(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน อยู่โลกนี้วันหนึ่ง เพื่อรักคุณมากขึ้นอีกหนึ่งวัน เล่ม 01

Wednesday

บทที่ 3

จู่ฉีนอนเล่นข้างสระว่ายน้ำตลอดทั้งช่วงบ่าย

แม้ตอนนี้จะยังไม่ถึงช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศไม่เย็นสบายอย่างฤดูใบไม้ร่วง แต่ในสวนดอกไม้นี้มีเงาไม้ทับซ้อน แสงอาทิตย์สาดผ่านใบไม้หนาทอดเงาเป็นจุดๆ แต่งแต้มบนทางเดินกรวด ก็พอจะรู้สึกเหมือนมารับไอเย็นในป่าเขา

จู่ฉีเอียงคอ ไม่รู้ว่าเผลอง่วงงุนหลับไปนานเท่าใด ทันใดนั้นก็ตกใจตื่นเพราะมีของหนักๆ ตกลงมา

เขาลืมตาทันที ปฏิกิริยาแรกคือลูบท้องตนเอง แต่กลับลูบเจอผ้าห่มบางๆ ที่คลุมท้องเขาไว้ พ่อบ้านจางคงมาคลุมไว้ให้ตอนที่เขานอนหลับ

เพียงชั่วพริบตาเขาก็ถูกกลิ่นหมาล่า* (หมาล่า : คำว่า ‘หมา’ หมายถึงชาลิ้น ส่วน ‘ล่า’ คือเผ็ด หมาล่าเป็นรสเผ็ดร้อนชาลิ้นจากเครื่องปรุงซึ่งมีฮวาเจียวหรือพริกไทยเสฉวนอยู่ด้วย) หอมๆ ที่ลอยในอากาศดึงดูดความสนใจ เขาหันกลับไปดู เห็นสาวใช้ทั้งหลายกำลังง่วนอยู่หน้าเตาปิ้งย่าง 

“คุณนายตื่นแล้ว” เสียวหย่ายกจานอาหารวิ่งเหยาะๆ มา กล่าวตาเป็นประกายว่า “เราเตรียมไว้ก่อนนิดหน่อยพอให้คุณนายรองท้อง ใส่พริกนิดเดียว คุณนายชิมเลยไหมเจ้าคะ?”

จู่ฉีเห็นเนื้อย่างในจานที่มีเครื่องปรุงนานาชนิดกับหอมซอย กลิ่นหอมกรุ่นจมูก เขากลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว

หยิบเนื้อย่างมาไม้หนึ่ง กัดไปคำหนึ่ง สีหน้าดีใจขึ้นมาทันที

“อร่อยไหมเจ้าคะ?” เสียวหย่าถามอย่างเอาความดีความชอบ

“อร่อย!” แววตาของจู่ฉีทอประกายตื่นเต้นดีใจ ฟ้ารู้ว่าเขาคิดถึงอาหารรสจัดๆ แบบนี้แค่ไหน หลายวันนี้เขาเกือบเป็นบ้าเพราะกินน้ำแกงตุ๋นเป็ดไก่พวกนั้น

จู่ฉีโบกมือไปมา “ย่างน่องไก่มาให้ผมหลายๆ น่อง ใส่หอมซอยเยอะๆ”

เสียวหย่ารับคำสั่ง วางจานอาหารไว้แล้ววิ่งออกไป

ไม่นานเสียวหย่าก็ยกจานอาหารอีกใบวิ่งเหยาะๆ มา บนจานมีน่องไก่ที่ปิ้งจนเป็นสีเหลืองทองสี่น่อง ด้านนอกที่มีน้ำมันเคลือบเห็นรอยบั้งหลายรอย กลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว

จู่ฉีถือน่องไก่ข้างละน่อง กินอย่างมีความสุข ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมสั่งอาหารกับเสียวหย่า

จู่ฉีซึ่งจมอยู่กับอาหารรสเลิศไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงรอบตัว กว่าเขาจะเริ่มรู้สึกตัวก็ไม่รู้ว่าเสียวหย่ากับสาวใช้ทั้งหลายที่ง่วนกับการปิ้งย่างหยุดมือลงตั้งแต่เมื่อไร

อาหารที่ปิ้งอยู่บนเตายังมีน้ำมันหยด กลิ่นหอมโชยมาระลอกแล้วระลอกเล่า

“พวกคุณนิ่งทำไม? อย่าปิ้งไหม้” จู่ฉีเคี้ยวน่องไก่พลางพูดเสียงอู้อี้

เสียวหย่ากัดริมฝีปากอย่างกลัวๆ ไม่กล้าเอ่ยปาก สมองเกือบหล่นลงมาอยู่บนอก ท่าทางของคนอื่นๆ ก็ไม่ดีกว่ากันเท่าไร

จู่ฉีรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ ยังไม่ทันเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงทุ้มเย็นเยียบดังมาจากด้านหลัง “ใครอนุญาตให้พวกเธอทำแบบนี้? ยังไม่รีบเอาของในมือเขาออกมาอีก!

ประโยคนี้เหมือนระเบิดดังขึ้นในหมู่สาวใช้ สีหน้าของพวกหล่อนปรากฏความหวาดหวั่น มองมาทางจู่ฉีเป็นตาเดียวกัน

ตอนที่สาวใช้ทั้งหลายแตกฮือ น่องไก่สองน่องในมือจู่ฉีก็หายไปด้วย กระทั่งจานอาหารสองใบบนโต๊ะเตี้ยๆ นั่นก็ถูกยกออกไป

จู่ฉีกะพริบตาอย่างงุนงง หลังมึนงงชั่วขณะ เขาก็รีบหันไปมองที่มาของเสียง...

ท้องฟ้ายามสายันห์ประหนึ่งไฟเผาเมฆไปทั้งแถบ เงาร่างสูงนั้นหันหลังให้เมฆยามเย็น ทั่วร่างย้อมอาบด้วยแสงตะวันจางๆ เขามีดวงตาดำสนิทเหมือนกลางคืนลึกไม่อาจหยั่ง จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเป็นสีชมพูอ่อนอยู่ภายใต้แสงไฟจากตะเกียง 

[I]เซวียเจวี๋ย[I]

แม้จะไม่เคยเห็นเซวียเจวี๋ยตัวจริงมาก่อน แต่จู่ฉีก็เดาออกในทันที

เขามาแล้วจริงๆ...

ซ้ำยังเร็วขนาดนี้ เกรงว่าพอลงจากเครื่องก็คงบึ่งมาทันทีแน่ๆ

ใบหน้าเย็นชาของเซวียเจวี๋ยไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ เขามองจู่ฉีอย่างเรียบๆ เหมือนกำลังมองวัตถุที่ไม่มีชีวิต

จู่ฉียกมุมปากยิ้ม “ไม่เจอกันนานนะครับ พ่อคนธุระมาก ขอบคุณที่หาเวลามาเยี่ยมผมได้เสียที”

เซวียเจวี๋ยไม่สนใจคำเสียดสีของจู่ฉี แต่หันกลับไปเรียกพ่อบ้านจาง พ่อบ้านจางที่เอามือไพล่หลังยืนอยู่ด้านหลังเข้าใจทันที รีบพาสาวใช้และบอดี้การ์ดทั้งหมดจากไปอย่างรวดเร็ว

เพียงชั่วพริบตาที่นี่ก็เหลือเพียงจู่ฉีกับเซวียเจวี๋ยสองคน

รอบกายมีเสียงแมลงร้องดังกระหึ่ม ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดโดนผิวของจู่ฉี เขาอดสั่นสะท้านไม่ได้ รีบเอากระดาษเช็ดปากมาเช็ดน้ำมันกลางฝ่ามือ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มบางมาคลุมตัวไว้

พอช้อนตาขึ้น เซวียเจวี๋ยก็มาอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเงียบเชียบ

“ก่อเรื่องวุ่นวายก็ต้องมีขอบเขต ฉันไม่มีเวลามากพอจะมาเล่นซ่อนหากับนาย” เซวียเจวี๋ยมองจู่ฉีด้วยท่าทีของผู้อยู่เหนือกว่า แววตาปรากฏน้ำค้างแข็งเย็นเยียบคลี่คลุม

จู่ฉีมองเซวียเจวี๋ยกลับอย่างไม่เกรงกลัว ยังขยับมุมปากยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “ผมก็ไม่มีเวลามาเล่นเกมปัญญาอ่อนกับคุณ อันที่จริงที่วางแผนให้คุณมานี่ ก็เพราะมีเรื่องจะหารือกับคุณ”

แววตาเซวียเจวี๋ยวูบไหว ไม่เอ่ยคำพูดใด

“เราเลิกกันเถอะ” จู่ฉีพูดอย่างเรียบง่าย เหมือนกำลังเล่าเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไร “ในเมื่อเราไม่ได้รักกัน ก็ไม่สู้แยกย้ายกันไปดีๆ ลดการทำร้ายอีกฝ่ายลงให้มากที่สุด”

เซวียเจวี๋ยแค่นเสียงเหมือนได้ยินเรื่องตลก

เขายังไม่เคลื่อนไหว แต่สายตาเยียบเย็นนั้นราวกับจะมองให้ทะลุถึงวิญญาณของจู่ฉี

จู่ฉีนิ่งไปสองวินาที เห็นฝ่ายตรงข้ามมีปฏิกิริยาเฉยเมย จึงใช้นิ้วชี้จิ้มพุงกลมๆ ของตนเบาๆ พูดล้อเล่นกึ่งขู่ว่า “แต่ในท้องผมมีลูกของคุณ คุณคงไม่ปล่อยให้เราสองพ่อลูกนอนกลางดินกินกลางทรายใช่ไหม? คุณให้ผมสิบล้าน ผมรับรองว่าจะพาลูกหายไปแบบไร้ร่องรอย นับแต่นี้ไม่มาข้องเกี่ยวกับชีวิตคุณอีก”

คราวนี้เซวียเจวี๋ยแข็งค้างไป ใช้สายตาเหมือนคนแปลกหน้ากวาดมองจู่ฉีขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงต่ำๆ

“ที่นายเรียกฉันมาก็คือจะหารือเรื่องนี้หรือ?”

“ไม่งั้นจะมีเรื่องอะไรอีก?” จู่ฉีขนลุกเพราะเสียงหัวเราะของเซวียเจวี๋ย จากนั้นก็หดหัวลงอย่างอดกลัวไม่ได้ คิดแล้วก็ตัดสินใจถอยก้าวหนึ่ง “เห็นแก่ลูก ผมลดให้คุณหนึ่งเปอร์เซ็นต์ คุณให้ผมเก้าล้านเก้าแสนก็พอแล้ว”

“...ฉันต้องขอบใจนายจริงๆ” เซวียเจวี๋ยเปล่งเสียงลอดไรฟัน “แต่น่าเสียดาย ฉันยังไม่มีความคิดจะเลิก นายก็อย่าแม้แต่จะคิด”

“...” อะไรกัน?!

จู่ฉีเบิกตากลมโตอย่างประหลาดใจ คิดว่าปฏิกิริยาของเซวียเจวี๋ยไม่ถูกต้อง จากบุคลิกตัวละครที่วางไว้ เขาต้องตอบรับคำขอของตนอย่างดีอกดีใจไม่ใช่หรือ?!

“เดี๋ยวก่อน...” จู่ฉีรีบพูด

เซวียเจวี๋ยไม่คิดจะเสียเวลาคุยเรื่องนี้ต่อ หันไปสั่งบอดี้การ์ดสองคนที่เหลืออยู่และคอยเฝ้าในจุดที่ไม่ไกลนัก “พยุงเขาเข้าไป หาคนมาจัดเตรียมน้ำอาบไว้ให้เรียบร้อย”

จากนั้นจู่ฉีก็ถูกบอดี้การ์ดสองคนคุมตัวเข้าห้องไปอย่างไร้เหตุผล แล้วต่อจากนั้นก็ถูกพาไปอาบน้ำอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน

เขาเห็นเสียวหย่ากับสาวใช้อีกคนเข้ามาเตรียมน้ำอาบให้ จึงได้คิดว่า...เขากำลังคุยเรื่องเลิกกับเซวียเจวี๋ยอยู่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆ ก็คุยกันไม่ได้แล้วถูกบังคับให้มาอาบน้ำล่ะ?!

จู่ฉีแอบด่าในใจ จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมที่เสียวหย่าวางไว้ให้บนที่แขวนมาคลุมตัวแล้วเดินออกมาข้างนอกอย่างขุ่นเคือง ผลคือแค่เปิดประตูห้องน้ำ ก็เห็นขาตรงยาวคู่หนึ่งยืนอยู่ด้านนอก

สายตาของจู่ฉีไล่จากขาคู่นั้นขึ้นข้างบน มาจบที่ใบหน้าเย็นชาของเซวียเจวี๋ย

“ทั้งตัวนายมีแต่กลิ่นควันกลิ่นน้ำมัน อาบน้ำให้เสร็จแล้วค่อยออกมา” เซวียเจวี๋ยพูดพลางก็ยัดของกองหนึ่งไว้ในมือจู่ฉี

จู่ฉีก้มมองก็เห็นเป็นชุดนอนกับเสื้อคลุมที่เขาให้เสียวหย่าใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง

แต่เรื่องสำคัญไม่ใช่เรื่องนี้...

“เซวียเจวี๋ย” จู่ฉีทำท่าเคร่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ “ผมไม่ได้กำลังหาเรื่อง ไม่ได้กำลังข่มขู่คุณ ผมอยากจะเลิกกับคุณจริงๆ”

เซวียเจวี๋ยกลับมีสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม ดวงตาปรากฏแววเสียดสีบางๆ “นายหาทางแทบตายกว่าจะเบียดเข้าประตูบ้านตระกูลเซวียของฉันได้ ตอนนี้คิดจะสะบัดก้นหนีไปง่ายๆ นายเคยคำนวณไหมว่าตัวเองคุ้มกับเงินสิบล้านไหม?” 

จู่ฉีนิ่งไป “ผมลดให้คุณหนึ่งเปอร์เซ็นต์ได้...”

“แดงเดียวฉันก็ไม่ให้” เซวียเจวี๋ยยื่นมือเหมือนคีมเหล็กมาหนีบคางเขาไว้ อีกฝ่ายไม่ได้ใช้แรงมากอะไร แต่รังสีของผู้เหนือกว่าที่แผ่ออกมาก็ทำให้จู่ฉีหายใจไม่ออก

จู่ฉีถูกบังคับให้เงยหน้าสบตากับเซวียเจวี๋ย เขาพบว่าดวงตาของฝ่ายตรงข้ามสวยเหลือเกิน เป็นเหมือนอัญมณีสีดำงดงามจับตาส่องประกายเยียบเย็น

“ขอเพียงนายคลอดลูกออกมาดีๆ วันหน้าเด็กโตขึ้นก็สืบทอดตระกูลเซวีย ทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลก็เป็นของนาย”

เส้นเสียงทุ้มต่ำของเซวียเจวี๋ยเหมือนพันไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความล่อลวง ตาเขาหรี่ลง แต่สายตาเป็นประกายคมกล้า ยังแฝงการเสียดสีเหมือนมีกึ่งไม่มี “นี่ไม่ใช่ชื่อเสียงผลประโยชน์ที่นายต้องการเหรอ? ฉันให้นายได้หมด แต่นายต้องทำตามที่ฉันต้องการก่อน”

จู่ฉีตะลึงมองเซวียเจวี๋ย เวลานั้นเขากลายเป็นใบ้ไปเพราะคำพูดของฝ่ายตรงข้าม

เขาคิดอะไรง่ายเกินไป...

ตอนนี้เซวียเจวี๋ยยังไม่ได้ตกหลุมรักนางเอก ต่อให้กากแค่ไหนก็ไม่มีทางปล่อยให้เลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลเซวียไประเหเร่ร่อนที่อื่น

อย่าว่าแต่คนข้างนอกต่างได้ยินว่าเซวียเจวี๋ยมีคู่หมั้น หากเขาจากไปตอนท้องหกเดือนกว่า ถ้าคนเหล่านั้นรู้เข้าก็จะเกิดคำวิจารณ์ในทางลบต่อเซวียเจี๋ยและตระกูลเซวีย

พอคิดถึงตรงนี้ จู่ฉีก็อดท้อใจไม่ได้

เซวียเจวี๋ยปรายตามอง ก็เห็นจู่ฉีหงอยลงเหมือนลูกโป่งลมแฟบ เขาค่อยๆ คลายมือที่บีบคางจู่ฉีไว้ จากนั้นก็สั่งพ่อบ้านจางที่เฝ้าอยู่ข้างๆ ทำตัวเหมือนมนุษย์ล่องหน

“ดูแลเขาอาบน้ำ ระวังหน่อย”

“ขอรับ คุณท่าน” พ่อบ้านจางค้อมตัวลงเล็กน้อย เข้าไปรับเสื้อผ้าจากมือจู่ฉี จากนั้นก็เอียงตัวเบียดเข้าไปในห้องอาบน้ำ

จู่ฉีคิดฟุ้งซ่านมากมาย ท้ายสุดก็ล้มเลิกความคิดที่จะคุยกับเซวียเจวี๋ยไปชั่วคราว

เขาปรายตามองเห็นพ่อบ้านจางที่ยืนรออยู่ในห้องอาบน้ำ ลังเลอยู่ครึ่งวินาทีก็ปิดประตูใส่เซวียเจวี๋ยดังโครม

ให้คุณได้ใจไป!

นี่แน่ะ ปิดประตูใส่หน้าเลย!

จู่ฉีขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคิดเสร็จ ก็ตกใจกับเสียงดัง ‘กริ๊ก’

เขาก้มลงมอง ปลายเท้ามีอัญมณีสีเขียวมรกตอยู่ มันส่องประกายประหลาดอัศจรรย์ท่ามกลางแสงไฟสีส้มอุ่น

จู่ฉีรู้สึกคุ้นกับอัญมณีเม็ดนี้ ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในของประจำตัวเจ้าของร่างเดิม แต่ของเหล่านั้นเขาวางไว้ที่ตระกูลเซวีย ไม่ได้เอาออกมาด้วย

ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้?

จู่ฉีคิดพลางก้มลงอย่างยากลำบาก เขายื่นมือไปเก็บอัญมณีเม็ดนั้น แต่ร่างที่มีครรภ์นี้อุ้ยอ้ายเหลือเกิน เขาพยายามถึงสองหนจึงจะเก็บได้

จังหวะที่เขายืนขึ้นนั้นเอง ทุกสิ่งรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แค่ชั่วเวลาห้าวินาที ห้องอาบน้ำก็หายไป สิ่งที่มาแทนที่คือผืนหญ้าเขียวชอุ่ม...

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal