Wednesday
พริบตานั้น จู่ฉีรู้สึกเบื้องหน้าเย็นวาบ ขณะที่ได้สติจากการจู่โจมอย่างรุนแรง ก็เห็นเสื้อเขาถูกเซวียเจวี๋ยกระชากลงมาร่วงใส่พื้นเหมือนเป็นผ้าเช็ดหน้าเบาๆ สองผืน
จู่ฉี “...”
สัญญาณเตือนภัยดังถึงขีดสุด!
ข้าศึกจู่โจม! ข้าศึกจู่โจม!
ความคิดชั่วร้ายที่กะจะยั่วเซวียเจวี๋ยให้โกรธตายไปเลยเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดหวั่น พยายามขยับมือไปมาตั้งท่าจะลุกขึ้นนั่ง
แต่ตอนนี้เซวียเจวี๋ยคร่อมอยู่ด้านบน จับสองมือเข้าล็อกไว้กับเตียง
สายตาของเซวียเจวี๋ยเต็มไปด้วยความเยียบเย็นจนแท็บแข็ง เขาหรี่ตาลงอย่างน่ากลัว จับจ้องจู่ฉีซึ่งสีหน้าเกือบเข้าขันหวาดผวา “ฉันเตือนนายสามสี่รอบแล้ว อย่าท้าทายขีดจำกัดของฉัน”
ชายชาตรี ยืดได้หดได้
จู่ฉีซึ่งใช้คำนี้ได้ถึงขั้นสูงสุดรีบทำทียอมรับผิดอย่างเต็มที่ พูดอย่างจริงใจเป็นที่สุดว่า “พี่ชาย ผมรู้ว่าผมผิด ผมไม่ควรท้าทายขีดจำกัดของคุณ คุณเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ปล่อยผมไปเถอะ”
เซวียเจวี๋ยมองจู่ฉีด้วยสายตาเยียบเย็น พูดลอดไรฟันออกมาว่า “สายไปแล้ว”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น วินาทีต่อมาก็ยื่นมือไปถอดกางเกงขาสั้นลายดอกสีแสบของจู่ฉีออก
“อ๋า...”
จู่ฉีร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด ก้มลงก็เห็นพุงกลมๆ นูนๆ ของตนปรากฏอยู่อย่างน่าสงสาร ทันใดนั้นก็รู้สึกอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
เขารีบใช้สองมือดึงกางเกงที่ถูกเซวียเจวี๋ยถอดไปครึ่งหนึ่ง เหมือนกำลังจับฟางเส้นสุดท้ายที่เป็นตัวแทนอันศักดิ์ศรีน้อยนิดของตน
“เซวียเจวี๋ย คุณแม่งเดรัจฉานชัดๆ!” จู่ฉีซึ่งโกรธจัดอดร้องด่าไม่ได้ “กระทั่งคนท้องยังไม่เว้น ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า!”
เวลาเดียวกับที่เขาพูดจบ เซวียเจวี๋ยที่ตั้งหน้าตั้งตาถอดกางเกงเขาก็ชะงัก ช้อนตามองจู่ฉี
พริบตานั้น จู่ฉีก็รู้สึกเหมือนมีมีดคมเย็นเยียบสองเล่มพุ่งมาปักหน้า เขาใจหายวาบ กอดตัวเองไว้แน่น
ความนิ่งค่อยๆ แผ่ไปในอากาศ ไม่รู้นานเท่าใด จู่ๆ เซวียเจวี๋ยก็ปล่อยเขาแล้วลงจากเตียง เสียงอีกฝ่ายลอยมาว่า “นายวางใจได้ ฉันไม่นึกอยากจะขืนใจใคร”
จู่ฉีหอบหายใจแรงๆ นอนอยู่บนเตียง พอได้ยินประโยคนี้ก็โล่งใจ เขาเอามือยันเตียงไว้เตรียมลุกขึ้น
“อย่าขยับ” เซวียเจวี๋ยที่เดินไปไกลแล้วพูดขึ้นมาทันที
พอคิดถึงสายตาเย็นถึงขั้วโลกเหนือเมื่อครู่ ‘มิสเตอร์จู่-ป๊อด-ฉี’ ผู้รักชีวิตก็ตัวแข็งทันที จากนั้นก็แผ่ร่างบนเตียง ไม่กล้าขยับแม้สักนิด
เหมือนเซวียเจวี๋ยไปเปิดตู้เสื้อผ้า ได้ยินเสียงเขาหาเสื้อผ้าดังสวบๆ ไม่นานก็เดินช้าๆ สบายๆ กลับมา ในมือถือเสื้อผ้าหลายตัว ยืนอยู่ข้างเตียงก้มลงมองจู่ฉีด้วยท่าทีของผู้อยู่สูงกว่า
“ถ้าตอนนั้นนายมีค่านิยมพรหมจรรย์อะไรแบบนี้ เราก็ไม่ต้องทรมานกันถึงวันนี้” เซวียเจวี๋ยขยับมุมปากยิ้มเสียดสี
จู่ฉีถูกจ้องจนหน้าแดงก่ำ เขากัดฟันดึงเสื้อผ้าที่ถูกฉีกกระชากข้างๆ มาปิดท้องที่นูนไว้ ใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ รู้สึกไม่สบายใจ ถามอย่างระวังตัวว่า “คุณจะทำอะไร?”
