้อนกลับยังมีฝีมือลึกลับเช่นนี้ ฐานะยิ่งไม่ผิด”

หลิ่วเผินจื่อสีหน้าแปรเปลี่ยน เพลงกระบี่นี้เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต รู้ตัวว่าไม่อาจเปรียบ เท้าเปล่าสะกิดวูบพลิกตัวไปข้างหลัง พลันได้ยินเสียงลมกลางอากาศ ธนูดอกหนึ่งยิงมาถึงกับมิอาจหลบเลี่ยง จึงได้แต่พลิกตัวคว้าตัวธนูไว้ ยืมสภาวะตกลงที่เดิม

เสียงปรบมือของบุรุษหนุ่มท่ามกลางราตรีสงัดดังกังวานเป็นพิเศษ ยังทอดถอนใจว่า “ต่างบอกว่าท่าร่างของหลิ่วเผินจื่อเป็นหนึ่งไม่มีสอง นับว่าสมกับชื่อเสียงจริงแท้”

หลิ่วเผินจื่อลอบสังเกตรอบข้าง ไม่รู้ว่าธนูยิงมาจากที่ใด แต่รู้สึกได้ว่าถูกยอดฝีมือคนหนึ่งจับจ้องแต่ไกลเหมือนหนามตำหลัง หลิ่วเผินจื่อทะยานออกด้านข้างอย่างรวดเร็ว ธนูอีกดอกยิงใส่กลางอากาศ ได้แต่ใช้ลูกธนูในมือปักใส่ ถูกบังคับให้ตกลงจุดเดิมอีกครา เหงื่อโชกโดยไม่รู้ตัว หลิ่วเผินจื่อถือดีว่าตนเป็นยอดฝีมือด้านอาวุธลับ แต่ผู้ยิงธนูไร้เล่ห์กลแม้แต่น้อย สามารถจับจังหวะการยิงได้อย่างน่ากลัวเป็นที่สุด ริมหูกลับได้ยินเสียงชมเชยจากบุรุษหนุ่ม “ท่าร่างอันประเสริฐ! นางแอ่นบิดเอว ไร้ตำหนิ!”

หลิ่วเผินจื่อโก่งตัวทะยานไปทางขวา ปลายเท้ากลับเกี่ยวไว้ที่หัวรูปสัตว์ของชายคา รั้งตัวไปทางซ้าย และแล้วธนูอีกดอกที่กรีดผ่านด้านขวาจริง หลิ่วเผินจื่อไม่ทันจะลิงโลด อีกดอกก็แหวกอากาศมาบีบคั้นจนเขาจำต้องร่อนลงที่จุดเดิม และดูเหมือนได้ยินเสียงเอ๊ะจากผู้อยู่ในที่ลับ

หลิ่วเผินจื่อรู้ว่าคืนนี้ตกสู่กับดัก แต่กลับเยือกเย็น พิเคราะห์บุรุษหนุ่มเบื้องหน้าอย่างเยือกเย็น จิตสังหารเกลื่อนฟ้า บุรุษหนุ่มแย้มยิ้มกล่าวว่า “จอมยุทธ์หลิ่วมีสามสุดยอดอาวุธลับ วิชาตัวเบา การสะเดาะกุญแจ เมื่อครู่ได้ยลสองสุดยอดไปแล้ว แต่เรากลับมาเพราะฝีมือสุดยอดประการที่สามของท่านจอมยุทธ์” บุรุษหนุ่มค้อมกายคารวะ “ขอท่านจอมยุทธ์โปรดช่วยเหลือ”

หลิ่วเผินจื่อยืนตระหง่านไม่ขยับ บุรุษหนุ่มโบกมือ ในความมืดปรากฏคนเสื้อดำคนหนึ่งกระโดดลงมา ยืนบนมุมงอนของชายคาด้านข้างปากพึมพำว่า “ร้ายกาจ ถึงกับทำให้ข้าพเจ้ายิงใส่ความว่างเปล่าไปห้าดอก”

บุรุษหนุ่มกล่าว “จอมยุทธ์หลิ่วโปรดให้อภัย พวกเราไม่อาจแสดงตัวโดยเปิดเผย เรามีสหายคนหนึ่งถูกทางการจับกุมและเราช่วยออกจากที่คุมขัง แต่มือของนางถูกจองจำด้วยกุญแจมือพิเศษ เราพยายามทุกวิธียังคงเปิดกุญแจไม่ได้”

“พวกท่านเป็นใคร”

“บุตรหลานยุทธจักรไยต้องถามไถ่กัน มิใช่ไม่เชื่อถือ หากแต่เกรงว่าจะพัวพันท่านจอมยุทธ์”

“หากข้าพเจ้าบอกว่าไม่ไป พวกท่านจะฆ่าทิ้งหรือ”

“มิบังอาจ เราเพียงไม่คิดจะตัดมือของสหายผู้นั้น” บุรุษหนุ่มกล่าว คนชุดดำที่ยืนตรงปลายงอนชายคาพลันถอนใจ “นั่นเป็นมือคู่หนึ่งที่ประเสริฐถึงปานนั้น”

“เป็นกุญแจมือแบบใด”

“ค่อนข้างประณีตซับซ้อน มิปิดบังท่านจอมยุทธ์ เราเคยหามืออสูรเถียนซื่อเหยีย (เจ้านายแซ่เถียน) เขาก็มิสามารถสะเดาะได้”

“เถียนซื่อเหยียยังไขมิได้?” หลิ่วเผินจื่อชักสนใจ “พวกท่านจับตัวเถียนซื่อเหยียกระมัง”

“ไม่มีสิ่งใดปิดบังท่านจอมยุทธ์หลิ่วได้จริงด้วย”

“เขายังมีชีวิตอยู่หรือ”

“แน่นอน แม้จะไขมิได้ แต่เราได้รับน้ำใจจากเขาจึงรับปากว่า วันข้างหน้าหากมีเรื่องราวใด เราพี่น้องยินดีตอบแทนด้วยชีวิต”

“ก็ได้” หลิ่วเผินจื่อยิ้ม “ข้าคงได้แต่ไปดูสักครา”

“ขอบพระคุณ! เราไม่มีวิธีอื่นจริงๆ จึงได้ใช้วิธีนี้บีบท่านจอมยุทธ์หลิ่วแสดงตัว

ทั้งสามเดินทางผ่านถนนตรอกซอยยามราตรีจนเข้าไปในลานบ้านแห่งหนึ่ง ข้างในหน้าต่างมืดสนิท เคาะประตู มีผู้จุดตะเกียงแล้วหิ้วมาเปิดประตู ฉายให้เห็นใบหน้าหนึ่ง

หลิ่วเผินจื่ออดงงงันมิได้

หนังสือแนะนำ All

Special Deal