(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน อยู่โลกนี้วันหนึ่ง เพื่อรักคุณมากขึ้นอีกหนึ่งวัน เล่ม 01

Wednesday

บทที่ 14

“เหลาไป่! เห็นข่าวในกลุ่มกับในโมเมนต์หรือเปล่า?” เพื่อนคนนี้ตื่นเต้นจนเสียงสั่นรัว “ของที่แนะนำพวกเราฮอตใหญ่แล้ว!”

ไป่กวงเจี้ยนยังคิดไม่ทัน “ของอะไร?”

“โอย ก็ยาผงสงบจิตบำรุงใจนั่นไง ที่คุณนายตระกูลเซวียขายให้พวกเรานั่นแหละ” เพื่อนพูดต่อ “ผมไม่คิดเลยว่ามันจะใช้ได้ผลจริงๆ พวกเหลาหลี่ยังผมขึ้นอีก รู้งี้ผมจะซื้อมาหมดโต๊ะเลย!” 

ไป่กวงเจี้ยนซึ่งตอนแรกงุนงงฟังความหมายของเพื่อนเข้าใจแล้ว แม้จะรู้แต่แรกว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังอดพลุ่งพล่านใจไม่ได้

เรื่องนี้เขาแบ่งปันให้คนอื่นโดยไม่ได้ผลตอบแทนอะไร มาจากความมีน้ำใจดีของเขาเท่านั้น

ผลคือถูกคนเหล่านั้นสาดโคลนใส่ แค่นั้นยังไม่พอ ยังนินทาเขาลับหลังด้วยคำพูดรุนแรงมากมาย หาว่าเขารับเงินจู่ฉีมาหลอกได้กระทั่งเพื่อน เห็นชัดว่ากำลังฮาร์ดเซลส์อยู่

เรื่องพวกนี้เล่าต่อๆ กันมาถึงหูเขา ตอนนั้นไป่กวงเจี้ยนโกรธจนกระทืบเท้า อยากโทรไปด่าพวกเขาแรงๆ

ตอนนี้ดีแล้ว ความจริงช่วยแก้แค้นให้เขาเอง

ความคิดร้อยพันอย่างเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่ววูบ เขาได้สติอย่างรวดเร็ว เพื่อนที่ปลายสายถามหยั่งเชิงว่า “เหลาไป่ วันนั้นคุณซื้อยาผงสงบจิตบำรุงใจมายี่สิบถุงใช่ไหม? แบ่งให้ผมห้าถุงละกัน รอทางคุณจู่มีของ ผมค่อยคืนคุณ”

ไป่กวงเจี้ยนยิ้มเย็น “เหล่าอี๋ว์ คุณยังกล้าออกปากอีกเหรอ ยี่สิบถุงผมใช้คนเดียวยังไม่พอ ใครจะไปรู้ว่าคุณจู่จะขึ้นราคาอีกเมื่อไร” 

เพื่อนคนนั้นดูเหมือนจะรู้ว่าไป่กวงเจี้ยนต้องพูดแบบนี้ เขาเปลี่ยนมาพูดว่า “ผมให้คุณไปครึ่งถุงไม่ใช่หรือ? คุณคืนครึ่งถุงนั้นให้ผมละกัน”

ไป่กวงเจี้ยนตอบอย่างไม่เกรงใจ “ขอโทษ ครึ่งถุงนี้คุณไม่ได้ให้ผม ผมซื้อมาจากคุณด้วยเงินห้าพันหยวน ถ้าคุณต้องการก็ไปหาคุณจู่ฉีเองละกัน”

พูดจบเขาก็ไม่อยากฟังฝ่ายตรงข้ามพูดมาก วางหูทันที

แค่ช่วงเวลาบ่าย วีแชทของไป่กวงเจี้ยนก็ระเบิดไปด้วยข้อความ

ข้อความในกลุ่มและข้อความส่วนตัวที่ยังไม่ได้อ่านเต็มหน้าจอ สไลด์ลงมาข้างล่างเท่าไรก็ยังไม่เห็นล่างสุด

เขาเลือกอ่านเฉพาะที่เห็นว่าสำคัญจึงรู้ว่าเพื่อนอีกคนที่ซื้อไป นอกจากจะพ้นอาการนอนไม่หลับอย่างรวดเร็ว ผมที่บางยังขึ้นมามากในช่วงเวลาสั้นๆ สัปดาห์เดียว

เพื่อนๆ ส่งรูปเปรียบเทียบก่อนหน้ากับปัจจุบัน ตอนนี้พวกเขาหน้าตาแจ่มใส ตาคล้ำจัดเหลือแค่จางๆ พอสังเกตดูพบว่าผิวตึงขึ้นไม่น้อย

