(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน อยู่โลกนี้วันหนึ่ง เพื่อรักคุณมากขึ้นอีกหนึ่งวัน เล่ม 01

Wednesday

บทที่ 6

หากคนตรงหน้าเป็นคนอื่น ไป่กวงเจี้ยนต้องตำหนิฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรงโดยไม่ไว้หน้า

สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือคนที่หาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ซ้ำหลายปีมานี้เขากลัดกลุ้มกับเรื่องนอนไม่หลับและผมร่วงจนถึงขั้นกินไม่ได้ คุณภาพชีวิตตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว

หากมีใครล้อเขาเล่นในเรื่องพวกนี้แม้แต่นิด เขาแทบอยากเสี่ยงชีวิตกับคนนั้น

แต่คนตรงหน้าเป็นคนที่เขาจะเสี่ยงชีวิตได้ด้วยหรือ?

หากจู่ฉีเป็นอะไรไปตรงนี้ เกรงว่าเซวียเจวี๋ยเห็นแก่เด็กน้อยในครรภ์จู่ฉี ไม่มีทางให้ชีวิตเขาเป็นสุขแน่

พอคิดถึงสีหน้าเย็นชาห่างเหินของเซวียเจวี๋ย ต่อให้ไป่กวงเจี้ยนโกรธแค่ไหน ก็ต้องพยายามสะกดโทสะที่แล่นพุ่งมาให้ลงไปให้จงได้

ก็แค่ถูกล้อเล่นเหมือนเป็นคนโง่เท่านั้นไม่ใช่หรือ? เนื้อหนังไม่ได้หายไปสักชิ้น มีอะไรใหญ่โต

ไป่กวงเจี้ยนปลอบใจตัวเองแล้วพยายามข่มใจให้เป็นปกติ เขากระตุกมุมปาก ฝืนยิ้มที่ดูแล้วยังน่าเกลียดกว่าร้องไห้ พร้อมกับยื่นมือไปรับดอกเบญจมาศในมือจู่ฉีมา “แค่วางไว้หัวเตียงก็ใช้ได้แล้วหรือ?” 

“คุณวางไว้ใต้หมอนก็ได้ ระยะห่างระหว่างมันกับคุณยิ่งใกล้ ผลลัพธ์ยิ่งเด่นชัด” จู่ฉีตอบ

ไป่กวงเจี้ยนพยักหน้า เอาเบญจมาศน้อยใส่ในกระเป๋าเสื้อ คิดได้ว่าหยิบของคนไปเปล่าๆ ไม่ดี จึงล้วงกระเป๋าเงินออกมาหยิบธนบัตรห้าใบส่งให้จู่ฉี

“ขอบคุณครับ ถือว่าผมซื้อดอกเบญจมาศนี้กับคุณ ไม่ทราบว่าห้าร้อยหยวนพอไหมครับ?”

“พอครับ” จู่ฉีหยิบเงินมาพับใส่กระเป๋าเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ

เดิมเขาก็ไม่คิดว่าจะให้เบญจมาศกับไป่กวงเจี้ยนไปเปล่าๆ แม้ใจเขาจะคิดว่ามูลค่าของมันไม่ใช่แค่ห้าร้อย แต่ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ยังไม่มีการส่งเสริมการขาย ไม่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เขาก็ทำได้เพียงขายในราคาถูก

ทำการค้าเสร็จหนึ่งรายการ จู่ฉีก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ ก่อนจากไป เขายังกำชับไป่กวงเจี้ยนว่า “หากวันหน้าคุณต้องการก็มาซื้อกับผมโดยตรง เห็นแก่ที่คุณเป็นลูกค้าเก่า ผมลดให้สิบเปอร์เซ็นต์”

“...” ไปก่วงเจี้ยนคิดถึงเงินห้าร้อยหยวนที่ถูกหลอกไปเมื่อครู่ พอได้ยินก็ตกอยู่ในความเงียบงันแปลกประหลาด

จู่ฉีพาเสียวหย่าจากไป ไป่กวงเจี้ยนนั่งตกปลาคนเดียวจนถึงเที่ยง จึงถือกระป๋องหิ้วปลาที่ตกได้กลับไป

พอถึงตอนบ่าย ไป่ก่วงเจี้ยนมีงานกองใหญ่ต้องจัดการ กว่าจะเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน เวลาก็ล่วงเลยไปถึงหนึ่งทุ่ม

เขากินข้าวเสร็จก็ไปวิ่งรอบทะเลสาบสองรอบ จากนั้นก็กลับมาอาบน้ำ นอนอยู่บนเตียงเริ่มกล่อมตัวเองให้ง่วง

ก่อนหน้านี้เขามีงานกองเป็นภูเขา ไม่มีทางทำเสร็จ เพาะเป็นนิสัยที่ทำงานนอกเวลาและตรำงานในยามกลางคืน ตอนนี้ธุรกิจทั้งหมดอยู่ในทิศทางดี เขาเริ่มมีเวลาหายใจมีเวลาพักผ่อนแล้ว แต่เขากลับพบว่าคุณภาพการนอนที่ดีได้หายไปจากเขานานแล้ว

เขามาพักที่รีสอร์ตนี้เกือบเดือนแล้ว ขึ้นเตียงมานอนตอนสามทุ่มตรงเวลาทุกคืน แต่น่าเสียดายที่ท้ายสุดก็ลืมตาไปจนถึงฟ้าสาง

คืนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ต่อให้เขากินยานอนหลับไปสองเม็ดก็ยังรู้สึกว่าคึกคัก สามารถไปรบบนโต๊ะทำงานได้อีกสามร้อยกระบวนท่า

ไปกวงเจี้ยนรู้สึกทรมานเหลือเกิน เขาอยากขอให้พนักงานรีสอร์ตเอาไม้ตีหัวเขาให้สลบ เขาพลิกไปพลิกมาไม่สามารถนอนหลับ สมองคิดเรื่องมากมายไม่รู้จักจบจักสิ้น

ทันใดนั้น ความคิดของเขาก็พุ่งไปหาเบญจมาศน้อยดอกนั้นอย่างประหลาด

เขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ นำเสื้อผ้าที่ใส่วันนี้ออกมาจากกองเสื้อผ้าใช้แล้ว ก่อนจะหยิบดอกเบญจมาศที่ถูกทับจนแบนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ กลิ่นหอมลอยเข้าสู่จมูกเขา

ไป่กวงเจี้ยนถือเบญจมาศดอกนั้นเดินกลับมาที่เตียงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วก็อดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้

คนอื่นเอาของแบบนี้มาหลอกเขาเล่น เขายังถือเป็นจริงเป็นจังไปได้ หากดอกไม้ดอกหนึ่งรักษาอาการนอนไม่หลับได้ หมอผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ไม่ตกงานกันหมดหรือ? 

เขายังเอาเงินห้าร้อยหยวนไปซื้อดอกไม้ดอกนี้อีก คงสมองมึนงงไปเพราะอาการนอนไม่หลับกับผมร่วงแน่

คราวหน้าถ้าเจอคนคนนั้นอีกต้องหลบให้ไกล ตอแยไม่ไหวต้องหลบให้ไหว

ไป่กวงเจี้ยนโยนดอกเบญจมาศลงพื้น นอนราบเตรียมตัวจะมองเพดานต่อ เวลานั้นเอง เขาก็เกิดได้กลิ่นหอมเข้มข้นลอยมา

ดูเหมือนจะเป็นกลิ่นหอมจากเบญจมาศดอกนั้น

ไป่กวงเจี้ยนไม่เคยสนใจกลิ่นพวกนี้ เตรียมลุกขึ้นเก็บดอกเบญจมาศโยนใส่ถังขยะซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่เพียงแค่ยันตัวขึ้น ยังไม่ทันลุก เขาก็รู้สึกง่วงงุนหนักอึ้งเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่มาทับ

เขานึกสงสัย นอนลงอย่างงุนงง ไม่กี่วินาทีต่อมาก็หลับสนิทหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

การนอนครั้งนี้สบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เที่ยงวันรุ่งขึ้น ตอนที่ไป่กวงเจี้ยนสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาในผ้าห่ม เขารู้สึกงุนงงไปหมด

รอจนสมองเขาค่อยๆ แจ่มใส ค่อยๆ มีปฏิกิริยา สีหน้าลิงโลดก็ปรากฏขึ้นทันที

สวรรค์!

เขาหลับได้จริงๆ!

มิหนำซ้ำยังหลับตั้งแต่สามทุ่มกว่าของเมื่อคืนจนถึงเที่ยงครึ่งของวันนี้ ระหว่างนั้นไม่มีการตื่นขึ้นมาเลย!

หากเมื่อวานไม่ได้พบจู่ฉี ไป่กวงเจี้ยนต้องคิดว่าเป็นผลมาจากยานอนหลับและความพยายามตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่พอคิดถึงเบญจมาศดอกนั้น เขาก็เริ่มได้สติ

เขารีบลงจากเตียงไปควานหาดอกเบญจมาศที่โยนลงพื้นเมื่อคืน แต่สิ่งที่พบกลับเป็นผงสีเหลืองอ่อนกองหนึ่ง

ส่วนจู่ฉีซึ่งมีดอกเบญจมาศช่วยในการนอนก็หลับสบายอีกหนึ่งคืน

เวลาอาหารเที่ยง เขาเรียกเสียวหย่ามาสั่งว่า “ถ้าวันนี้คุณไป่มาหาผม บอกเขาว่าผมไม่สบาย ไม่สะดวกพบ”

เสียวหย่าได้ยินก็ตกใจ กวาดตามองจู่ฉีรอบหนึ่ง ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “คุณนายไม่สบายตรงไหนเจ้าคะ? ดิฉันจะไปตามหมอมา”

จู่ฉีปรายตามองเสียวหย่าอย่างจนปัญหา พูดกึ่งขำกึ่งเคืองว่า “ดูเหมือนผมไม่สบายตรงไหนไหมล่ะ? คนไม่สบายยังกินข้าวต้มได้ทีละสามชามเหรอ?”

จู่ฉีผิวขาว ขมวดคิ้วน้อยๆ เวลาทำหน้าขรึมก็ดูหล่อเหลาองอาจ แต่ดวงตารูปดอกท้อคู่นั้นเป็นประกายเหมือนคลื่นในฤดูใบไม้ร่วง ต่อให้ถลึงตาก็ไม่ทำให้คนกลัวไปได้

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” เสียวหย่าแอบแลบลิ้น “งั้นคุณนายจะพักในห้องทั้งวันไหมเจ้าคะ? อยู่ตรงนี้อึดอัด ไม่สู้ไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า หมอบอกว่าเดินเยอะหน่อยดีกับเด็กนะเจ้าคะ”

จู่ฉีลูบท้องตามสัญชาตญาณ มืออีกข้างใช้ส้อมคนสปาเกตตี้ในจาน เขาหรี่ตาลง ยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

“วันนี้อากาศดีขนาดนี้ ผมไม่เสียเวลาอยู่ตรงนี้แน่”

จากนั้นเขาก็ให้เสียวหย่าไปหยิบชุดชายหาดที่สีและแบบแสบที่สุดมาจากตู้เสื้อผ้า เสื้อผ้าพวกนี้เขาสั่งออนไลน์มาก่อนหน้านี้ ซื้อไซส์ใหญ่ที่สุดจะได้ปิดท้องมิด แต่ดูยังไงก็ไม่สวย 

เสียวหย่าชื่นชมเสื้อผ้าสีสดและดูดาษดื่นแบบนี้ไม่ไหว มองจู่ฉีแล้วตั้งท่าจะพูดหลายครั้งแต่ก็หยุดไว้

แต่จู่ฉีก็ไม่ได้คิดว่าจะเอาเสื้อผ้ามาช่วยให้ตัวเองดูดีขึ้น เขามองแค่ยิ่งขี้เหร่ยิ่งดี ทางที่ดีเอาที่เซวียเจวี๋ยทนไม่ไหว

เขากำชับแล้วกำชับอีกให้เสียวหย่าจัดการรับมือไป่กวงเจี้ยนที่น่าจะมาที่นี่แบบไหน จากนั้นก็สวมหมวกเดินเอื่อยๆ ไปยังห้องของเซวียเจวี๋ย

ไม่ถึงยี่สิบนาที เขาก็อาศัยความทรงจำเดินมาถึงหน้าห้องของเซวียเจี๋ย

คราวนี้ด้านนอกไม่มีคนกลุ่มใหญ่รออยู่ เขาเดินไปเคาะประตูสองครั้ง สักครู่ผู้ช่วยของเซวียเจวี๋ยก็มาเปิดประตู

“คุณจู่” ผู้ช่วยพยักหน้าทักทายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านประธานเซวียทำงานอยู่ด้านใน”

จู่ฉีรับคำ จากนั้นก็โบกมือเป็นเชิงให้ผู้ช่วยออกไปก่อน

ผู้ช่วยลังเลอยู่ชั่วขณะ เห็นจู่ฉีมีท่าทีเด็ดขาดก็ล่าถอยไปเงียบๆ

จู่ฉีเดินมาถึงห้องหนังสืออย่างคุ้นเคย พอผลักประตูเบาๆ ก็เห็นเซวียเจวี๋ยนั่งทำงานอย่างมีสมาธิอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นิ้วเรียวยาวทั้งสิบเคาะแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว

ว่ากันว่าผู้ชายที่ทำงานจริงจังมีเสน่ห์ที่สุด จู่ฉีปฏิเสธไม่ได้ว่าเซวียเจวี๋ยในเวลานี้มีเสน่ห์ดึงดูดกว่าที่นิยายเขียนไว้

“เสี่ยวเจ้า” เซวียเจวี๋ยเอ่ยปากโดยไม่เงยหน้า “เอาสัญญาบนโต๊ะน้ำชามาให้ผมหน่อย”

จู่ฉีหยิบสัญญาเดินผ่านโต๊ะทำงานขนาดใหญ่มาอยู่ข้างตัวเซวียเจวี๋ย ส่งสัญญาให้โดยไม่พูดไม่จา

เซวียเจวี๋ยยังไม่รู้ตัวว่าผู้ช่วยเปลี่ยนคนไปแล้ว สายตาจับจ้องที่ข้อมูลตรงหน้าจอ ยื่นมือมารับสัญญา แต่จู่ฉีขยับมือหลบ

“เฮ้!” จู่ฉีโบกสัญญาไปมาต่อหน้าเซวียเจวี๋ย ใบหน้าประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมกลัวว่าคุณอยู่คนเดียวจะเหงาจะเบื่อ เลยมาอยู่เป็นเพื่อน”

เซวียเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น สายตาเบนจากใบหน้ายิ้มพรายของจู่ฉีมาที่เสื้อผ้าลายดอกสีสดห้าหกสี จากนั้นสายตาก็เย็นเยียบลงทันใด

ชั่วพริบตานั้น จู่ฉีก็รู้สึกเหมือนเซวียเจวี๋ยอยากจะกลืนเขาลงไป

“ฉันบอกพ่อบ้านจางให้บอกนายแล้วว่า ต่อไปห้ามใส่เสื้อผ้าดอกๆ สีๆ แบบนี้อีก นายชอบเป็นปฏิปักษ์กับฉันขนาดนี้เลยหรือ!” เซวียเจวี๋ยพูดเสียงเย็น ความรังเกียจในสายตาพอกพูน

จู่ฉีเห็นอยู่กับตา กระหยิ่มอยู่ในใจ ก้มลงวางสัญญาไว้ตรงหน้าเซวียเจวี๋ย พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “คุณคิดยังไงก็เรื่องของคุณ ผมใส่แบบไหนก็เรื่องของผม เราไม่เกี่ยวข้องกัน”

“ไม่เกี่ยวข้องกันงั้นเหรอ?” เซวียเจวี๋ยโกรธจนเสียงสั่น เขาลุกขึ้นคว้าข้อมือจู่ฉีไว้ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันประชิดตัวใกล้ สายตาทอแววเย็นเยียบ “อย่าลืมว่าสองเท้านายอยู่ในที่ของตระกูลเซวียของฉัน เด็กในท้องนายก็มีสายเลือดตระกูลเซวียครึ่งหนึ่ง นายบอกหน่อยว่าเราจะทำยังไงถึงไม่เกี่ยวข้องกันได้?”

จู่ฉีถูกกดดันจากรังสีอำมหิตนั่นจนหน้าซีดขาว เขาก้าวถอยหลังไปโดยรู้ตัว ฝืนบังคับตนให้ยิ้มออกมา “ในเมื่อคุณไม่อยากที่จะไม่เกี่ยวข้องกัน งั้นก็หัดชินกับวิธีใช้ชีวิตของผมสิ”

เซวียเจวี๋ยโกรธจนหัวเราะ “ชินกับนาย?”

จู่ฉีพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง จากนั้นก็นับนิ้ว “ผมไม่ชอบให้คนข้างตัวสูบบุหรี่กินเหล้าเที่ยวกลางคืน ผมไม่ชอบให้คุณใช้ท่าทีเย่อหยิ่งแบบนี้คุยกับผม ผมไม่ชอบให้คุณขังผมไว้เหมือนนักโทษ...”

ทุกครั้งที่จบประโยคหนึ่ง สีหน้าของเซวียเจวี๋ยก็เย็นชาขึ้นอีกระดับหนึ่ง 

พูดถึงตอนท้าย จู่ฉีจิ้มอกเซวียเจวี๋ยอย่างหน้าเป็น จากนั้นพูดทีละคำๆ ว่า “แต่ผมไม่ชอบยิ่งกว่าที่มีคนชี้นิ้วสั่งผม”

พอพูดจบ หน้าของเซวียเจวี๋ยก็ดำเหมือนถ่าน

รอยยิ้มบนใบหน้าของจู่ฉีไม่ลดลงซ้ำยังเพิ่มขึ้น เขาค่อยๆ ดึงข้อมือออกจากการเกาะกุมของเซวียเจวี๋ย เลิกคิ้วอย่างท้าทาย คุณกล้าทำอะไรผมงั้นเหรอ?”

เซวียเจวี๋ยระบายลมหายใจแรงๆ ถลึงตามองจู่ฉีอย่างไม่เชื่อสายตา เหมือนไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน

แค่ไม่เจอกันไม่กี่วัน จู่ฉีที่กล้าๆ กลัวๆ ยิ้มประจบเขากลายเป็นคนปากกล้าช่างเจรจาถึงขั้นนี้ ปากอย่างนี้ไม่ไปเป็นนักพูดตลกก็น่าเสียดาย

ดี ดีเหลือเกิน...

“จู่ฉี ไม่เจอกันแค่สองเดือน นายเก่งขึ้นไม่น้อยเลย” เซวียเจวี๋ยกัดฟันพูด

จู่ฉียังคงหน้าระรื่น ไม่ทำให้คนอกแตกตายก็ไม่ยอมเลิกรา “ชมเกินไปแล้ว ผมดูแล้วคุณชอบถูกมัดติดกับผมใช่ไหม? งั้นก็ทำตามที่ผมต้องการสิ ผมชอบคนเชื่อฟังมากกว่า”

พูดจบเขาก็ยื่นมือไปจะตบไหล่เซวียเจวี๋ย ท้ายสุดยังไม่ทันแตะโดนก็ถูกฝ่ายตรงข้ามจับไว้

“ฉันก็อยากให้นายรู้ว่า ตกลงฉันต้องทำตัวให้ชินกับนาย หรือนายต้องชินกับฉัน”

สัญญาณเตือนภัยในใจจู่ฉีดังลั่น ยังไม่ทันมีปฏิกิริยา ก็ถูกเซวียเจวี๋ยช้อนตัวอุ้มขึ้น เขาตกใจจนหน้าซีด ร่างลอยอยู่กลางอากาศ มีแต่มือของเซวียเจวี๋ยที่รับไว้ สองมือเขากุมท้องไว้ไม่กล้าขยับ กระทั่งถูกอุ้มเข้าไปในห้องข้างๆ ที่มีแสงสลัว

เซวียเจวี๋ยวางเขาไว้บนเตียง

จู่ฉีตกใจกับปฏิกิริยาผิดปกติของเซวียเจวี๋ยจนยอมเสียหน้า มือเท้าเป็นอิสระขยับได้ก็เตรียมวิ่ง

แต่เขายังไม่ทันลงจากเตียงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าดำมืด พอเงยหน้าเห็นร่างสูงใหญ่ของเซวียเจวี๋ยขวางทางไว้ ซ้ำแผ่รังสีเย็นเยียบออกมาเหมือนเข็มทิ่มแทง

จู่ฉีใจแป้ว “พี่ชาย อย่าทำแบบนี้...”

เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงดังแคว่ก เซวียเจวี๋ยฉีกเสื้อเขาขาดเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal