Wednesday
หลังผ่านเรื่องอัศจรรย์อย่างการทะลุเข้ามาในหนังสือได้ ตอนนี้จู่ฉีสงบนิ่งอย่างประหลาด
เขาทำใจให้นิ่งและกวาดตามองทิวทัศน์รอบตัว ก่อนพบว่าผืนหญ้านี้เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ขยายยืดยาวไปจนสุดขอบฟ้า กวาดตามองรู้สึกเหมือนภาพทิวทัศน์สงบนิ่ง ไม่มีลมพัดแม้แต่น้อย
ได้ยินเสียงน้ำจ้อกๆ ดังมาไม่ไกล เขามองไปตามเสียง พบว่ามีสายน้ำไหลกระชั้นสายหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้ สองฝั่งแม่น้ำที่ถูกคลื่นซัดมีดอกไม้สีเหลืองอ่อนเป็นกลุ่ม
เขาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ที่แท้เป็นดอกเบญจมาศที่กำลังบานสะพรั่ง
จู่ฉีจำได้ว่าเบญจมาศจะบานเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ตอนนี้ยังไม่เข้าฤดูใบไม้ร่วง ตามหลักแล้วเบญจมาศไม่น่าจะบานสะพรั่งขนาดนี้
แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ประเด็นนี้ไม่สำคัญ...
เขาถูกอากาศสดชื่นบริสุทธิ์ที่พัดมาดึงความสนใจไป ฝืนนั่งยองๆ ลงไปทั้งที่ท้องกลมนูน ยื่นหน้าไปดมดอกเบญจมาศดอกหนึ่ง
เวลานั้นมีกลิ่นหอมประหลาดซึมซาบเข้าไปในจมูก เขาหาวออกมา รู้สึกสมองมึนงงนึกอยากจะหลับลงในทันที
เขาพยายามฝืนสะกดตัวเองไม่ให้หลับ เด็ดดอกเบญจมาศมาดอกหนึ่ง ขณะลุกขึ้นอย่างยากลำบากก็รู้สึกว่าทิวทัศน์รอบตัวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตาเขาก็กลับมายังห้องอาบน้ำห้องนั้น
“คุณนาย” พ่อบ้านจางพูดอย่างระมัดระวัง “กลางคืนหนาว คุณนายยังเปียกน้ำ ระวังจะไม่สบายนะขอรับ”
จู่ฉีรู้สึกเหมือนตื่นจากฝัน แววตายังคงเลื่อนลอย เขากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว วินาทีต่อมาก็รู้สึกเจ็บเพราะฝ่ามือถูกของเย็นๆ บางอย่างกดไว้
เขาก้มลงไปมอง
จากนั้นก็ประหลาดใจที่เห็นอัญมณีสีเขียวที่เขากำไว้แน่น พร้อมกับเบญจมาศที่ถูกเขากำจนบี้แบน
จู่ฉีตื่นตะลึงในทันที จากนั้นก็เข้าใจในชั่วพริบตา...
ทุกสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่มีอยู่จริง ทุกสิ่งได้ประสบนั้นเคยเกิดขึ้นจริง เขาไม่ได้ฝันไป
“คุณนาย?”
เสียงของพ่อบ้านจางดึงเขากลับมาจากห้วงความคิด พอหันหน้าไป ก็เห็นพ่อบ้านจางมองเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
เพื่อไม่ให้พ่อบ้านจางสงสัย เขาได้แต่สะกดอารมณ์พลุ่งพล่านในใจไว้ก่อน หลุบตาลงทำสีหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติ
พ่อบ้านจางปรับอุณหภูมิน้ำให้พอดีแล้วก็ออกไป ก่อนออกยังกำชับจู่ฉีว่ามีอะไรให้เรียกได้ตลอดเวลา เขาเฝ้าอยู่ด้านนอก
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง จู่ฉีในชุดนอนไซส์ใหญ่เดินออกจากห้องน้ำอย่างช้าๆ โดยมีพ่อบ้านจางคอยประคับประคอง ส่วนเซวียเจวี๋ยที่ถูกปิดประตูใส่หน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จู่ฉีนั่งบนเตียง สั่งพ่อบ้านจางว่า “คุณตามเซวียเจวี๋ยมาหน่อย”
พ่อบ้านจางตอบด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนสี “คุณนาย คืนนี้คุณท่านมีงานสำคัญต้องจัดการ ไม่สะดวกมาพบคุณนายขอรับ”
จู่ฉีมุมปากกระตุก หรี่ตารูปดอกท้อมองพ่อบ้านจางอย่างเรียบเฉย คิดแล้วก็เตรียมลุกขึ้น “ในเมื่อเขาไม่สะดวกมาเจอผม ผมไปหาเขาก็ได้ใช่ไหม?”
