(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน 36 อาชาสะท้านฟ้า เล่ม 1

Tuesday

บทที่ 4 จอมยุทธ์อู่หลิง

เดือนมืด นกเค้าแมวร้อง

เงาผีพร่างพราย สุสานโจวฉินที่อยู่ชายขอบอู่หลิงหยวน (เชิงอรรถ : ชื่อสถานที่ในมณฑลส่านซีของจีนเป็นสุสานหลวงฝังพระศพจักรพรรดิหลายพระองค์) ปรากฏโจรขุดสุสาน

สองคนอยู่นอกรูขุด คนหนึ่งใช้เชือกหิ้วดินเข่งหนึ่งขึ้นมา อีกคนคว้าดินดมดูแล้วกล่าว “ใช่แล้ว มีทั้งกลิ่นธาตุทอง ไม้และไฟ” เพิ่งขาดคำที่คอก็เพิ่มศรธนูดอกหนึ่ง ร่างล้มลงช้าๆ บุรุษที่อยู่ด้านข้างมองไปรอบด้านอย่างตื่นกลัวและเริ่มวิ่งหนี ศรอีกดอกยิงปักคอ

เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะปรากฏอีกคนหนึ่งคลานออกมาจากในรูขุด เมื่อพบศพข้างอุโมงค์โจรจึงหมอบกับพื้นค่อยๆ คืบคลาน เสียงลูกธนูดังขวับตรึงคอกับพื้น... เช่นเดียวกันทั้งสามคน

เด็กหนุ่มชุดดำถือคันธนูเดินออกมา ตัดเชือกหญ้าที่อุโมงค์โจร ดึงศรออกจากคอศพ ฟ้าค่อยๆ สว่าง  ผู้เยาว์เพียงทิ้งไว้แต่เงาหลังริมเชิงเขา

 

ตามกฎหมายฮั่น ผู้ขโมยขุดสุสานต้องโทษแล่เนื้อออกจากกระดูก ตัดแขนขา สุดท้ายจึงเชือดคอหอย แต่ยังคงมีผู้เสี่ยงชีวิตลักลอบขุด

หลายวันนี้ กลุ่มโจรขุดสุสานแถบอู่หลิงหยวนลนลานแล้ว พักนี้ถึงกับมีโจรขุดสุสานสามชุดถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ

 

คืนมืดลมแรงอีกแล้ว ผู้เยาว์ชุดดำซ่อนตัวงีบหลับที่เนินเขาแห่งหนึ่ง

ใต้เชิงเขาห่างไปราวร้อยก้าว มีคนสามคนยืนกระซิบกระซาบกันข้างอุโมงค์โจร เด็กหนุ่มกระดิกหูคราหนึ่ง ไม่ต้องเล็งด้วยซ้ำ แนบตัวกับพื้นน้าวคันศรยิงใส่กลางอากาศ คนหนึ่งล้มลง เสียงฆ้องดังขึ้นทันที เสียงคนตะโกนลั่น “จอมยุทธ์พเนจร!” รอบด้านปรากฏคบไฟ ถึงกับมีผู้ซ่อนตัวอยู่สามสิบคน

ผู้เยาว์มิลังเล ลุกขึ้นวิ่งตะบึงไปทางที่คบไฟเบาบางที่สุด วิ่งพลางยิงธนู ก่อนที่วงล้อมจะบรรจบกันก็ชิงมุดเข้าป่าไปแล้ว ธนูสิบกว่าดอกยิงไปไม่มีดอกใดสูญเปล่าเลย ผู้ที่ตามติดเขาเข้าป่าได้มีเพียงหัวหน้าสามคน

สามคนนี้ล้วนเป็นพี่ใหญ่ของค่ายพรรคต่างกัน เดิมเป็นคนดุร้ายขึ้นชื่อในอาชีพนี้ ทั้งสามค่ายพรรคระแวงกันเองพักหนึ่ง สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า การสังหารครั้งนี้มิใช่ฝีมือทางการ น่าจะเป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่มิรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแถบอู่หลิงหยวนที่มา “ล่า” มากกว่า

ย่อมมีบ้างที่บรรดาบุตรหลานตระกูลใหญ่หรือตระกูลแม่ทัพมักถือตัวว่าเป็นจอมยุทธ์พเนจรคอยผดุงคุณธรรม ชมชอบการต่อสู้แต่ติดขัดเรื่องกฎหมาย จึงออกล่าสังหารพวกโจรขโมยสุสานที่กระจัดกระจาย ตั้งชื่อเป็น “เจี้ยนมิ่ง” จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่เคยสังหารคนฐานะย่อมไม่เหมือนเดิม ในใจก็คิดเอาเองว่าได้ช่วยทั่วหล้าขจัดภัยพาล

บรรดาจอมยุทธ์พเนจรหากพบกับโจรที่เสี่ยงชีวิตจริง ส่วนมากจะถอยกรูด ดังนั้นการถูกจอมยุทธ์พเนจรเข่นฆ่ายกชุดสามคราเช่นนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย หัวหน้าทั้งสามจึงร่วมมือกัน เอาตัวเป็นเหยื่อล่อ จะได้ย้อนสังหารจอมยุทธ์พเนจรพวกนี้ นี่เป็นการเดิมพันอย่างหนึ่ง

เดิมทีคิดว่าจะสามารถล้อมฆ่าจอมยุทธ์พเนจรกลุ่มหนึ่ง บัดนี้จึงพบว่าอีกฝ่ายมีเพียงผู้เดียว

สามคนล้อมเข้าไป ตระหนกที่พบว่าคนผู้นี้เป็นเพียงเด็กหนุ่ม อายุสิบห้าสิบหกปี ทั้งสามมิกล้าประมาท ล้อมไว้สามเส้า คนหนึ่งปลดผ้าคลุมหน้า เผยให้เห็นใบหน้ามีรอยแผลเป็นจากคมดาบและปลอกคอเหล็กใต้ใบหน้า “รู้ว่าเจ้าเพียงยิงที่คอ” คนผู้นั้นเสียงแหบห้าวประหลาดเสมือนเปล่งเสียงจากช่องอก

“ถึงว่าข้ายังสงสัยทำไมจึงยิงเจ้าสามคนไม่ตาย” ผู้เยาว์ชุดดำไม่ลนลาน ชักกระบองสั้นสามท่อนจากด้านหลัง พริบตานั้นสะบัดเป็นทวนยาวเล่มหนึ่ง สะบัดอีกครั้งปลายทวนจี้ใส่หัวหน้าที่พูด ห่วงเหล็กในมือคนผู้นั้นฟาดใส่อย่างแรง เสียงเคร้งดังขึ้น ทวนยาวดีดขึ้นเป็นแนวโค้งทิ่มใส่อีกคน คนผู้นั้นเพิ่งกระโดดหลบ ทวนก็ส่ายไปถึงเบื้องหน้าคนที่สาม ปลายทวนสะท้อนเป็นเงาพร่างพรายผืนหนึ่ง...หัวหน้าทั้งสามล้วนเป็นผู้ฝึกปรือวิทยายุทธ์ พลันรู้สึกถูกทวนเล่มหนึ่งพัวพันไว้แล้ว

คำพังเพยว่าไว้ กระบองสิบวัน ดาบร้อยวัน ทวนพันวัน หมายความว่าทวนซึ่งเป็นราชันแห่งศาสตราฝึกยากที่สุด และเพลงทวนของผู้เยาว์ชุดดำนี้ทั้งสามไม่เคยพบมาก่อน เพียงรู้สึกตัวทวนเหมือนแส้ แทงออกมาคล้ายตวัดใส่ คราใดที่ปะทะด้วยศาสตราก็ดีดตัวเป็นแนวโค้งพุ่งใส่อีกคน มิอาจคาดเดาได้ ผู้เยาว์เพลงทวนดุจมังกรคะนอง ทำเอาทั้งสามทุลักทุเล ไม่นานนักก็ได้แผลติดตัว ต่อมาทั้งสามค่อยได้เปรียบเพราะประสบการณ์มากกว่า พบว่าพลังแขนของผู้เยาว์มีจำกัด ล้วนเป็นกระบวนท่าแข็งชนแข็ง ฟาดแรงทิ่มแรง เมื่อเด็กหนุ่มเปลืองเรี่ยวแรงเช่นนี้อานุภาพเพลงทวนจึงถูกกดลงอย่างช้าๆ