เหมือนอายุน้อยลงสิบปีในชั่วพริบตา

ที่สำคัญคือผมของพวกเขาที่เดิมเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายถึงกับเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นรังนกยุ่งๆ เหมือนใส่วิกไว้บนหัว ดูแล้วน่าขัน

แต่ไป่กวงเจี้ยนไม่รู้สึกขบขัน เขากลับตกตะลึงกับผมที่หนาขึ้นอย่างมากของเพื่อนๆ

เขารีบวางมือถือวิ่งไปหน้ากระจกและมองตนเองอย่างพินิจ เขาพบว่าตัวเขาเปลี่ยนไปมาก หลังจากผมขึ้น หน้าตาเขาก็เริ่มคล้ายคลึงกับสมัยหนุ่ม

ช่วงเวลานี้ไป่กวงเจี้ยนสนใจแต่เรื่องคุณภาพการนอน ไม่ได้คิดว่าผงสงบจิตบำรุงใจจะมีประสิทธิภาพอัศจรรย์ขนาดนี้

เขาจับตัวเองในกระจก น้ำตาเปียกชื้น รู้สึกคัดจมูกขึ้นมาทันที

หากเขารู้จักจู่ฉีก่อนหน้านี้สักสองปี เขากับภรรยาก็คงไม่มาถึงขั้นนี้...

ไป่กวงเจี้ยนสูดลมหายใจลึก พยายามดึงตนออกมาจากความทุกข์โศก เขาใช้น้ำเย็นล้างหน้า จากนั้นก็หยิบมือถือมาโทรหาจู่ฉีเพื่อบอกว่าจะซื้อยาผงสงบจิตบำรุงใจทั้งหมด

เวลานี้ ไป่กวงเจี้ยนถึงเข้าใจว่าที่เพื่อนพูดว่า ‘รอทางคุณจู่มีของ’ หมายความว่าอะไร ที่แท้สองสามวันก่อน เพื่อนหกคนนั้นได้ซื้อของที่มีในสต็อกของจู่ฉีไปหมดแล้วด้วยราคาสองหมื่นหยวนต่อถุง

ไป่กวงเจี้ยนนึกเคือง รีบถามในกลุ่ม

คำตอบที่ได้คือพวกเขากลัวว่าจู่ฉีจะขายของที่มีให้คนอื่น จึงซื้อมาทั้งหมด ไป่กวงเจี้ยนเป็นคนแนะนำ พวกเขาย่อมไม่ลืมบุญคุณ ว่างเมื่อไรนัดกินข้าวกันแล้วนำยาผงสงบจิตบำรุงใจที่ซื้อไปได้มาแบ่งกัน

ต้องพูดว่าคนเหล่านี้ฉลาดมาก หลังจากพวกเขาซึ่งเป็นผู้ซื้อได้สร้างแรงกระเพื่อมในโมเมนต์ในเวย์ปั๋วของตัวเอง ก็มีคนจำนวนมากมาถามหาวิธีการติดต่อผู้ขาย

กระทั่งคนที่เสียดสีไป่กวงเจี้ยนอยู่ในกลุ่มตอนแรกก็ฝืนความอายถามมาด้วย ไป่กวงเจี้ยนและเพื่อนๆ รู้สึกไม่ดีต่อคนเหล่านี้ จึงไม่ได้บอกวิธีติดต่อจู่ฉีไป

รอจนพวกเขาตามสืบจนได้วิธีติดต่อจู่ฉี ก็ได้รับคำตอบว่าของล็อตที่สามขายหมดแล้ว

คนพวกนั้นโมโหจนแทบอาเจียนเป็นเลือด ทั้งขุ่นเคืองทั้งเสียดาย อยากจะเจาะเวลาทะลุอดีตไปตบตัวเองที่ปากเสียในตอนนั้นสักสองฉาด

จู่ฉีซึ่งพักผ่อนพลางทำผงเบญจมาศอย่างสบายๆ นั้นไม่รู้ตัวว่าเขากลายเป็นคนดังในกลุ่มเพื่อนของไป่กวงเจี้ยน ซ้ำยังเป็นคนดังที่แต่ละคนไม่กล้าพูดออกมา...มีคนรู้ว่าเขามีตัวตนเพิ่มขึ้นอีกคน ก็เท่ากับเพิ่มผู้สามารถในการซื้อแข่งอีกราย

ใครใช้ให้เขามีสต็อกจำกัดล่ะ?

แม้คนที่รู้สถานะของจู่ฉีจะพยายามปิดไว้เป็นความลับ แต่ข่าวนี้ก็ยังคงเหมือนไวรัสแพร่กระจายไปเงียบๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

กระทั่งครึ่งเดือนให้หลัง ทุกวันจะมีคนจำนวนมากมาหาจู่ฉี ใช้เงินจำนวนมากขอให้จู่ฉีขายผงเบญจมาศให้พวกเขา ยังมีคนหัวล้านคนหนึ่งถึงขนาดร้องไห้พลางเช็ดน้ำตาวอนขอ

จู่ฉีตกใจกับจำนวนคนที่หลั่งไหลมา จึงหลบซ่อนตัวอยู่ในห้อง ปล่อยให้เสียวหย่ากับพ่อบ้านจางไปรับหน้า

เรื่องนี้ไปถึงหูเซวียเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว ดังนั้นวันรุ่งขึ้น สภาพวุ่นวายเหมือนตลาดก็กลับคืนสู่สภาพเงียบสงบเป็นปกติ เพียงแต่คนที่มาขอซื้อทั้งหลายถูกพนักงานรีสอร์ตกันไว้ที่ประตูใหญ่

เวลานั้น หน้าประตูรีสอร์ตคึกคักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

จู่ฉีซึ่งหน้าตางุนงงคิดอะไรขึ้นมาได้ รีบโทรไปหาไป่กวงเจี้ยน จึงเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่อง

หลังประหลาดใจ สีหน้าของจู่ฉีก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดี เขารู้ว่านี่เป็นโอกาสอันดีในการหาเงิน จึงรีบให้เสียวหย่ากับสาวใช้ไปเด็ดดอกเบญจมาศในสวนของรีสอร์ตมา

ในขณะเดียวกันเขาก็เก็บเบญจมาศจำนวนมากจากในมิติมาสับเปลี่ยนกับเบญจมาศที่เสียวหย่าเด็ดมา อบแห้งบดเป็นผงและบรรจุใส่ถุงด้วยความเร็วสูงสุด

หลังสินค้าล็อตที่สองและสามเสร็จแล้ว เสียวหย่าก็พาสาวใช้ทั้งหลายเอาออกไปขายให้คนที่ชะเง้อแลชะแง้คอยอยู่ด้านนอก แต่ละคนจำกัดจำนวนสั่งซื้ออยู่ที่ห้าถุง

ทว่าจำนวนที่ผลิตได้ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ขายผงเบญจมาศหมดไปสองครั้ง แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากรอซื้ออยู่

จู่ฉีมองเห็นเงินกองโตอยู่ต่อหน้าแต่จับไม่ได้ เวลานั้นร้อนใจเหมือนมดในกระทะ เขาอยากจะเก็บเบญจมาศทั้งวันไม่พักผ่อน แต่ร่างกายที่ท้องอยู่ไม่เอื้อให้เขาทำเช่นนั้น

ตอนนี้ใกล้คลอดเต็มที จู่ฉีแค่ทรุดตัวลงนั่งก็รู้สึกสองขาทนไม่ไหว อย่าว่าแต่การเก็บเบญจมาศในมิติต้องใช้เวลาอยู่ในนั้นสามสี่ชั่วโมง

การเก็บเขาต้องรับผิดชอบเอง ส่วนการผลิตนั้นสามารถยกให้คนอื่นทำได้ จู่ฉีคิดถึงว่าถ้าเจ้าตัวน้อยในท้องคลอดออกมา ต้องขยายกำลังคนในการผลิต แค่สาวใช้กับเหล่าบอดี้การ์ดไม่พอแน่ๆ

จู่ฉีผลิตผงเบญจมาศออกมาสามครั้ง แต่ละครั้งทำออกมาราวสามร้อยถุง นอกจากครั้งแรกที่ขายออกไปยี่สิบสี่ถุงในราคาถุงละหนึ่งหมื่นหยวน ที่เหลือขายด้วยราคาสองหมื่นหยวน

คิดแล้วกำไรสิบแปดล้านหยวน กำไรสุทธิอันที่จริงก็เท่านี้

เพราะเครื่องอบแห้งกับเครื่องบดซื้อด้วยเงินของเซวียเจวี๋ย เงินเดือนสาวใช้กับบอดี้การ์ดก็เซวียเจวี๋ยเป็นคนออก...

จู่ฉีมาอยู่ในโลกนี้ได้เกือบสองเดือน เงินในธนาคารเพิ่มจากสามพันหยวนในตอนแรกเป็นยี่สิบแปดล้านหยวนในตอนนี้ จู่ฉีรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป

จำนวนนี้เป็นจำนวนที่เมื่อก่อน ต่อให้ใช้เวลาหลายสิบชาติเขาก็หามาไม่ได้

เวลานี้เงินจำนวนมหาศาลอยู่ในบัญชีเขา จู่ฉีคิดไม่ออกว่าจะยิ้มอย่างไรดี เขาดึงแก้มตัวเอง ความรู้สึกเจ็บจริงๆ บอกเขาว่า...

เขาไม่ได้ฝันไป

ทุกสิ่งมีอยู่จริง

พอคิดถึงตรงนี้ จู่ฉีก็อดร่าเริงอีกไม่ได้ เขาให้เสียวหย่าหาช่างตัดเย็บทำถุงผ้าสำหรับแขวนที่คอ เอาอัญมณีสีเขียวสำหรับเข้าออกมิติห้อยไว้ตลอดเวลา ตอนอาบน้ำก็วางไว้ในจุดที่มองเห็น

เพื่อเป็นการตอบแทนความเหนื่อยยากของทุกคนในช่วงนี้ จู่ฉีให้เชิญพ่อครัวห้าคนจากส่วนร้านอาหารมาจัดงานปาร์ตี้เอาท์ดอร์ในสวนดอกไม้ พอกินออกรสออกชาติ เขาก็แจกอั่งเปาที่เตรียมไว้ให้ทุกคน

ทุกคนที่อยู่ที่นั่นได้หมด กระทั่งพ่อบ้านจางและเสี่ยวเจ้าผู้ช่วยก็ยังได้รับ ส่วนอั่งเปาที่เซวียเจวี๋ยได้นั้นหนากว่าใครเพื่อน

เซวียเจวี๋ยเบิกตาคู่งามกว้าง มองอั่งเปาอย่างไม่เชื่อสายตาอยู่นาน หันมามองจู่ฉีที่ยิ้มจนตาหยี พูดทั้งเคืองทั้งขำ “เห็นทีฝีมือหลอกคนของนายเก่งกว่าที่ฉันจินตนาการมาก”

จู่ฉีดื่มไวน์ไปครึ่งแก้ว หางตาปรากฏแววมึนเมา เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาที่กวาดมองรอบๆ เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ริมฝีปากบางเป็นประกายอยู่ใต้แสงไฟ เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้

“ในโลกกว้างใหญ่ใบนี้ คนที่ถูกผมหลอกได้ง่ายที่สุดไม่ใช่คุณหรอกเหรอ?” จู่ฉีพูดด้วยน้ำเสียงเป็นจังหวะจะโคนน่าฟัง กึ่งระหว่างหนุ่มน้อยกับชายหนุ่ม

ลมหายใจอุ่นรดข้างหูเซวียเจวี๋ย จู่ๆ เขาก็เหมือนถูกเข็มแทง รีบเอียงตัวไปอีกข้าง รักษาระยะห่างระหว่างเขากับจู่ฉี

หูกับคอเขาเหมือนโดนไฟไหม้ ร้อนขึ้นมาทันใด

เขารู้ว่าจู่ฉีกำลังพูดอะไร

คืนวันนั้นเขาก็ถูกจู่ฉีหลอกเข้าไปในห้อง จากนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นก็...

เซวียเจวี๋ยทั้งอายทั้งโกรธ หน้าเครียดจนน่ากลัว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “นายยังมีหน้าพูดถึงเรื่องนั้นอีก”

จู่ฉีเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง เอียงคอมองเซวียเจวี๋ย หัวเราะคิกแฝงความมึนเมาเล็กน้อย “ทำไมจะไม่มีหน้าเอ่ยถึง? คืนวสันต์วันมงคล เราสองคนต่างเต็มใจ ทำไมต้องถือเป็นความอัปยศในชีวิต? เราต่างก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความต้องการทางกายก็ไม่แปลก จะให้อยู่อย่างพระธุดงค์ก็น่าเบื่อไปหน่อยไหม?”

ก่อนหน้านี้หากจู่ฉีหยอกล้อ เซวียเจวี๋ยจะอายเหมือนปูนึ่งสุก จู่ฉีเล่นไปหนสองหนก็รู้สึกว่าการหยอกเซวียเจวี๋ยเป็นเรื่องสนุกสนาน

เขานึกว่าคราวนี้เซวียเจวี๋ยจะโกรธจนหนีไป ไม่คิดว่าจู่ๆ ฝ่ายตรงข้ามจะจับคางเขาไว้เบาๆ

จากนั้นก็โน้มตัวเข้าใกล้ สองคนแทบจะเรียกได้ว่าจมูกชิดกัน

“พูดแบบนี้ นายมีประสบการณ์ด้านนี้เยอะ?” เซวียเจวี๋ยยกมุมปากขึ้น กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม ในดวงตามีความเยียบเย็นที่เห็นได้ชัด

หนังสือแนะนำ All

Special Deal