Wednesday
เซวียเจวี๋ยรู้จักจู่ฉีไม่นาน แต่นับแล้วก็กว่าครึ่งปี เขารู้ว่าจู่ฉีเป็นคนอย่างไร...อยากได้ชื่อเสียงความร่ำรวย เห็นแก่ได้ ไม่เลือกวิธีการที่ใช้ขอเพียงให้ได้ปีนขึ้นสู่ที่สูง
ลักษณะพิเศษในทางลบของจู่ฉีฝังแน่นในใจของเซวียเจวี๋ย ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าจู่ฉีจะเอ่ยขอเลิก
หรือว่าเป็นกลลวงของจู่ฉีที่จะอาศัยการถอยเป็นการรุกคืบ?
เซวียเจวี๋ยไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากเสียสมาธิไปกับเรื่องเล็กๆ กระจิริดแค่นี้ เพียงชั่วพริบตา เขาก็สังเกตว่าจู่ฉีแต่งตัวเหมือนผีเสื้อลายบินว่อนไปมา หัวคิ้วเขาขมวดแน่นในทันที
“นายสวมเสื้อผ้าแบบนี้มาหรือ?”
“แล้วจะให้ยังไงล่ะ?” จู่ฉีเลิกคิ้วหัวเราะเบาๆ ดึงเสื้อผ้าบนร่างอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อจะคุยเรื่องสำคัญอย่างการเลิกกัน ก็ต้องใส่เสื้อผ้าที่ผมชอบที่สุด คุณว่าผมใส่แล้วน่าดูไหมล่ะ?”
พูดจบ จู่ฉีก็ลุกขึ้นอย่างชั่วร้าย แกล้งเดินวนไปวนมาช้าๆ ตรงหน้าเซวียเจวี๋ย
พอหันกลับมาก็พบว่าเซวียเจวี๋ยหน้าเครียดจนแทบจะเป็นสีเขียวคล้ำ รังสีอำมหิตที่ปล่อยจากร่างเหมือนจะก่อเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ รอยยิ้มบนหน้าของจู่ฉียิ่งสดใสขึ้นไปอีก
“คุณดูสิ อะไรที่ผมชอบคุณก็ไม่ชอบ งานของคุณผมช่วยไม่ได้สักอย่าง เราไม่เหมาะกันจริงๆ”
น้ำเสียงของจู่ฉีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาสังเกตเซวียเจวี๋ยที่หน้าเคร่งขรึมตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา พูดต่อไปอย่างเป็นการเป็นงานว่า “ถ้าคุณกลัวว่าหากเลิกกันแล้วจะเกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงของคุณและตระกูลเซวีย คุณก็สามารถผลักความรับผิดชอบมาให้ผม จะพูดว่าผมหอบเงินหนีไปก็ได้ ผมไม่แคร์”
ชีวิตยังจะเอาไม่รอด จะสนใจชื่อเสียงไปทำไม?
ขอเพียงมีชีวิตอยู่ เงินค่อยๆ หาได้ ชื่อเสียงก็ค่อยๆ สร้างได้ เขากับเจ้าตัวน้อยในท้องมีเวลาทั้งชีวิตที่จะค่อยๆ ใช้
จู่ฉีตั้งใจเกลี้ยกล่อมเซวียเจวี๋ยจากใจจริง ทว่าสิ่งที่ได้รับคือรอยยิ้มเย็นชาดูแคลนจากเซวียเจวี๋ย “นายก็ต้องไม่แคร์อยู่แล้ว ถ้าแคร์มีหรือจะวางยาฉัน”
จู่ฉี “...”
อ้อ ดูเหมือนเขาจะนึกออกแล้ว ในนิยายมีเขียนไว้สองสามประโยคว่า ‘จู่ฉี’ ใส่ยาอะไรนั่นที่มีฤทธิ์แรงมากลงในแก้วเหล้าของเซวียเจวี๋ยตอนอยู่ในงานเลี้ยง จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่พยุงเซวียเจวี๋ยขึ้นไปพักผ่อน ร่วมผ่านค่ำคืนด้วยกัน
แถมหนเดียวก็ได้ผล...