ผู้เยาว์ชุดดำคิดจะอาศัยสภาวะของป่าไม้ แต่หัวหน้าโจรทั้งสามเกื้อหนุนประสานกัน ต่อให้ได้รับบาดเจ็บบ้าง ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายสมปรารถนา เด็กหนุ่มเริ่มเหนื่อยหอบ เลียริมฝีปากคล้ายสัตว์ป่าตัวหนึ่ง “พวกเจ้าคิดจะฆ่าข้า ได้สิ ถึงอย่างไรข้าก็เอาไปได้คนหนึ่ง ว่ามา ผู้ใดจะไปกับเจ้านายน้อย” น้ำเสียงยังไม่แตกพานด้วยซ้ำ

โจรร้ายสองคนลังเลอยู่บ้าง คนที่เปิดหน้าตวาดลั่น “อย่าถอย วันนี้ฆ่ามันมิได้ วันหน้าพวกเรายังมีทางทำมาหากินหรือ!”

เสียงอาวุธกระทบกันในป่าดังไม่ต่อเนื่องถี่ยิบอีก เพียงดังประปรายปะปนด้วยเสียงเหนื่อยหอบ ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ว่าเป็นช่วงเวลาอันตรายที่สุด

เสียงขลุ่ยอ้อยอิ่งดังขึ้นเหมือนดังจากที่สูงเหนือศีรษะ สำเนียงอ้อยอิ่งดุจลมราตรีผ่านป่า ทั้งสี่คนไม่กล้าขยับและไม่กล้าแหงนหน้า

เสียงขลุ่ยมิหยุด สี่คนมิเคลื่อนไหว

เสียงกระบี่คำรนคราหนึ่ง กระบี่เล่มหนึ่งแหวกมากลางอากาศ หัวหน้าโจรที่เผยโฉมล้มหงาย

ผู้เยาว์ชุดครามคนหนึ่งกุมกระบี่ร่อนลงข้างๆ

เสียงขลุ่ยยังอ้อยอิ่งเหนือศีรษะ หัวหน้าโจรอีกสองคนตกใจตวาดลั่นเรียกพวกพ้องที่เหลือ

“ไร้ประโยชน์” ผู้เยาว์ชุดครามกล่าว “พวกมันมาไม่ได้แล้ว” เพิ่งขาดคำพลันแทงใส่อีกคนล้มลง

คนสุดท้ายรีบหนีอย่างรวดเร็ว ตะบึงออกจากป่า

“เพลงกระบี่ยอดเยี่ยม” ผู้เยาว์ชุดดำหอบฮักและเพิ่งกล้าเงยหน้า กลับเห็นบนกิ่งไม้เหนือศีรษะสาวน้อยวัยสิบสองสิบสามนั่งถือขลุ่ย นางโยนลูกศรหางขนนกลงมา “ช่วยท่านถอนกลับมาให้” น้ำเสียงแววทารกอ่อนหวาน

ผู้เยาว์ชุดดำเจตนาโอ้อวดฝีมือ จึงน้าวคันศรแตะลูกธนู หันหน้าไม่มองแล้วยิง ครู่เดียวแว่วเสียงร้องโหยหวนจากกลางป่า

“ฝีมือธนูยอดเยี่ยม!” ผู้เยาว์ชุดครามไม่อยากจะเชื่อ

“ที่แท้มีขมังธนูยิงเสียงจริงด้วย”

“ผู้ฝึกธนู แว่วเสียงจักยิงถูก” สาวน้อยกล่าวถ้อยคำโบราณ “ร้ายกาจยิ่ง ท่านเรียกขานอย่างไร”

ผู้เยาว์ชุดดำกระแทกลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง “เกิ่งกงแห่งเมืองเม่าหลิง”

ผู้เยาว์ชุดครามเก็บกระบี่ ประสานมือคารวะอย่างเรียบร้อย “ปานเชาแห่งเมืองผิงหลิง” ชี้ที่สาวน้อยถือขลุ่ย “น้องสาวข้าพเจ้าเสี่ยวเจา”

ฟ้าเริ่มสาง แสงสว่างส่องลอดเงาไม้

“เกิ่งกง ยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งเม่าหลิง ผู้คนขนานนามเฟยหู่ (พยัคฆ์เหิน) ที่แท้คือท่านนี่เอง! ข้ามิเคยเห็นฝีมือยิงธนูเลิศล้ำเช่นนี้มาก่อน” ปานเชาปากกัดหญ้าต้นหนึ่ง

“ปานเชา ข้าพเจ้ารู้จักท่าน ในหมู่จอมยุทธ์พเนจรแห่งผิงหลิน ท่านนับเป็นบุคคลหนึ่ง ข้าพเจ้าก็มิเคยพานพบเพลงกระบี่ที่ดุร้ายเยี่ยงนี้” เกิ่งกงจ้องปานเชาอย่างข้องใจ “ไม่ถูกต้อง ต้านไถเย่ว์ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งผิงหลินข้ายังเคยทุบตีมัน...เทียบกันยังห่างไกลจากท่านอีกมาก”

“ข้าพเจ้าชอบอยู่เงียบๆ”

“อ้อ พวกท่านมาจากเจี้ยนมิ่ง หรือ”

“พวกท่านที่เป็นจอมยุทธ์พเนจรเชื้อสายขุนพลประดานี้ ในมือไม่มีสักหลายชีวิตก็ละอายที่จะพบผู้คนหรือ” ปานเชาส่ายหน้า “พวกเราเป็นผู้คงแก่เรียน”

“เมื่อครู่พวกท่านเพิ่งฆ่าฟันไปไม่น้อย! ต่อให้ถือว่าช่วยข้าพเจ้า ทว่า...พวกท่านดึกดื่นค่อนคืนวิ่งมาสุสานทำอะไร”

“พวกเรามาชมชี่” เสียงอ่อนเยาว์ของปานเจาแทรกขึ้น “ตกกลางคืนปราศจากแสงสีจึงจะเห็นชี่ของโชคง่ายกว่า ชี่ทางด้านนี้ออกม่วงย่อมมีสุสานใหญ่แน่ มีสุสานใหญ่ย่อมมี...” ปานเชายิ้มพลางชี้เกิ่งกง “ความยุ่งยาก”

“สองท่าน? ดูชี่เป็น?” เกิ่งกงรู้สึกเหลวไหล แต่ยังเชื่อสาวน้อยนางนี้โดยไม่ทราบสาเหตุ

“วิชาตกทอดจากตระกูลน่ะ” ปานเชาถ่มเศษหญ้าในปาก “ที่บ้านเร่งรัด เลยต้องออกมาหาประสบการณ์”

“ตระกูลท่าน...ทำอะไรหรือ”

 

ทั้งสามเดินออกจากป่า เสียงยังลอยตามลมบนท้องทุ่งอรุโณทัย

“ท่านยิงธนูไยจึงเพียงยิงที่คอผู้คน”

“ข้าคิดว่าแบบนี้...หมดจดยิ่งนัก เมื่อครู่ข้าเห็นแล้ว กระบี่ของท่านจ้วงแทงใส่ปากผู้คน ช่างหมดจดเด็ดขาด”

“นั่นเพราะข้าพเจ้าใจดี”

“...”

“โจรปล้นสุสานต้องถูกแล่เนื้อทั้งเป็น ไม่อาจมีซากศพที่สมบูรณ์ ข้าพเจ้าทำเช่นนี้เพื่อให้พวกมันไปโดยมีร่างที่สมบูรณ์”

“อ้อ...จริงหรือเท็จกันแน่ ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ชีวิตของข้าพเจ้านับแต่นี้เป็นของท่านทั้งสองแล้ว!”

“ข้าพเจ้าจะเอาชีวิตท่านทำอะไร”

“ข้าพเจ้าต้องการ!” เสียงอ่อนเยาว์ของดรุณีดังขึ้น” นับแต่นี้ชีวิตท่านเป็นของข้าแต่ผู้เดียว”

 

อู่หลิงหยวนที่ห่างจากฉางอันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสามสิบลี้ ย่อมเป็นสถานที่ฮวงจุ้ยดีที่สุดในโลก ตั้งแต่ราชวงศ์โจวเป็นต้นมาที่นี่ก็กลบฝังกษัตริย์ หวัง ขุนพล เสนาบดี สมัยจักรพรรดิเกาจู่ ราชวงศ์ฮั่นได้เลือกทำเลนี้เป็นสุสานของพระองค์จนกระทั่งสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ ได้อพยพคหบดีและตระกูลใหญ่ทั่วแผ่นดินมายังที่นี้ สร้างหลิงอี้ (เมืองสุสาน) จึงกลายเป็นฉางหลิง อันหลิง หยางหลิง เม่าหลิงและผิงหลิงรวมห้าสุสาน สภาพรุ่งเรืองสุดขีดเหนือกว่าฉางอัน

เวลานั้นจู่ๆ อู่หลิงก็ชุมนุมด้วยเหล่าคหบดีและเหล่าพระญาติวงศ์ การควบคุมดูแลสู้ฉางอันมิได้ จึงมีผู้เยาว์ของคหบดีและตระกูลใหญ่เพ่นพ่านทั้งถนน คิดว่าตนเองเป็นวีรบุรุษ ใช้จ่ายเงินทองดุจกรวดทราย สุนัขรับใช้เกลื่อนกลาด ผู้คนขนานนามเป็น “ผู้เยาว์อู่หลิง” แฝงกลิ่นอายโบราณที่คำมั่นมีค่าพันตำลึงทอง ชอบต่อสู้และทำตัวเป็นจอมยุทธ์

 

แม่น้ำเว่ยสุ่ยไหลผ่านด้านข้างของอู่หลิงหยวน ยามอัสดงปานเชากับน้องสาวและเกิ่งกงขี่ม้า ยืนบนที่สูง มองดูป่าที่พวกเขาพบกันครั้งแรกเมื่อหกปีก่อน คล้ายยังได้ยินคำสัญญาของผู้เยาว์วัยสามคนครานั้น

ปานเชากับพวกควบม้าผ่านไปจนถึงหน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง แล้วเริ่มเซ่นไหว้บนป้ายฮวงซุ้ยสลักว่า ท่านเปียว ชื่อรองสูผี ชาวตำบลหลานหลิง อำเภอฝูเฝิง...

ปานเจากล่าวเบาๆ “ท่านพ่อ พวกเรากลับมาแล้ว”

ทั้งสามตั้งธงขาว สาดสุรา ร้องบทเพลง เฮาหลี่ และ จิ่วลู่ (เชิงอรรถ : เป็นบทเพลงรำลึกผู้วายชนม์ของสำนักมโหรีหลวงประจำราชสำนักฮั่น) สายลมยามเย็นโชยแผ่ว สรรพสิ่งเงียบงัน มีเพียงธงขาวยาวรับลมโบกดังพึบพั่บ

ปานเชาขอบตาแดงเรื่อ เอ่ยกับปานเจาว่า “กลับไปกับพี่กงก่อนเถิด ข้าจักอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อสักคืน”

 

วิกาลมืดสนิท ปานเชาจุดกองไฟหน้าฮวงซุ้ย ดื่มสุราตามลำพัง ไม่กล้าเข้านอน

“ท่านพ่อ ข้าจะไปซีอี้ว์แล้ว ท่านมักว่ากล่าวข้าไม่ถูกไม่ควร ข้าย่อมต้องทำอะไรบ้าง ดูซิว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด”

ปานเชาพลันขว้างชามสุรา ฟุบตัวร่ำไห้โฮ เสียงร้องไห้กระจายไปทั่วทุ่งกว้าง...คล้ายเสียงหมาป่าหอน มิทราบปานเชาร่ำไห้ต่อบิดาหรือร่ำไห้ให้ตัวเอง เขารู้ดีว่าชะตาชีวิตของตนเปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่วันที่บิดาลาโลกเมื่อหนึ่งปีก่อน

หนังสือแนะนำ All

Special Deal