แต่แค่เขาเพิ่งลุกขึ้น ก็ถูกพ่อบ้านจางปราดมาขวางไว้
จู่ฉี “...” เขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ให้ระเบิดไม่ได้แล้ว!
“คุณนายท้องอยู่ พักผ่อนเร็วหน่อยดีกว่า รอพรุ่งนี้คุณท่านหายยุ่งก็จะมาเยี่ยมคุณนายเองขอรับ” พ่อบ้านจางพูดโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ จากนั้นก็ค้อมศีรษะคำนับแล้วล่าถอยจากห้องไป
เหลือแต่จู่ฉีที่ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขานั่งริมเตียงอย่างเซ็งชีวิตครู่ใหญ่ จากนั้นก็เตะรองเท้าไปให้พ้นแล้วล้มตัวลงนอน
ตอนกลางคืนเป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวน้อยคึกคักที่สุด เตะท้องจู่ฉีตลอดเวลา
หากเป็นก่อนหน้านี้ จู่ฉีต้องชี้พุงตัวเองพูดเองเออเองสั่งสอนเจ้าตัวน้อยสักยกใหญ่ เล่นเองสนุกเอง
แต่ตอนนี้ จู่ฉีไม่มีอารมณ์แบบนั้น
เขาทบทวนโครงเรื่องช่วงหลังของนิยายในสมองตัวเองรอบหนึ่ง คิดแล้วคิดอีก ไม่รู้ทำไม สมองเขากลับนึกไปถึงมิติลับที่เพิ่งกระโดดเข้าไปไม่นานนั่น
ที่นั่นควรจะเรียกว่ามิติหรือเปล่า? ในนิยายมักจะเรียกแบบนี้
เสียดายที่ตอนนี้จู่ฉียังไม่รู้ว่ามิตินั้นมีประโยชน์อะไร และเขาจะเข้าออกที่นั่นได้อย่างไร
ใช่แล้ว!
อัญมณีสีเขียวเม็ดนั้น!
จู่ฉีนึกขึ้นได้ว่าตอนเข้าออกมิตินั้น ดูเหมือนเขาจะสัมผัสกับอัญมณีสีเขียว ไม่แน่ว่าอัญมณีเม็ดนั้นอาจเป็นเหมือนปุ่มกดเปิดทางเข้าออกมิติ
พอคิดถึงตรงนี้ จู่ฉีก็ตื่นเต้นขึ้นมา เขาเรียกเสียวหย่าที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเข้ามา ให้หล่อนเอาอัญมณีสีเขียวกับดอกเบญจมาศที่เขาวางไว้บนชั้นในห้องอาบน้ำมา
เสียวหย่าที่มีสีหน้าสงสัยเอามาให้แล้วถอยจากไป จู่ฉีก็นั่งพิงหัวเตียงเล่นอัญมณีสีเขียวในมือ
เขายังไม่ทันขบคิดอะไรออกมา ก็ได้กลิ่นหอมเข้มข้นลอยมาในอากาศ กลิ่นหอมนั้นวนรอบจมูกเขาเหมือนมีชีวิต
เพียงชั่วพริบตา สมองจู่ฉีก็ง่วงงุน ความรู้สึกเหนื่อยล้าหนักอึ้งก็พุ่งมาเหมือนน้ำขึ้น
เขาดึงผ้าห่มบางๆ มาคลุมร่าง เพียงชั่วขณะก็เข้าสู่ภวังค์หลับลึก
วันรุ่งขึ้น
ตอนที่จู่ฉีลืมตา ลำแสงสว่างจ้าก็เข้ามาเต็มห้อง เข็มบนนาฬิกาแขวนบอกเวลาเที่ยงตรง เขาหลับไปนานถึงสิบเอ็ดชั่วโมง
จู่ฉีรู้สึกอัศจรรย์ใจ นึกว่าตัวเองตาลายมองเวลาผิด
วันนี้เป็นวันที่หกที่เขาทะลุมาอยู่ในนิยาย สี่คืนแรกเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการนอนไม่หลับกับความฝันมากมาย ทุกเช้ายังไม่ทันเจ็ดโมงเขาก็ตื่นเอง จากนั้นก็มึนงงตลอดทั้งวัน
มีแต่เมื่อคืนที่เขาหลับยาวถึงสว่างจ้า
ซ้ำพอตื่นมาก็ไม่รู้สึกง่วงอีกเลย เหมือนตัวเขาได้รับการชำระล้างจากภายในสู่ภายนอก หน้าตาสดชื่น จิตใจแจ่มใส กระทั่งสมองยังตื่นตัวผิดปกติ
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้
ใช่แล้ว!
เบญจมาศดอกนั้น...
จู่ฉีนึกได้ว่าเมื่อคืนเขาเอาเบญจมาศวางไว้ที่ตู้หัวเตียง เขาเอียงตัวจะไปหยิบ แต่กลับพบว่าบนตู้ว่างเปล่า เบญจมาศดอกนั้นหายไป เหลือเพียงผงสีเหลืองกองหนึ่ง
จู่ฉี “!!!”
เขาลงจากเตียงก้มมองดู พบว่าเบญจมาศกลายเป็นผงสีเหลืองจริงๆ พอยื่นหน้าไปใกล้ยังได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยนั้น แต่จางกว่าเมื่อวานมาก
จู่ฉีขบคิดพลางใช้นิ้วชี้แตงผงสีเหลืองมานิดหน่อย ขยี้ไปมาด้วยนิ้วสองนิ้ว
หากเขาไม่ได้เดาผิด เบญจมาศน่าจะมีฤทธิ์ทำให้นอนหลับทำให้จิตใจผ่อนคลาย การที่คุณภาพการนอนของเขาเมื่อคืนวานดีขึ้นทันทีน่าจะเกี่ยวข้องกับดอกเบญจมาศนี้
และการที่ดอกไม้กลายเป็นผงก็น่าจะเป็นผลมาจากการ ‘ใช้แล้ว’ ?
จู่ฉีคาดเดาไปเรื่อย พลางก็ดึงทิชชูออกมาเช็ดผงบนตู้แล้วโยนทิ้งถังขยะ จากนั้นก็หยิบอัญมณีสีเขียวนั้นมาส่องกับแดดพลางเพ่งพิจารณา
หรือนี่เป็นปุ่มกดเข้าสู่มิติ?
จู่ฉีคิดอย่างสงสัย เพิ่งคิดได้ก็มองเห็นทิวทัศน์รอบตัวบิดเบี้ยว
เพียงชั่วพริบตา เขาก็มาถึงทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่มนั่นอีกครั้ง ห่างไปไม่ไกลก็ยังมีแม่น้ำไหลกระชั้น สองฝั่งมีดอกเบญจมาศเหลืองอร่าม
ที่นี่ไม่มีลม ไม่มีแดด ฟ้าครามเมฆขาวกับทุ่งหญ้าไร้ขอบเขตเป็นเหมือนภาพนิ่ง มีเพียงแม่น้ำที่ไหลกระชั้นกับจู่ฉีที่เดินไปมาเท่านั้นที่เป็นภาพเคลื่อนไหว
เขาค่อยๆ แบมือออก อัญมณีสีเขียวสงบนิ่งอยู่กลางฝ่ามือ
พริบตานั้นเขาพลันบรรลุอะไรบางอย่าง ห้วงสมองเกิดความคิดหนึ่งผุดวูบ จากนั้นทิวทัศน์เบื้องหน้าก็บิดเบี้ยวอีก เพียงสองวินาที เขาก็กลับมาในห้องในรีสอร์ตอีกครั้ง
สายตาของจู่ฉีเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี เขากำอัญมณีสีเขียวไว้แน่น ขณะที่กำลังจะเข้าไปในมิติอีกครั้ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน
“คุณนาย” พ่อบ้านจางถามมาจากด้านนอก “คุณนายตื่นหรือยังขอรับ? จะบ่ายแล้ว คุณนายตื่นขึ้นมารับประทานอะไรก่อนแล้วค่อยพักผ่อนนะขอรับ อย่าปล่อยให้ท้องหิว”
จู่ฉีดึงตนเองออกมาจากอารมณ์ตื่นเต้นยินดี เขารีบซ่อนอัญมณีสีเขียวไว้ใต้หมอน ส่งเสียงตอบว่ารอสักครู่ จากนั้นเขาก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน
เสียวหย่าจัดแจงนำเสื้อผ้าจากกระเป๋าออกมาแขวนไว้ในตู้หมดเรียบร้อย ลายดอกสีแสบทรวงสารพัดอย่าง ทำให้คนเห็นตาลาย...ล้วนแล้วแต่เป็นแบบที่ในนิยายเขียนไว้ว่าเซวียเจวี๋ยเกลียดที่สุด
จู่ฉีเลือกไปเลือกมาหน้าตู้อยู่พักหนึ่ง ท้ายสุดก็เลือกเซ็ตเสื้อและกางเกงขาสั้นลายดอกสีสดสำหรับพักผ่อน
ตอนเปิดประตูออกไป เขาเห็นสีหน้าพ่อบ้านจางบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วเขม้นมองกางเกงเขาอยู่ครึ่งนาที ท้ายสุดก็ไม่พูดอะไร สะบัดมือบอกให้สาวใช้ทั้งหลายที่อยู่ด้านหลังยกอาหารเข้ามาในห้อง
จู่ฉีรับประทานอาหารเที่ยงอย่างสุขสบายภายใต้การปรนนิบัติของสาวใช้ทั้งหลาย รอจนพ่อบ้านจางพาทุกคนออกไป เขาก็อาศัยข้ออ้างว่างีบกลางวัน ขังตนเองไว้ในห้องแล้วเล่นอัญมณีสีเขียวไปมา
พอถึงสี่โมงเย็น เขาเห็นว่าได้เวลาแล้วก็เรียกเสียวหย่าให้พาเขาไปหาเซวียเจวี๋ย
ต้องพูดว่าเซวียเจวี๋ยท่านประธานบ้าอำนาจงานยุ่งจริงๆ เขายังเดินไปไม่ถึงห้องที่เซวียเจวี๋ยพัก ก็เห็นว่านอกประตูมีคนห้าหกคนพร้อมด้วยผู้ช่วยของพวกเขายืนเข้าแถวอย่างเคารพนบนอบรอพบเซวียเจวี๋ยอยู่
ดูโอ่อ่าใหญ่โตราวกับขุนนางสมัยโบราณรอเข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น
มีเสียวหย่านำทางอยู่ข้างหน้า จู่ฉีเดินผ่านคนเหล่านั้นอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วผลักประตูเข้าห้องไปท่ามกลางสายตาของทุกคน
ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังมาจากด้านหลัง ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าคนพวกนั้นกำลังคุยกันว่าเขาเป็นใคร
ในห้องมีกลิ่นกำยานไม้จันทน์จางๆ หอมอวล จู่ฉีสูดลมหายใจลึกสองที เดินผ่านห้องโถงหรูหราขนาดใหญ่มาจนถึงหน้าประตูห้องเล็ก
ประตูไม้จริงสีน้ำตาลอมแดงงับไว้ไม่สนิท จึงได้ยินเสียงผู้ชายสองคนคุยกัน
“พูดตามตรง ตั้งแต่เกิดวิกฤตเมื่อสามปีก่อน ผมก็ไม่เคยหลับสนิทอีกเลย แรงกดดันมากเกินไป ผมก็ร่วงเป็นกระจุก”
“ประธานไป่ เคยหาหมอไหมครับ?” เสียงของเซวียเจวี๋ยทุ้มต่ำน่าดึงดูด แต่ก็กลับเย็นชา
“ผมไปหามาแต่แรกแล้ว ไม่ได้ผลอะไร” ชายวัยกลางคนถอนใจพลางโบกมือไปมา “นอนไม่หลับก็คือนอนไม่หลับ ผมร่วงก็ร่วง จิตแพทย์บอกว่าผมรับภาระเกินไป แต่อยู่ในตำแหน่งนี้ มีภาระอะไรไม่หนักบ้าง?”
พูดจบเขาก็ถอนใจแล้วถอนใจอีก พูดนอกเรื่องเสร็จ พวกเขาก็ย้อนมาพูดเรื่องงาน ไม่นานชายวัยกลางคนนั้นก็ลุกขึ้นเอ่ยลา
จู่ฉียืนรออยู่ข้างประตู พอเห็นชายวัยกลางคนเดินออกมา ตาเขาก็เป็นประกายทันที
เขาเห็นชายวัยกลางคนเดินผ่านไป เห็นชัดว่าฝ่ายตรงข้ามก็สังเกตท้องเขาที่นูนออกมา แววตาปรากฏความประหลาดใจแวบหนึ่ง
“สวัสดีครับ” จู่ฉีไม่สนใจสายตาของฝ่ายตรงข้าม ยิ้มพลางพยักหน้า
ชายวัยกลางคนรู้สึกตนว่าสายตาของตนออกจะเสียมารยาท รีบเก็บสายตาคืน ทักทายกลับแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
เสียวหย่าที่อยู่ด้านข้างผลักประตูเข้าไปร้องเรียกอย่างระมัดระวังว่าคุณท่าน จู่ฉีเท้าสะเอวเดินเข้าไป ประสานสายตากับเซวียเจวี๋ยที่เงยหน้าขึ้นพอดี
“เฮ้!” จู่ฉีเอ่ยปากทักอย่างอารมณ์ดี ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงาน เลิกคิ้วมองเซวียเจวี๋ยที่มีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “เรามาคุยเรื่องเลิกกันต่อ”
“...” สีหน้าของเซวียเจวี๋ยเคร่งเครียดลงในทันที