(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน อยู่โลกนี้วันหนึ่ง เพื่อรักคุณมากขึ้นอีกหนึ่งวัน เล่ม 01

Wednesday

บทที่ 13

ตอนที่จู่ฉีผู้แสนซื่อพบว่ารอบตัวเงียบสนิทไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ก็ผ่านไปถึงสามนาทีแล้ว

เขาหันมาก็เห็นเสื้อไหมพรมบางๆ สีเทาดำ เน้นให้เห็นเอวเล็กไม่มีเนื้อส่วนเกิน เขาตกใจขึ้นมาทันที ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สายตาเลื่อนจากเสื้อผ้าขึ้นไปข้างบน...

จากนั้น เขาก็สบตากับเซวียเจวี๋ยที่มองลงมา

“...”

เซวียเจวี๋ยก้มหน้าลงเล็กน้อย มุมปากเม้มอย่างไม่พอใจนัก มองจู่ฉีที่อยู่เบื้องล่างด้วยท่าทีของผู้เหนือกว่า

ที่จำเป็นต้องยอมรับก็คือ หน้าตาเซวียเจวี๋ยเป็นเหมือนที่นิยายบอกไว้ สามร้อยหกสิบองศาไม่มีมุมอับ

แม้จะมองจากมุมที่แย่ที่สุดอย่างตำแหน่งที่จู่ฉีอยู่ ก็เห็นแต่ขนตายาวดกหนาของเขาขยับเหมือนพัดเล็กๆ จมูกโด่งเป็นสัน ผิวขาวสะอาดไม่เห็นรอยใดๆ

หล่อจริงๆ!

จู่ฉีทั้งอิจฉาและริษยา เสียดายที่วงล้อแห่งโชคชะตาไม่ได้พาวิญญาณเขามาอยู่ในร่างเซวียเจวี๋ย ไม่อย่างนั้นเขาจะเจ้าชู้ให้สะบัดเลย

“ดูพอหรือยัง?” เซวียเจวี๋ยพูดเสียงเรียบ น่าฟังและสบายหู

จู่ฉีไม่คิดอะไร ตอบด้วยหน้าตาทะเล้น “ถ้าสิ่งที่มองคือคุณ ผมดูเท่าไรก็ไม่พอ”

“...” มุมปากเซวียเจวี๋ยกระตุกสองทีอย่างเห็นได้ชัด เค้นเสียงพูดออกจากไรฟัน “ฉันถามว่านายดูมือถือพอหรือยัง?”

จู่ฉีอ้าปากโต้ทันที “มือถือจะน่าดูเท่าคุณเหรอ?”

“...”

คราวนี้เซวียเจวี๋ยกระตุกทั้งหน้า เขาถลึงตามองจู่ฉีด้วยสายตาคิดไม่ถึงพักหนึ่ง จากนั้นก็หันกายจากไป ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหัวเราะลั่นของจู่ฉีที่ไล่หลังมา

เพิ่งเดินไปได้ไม่ไกล ก็พบกับพ่อบ้านจางที่กลับมาจากข้างนอก

“คุณท่าน ผมให้พวกเขาเตรียมอาหารเย็นพร้อมแล้ว...ทำไมคุณท่านหน้าแดงขนาดนี้? ป่วยหรือเปล่าขอรับ” พ่อบ้านจางตื่นตระหนกจะเข้ามาดูใกล้ๆ แต่เซวียเจวี๋ยรีบหลบฉาก

“ผมไม่เป็นไร ร้อนนิดหน่อยเท่านั้น” เซวียเจวี๋ยยกมือแตะใบหน้าตัวเอง รู้สึกร้อนอยู่จริงๆ ความร้อนนั้นแผ่ลามไปถึงโคนหู

พ่อบ้านจางรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร สั่งให้สาวใช้ข้างๆ รีบไปเปิดแอร์ในห้อง ท้ายสุดพอหันมาก็เห็นเซวียเจวี๋ยหายไปเหมือนหลบหนี

จู่ฉีนั่งอยู่ด้านนอกก็รู้สึกว่าลมธรรมชาติเย็นสบายเหลือเกิน สั่งให้เสียวหย่ายกอาหารเย็นมาในสวนดอกไม้ เสียวหย่ายังไม่ทันตอบ พ่อบ้านจางก็รีบพูดว่า “คุณนาย คุณท่านรออยู่ข้างใน คุณนายไปทานข้างในเถอะขอรับ”

จู่ฉีถามอย่างสงสัย “เซวียเจวี๋ยหนีไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” แถมโกรธจนหนีไปเพราะคำหยอกเอินของเขาไม่กี่ประโยค

พ่อบ้านจางตอบอย่างใจเย็น “เมื่อครู่คุณท่านกลับมาอีกขอรับ”

จู่ฉี “...” หมอนี่ผิดปกติหรือเปล่า

จู่ฉีเข้ามาข้างใน เพียงแวบแรกก็เห็นเซวียเจวี๋ยรออยู่ที่โต๊ะอาหารอย่างสงบ พอได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเข้ามาใกล้ เซวียเจวี๋ยไม่ขยับแม้เปลือกตา มองตรงไปข้างหน้าอย่างจริงจังไม่หวั่นไหวกับสิ่งใด

จู่ฉีมองตามสายตาเขาไป

วินาทีต่อมา สายตาเขาก็จับอยู่ที่จอโทรทัศน์ เป็นภาพหญิงสาวผู้งดงามกำลังวาดลีลาบนบอลโยคะ

จู่ฉีดูอยู่พักหนึ่งก็พบว่ามันคือโฆษณาผ้าอนามัย เขาหันกลับมามองเซวียเจวี๋ย พบว่าเจ้าหมอนี่ไม่กะพริบตาสักนิด ทำเหมือนหลวงจีนเฒ่ากำลังเข้าฌาน

“ชอบขนาดนั้นเลยเหรอ?” จู่ฉีหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ข้างๆ ยิ้มตาหยีหยอกเขาว่า “ใกล้วันเกิดคุณแล้ว ผมให้เป็นของขวัญสักลังไหม? ว่าแต่คุณชอบยี่ห้อไหน...”

ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีขนมเปี๊ยะรูปดอกไม้ครึ่งก้อนยัดเข้ามาในปากเขา

“พูดน้อยๆ หน่อย ไม่มีใครบอกว่านายเป็นใบ้” เซวียเจวี๋ยดึงทิชชูมาเช็ดคราบขนมที่ปลายนิ้ว หน้าดำเหมือนก้นหม้อ แต่ปลายหูมีสีแดงอย่างน่าสงสัย

“อาจาง” เซวียเจวี๋ยเรียก “ใครให้เปิดทีวี? ปิดเดี๋ยวนี้!”

พ่อบ้านจางกลายเป็นแพะโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่...

อันที่จริงพ่อบ้านจางอยากบอกว่าก็คุณท่านเปิดเองชัดๆ คุณท่านรำคาญว่าในห้องเงียบจนน่าเบื่อ แต่ประโยคนี้กลิ้งอยู่บนริมฝีปากหนึ่งตลบแล้วก็ถูกกลืนเข้าท้องไป

ใครใช้ให้คุณท่านของเขารักหน้าขนาดนี้ล่ะ?

จู่ฉียัดขนมเปี๊ยะครึ่งก้อนนั่นลงคอไปอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเซวียเจวี๋ยอับจนขนาดนี้ เขากลั้นหัวเราะจนปวดท้อง พยายามไม่ปล่อยเสียงออกมา

อย่าเห็นว่าเซวียเจวี๋ยดูเหมือนผู้มีประสบการณ์โชกโชนในดงดอกไม้ อันที่จริงเขาบริสุทธิ์เหมือนกระดาษขาว แค่คำพูดเกี้ยวพานหยอกเอินไม่กี่คำของจู่ฉีก็เป็นแรงสังหารชั้นดีแล้ว

กระทั่งกินข้าวเสร็จ สีแดงที่หูและคอของเซวียเจวี๋ยก็ยังไม่จางหาย

พ่อบ้านจางเป็นคนเตรียมอาหารเย็น แม้จะไม่มีห่านย่างที่จู่ฉีสั่งไว้ แต่ก็มีกระดูกหมูทอดกระเทียมกับเนื้อน้ำแดงที่เขาชอบกิน

พอกินข้าวเสร็จ จู่ฉีก็รู้สึกมีความสุข เขาลูบพุงกลมๆ เดินไปนอนย่อยที่เก้าอี้อาบแดดในสวนดอกไม้น้อย

ยามค่ำ มีลมฤดูร้อนพัดโชยสองข้างแก้ม ชื่นใจไปทั้งกาย เขานอนพักไม่นานก็เห็นเซวียเจวี๋ยเดินมาตามทางเดินที่เปิดไฟอบอุ่น ในมือถืออะไรบางอย่าง

เซวียเจวี๋ยไม่ได้ลืมวัตถุประสงค์ที่มา เขาโยนถุงพลาสติกที่มีผงเบญจมาศบรรจุอยู่ไว้บนโต๊ะเล็กๆ ถามอย่างใจเย็นว่า “นี่อะไร?”

จู่ฉีไม่แม้แต่จะขยับหัวคิ้ว เสพสุขกับลมที่พัดโชยชาย ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเป็นปกติเช่นเดียวกัน “ผงที่บดจากดอกเบญจมาศ ตั้งหลายวันแล้ว พ่อบ้านจางไม่ได้บอกคุณเหรอ?”

ตอนที่พ่อบ้านจางซื้อเครื่องอบแห้งกับเครื่องบดก็ได้เล่าพฤติกรรมของจู่ฉีให้เซวียเจวี๋ยฟังอย่างละเอียดแล้ว แต่ตอนนั้นเซวียเจวี๋ยนึกว่าเขาเล่นสนุกเพราะไม่มีอะไรทำ

กระทั่งไป่กวงเจี้ยนและเพื่อนใช้เงินสองแสนสี่หมื่นหยวนซื้อผงเบญจมาศพวกนี้ เซวียเจวี๋ยจึงเริ่มสงสัยว่าจู่ฉีกำลังรวมกลุ่มคนทำอะไรผิดกฎหมาย ไป่กวงเจี้ยนและเพื่อนน่าจะเป็นคนกลุ่มแรกที่จู่ฉีลวงมาเป็นเหยื่อ

เซวียเจวี๋ยถามว่า “นายเอาดอกเบญจมาศมาจากไหน?”

“ตรงนั้น” จู่ฉีชี้ไป “ในสวนดอกไม้ของรีสอร์ตมีบึงที่ปลูกเบญจมาศไว้ด้วย คุณเป็นเจ้าของ คุณไม่รู้หรือ?”

เซวียเจวี๋ยประหลาดใจ “นายเก็บเบญจมาศพวกนี้มาอบแห้งบดเป็นผงแล้วขายให้ไป่กวงเจี้ยนกับเพื่อน? แล้วยังขายได้ถุงละหมื่นหยวนอีก!”

“ใช่ไง” จู่ฉีกะพริบตาอย่างผู้บริสุทธิ์ “พวกเขามาขอซื้อเอง ผมจะปฏิเสธเงินได้ยังไง?”

เซวียเจวี๋ยโกรธขึ้นมา “นายรู้ไหมว่านี่ถือเป็นการหลอกลวง ต้องรับผิดทางกฎหมาย”

“คนหนึ่งยินดีซื้อ อีกคนยินดีขาย เกี่ยวข้องอะไรกับกฎหมาย? ไม่แน่ว่าช่วงนี้ เดี๋ยวพวกเขาก็มาหาเพื่อขอบคุณผมด้วยซ้ำ”

เซวียเจวี๋ยหัวเราะเสียงเย็น “ขอบคุณที่นายหลอกเงินพวกเขาน่ะเหรอ?”

เวลานั้นจู่ฉีก็นึกโกรธกับคำเสียดสีของเซวียเจวี๋ยขึ้นมาบ้าง เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง เงยหน้ามองเซวียเจวี๋ยอย่างเย็นชา “ความคิดไม่ตรงกันก็คุยกันไม่ได้ ในเมื่อคุณไม่ชอบที่ผมทำ ก็หลับตาไม่ต้องดู”

“นายคิดว่าฉันชอบยุ่งเรื่องนายนักหรือไง?” เซวียเจวี๋ยมีสีหน้าขุ่นเคือง สีหน้าเย็นเยียบเหมือนเคลือบน้ำค้างแข็ง

นิ่งไปชั่วครู่ เขาก็พูดเสียงเย็นอีกว่า “เราลงเรือลำเดียวกัน ทุกสิ่งที่นายทำในวันนี้จะหล่นใส่หัวฉันในวันหน้า เรื่องที่นายก่อฉันต้องรับผิดชอบทั้งหมด”

จู่ฉีถอนหายใจ เขาไม่อยากถกเถียงกับเซวียเจวี๋ยด้วยเรื่องพวกนี้ บางทีสิ่งแวดล้อมต่างกัน เซวียเจวี๋ยให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่มีจริงอย่างเกียรติยศและหน้าตาของตระกูลเป็นอย่างมาก

ส่วนเขาซึ่งเป็นประชาชนคนธรรมดานั้นตรงข้าม หน้าตากินแทนข้าวไม่ได้

“เคยมีคนบอกไหมว่านายยุ่งยากเหลือเกิน” จู่ฉีพูด

พอได้ยิน เซวียเจวี๋ยก็ขมวดคิ้ว ขณะจะเอ่ยปากก็เห็นจู่ฉีกระดิกนิ้วชี้เรียกเขา

เขาลังเลชั่วขณะ แต่ก็ทำหน้าขรึมเอียงตัวเข้าไปใกล้

พึ่งเข้าใกล้ จู่ฉีก็ยื่นมือมาจับคอเสื้อเขาไว้ ใช้แรงดึงเขาไปใกล้ สายตาปรากฏแววเจ้าเล่ห์ แกล้งพ่นลมอุ่นๆ ข้างหูเขา

“เสียดายที่ผมก็...เป็นคนชอบอะไรยุ่งยากซะด้วยสิ”

พูดจบ จู่ฉีก็ทำปากกลมๆ จุ๊บริมฝีปากเซวียเจวี๋ยดังจ๊วบ เสียงนั้นดังลั่นในสวนดอกไม้ที่เงียบสงัด

แล้วก็เป็นเหมือนค้อนหนักๆ ทุบใส่ระฆังยักษ์ในใจของเซวียเจวี๋ย ข้างหูเขามีแต่เสียงจ๊วบเมื่อครู่สะท้อนกลับไปกลับมา

จ๊วบๆๆ...

แม้แสงรอบๆ จะสลัว แต่จู่ฉีก็ยังสัมผัสได้ว่าเซวียเจวี๋ยกลายเป็นกุ้งสุกไปกับตาเขา ทั่วร่างนั้นร้อนจนแทบจะเป็นไอ

จู่ฉีหัวเราะเบาๆ แกล้งหยอกเซวียเจวี๋ย “ชอบให้ผมทำแบบนี้ไหม?”

เซวียเจวี๋ยทำตาโต เหมือนจะตกใจกับคำพูดหน้าไม่อายของจู่ฉี ทิ้งคำพูดไว้แค่ “นายมันบ้าจริงๆ!” แล้วก็รีบหนีจากไป

จู่ฉีหัวเราะจนน้ำตาแทบไหล

เขาพบว่าเซวียเจวี๋ยเป็นหนุ่มน้อยขุมสมบัติที่มีอะไรให้ขุดเยอะจริงๆ มิน่านางเอกรักกับพระเอกแล้ว ยังดึงเซวียเจวี๋ยไว้ไม่ยอมปล่อย

ไป่กวงเจี้ยนบอกเพื่อนๆ แล้วว่าเงินแค่นี้พวกเขาไม่ขาด ก่อนหน้านี้ที่วิ่งหาที่รักษาเสียเงินไปมากกว่านี้ ถือว่าทดลองดู

แต่พวกเขาไม่ฟัง หลังหารือกันแล้วก็ตัดสินใจซื้อคนละครึ่งถุง และมีสองคนที่พอออกจากรีสอร์ตไปก็นึกเสียใจ โทรมาถามว่าจะขายส่วนของตัวเองให้ไป่กวงเจี้ยนได้ไหม

ไป่กวงเจี้ยนหมดคำพูดและจนปัญญา จึงซื้อผงเบญจมาศครึ่งถุงจำนวนสองชุดนั้นกลับมา

เขาต้องการทดลองว่าผงเบญจมาศได้ผลหรือไม่ จึงใช้ผงติดกันหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นดอกเบญจมาศสดที่ซื้อมาก่อนหน้านั้นแล้วยังใช้ไม่หมด

นานวันเข้า ห้องของไป่กวงเจี้ยนก็มีกลิ่นเบญจมาศอ่อนๆ พอสูดเข้าปอด กลางคืนรู้สึกคึกคักกระปรี้กระเปร่า พอตกค่ำก็ง่วงงุน

ถึงสัปดาห์ที่สอง ช่วงนี้ไป่กวงเจี้ยนยุ่งกับธุรกิจและการจัดการความขัดแย้งกับภรรยา ลืมสนใจเพื่อนทื่ซื้อผงเบญจมาศไป

กว่าเขาจะนึกได้ ยาผงสงบจิตบำรุงใจนั่นก็เกิดเป็นแรงกระเพื่อมใหญ่ในกลุ่มเพื่อนของเขาแล้ว

คนที่โทรหาเขาคนแรกกลับไม่ใช่คนที่ใช้ผงเบญจมาศ แต่เป็นคนที่พอออกจากรีสอร์ตก็กลับมาขายผงเบญจมาศให้เขา

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal