Wednesday
ก่อนหน้านี้จู่ฉีก็เคยคาดเดาว่าเขาต้องได้พบเจอกับสือเฮ่า อยู่ในวงการบันเทิงด้วยกัน เงยหน้าไม่เห็นกันก้มหน้าก็ต้องเห็น แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้
หากเจ้าของร่างเดิมกับสือเฮ่าแค่รักกันธรรมดา เขาก็จะไม่รังเกียจสือเฮ่าขนาดนี้
จู่ฉีจำได้นักเขียนนิยายเล่าไว้ว่า สือเฮ่าถูกใจรูปร่างหน้าตาของจู่ฉี ขณะที่หนุนเขาให้เป็นดาราก็ยังอยากจะเคลมเขาเป็นของตน แต่จนใจที่จู่ฉียังไม่บรรลุนิติภาวะ สือเฮ่าจึงไม่กล้าลงมือ ได้แต่เฝ้ามองไปเหมือนชาวสวนเฝ้าหัวไชเท้าให้โตขึ้น
แต่เฝ้าไปเฝ้ามา สือเฮ่าก็นอกใจ
ไม่เพียงนอกใจไปหลายคน ยังปล่อยให้ดาราเล็กๆ อีกคนหนึ่งชื่อถังมั่วหนิงรังแกจู่ฉี แย่งบทและแย่งอีเวนต์ที่เดิมเป็นของจู่ฉีไป ส่วนตัวเองหลับตาข้างหนึ่งคอยดูความบันเทิง
อันที่จริงเรื่องที่เจอพวกนี้ยังไม่พอให้จู่ฉีสนใจ ที่เขาจำได้แม่นยำคือสือเฮ่าใส่ยาลงไปในเครื่องดื่มให้เจ้าของร่างเดิมกิน แล้วถ่ายรูปที่ดูคลุมเครือ ใช้ข่มขู่เจ้าของร่างเดิมไม่ให้เปิดโปงเรื่องที่สือเฮ่าเป็นชู้กับภรรยาของคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง
แต่สือเฮ่าเองไม่ใช่คนที่พึ่งพาได้ ทางหนึ่งใช้รูปถ่ายข่มขู่ อีกทางพอเมาเหล้าก็เอารูปพวกนั้นให้เพื่อนกินเพื่อนเที่ยวดู
ชื่อเสียงของเจ้าของร่างเดิมก็เหม็นเน่าไปแบบนี้เอง...
จู่ฉีย้อนทบทวนเรื่องที่เหม็นเน่ายืดยาวเหมือนผ้ารัดเท้าของหญิงชรา จากนั้นก็ได้สติเห็นสือเฮ่าดมตัวเขาไปมาเหมือนสุนัขดมกลิ่น
จู่ฉีเบะปาก ยกมือขึ้นฟาดกระหม่อมสือเฮ่าทันที
เสียง ‘ผัวะ’ ดังสะท้อนไปมาในห้องลองเสื้อ
สือเฮ่าคิดไม่ถึงว่าจะถูกฟาดจึงงุนงงไปชั่วขณะ เอามือกุมศีรษะที่ถูกฟาดจนแดง ถลึงตามองจู่ฉีอย่างไม่เชื่อสายตา
เขาไม่คิดเลยว่าจู่ฉีที่เมื่อก่อนอ่อนโยนเหมือนลูกแกะน้อยจะลงมือกับเขา
“แม่งเอ๊ย ฉันท้องลูกของใครแล้วเกี่ยวอะไรกับแก แกมีสิทธิ์อะไรมาก้าวก่ายเรื่องของฉัน?” จู่ฉีอ้าปากก็ร้องด่า หน้าดำคร่ำเครียดจนแทบบีบน้ำหมึกออกมาได้
สือเฮ่าซึ่งเดิมกำเริบเสิบสานนิ่งไปในพริบตา จากนั้นก็มองจู่ฉีซึ่งโหดกว่าตัวเองด้วยสายตางุนงง อ้าปากค้างแล้วก็หุบปาก ต่อมาก็พูดติดอ่างว่า “นาย...นายประสาทหรือเปล่า? เจอหน้าก็ฟาดคน ฉันทำอะไรนายหรือยัง?”
จู่ฉียิ้มมุมปาก พูดเสียงเย็นชา “ฉันเห็นหน้าแกก็สะอิดสะเอียนแล้ว พอสะอิดสะเอียนก็คันไม้คันมืออยากจะฟาดคน ใครใช้ให้แกมายืนอยู่ตรงหน้าฉันล่ะ?”
สือเฮ่าโกรธจัด “บ้าหรือเปล่า? คันมือก็ฟาดตัวเองสิ! ระบายอารมณ์ใส่คนผ่านทางอย่างฉันได้ไง?”
“แกเป็นคนผ่านทางตรงไหน!” จู่ฉีฟาดกระหม่อมสือเฮ่าอีกรอบ ดวงตารูปดอกท้องดงามหรี่ลงเล็กน้อย สายตาเยียบเย็น “วันนี้ฉันจะให้แกรู้ว่า พูดเหลวไหลต่อหน้าฉันก็ต้องรับผิดชอบ!”
พูดจบก็ยกเท้าขึ้นถีบตำแหน่งหว่างขาสือเฮ่า ทั้งเร็วทั้งแม่นยำทั้งดุดัน
หลังเงียบไปหนึ่งวินาที ก็มีเสียงร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือดดังมาจากในห้องลองเสื้อ
สือเฮ่าเจ็บจนหน้าเบี้ยว น้ำตาไหลออกมา เขากุมหว่างขาไว้ ไฟโทสะพุ่งขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย
เขากำหมัดตั้งท่าจะต่อยกลับ แต่จู่ฉีเหมือนจะรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ ถึงกับแอ่นท้องมาข้างหน้าอย่างไม่กลัวเกรง
“แกต่อยเลย ทางที่ดีต่อยฉันกับลูกให้ตาย เซวียเจวี๋ยรออยู่ข้างนอก เดาสิว่าถึงตอนนั้นเขาจะดึงแขนขาแกหลุดออกมาเลยไหม?”
พอได้ยินชื่อเซวียเจวี๋ย สือเฮ่าก็หยุดทันควัน ระหว่างที่กำลังงุนงง จู่ฉีก็ต่อยเข้าที่ตาของอีกฝ่ายไปสองหมัดหนักๆ
“โอ๊ย!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีก ระคนเสียงร้องไห้ด้วยความทรมาน
พนักงานที่ได้ยินวิ่งมาทันที เห็นห้องลองเสื้อที่ปิดไว้ค่อยๆ เปิดออก เงาร่างหนึ่งคลานออกมาอย่างทุลักทุเลโดยใช้ทั้งมือและเท้า
คนคนนี้ถูกฟาดจนหน้าเขียวบวมช้ำ หน้าตาที่แทบดูไม่ออกว่าเป็นใครมีสีหน้าเจ็บปวดทรมาน
พนักงานเหล่านั้นตกใจ รีบก้มลงแยกแยะใบหน้า “คุณสือเฮ่า?!”
พนักงานที่ตะลึงงันรีบพยุงสือเฮ่ามานั่งบนโซฟาอย่างร้อนรน
สือเฮ่าเจ็บปวดจนไม่สนใจภาพลักษณ์ กุมหว่างขาตัวเองร้องโหยหวน เขาสงสัยว่าน้องชายน้อยๆ อาจถูกเจ้าโรคจิตจู่ฉีเตะจนเสียหายแล้ว
พอคิดถึงความเป็นไปได้ สือเฮ่าก็สิ้นหวังขึ้นมาทันที เกือบจะร้องเสียงดังๆ ตรงนั้น
ต่อให้ฝันเขาก็ไม่คิดว่าจู่ฉีที่เมื่อก่อนว่าง่ายรังแกง่ายจะกลายเป็นคนใช้กำลังไร้ไมตรีขนาดนี้ สมกับที่ว่าพอเกาะขาคนรวยได้ก็เย่อหยิ่งขึ้นมาแล้ว
สือเฮ่าเขม้นมองจู่ฉีที่ออกมาจากห้องลองเสื้ออย่างเชื่องช้าอารมณ์ดี สายตาเคียดแค้นเหมือนงูพิษกำลังแลบลิ้น อยากจะกัดจู่ฉีให้ตายเดี๋ยวนั้น
ถุย
แค่อุ้มท้องก็คิดว่าตัวเองจะได้เป็นคุณนายเศรษฐีแล้วหรือไง?
คุณนายเศรษฐีที่ไหนกัน? อย่างมากก็เป็นแค่ของเล่นของเซวียเจวี๋ย เบื่อเมื่อไรก็ถีบหัวส่งได้ทุกเมื่อ
สือเฮ่าคิดอย่างชั่วร้าย จากนั้นก็เห็นจู่ฉีเดินมาหาเขาอย่างช้าๆ ใจนึกกลัวขึ้นมา รีบตะโกนใส่พนักงานที่ลนลานไม่รู้จะทำอย่างไรว่า “พวกเธอยังยืนบื้ออยู่ทำไม? รีบเรียกรถพยาบาลให้ฉัน! พยุงฉันออกไปด้วย!”
พนักงานไม่กล้าขัดคำสั่งเขา รีบแยกย้ายกันปฏิบัติการ คนหนึ่งไปโทรเรียกรถพยาบาล ส่วนที่เหลือมาพยุงสือเฮ่าออกไปด้านนอก
“เดี๋ยวก่อน” จู่ฉีพูดเสียงเย็นชา
พนักงานที่พยุงสือเฮ่าอยู่หยุดชะงักทันที เหงื่อเย็นๆ เม็ดใหญ่ไหลจากหน้าผาก
พวกหล่อนเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับจู่ฉีและสือเฮ่าที่กระฉ่อนทั่วเมืองมาบ้าง คิดไม่ถึงว่าหลายปีให้หลังสองคนนี้จะเผชิญหน้ากันอย่างศัตรู
ซ้ำยังทำให้พวกหล่อนนึกอยากแสร้งทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ได้ด้วย
จู่ฉีกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากไกลมาใกล้ หันมาเห็นเซวียเจวี๋ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เซวียเจวี๋ยกวาดตามองสือเฮ่า นิ่งอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หันมามองจู่ฉี
“เกิดอะไรขึ้น?” เซวียเจวี๋ยถาม
“แหวนผมหายไป” สายตาของจู่ฉีกวาดมองหน้าสือเฮ่าคล้ายจงใจและไม่จงใจ “แหวนที่คุณให้ผมตอนหมั้น ผมพกติดตัวเสมอ แต่ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อกี้มันหายไปแล้ว”
เซวียเจวี๋ยเลิกคิ้ว ไม่ร้อนใจที่จะตอบรับคำพูดของจู่ฉี แต่กลับมองเขาอย่างมีความนัย
จู่ฉีเดาออกทันทีว่าเซวียเจวี๋ยอ่านเกมเขาออก เขาหันไปทางอื่นอย่างมีพิรุธ หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้...จู่ฉีไม่แน่ใจว่าเซวียเจวี๋ยจะเล่นละครเป็นเพื่อนเขาไหม
ขณะที่จู่ฉีคิดว่าเซวียเจวี๋ยจะใจร้ายเปิดโปงเขา ก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถามต่อว่า “เมื่อกี้มีใครอยู่ตรงนี้บ้าง?”
ใจจู่ฉีนึกลิงโลดขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่เขาก็เยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว แกล้งทำเป็นคิด “เมื่อครู่คนที่สัมผัสกับผมก็มีแต่คุณสือเฮ่า ไม่รู้ว่าเขาเผลอหยิบผิดไปหรือเปล่า”
เซวียเจวี๋ยขบคิดสองสามวินาที จากนั้นก็ทำหน้าเคร่งสาวเท้าก้าวใหญ่มาหาสือเฮ่า “จะลงมือเองหรือให้ผมลงมือ?”
“...” ขนาดหน้าเขียวช้ำดำม่วงก็ยังปกปิดความซีดขาวของหน้าสือเฮ่าไม่ได้
เขาถูกรังสีกดทับที่เซวียเจวี๋ยปล่อยออกมาบีบจนแทบจะคุกเข่าลงแล้ว รู้สึกสิ้นหวังหวาดหวั่น
มีเรื่องไร้เหตุผลขนาดนี้ด้วยเหรอ?!
ฟังไม่กี่ประโยคก็จะค้นตัวเขาแล้ว! ประธานบ้าอำนาจก็ไม่ต้องบ้าอำนาจขนาดนี้ก็ได้!
เซวียเจวี๋ยดูเหมือนจะขอร้อง แต่อันที่จริงสือเฮ่ารู้สึกได้ว่า หากเขาปฏิเสธตรงนี้ รับรองว่าวันนี้ต้องออกจากประตูไปแบบถูกเข็นร่างไปแน่
กิริยายโสโอหังตอนที่สือเฮ่าเข้าร้านมาถูกโยนหายไปจนหมด เขาเงยหน้ามองเซวียเจวี๋ยที่สูงกว่าครึ่งศีรษะอย่างน่าสงสาร “ประธานเซวีย เรื่องนี้ต้องมีอะไรเข้าใจผิด ผมไม่จำเป็นต้องขโมย และไม่กล้าขโมยแหวนหมั้นของคุณแน่ๆ”
เซวียเจวี๋ยก้มลงมองสือเฮ่าที่ตัวสั่นระริกเพราะความกลัว เขาไม่ได้นึกสงสาร พูดเสียงเรียบว่า “ผมถามคำถามเดิม”
ต่อให้สือเฮ่ายืมความกล้ามาจากไหนสิบเท่าก็ไม่กล้าตอแยเซวียเจวี๋ย ต่อให้เขาโกรธจนไฟลุกท่วมหัว ก็ได้แต่ทำหน้าเศร้าแล้วทำเป็นล้วงกระเป๋ากางเกงสองข้าง
“แหวนพวกคุณหน้าตาแบบไหนผมยังไม่รู้...”
เพิ่งพูดจบ ก็เห็นของเล็กๆ สีเงินหล่นมาจากกระเป๋ากางเกงของสือเฮ่า ตกลงบนพื้นเสียงดัง ‘กริ๊ก’
ได้ครบทั้งคนทั้งของ คราวหนี้สือเฮ่ากระโดดแม่น้ำฮวงโหก็ล้างตนไม่สะอาด
เซวียเจวี๋ยคร้านจะฟังคำอธิบายอย่างลนลานของสือเฮ่า สั่งให้พนักงานโทรแจ้งตำรวจทันที
ไม่ถึงยี่สิบนาทีตำรวจก็มาถึง ครั้นตรวจสอบแล้วก็พาสือเฮ่าที่มีหน้าตาสิ้นหวังจากไป
ร้านเสื้อผ้ากลับคืนสู่ความสงบในตอนแรก
แต่หลังผ่านฉากแทรกนี้ พนักงานทั้งหลายก็ไม่กล้าไม่กระตือรือร้น เดินตามจู่ฉีไม่ห่าง แทบจะแทรกตัวเข้าไปในห้องลองเสื้อด้วย
สองชั่วโมงให้หลัง จู่ฉีเลือกได้เสื้อผ้าแปดชุดที่พอสวมแล้วดูดี เขาเลือกสวมชุดที่แก้ไขแล้วชุดหนึ่ง ที่เหลือให้ร้านแก้ให้พอดีแล้วส่งไปบ้านตระกูลเซวีย
ระหว่างทางกลับรีสอร์ต จู่ฉีรู้สึกได้ว่าเซวียเจวี๋ยอารมณ์ไม่ดีนัก
แม้ว่าพวกเขาจะนั่งคู่กันที่เบาะหลัง แต่เซวียเจวี๋ยทำเหมือนเขาเป็นมนุษย์ล่องหน ปากเม้มสนิท คร้านจะชายตามองจู่ฉีแม้สักแวบ
ตอนแรกจู่ฉีก็รู้สึกสบายใจ เอามือกอดอกนั่งพิงเบาะหลังคิดเรื่องของสือเฮ่า
ผ่านไปไม่นาน ความคิดเขาก็มาอยู่เซวียเจวี๋ย
คนใจแคบนั่นเหมือนจะโกรธจริงๆ
จู่ฉีคิดไปคิดมาก็กวาดสแกนความทรงจำทั้งหมดในสมอง จำไม่ได้ว่าเมื่อครู่เขาหาเรื่องอะไรเซวียเจวี๋ย อย่างมากที่สุดคือใช้เซวียเจวี๋ยเป็นเครื่องมือในการจัดการสือเฮ่า
“พี่ชาย โกรธอะไรเหรอ?” จู่ฉีอดไม่ได้ต้องยื่นหน้าเข้าไป ใบหน้าระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ซุกซน “พูดมาให้ผมสบายใจหน่อย”
เซวียเจวี๋ยสีหน้าเยียบเย็น ชายตามองจู่ฉีแวบหนึ่ง จากนั้นก็หลับตาลงไม่พูดจา ใช้กิริยาสื่อว่าเขาตกลงใจปฏิเสธการพูดจากับจู่ฉี
จู่ฉี “...”
“พี่ชาย” จู่ฉีพูดอย่างจริงจัง “เคยมีคนบอกคุณไหมว่า อันที่จริงคุณใจแคบมาก”
เซวียเจวี๋ยทนต่อไปไม่ไหว หนังตากระตุกถี่ๆ เค้นเสียงออกมาอย่างข่มอารมณ์ “จู่...ฉี...”
จู่ฉีเห็นเซวียเจวี๋ยโกรธขึ้นมาจริงๆ ก็รีบถอยกลับมานั่งพิงหน้าต่าง พยายามรักษาระยะห่างกับเซวียเจวี๋ย ความเร็วนั้นเทียบได้กระต่ายกระโดดผลุง
เซวียเจวี๋ยโทสะอัดแน่นในอก รู้สึกเหมือนเจ็บไปทรวงอก
เขาทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ถึงได้มาเจอดาวข่มดวงนี้