โอย ต้องโทษเจ้าของร่างเดิมที่ก่อเรื่องเหลวไหลไว้ ทำให้การที่เขาขอเลิกในร่างของเจ้าของร่างนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นการกำลังงอนเพื่อหวังให้อีกฝ่ายง้อ
เซวียเจวี๋ยเห็นจู่ฉีนิ่งตะลึงไม่พูดจาก็คิดว่าน่าจะเป็นเพราะพูดแทงใจ มุมปากเขายกขึ้นเย้ยหยัน
“ตระกูลเซวียไม่ใช่ที่ที่นายจะมาก็มาจะไปก็ไป อย่าลืมว่าข้างหลังยังมีสายตานับไม่ถ้วนมองเราอยู่ วันนี้นายปรากฏตัวต่อหน้าคน พรุ่งนี้ก็จะถูกเปิดโปงหมดเปลือก เวลานั้นต่อให้หนีไปไกลสุดขอบฟ้าก็ยังจะถูกลากออกมา”
เสียงพูดของเซวียเจวี๋ยไม่ดัง ทว่าแต่ละคำแฝงอำนาจที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ ทำให้จู่ฉีล่าถอยไม่เป็นกระบวน ความมั่นใจเมื่อครู่ที่คิดจะกล่อมฝ่ายตรงข้ามให้ได้สลายหายไปในชั่วพริบตา
จู่ฉียืนอยู่ที่เดิม อ้าปากแล้วหุบ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
เซวียเจวี๋ยมองนาฬิกาข้อมือ จากนั้นก็หยิบมือถือมาโทรศัพท์
ผ่านไปไม่นาน มือถือของจู่ฉีก็ดังสองที มีข้อความใหม่เข้ามา
เขาปลดล็อกเข้าไปดู เห็นข้อความที่มาใหม่...
บัตรเอทีเอ็มของเขามีเงินเข้ามาสิบล้าน...
“จู่ฉี” เซวียเจวี๋ยเรียกเขาทันที สีหน้าเย็นเยียบ ดวงตาดำสนิทเหมือนผนึกอะไรบางอย่าง ความเยียบเย็นแผ่ซ่านออกมาจนทำให้อากาศก็คล้ายหนาวเย็นไปด้วย “ชีวิตกินดีอยู่ดีกับชีวิตที่กินไม่อิ่มท้อง อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่นาย”
คราวนี้ต่อให้จู่ฉีเป็นคนโง่ก็ฟังออกว่าเซวียเจวี๋ยกำลังข่มขู่เขาตรงๆ
ตอนนี้เขาเป็นเพียงดาราเล็กๆ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีแรงสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนฝูง ไม่มีทั้งเงินทองและอิทธิพลเป็นแบ็กหลัง เซวียเจวี๋ยจะจัดการเขาก็ง่ายดายเหมือนบี้มดตัวหนึ่งให้ตาย
ลังเลแล้วลังเลอีก ในที่สุดจู่ฉีก็ตัดสินใจเลือกประนีประนอมก่อน เขาเก็บมือถือ ยิ้มให้เซวียเจวี๋ย “งั้นก็ขอบคุณสำหรับสิบล้านที่คุณโอนมาให้”
เซวียเจวี๋ยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้สนใจจู่ฉีอีก แต่หันไปสั่งผู้ช่วยที่ทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนอยู่ข้างๆ มาตลอดให้เขาไปตามคนคนหนึ่งมา
ก่อนออกจากห้อง จู่ๆ จู่ฉีก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาหันกลับไปถามเซวียเจวี๋ยว่า “ใช่แล้ว คุณรู้จักเซียวเซินซี่ว์กับอี๋ว์เหม่ยถงไหม?”
เซวียเจวี๋ยกำลังมองคอมพิวเตอร์ พอได้ยินก็เงยหน้าขึ้นขมวดคิ้ว “ใคร?”
“เซียวเซินซี่ว์กับอี๋ว์เหม่ยถง” จู่ฉีพูดชื่อพวกเขาซ้ำโดยลากเสียงยาว สองคนนี้คือพระเอกนางเอกในนิยาย
“ไม่รู้จัก” เซวียเจวี๋ยพูดจบก็หันกลับไปมองหน้าจอ ท่าทางไม่อยากจะพูดกับจู่ฉีนัก
จู่ฉียักไหล่ ไม่หาเรื่องใส่ตัวอีก หันกายเดินตามเสียวหย่าไปข้างนอก
คนเหล่านั้นยังคงรออยู่ด้านนอก เดิมมีคนกลุ่มหนึ่งคุยกันเสียงเบาๆ แต่พอได้ยินเสียงประตูเปิดออก ช้อนตาขึ้นมองก็เห็นจู่ฉีเดินท้องโตมาช้าๆ
ชั่วพริบตา ทุกคนเงียบสนิท หันมองจู่ฉีเป็นตาเดียวกัน
รอจนเงาร่างของพวกเขาหายไปในมุมตึก คนที่เหมือนเป็นภาพนิ่งเมื่อครู่ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์
“ผมว่าไม่เหมือนที่เล่ากันว่าเขาไม่เป็นที่โปรดปราน ประธานเซวียยังทำงานอยู่ข้างใน เขาก็บุกเข้าไป จากนิสัยประธานเซวีย น่าจะไล่เขาออกมาแต่แรกแล้ว”
“บางทีประธานเซวียอาจจะชอบเขาจริงๆ ก็ได้นะ? หน้าตาเขาไม่เลวเลยนี่”
“หน้าตาดีแล้วมีประโยชน์อะไร ผมได้ยินว่าก่อนหน้านี้เขามีชื่อเสียงในวงการไม่ค่อยดี พวกคุณรู้จักสือเฮ่าใช่ไหม? ได้ยินว่าเขาคบกับสือเฮ่าอยู่พักหนึ่ง...”
คนผู้นี้เพิ่งนินทาได้ไม่ถึงครึ่ง ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงไอของผู้ช่วย
เขารู้สึกขุ่นเคืองใจ กำลังอยากจะบอกให้ผู้ช่วยไปไอทีอื่น วินาทีต่อมาหางตาก็เหลือบเห็นว่าประตูห้องเปิดตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ร่างสูงใหญ่ปรากฏอยู่ข้างหน้า
“วันนี้ประธานจางอารมณ์ดีจริง ไม่สู้เราเข้าไปดื่มน้ำชาแล้วคุยกันข้างใน?” เซวียเจวี๋ยขยับมุมปากกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง แววตาเย็นเยียบเหมือนมีน้ำค้างแข็งเคลือบอยู่ชั้นหนึ่ง
ประธานจางเหมือนเจอยมบาลในทันที สีหน้าหวาดหวั่น เหงื่อเย็นซึมหน้าผาก เขาเอ่ยเสียงสั่น “ไม่ใช่แบบนั้นครับประธานเซวีย ฟังผมอธิบายก่อน...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” เซวียเจวี๋ยยกมือขึ้นขัดคำพูดนั้น “วันนี้พอแค่นี้ ลำบากทุกคนแล้ว เชิญกลับไปได้”
พูดจบ เซวียเจวี๋ยก็หันหลังกลับแล้วเดินเข้าห้องไป
คนอื่นๆ ที่ชมความครึกครื้นเมื่อครู่ต่างมีสีหน้าหวาดกลัว พุ่งเข้าไปจะขวางไม่ให้เซวียเจวี๋ยจากไป แต่ถูกผู้ช่วยของเซวียเจวี๋ยกั้นไว้ข้างนอกด้วยกำลังของคนคนเดียว
เสียงปิดประตูห้องดังขึ้น ทิ้งให้คนที่สิ้นหวังมองหน้ากันอยู่ข้างนอก ไม่นาน ทุกคนก็ระบายโทสะใส่ประธานจางผู้สร้างเภทภัยจากปาก
ประธานจางรับคำตำหนิของทุกคนอย่างเงียบๆ ใจรู้ว่าวันหน้าแค่จะเข้ามาในรีสอร์ตของตระกูลเซวียก็ยากแล้ว เขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง นึกอยากตบปากตัวเองแรงๆ สักสองครั้ง
จู่ฉีกลับไปนอนรับลมเย็นที่เก้าอี้อาบแดดริมสระ เขาให้เสียวหย่าไปสืบข้อมูลประธานไป่ ระหว่างรอก็แอบเข้าไปในมิติหลายหน
จำได้ว่าครั้งแรกที่เข้าไป เขาอยู่ต่อหน้าพ่อบ้านจาง ตอนนั้นเขาอยู่ในมิติประมาณสิบนาที ตอนออกมาพ่อบ้านจางไม่ได้สงสัยอะไร
คราวนี้จู่ฉีคอยสังเกตเวลาในมือถือ เขาพบว่าเวลาในมิติมีความแตกต่างกับเวลาในความเป็นจริงอยู่ สิบนาทีในมิติน่าจะเท่ากับหนึ่งวินาทีในความเป็นจริง
เสียวหย่าหายไปสองชั่วโมงก็วิ่งหอบเหนื่อยกลับมา เวลานี้เพียงพอให้จู่ฉีเข้าไปเก็บดอกเบญจมาศกองใหญ่และนอนหลับอย่างสบายตื่นหนึ่ง
“คุณนาย ดิฉันสืบมาได้แล้วเจ้าค่ะ!” เสียวหย่าปาดเหงื่อบนหน้า เล่าข้อมูลที่สืบมาได้ให้ฟังไม่หยุด “ไป่กวงเจี้ยนเป็นประธานกรรมการบริษัทหัวอี๋โปรดักชั่น ช่วงที่ผ่านมามีแรงกดดันเรื่องงานมากและสุขภาพไม่ดี จึงมาพักผ่อนที่นี่ ดูเหมือนทุกเช้าเขาจะไปตกปลาริมทะเลสาบเจ้าค่ะ”
จู่ฉีถามว่า “ริมทะเลสาบไหน?”
เสียวหย่าชี้ทิศทาง “ทะเลสาบจันทราที่อยู่ด้านหลังเจ้าค่ะ ทิวทัศน์สวยงาม อากาศบริสุทธิ์ ถ้าคุณนายอยากไป พรุ่งนี้ดิฉันพาไปเดินเล่นเจ้าค่ะ”
จู่ฉียิ้มแล้วว่า “งั้นไปพรุ่งนี้เช้าละกัน ผมมีเรื่องอยากหารือกับประธานไป่นิดหน่อย”
เสียวหย่านึกประหลาดใจว่าบุรุษมีครรภ์ที่ไม่ออกไปไหนอย่างจู่ฉีจะมีธุระอะไรคุยกับประธานบริษัทผลิตสื่อ หล่อนลังเลอยู่ว่าจะลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดีไหม แต่กลับถูกจู่ฉีสั่งให้เอาเบญจมาศกองใหญ่บนพื้นกลับไปในห้อง
เสียวหย่าถูกดอกไม้เล็กๆ สีเหลืองกองนั้นดึงดูดความสนใจไปทันที ไม่นานก็ลืมเรื่องที่จะถามไปสนิท
วันรุ่งขึ้น
จู่ฉีตื่นเช้ามาอาบน้ำแปรงฟัน สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยอย่างอารมณ์ดี หลังอาหารเช้า เขาหยิบเบญจมาศดอกหนึ่งมาแล้วเดินไปบนทางน้อยสู่ทะเลสาบจันทราพร้อมกับเสียวหย่า
ทิวทัศน์ในรีสอร์ตสวยกว่าที่คิด ภูเขาไกลๆ ดูเลือนรางเหมือนถูกคลี่คลุมด้วยแพรบางๆ เงาไม้ซ้อนทับ ผืนน้ำในทะเลสาบสีเขียวใสสะท้อนฟ้าครามเมฆขาว เสียงนกร้องสดใสดังอยู่ในป่าเขา
เห็นตึกรามใหญ่โตและรถราขวักไขว่ในเมืองใหญ่คึกคักจนชิน พอเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติงดงามสงบเช่นนี้ก็รู้สึกมีเสน่ห์ต่างออกไป
จู่ฉีมองไกลๆ เห็นไป่กวงเจี้ยนที่ตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ เขากำชับเสียวหย่าให้รออยู่ไม่ไกล ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนพื้นหญ้าข้างไป่กวงเจี้ยน
ไป่กวงเจี้ยนซึ่งเหม่ออยู่ตกใจ พอหันมาเห็นจู่ฉีซึ่งเคยได้พบกันครั้งหนึ่ง เขาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
จู่ฉีกลับเป็นฝ่ายตกใจกับรอยคล้ำลึกใต้ตาของไป่กวงเจี้ยนกับไรผมที่ลึกเข้าไปเกือบจะถึงกลางศีรษะ เขาถามโดยไม่รู้ตัวว่า “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
ไป่กวงเจี้ยนเข้าใจทันทีว่าจู่ฉีกำลังพูดถึงอะไร เขาลูบกระหม่อมที่เกือบล้านของตนอย่างเก้อเขิน ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร แต่พักนี้ผมนอนไม่ค่อยหลับ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
จากนั้นทั้งสองก็เริ่มคุยสัพเพเหระกัน แล้วหัวข้อสนทนาท้ายสุดก็มาเป็นเรื่องนอนไม่หลับกับผมร่วง
ไป่กวงเจี้ยนมีความทุกข์กับเรื่องนี้มานาน อดไม่ได้ต้องบ่นให้จู่ฉีฟังมากมาย พูดตรงๆ ว่าอีกไม่กี่ปีเขาต้องกลายเป็นคนหัวล้านแน่
จู่ฉีนิ่งฟังไป่กวงเจี้ยนบ่นจบ อาศัยจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามพักหายใจ ทำเป็นพูดอย่างไม่ตั้งใจว่า “ผมมีเพื่อนคนหนึ่งสภาพไม่ต่างจากคุณ แต่ก่อนหน้านี้เขาใช้วิธีหนึ่ง ไม่นานก็หายจากอาการนอนไม่หลับ”
ไป่กวงเจี้ยนได้ยินก็ตาเป็นประกาย “วิธีไหน?”
ขณะที่เขาคิดว่าจู่ฉีจะแบ่งปันตำรับลับซับซ้อนอะไร ก็เห็นฝ่ายตรงข้ามหยิบเบญจมาศเล็กๆ ดอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างช้าๆ จากนั้นก็ยื่นให้เขา
“เอาเบญจมาศดอกนี้วางที่หัวเตียง รับรองว่าคุณจะหลับดีถึงสายเลยละ”
“...”
ไป่กวงเจี้ยนมองเบญจมาศเล็กๆ ที่ดูธรรมดาสามัญ จากนั้นก็เงยหน้ามองจู่ฉีที่ทำหน้าจริงจัง เวลานั้นไม่รู้ว่าจู่ฉีเป็นคนโง่หรือฝ่ายตรงข้ามแกล้งหลอกเขาเล่นเหมือนเขาเป็นคนโง่กันแน่