รอยยิ้มที่มุมปากเซวียเจวี๋ยขยับยกขึ้นอีก “รอเดี๋ยวนายก็รู้แล้ว”
พ่อบ้านจางกับเสี่ยวเจ้าผู้ช่วยซึ่งรออยู่ด้านนอกได้ยินเสียงร้องด่ามาจากในห้อง แต่ไม่มีเสียงประธานเซวียของพวกเขาสักนิด เหมือนว่าโดนจู่ฉีด่าจนโต้กลับไม่ไหว
พ่อบ้านจางเอามือไพล่หลัง มองไปข้างหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไร
ส่วนเสี่ยวเจ้ามีสีหน้ากังวล วิ่งไปสอดแนมข้างหน้าต่าง แต่ม่านข้างในปิดสนิทมองอะไรไม่เห็น ได้แต่ก้มหน้าคอตกเดินกลับมาที่เดิม
“อาจาง” เสี่ยวเจ้าเอ่ยปากอย่างลังเล “เข้าไปส่งเครื่องสำอางอะไรพวกนั้นมาไม่ใช่เหรอ? ข้างในเป็นยังไงบ้าง? ท่านประธานเซวียจะเป็นอะไรไหม?”
พ่อบ้านจางพูดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “ท่านประธานเซวียจะเป็นยังไงได้? ที่ต้องกังวลคืออีกคนมากกว่า”
เสี่ยวเจ้าประหลาดใจ “คุณหมายถึงคุณจู่?”
ทั้งสองเพิ่งพูดจบ ประตูห้องที่อยู่ด้านหลังก็เปิดออก เสี่ยวเจ้ารีบหันไป พอเห็นภาพตรงหน้าก็ตกตะลึงทันที จากนั้นก็อดหัวเราะพรืดไม่ได้
“หัวเราะอะไร! ไม่เคยเห็นคนแต่งหน้าเหรอ!” เวลานี้จู่ฉีเหมือนเม่นที่มีหนามแหลมทั้งตัว เห็นใครก็อารมณ์ไม่ดี อยากจะแทงสักหน่อย
จู่ฉีไม่นึกไม่ฝันว่าเซวียเจวี๋ยจะแก้แค้นเขาแบบนี้ หลายนาทีก่อนตอนที่เซวียเจวี๋ยผลักเขามาหน้ากระจกห้องน้ำ เขาตกใจจนยกมือปิดหน้า เกือบเป็นลมตรงนั้น
ตัวตลกทาแป้งหนาทาปากสีแดงใหญ่เท่าชามข้าวนี่ใคร!
ตายละ! เซวียเจวี๋ยเตรียมพาเขาขึ้นเวทีไปเล่นละครเหรอ?
แต่งหน้าไม่ต้องแต่งแบบนี้ก็ได้ไหม? เป็นผู้ชายแท้ๆ ก็อย่าแตะต้องเครื่องสำอางจะได้ไหม?
อ้อ ไม่ใช่ อันที่จริงเซวียเจวี๋ยก็ถือเป็นเกย์ครึ่งหนึ่งแหละ...เกย์ไร้ฝีมือก็ไม่ต้องเอาเครื่องสำอางมาล้อเล่นได้ไหม! วาดเขาเหมือนผีชัดๆ
ที่สำคัญคือเสื้อเชิ้ตสีชมพูกับกางเกงออกกำลังกายสีขาวดำนี่มันอะไรกัน? ยังให้เขาผูกเนกไทสีแดงไว้อีก เขาเห็นแล้วยังคิดว่าตัวเองหนีออกมาจากโรงพยาบาลบ้าชัดๆ
แต่จู่ฉีเผชิญหน้ากับพฤติกรรมเลวร้ายของเซวียเจวี๋ยก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ ตลอดกระบวนการนี่เซวียเจวี๋ยเอาเชือกมัดมือเท้าเขาไว้ เขาไม่มีโอกาสดิ้นเลยสักนิด
ท้ายสุด จู่ฉีที่เคืองจัดก็ล้มเลิกการต่อต้าน ปล่อยให้เซวียเจวี๋ยทำอะไรบ้าๆ กับเขาได้ตามใจชอบ
ถึงอย่างไรชื่อเสียงของเจ้าของร่างเดิมในโลกนี้ก็ติดลบอยู่แล้ว เพิ่มไปอีกหน่อยเขาก็ไม่แคร์ และถึงอย่างไรเซวียเจวี๋ยก็มีชื่อเสียงอยู่ในสังคมชั้นสูงทั้งในและนอกประเทศ ถ้าจะเสียหน้าก็เสียหน้าเซวียเจวี๋ย
พอเห็นจู่ฉีโกรธจนตัวพองเหมือนปลาปักเป้า เสี่ยวเจ้าก็รีบหยุดอาการขำ แต่อวัยวะบนใบหน้าที่อดกระตุกเป็นระยะไม่ได้ก็ฟ้องชัดว่าเขารู้สึกอย่างไร
เซวียเจวี๋ยยืนอยู่ข้างกายจู่ฉีอย่างเป็นปกติ “อาจาง เตรียมรถเสร็จหรือยัง?”
“เสร็จแล้วขอรับ” พ่อบ้านจางค้อมศีรษะเล็กน้อย ทำมือเชื้อเชิญ “คนขับรถรออยู่ด้านหน้าขอรับ”
จู่ฉีหน้าเคร่งเดินตามเซวียเจวี๋ยไป จากนั้นก็ขึ้นรถมานั่งด้านหลัง
คนขับรถสตาร์ตเครื่อง รถแล่นผ่านทางป่าคดเคี้ยวไปมาเหมือนไส้แกะ ค่อยๆ ออกจากรีสอร์ต
อากาศและทิวทัศน์ชานเมืองดีกว่าในเมืองมาก ทอดสายตามองไปเห็นถนนใหญ่กว้างขวาง นานๆ ทีจึงจะมีรถแล่นมาคันหนึ่ง
จู่ฉีรู้สึกว่าในรถอึดอัดจึงลดกระจกลงหนึ่งในสาม ลมเย็นพัดมาเข้าข้างใน เขาระบายลมหายใจอย่างพอใจ อารมณ์หงุดหงิดบรรเทาลงเล็กน้อย
เป็นตัวตลกก็ตลกไป เขาต้องการแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
ทางที่ดีให้ตลกขี้เหร่จนเซวียเจวี๋ยสะอิดสะเอียน รีบเตะเขาไปไกลๆ เลย
จู่ฉีปลอบใจตัวเองอยู่พักหนึ่ง สีหน้าก็ไม่แย่เหมือนเมื่อครู่อีก เขาเหมือนแมวเหมียวที่อารมณ์ดี หรี่ตาเล็กน้อยอิงกระจกรถ เสพสุขกับลมเย็นที่พัดมา
จู่ฉีที่นิ่งๆ ดูดีกว่าจู่ฉีที่ขยับไปมามาก ขนตาเขางอนยาว ยามพริ้มตา เงาขนตาตกลงบนผิวขาวสะอาด ริมฝีปากเขาอิ่มเต็มได้รูปสวย ทั้งยังมีสีชมพูอ่อน ผมเป็นสีน้ำตาลอมแดงโดยธรรมชาติ หยักศกนิดๆ ดูแล้วเหมือนลูกครึ่ง...
แต่นั่นคือจู่ฉีที่ไม่ได้แต่งหน้า จู่ฉีที่แต่งหน้าแบบตอนนี้ต่อให้ตั้งใจทำหล่อก็ดูเหมือนจะไปเล่นละคร
เซวียเจวี๋ยหันมามองจู่ฉีที่ง่วงงุนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็ส่งสายตาให้คนขับรถ
จู่ฉียังนั่งตากลมได้ไม่ถึงนาที หน้าต่างกระจกรถก็ถูกปิด
จู่ฉีซึ่งตกใจตื่นโกรธขึ้นมา หันไปดุอีกฝ่ายว่า “คุณปิดหน้าต่างผมทำไม!”
เซวียเจวี๋ยยักไหล่ ทำท่าไร้เดียงสา “นายว่าฉันนั่งตรงนี้จะปิดหน้าต่างกระจกได้เหรอ?”
จู่ฉีถลึงตามองคนขับรถที่นั่งอยู่ด้านหน้า
“...” เหงื่อเย็นบนใบหน้าคนขับรถไหลพุ่งเหมือนน้ำตก คนเราจะกลายเป็นแพะทั้งที ก็เป็นแพะตัวใหญ่เหลือเกิน
คราวนี้จู่ฉีนอนต่อไม่ได้ เขานั่งท้องโย้ สองมือกอดอกอย่างขุ่นเคืองใจ ผ่านไปนาน เขาก็เห็นเซวียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างๆ พิงเบาะรถหลับไป
จู่ฉี “...” คุณมันร้ายนัก
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง รถมาจอดอยู่หน้าร้านตัดเสื้อผ้าชั้นสูงที่หรูหราใหญ่โตมีกลิ่นอายเงินหยวนสะพัด คนขับรถลงมาก่อนแล้วเปิดประตูด้านหลังให้
จู่ฉีซึ่งทำใจมาพร้อมแล้วพอเห็นประตูใหญ่สีทองอร่าม เขาก็หดตัวเล็กลงเหมือนนกกระทา เกาะประตูรถแน่นไม่ยอมออกไป
เซวียเจวี๋ยยืนกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งรอดูละครอยู่ด้านนอก ยังไม่ลืมเสียดสี “นายชอบแต่งตัวแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้รู้จักอายแล้ว?”
จู่ฉีโต้กลับอย่างหมดท่า “ใครว่าผมชอบแต่งตัวแบบนี้? ชุดนี้เหมาะกับคนบ้าชัดๆ เทียบกับกางเกงลายดอกของผมได้เหรอ?!”
เซวียเจวี๋ยทำหน้าบึ้ง สีหน้าเย็นชา “ในสายตาฉัน สองแบบนี้ไม่ต่างกัน ถ้านายชอบละก็ ฉันจะให้นายใส่แบบนี้ทั้งชีวิต”
จู่ฉีเงียบไป
เขาสัมผัสได้ว่า เซวียเจวี๋ยไม่ได้พูดล้อเล่น แต่พูดแล้วจะทำอย่างนั้นจริง
เมื่อก่อนในสายตาของจู่ฉี เซวียเจวี๋ยเป็นเพียงตัวละครในนิยาย กระทั่งเผชิญหน้ากันจริงๆ เขาถึงพบว่าคนคนนี้มีชีวิตมีเลือดมีเนื้อ พฤติกรรมของเขาเป็นไปตามสถานะและนิสัย ไม่ใช่มีแค่บทตามนิยายไม่กี่ตัว
นิ่งประจันหน้ากันอยู่ชั่วครู่ เซวียเจวี๋ยก็เป็นฝ่ายประนีประนอมก่อน เขาหยิบกระดาษเช็ดเครื่องสำอางที่ให้พ่อบ้านเตรียมไว้ท้ายรถ เข้ามาลบเครื่องสำอางให้จู่ฉีจนหมด
ไม่ว่าทำอะไรก็ตาม เซวียเจวี๋ยก็ตั้งใจจริงจัง แม้เป็นแค่การลบเครื่องสำอางให้จู่ฉี เขาก็ทำอย่างละเอียดลออทุกตารางนิ้ว
ทั้งสองเผชิญหน้าใกล้ชิด ลมหายใจอุ่นๆ ของเซวียเจวี๋ยรดใส่หน้าจู่ฉี จู่ฉีเม้มปากอย่างเก้อเขิน ระหว่างไม่มีอะไรทำก็นั่งมองหน้าตาเซวียเจวี๋ยไปพลางๆ
รูปลักษณ์พระรองผู้มั่นคงในรักไม่ต้องพูดถึง หากเอาเขาไปไว้ริมถนนก็ต้องมีคนหันกลับมามองสองร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เซวียเจวี๋ยชอบขมวดคิ้ว ทำให้เกิดระยะห่างกับคนอื่นโดยธรรมชาติ
ระหว่างที่จู่ฉีคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย เซวียเจวี๋ยก็ลบเครื่องสำอางบนหน้าเขาเสร็จอย่างรวดเร็ว
“รู้สึกยังไง?” เซวียเจวี๋ยเก็บขยะไปพลางเอ่ยถาม
จู่ฉีตอบโดยไม่คิดว่า “คราวหน้าคุณไปสมัครคอร์สเรียนแต่งหน้าดีไหม?” อย่างน้อยคราวหน้าก็คงวาดเขาให้น่าดูหน่อย
เซวียเจวี๋ย “...”