Tuesday
ผู้เปิดประตูเป็นดรุณีน้อยชุดขาวนางหนึ่ง เปลวตะเกียงในมือปานเมล็ดถั่วแสงสลัวส่องต้องใบหน้า สาวน้อยผมเผ้างดงาม คิ้วดังตัวไหมอ่อนจาง เค้าหน้านุ่มนวล แต่ดวงตาทั้งสองสดใสอย่างยิ่ง แม้หลิ่วเผินจื่อจะมิได้ตะลึงในความงาม แต่กลับรู้สึกดรุณีนางนี้ลึกซึ้งราวกับไร้กลิ่นอายโลกีย์วิสัย
หลิ่วเผินจื่อเข้าไปในบ้าน คลับคล้ายเห็นคนผู้หนึ่งพิงอยู่บนเตียง สาวน้อยจุดตะเกียงหลายอันตามลำดับ ในห้องจึงสว่างขึ้น หลิ่วเผินจื่อจึงเห็นถนัดตาว่าบนเตียงเป็นสตรีนางหนึ่ง มิได้เกล้ามวย ผมยาวระพื้น ขดตัวในผ้าห่ม
บุรุษหนุ่มแนะนำต่อสตรี “ท่านผู้นี้คือจอมยุทธ์หลิ่ว” สตรีแหงนหน้าขึ้นกล่าวว่า “คารวะจอมยุทธ์หลิ่ว” หลิ่วเผินจื่อรู้สึกตาลาย สตรีนางนี้ดูราวกับขาวซีดเป็นที่สุด ขนตายาวมาก สันจมูกโด่งงดงาม แววตาลึกล้ำเค้าหน้าดุจสลักเสลา เป็นความงามที่สุดไม่มีในสตรีชาวจงหยวน (หมายถึงภาคกลางของจีน) “ท่านเป็นชาวหู!” หลิ่วเผินจื่ออุทาน
หญิงงามชาวหูมิได้ขวยเขิน เผยรอยยิ้ม ยื่นมือทั้งสองข้างที่ติดกุญแจมือออกจากผ้าห่มกล่าวว่า “ต้องรบกวนจอมยุทธ์หลิ่วแล้ว“ หลิ่วเผินจื่อเห็นหญิงงามชาวหูสวมเสื้อผ้าสองสามชิ้นปกปิดร่างกาย และใต้เสื้อผ้าเหล่านี้ดูเหมือนมีเสื้อชั้นในเพียงตัวเดียว จิตใจอดว้าวุ่นมิได้ และแล้วจึงเข้าใจ สตรีชาวหูผู้นี้ถูกใส่กุญแจมือนานวัน ดังนั้นการสวมเสื้อผ้าและการใช้ชีวิตประจำวันล้วนไม่สะดวก มิน่าเล่าจึงต้องมีสาวน้อยคอยดูแล
สาวน้อยชูตะเกียงส่องใกล้กุญแจมือพลางรวบเสื้อผ้าหญิงงาม หลิ่วเผินจื่อเห็นมือที่ถูกใส่กุญแจมือ นิ้วเรียวยาวนวลเนียนดุจหยก พลันนึกถึงคำพูดของมือธนูชุดดำที่กล่าวว่า “นั่นเป็นมือคู่หนึ่งที่ประเสริฐถึงปานนั้น”
หลิ่วเผินจื่อดึงมือข้างหนึ่งพิจารณารอยระหว่างกุญแจกับข้อมือ จิตใจยิ่งหวั่นไหว มือนั่นเรียบลื่นราวไร้กระดูก โดยเฉพาะปลายนิ้วเย็นเยียบทำเอาปวดใจ หลิ่วเผินจื่อตั้งสติ “กุญแจนี่กลไกพิสดาร ยังดีที่พวกท่านมิได้ทำลายด้วยกำลัง มิเช่นนั้นใบมีดจะหมุนออกมาทำลายมือของแม่นาง”
“ต้องอาศัยท่านจอมยุทธ์ช่วยคลี่คลายแล้ว” หญิงงามยื่นมือไปข้างหน้ามากกว่าเดิม ใบหน้าข้างหนึ่งซ่อนอยู่ในผมยาวสลวย
หลิ่วเผินจื่อพลันเกิดความฮึกเหิม ไม่พูดอะไรอีก ล้วงเข็มหงิกงอเล่มหนึ่งจากปาก แหย่เข้ารูกุญแจ จากนั้นค่อยๆ รู้สึกด้วยสัมผัส
เดิมทีหลิ่วเผินจื่อคิดว่าแม้กุญแจนี้จะจัดทำอย่างประณีต แต่สามารถไขออกได้ ไม่นึกว่าพอใกล้จะสำเร็จกลับพบอุปสรรคหนึ่ง จึงได้แต่เริ่มใหม่อีกครา หลังอ้อมผ่านสิ่งขวางกั้นนั่นจึงพบว่าที่แท้เป็นกลลวง แม้คลี่คลายได้ก็ไร้ประโยชน์ หลิ่วเผินจื่ออึดอัด รู้สึกผู้สร้างกุญแจลูกนี้ไม่เป็นไปตามหลักการทำกุญแจ
ได้ยินเสียงไก่ขันโดยไม่รู้ตัว นอกหน้าต่างค่อยๆ สว่างขึ้น หลิ่วเผินจื่อพบว่าผมยาวของหญิงงามมีประกายแดงน้ำตาล ผิวกายมิใช่ขาวซีด หากแต่ขาวจนแทบโปร่งใส ดวงตาคู่งามกลับเป็นสีครามเข้ม…หลิ่วเผินจื่อพลันนึกอิจฉา ต่างก็เป็นมหาโจรเช่นกันไยข้าจึงโดดเดี่ยวเดียวดาย ส่วนพวกมันถึงกับมีสหายงดงามปานนี้
หลิ่วเผินจื่อฟุ้งซ่าน พลันตกใจที่สองมือมีกระไอหนาวเย็นเล็กน้อย พลันคว้ามือตนเอง ฉุกใจได้คิดก็รู้สึกตึงที่ข้อมือ กุญแจมือคู่นั้นสวมล่ามมือของหลิ่วเผินจื่อราวมายากล
หญิงงามสะบัดอาภรณ์ลุกขึ้น หมุนกายจัดแจงอาภรณ์จนเรียบร้อย เผยให้เห็นมือสองข้างที่สมบูรณ์แบบ หัวใจหลิ่วเผินจื่อดิ่งวูบ
“เป็นฉีฮวาน! เป็นฉีฮวานขายข้า” หลิ่วเผินจื่อน้ำเสียงสงบ “กุญแจนี่ก็ฝีมือมันกระมัง”
“ปรมาจารย์ฉีบอกว่าท่านอาจไขกุญแจนี่ได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวัน” บุรุษหนุ่มชุดขาวเก็บเข็มหงิกงอจากมือของหลิ่วเผินจื่อ
“พวกท่านจะจับข้ามิต้องเปลืองเรื่องราวถึงเพียงนี้ ว่ามาเถิด คิดจะทำอะไรกันแน่”
“ร่วมมือทำการใหญ่”
“ร่วมมือ?” หลิ่วเผินจื่อชูมือที่ถูกล่ามกุญแจมือไว้ “นี่หรือการร่วมมือ”
“คิดจะร่วมมือกับท่านจอมยุทธ์ ย่อมต้องแสดงฝีมือให้ท่านจอมยุทธ์ได้ประจักษ์บ้าง” บุรุษหนุ่มประสานมือคารวะ “ข้าพเจ้าปานเชา” ชี้ที่สาวน้อย “น้องสาวข้าพเจ้าปานเจา” ชี้ไปที่หญิงงามอีกกล่าวว่า “คนงามแห่งกุ้ยซวง (กุษาณะ) เซียนหนู” มือธนูชุดดำยองตัว ใบหน้าแทบจะชิดกับหลิ่วเผินจื่อ “ข้าพเจ้าเกิ่งกงทหารรักษาพระองค์อี่ว์หลิน”
หลิ่วเผินจื่อหน้าเปลี่ยนสี “พวกท่านเป็นคนของทางการหรือ”
“นับว่าใช่และนับว่ามิใช่” ปานเชากล่าว “บวกกับฉีฮวาน พวกเรากำลังจะเลียนแบบท่านปั๋ววั่งโหวจางเชียนบุกซีอี้ว์สักครา” (เชิงอรรถ : จางเชียน (175-14 ปีก่อน ค.ศ.) นักการทูต นักเดินทางและนักผจญภัยสมัยราชวงศ์ซีฮั่นหรือฮั่นตะวันตก รับบัญชาจากจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้เป็นทูตไปซีอี้ว์ เคยถูกพวกซงหนูจับตัวคุมขังอยู่สิบสามปีจึงหนีกลับจีนได้ เป็นผู้บุกเบิกเส้นทางสายไหม มีบรรดาศักดิ์เป็นปั๋ววั่งโหว)
“ซีอี้ว์ ไปดินแดนที่แม้แต่นกยังไม่ขี้ทำอะไร”
“บุกเบิกดินแดน สร้างคุณูปการใหญ่หลวง ไยมิใช่ดีกว่าเป็นโจรเยี่ยงท่าน” เกิ่งกงย้อน ปานเชาดึง
เกิ่งกงรับลูกต่อ “ท่านเป็นจอมโจรที่ไม่เคยมือเปล่าเสียเที่ยวผู้ลือเลื่องแห่งยุค ย่อมทราบดีว่าหยกงาม อัญมณีและอาชาชั้นดีล้วนมาจากซีอี้ว์ เราตรงไปขโมยถึงรังมันเลย ไม่สาแก่ใจกว่าหรือ! มิใช่ยิ่งปลอดโปร่งใจกว่าหรือ”
หลิ่วเผินจื่อหยีตามองปานเชา “ฉีฮวานบอกท่านทุกอย่าง แต่ท่านเคยได้ยินสำนัก
จื๋อเหมินเคยร่วมมือกับขุนนางหรือ”
“ที่ว่ากันว่าขุนนางกับโจรเป็นอริกันก็ใช่อยู่ แต่พวกเราจะไปต่างแดน พอออกจากอาณาเขตฮั่นกฎหมายฮั่นก็ไร้ผล ใครจะไปสนใจว่าท่านเป็นโจรหรือขุนนาง การจัดการกับแคว้นต่างๆ ในแดนประจิมที่กลับกลอกยอกย้อน อาจเป็นผู้มีความสามารถเช่นท่านจอมยุทธ์จึงจะใช้การได้มากกว่า”
“ไม่สนใจ”
เกิ่งกงชักมีดสั้น “ไม่ไปไม่ได้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดเอ็นมือเอ็นเท้าของท่าน ท่านจะได้ไม่ไปขโมยของอีก”
“เชื่อ” หลิ่วเผินจื่อเหลือกตามองเพดาน
“เหล่าปาน” เกิ่งกงแบมือใส่ปานเชา “คนผู้นี้ไม่กลัว ข้าลงมือจริงนะ”
“จอมยุทธ์หลิ่วเป็นบุคคลเยี่ยงไร มิต้องหยามท่านให้อัปยศ พวกเราแจ้งทางการก็แล้วกัน” ปานเชาหันไปทางหลิ่วเผินจื่อ “งั้นท่านจงดูแลตัวเองให้ดีเถิด ไว้เรากลับจากซีอี้ว์แล้วค่อยไปเยี่ยมท่านในคุก”
ปานเชากับพวกไปแล้ว หลิ่วเผินจื่อพร้อมกุญแจมือถูกเชือกมัดเหมือนบะจ่างแขวนบนขื่อ
หลิ่วเผินจื่อพึมพำกับตัวเอง “หลิ่วเผินจื่อเอย เจ้าตายในมือสตรีอีกแล้ว...สตรีประเสริฐ! เฮ้อ ตายอย่างไม่คุ้มเลย”
แสงตะวันส่องต้องหน้าต่างทอดเงากับพื้นเคลื่อนคล้อยช้าๆ
ใกล้เที่ยงวัน บนพื้นทิ้งเชือกกองหนึ่งกับกุญแจมือที่ไขออกแล้ว แต่หลิ่วเผินจื่อหายไป
นอกประตูเซวียนผิงที่ออกจากนครฉางอันเป็นทางม้าสายหนึ่ง ริมทางปลูกต้นหลิว มักมีผู้ส่งคนที่จะจากไปชุมนุมที่ฉางถิงหรือศาลาริมทาง ตั้งโต๊ะเลี้ยงสุราบรรเลงฉินร้องเพลงส่ง ยังมีผู้ตั้งแผงน้ำชาอำนวยความสะดวกให้กับผู้เดินทางได้ดับกระหาย
แม้จะผ่านยามเที่ยงแล้ว ผู้คนเข้าออกเมืองยังคงไม่ขาดสาย คนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในฉางถิง ที่แท้เป็นหญิงงามชาวหู เกล้ามวยประดับห่วงมุก แต่งกายชุดชาวฮั่น นั่งรินเองดื่มเองแต่ผู้เดียว อาจเพราะเบ้าตาลึกและนัยน์ตาสีน้ำเงิน ยามชม้ายตาจึงเจือเสน่ห์ชนิดหนึ่ง
คนผ่านทางมักเหลือบแลหลายครั้ง แต่มิมีผู้ใดกล้ารบกวน
สตรีชาวหูผู้นี้คือเซียนหนูนั่นเอง มือถือจอกแก้วเจียระไนลุกขึ้นกวักมือเรียกสตรีชราที่แบกห่อผ้าไว้ที่หลังบนถนน “น้าใหญ่ท่านนี้ เชิญเข้ามาดื่มสักจอกเถิด”
สตรีชราสองตาขุ่นมัว เห็นจอกในมือเซียนหนูก็มิเกี่ยงงอน ตรงเข้าในเก๋งศาลา
เซียนหนูรินสุราสีแดงเหมือนโลหิตใส่จอกแก้วเจียระไนส่งถึงเบื้องหน้าหญิงชรา หญิงชรารับไว้ หลับตาสูดดมแล้วจึงจิบช้าๆ ทอดถอนด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าฟังว่าสุราองุ่นจอกหนึ่งในรัชกาลก่อนซื้อขุนนางชื่อสื่อ (เจ้าเมือง) เมืองเหลียงโจวได้ นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ดื่ม”
เซียนหนูกลอกตาหยาดเยิ้ม “ที่แดนซีอี้ว์ไม่นับว่าอย่างไร”
หญิงชราใช้แขนเสื้อบังใบหน้า มือปาดบนใบหน้าคราหนึ่ง แววชราหายไปสิ้น เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของหลิ่วเผินจื่อ ยืดตัวตรงท่าทางองอาจ เพียงแต่หมวกปีกกว้างสำหรับหญิงชรากับห่อผ้าที่หน้าอกดูแล้วน่าขันอยู่บ้าง
เซียนหนูรินอีกจอกยื่นให้
หลิ่วเผินจื่อดื่มรวดเดียวหมดจอก
“เป็นอย่างไร” เซียนหนูยิ้ม
“มีแต่สุราดีของหญิงงามมิอาจรานน้ำใจ”
“ผู้งดงามเยี่ยงข้าแดนซีอี้ว์เกลื่อนกลาด”
ปานเชากับน้องสาวและเกิ่งกงยืนอยู่บนเนินเขาไม่ไกลนัก กำลังชมดูการดื่มสุราในศาลาฉางถิง
ปานเชากล่าว “ดูท่าเซียนหนูเจรจาเรียบร้อยแล้ว”
เกิ่งกงกล่าว “เราควรรุดกลับลั่วหยางหรือไม่”
“ไม่รีบ มาถึงนี่แล้วคงต้องกลับไปเยี่ยมบ้านกระมัง”