Wednesday
เซวียเจวี๋ยไม่ได้ใช้แรงมาก จู่ฉีถูกบีบหน้าก็ไม่รู้สึกเจ็บ แต่เคืองเพราะเขาเป็นผู้ชายแต่กลับถูกจับหน้าเหมือนเป็นเด็กสาว
แค่คิดถึงภาพท่าทางของพวกเขาในตอนนี้ จู่ฉีก็โกรธจนขำ
เขายกมือข้างหนึ่งปัดมือเซวียเจวี๋ยออก วินาทีต่อมาก็ฉวยจังหวะที่เซวียเจวี๋ยไม่ทันระวัง หันมาจับคางเขาไว้บ้าง และยังเชยคางฝ่ายตรงข้ามขึ้นเป็นการท้าทาย
“ให้แย่แค่ไหนก็มากกว่าพระธุดงค์อย่างนาย” อย่างน้อยตอนเรียนมหาวิทยาลัยเขาก็มีแฟนทั้งชายทั้งหญิง เซวียเจวี๋ยน่าจะไม่มีสักคน
แต่พอเซวียเจวี๋ยได้ยินประโยคนี้ เขาก็หน้าเคร่งทันที จ้องจู่ฉีนิ่ง จากนั้นก็ยิ้มเย็นชา “ที่นายว่ามากก็คือคนประเภทแบบสือเฮ่าน่ะเหรอ? สายตานายไม่ดีจริงๆ”
จู่ฉีไม่โกรธสักนิด ยังคงหน้าเป็นบีบคางเซวียเจวี๋ยเล่นเบาๆ กระทั่งรู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากร่างของเซวียเจวี๋ย จึงดึงมือกลับอย่างไม่รีบร้อน
“ผมยอมรับว่าผมสายตาไม่ดี” จู่ฉียักไหล่ “ถ้าผมตาดีละก็...”
พูดถึงตรงนี้ จู่ฉีก็นิ่งไปชั่วครู่
เขาเงยหน้าขึ้นมองเซวียเจวี๋ยที่ขุ่นเคืองแน่นอก มุมปากขยับขึ้นเล็กน้อย ยื่นหน้าไปพ่นลมใส่ข้างหูเซวียเจวี๋ย “คุณว่าทำไมตอนแรกผมไปนอนเตียงเดียวกับคุณได้?”
ใบหน้าของเซวียเจวี๋ยดำเหมือนตับหมูในทันที เขารีบลุกขึ้นถอยห่างจากจู่ฉีทันควัน มองจู่ฉีอย่างตื่นตระหนกและจนปัญญาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกายเดินกลับห้องไป
คนอื่นรวมทั้งพ่อบ้านจางกินอาหารต่อไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว ทั่วตัวเหมือนเขียนไว้ว่า ‘ฉันไม่ได้ยิน ฉันมองไม่เห็น ฉันไม่รู้อะไรสักอย่าง...’
“พ่อบ้านจาง” จู่ฉีเรียก
พ่อบ้านจางเงยหน้าขึ้นเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน “คุณนาย มีอะไรให้รับใช้หรือขอรับ?”
จู่ฉีหยิบอั่งเปาบนโต๊ะยื่นให้พ่อบ้านจาง “เดี๋ยวเอานี่ไปให้เซวียเจวี๋ยหน่อยครับ”
“ขอรับ”
หลังอาหาร สาวใช้ทั้งหลายก็เก็บกวาด จู่ฉีนอนย่อยบนเก้าอี้อาบแดดเหมือนเคย จากนั้นก็เดินท้องโย้เข้าห้องอย่างช้าๆ
เขาเพิ่งนั่งลงข้างเตียง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าถี่ๆ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซวียเจวี๋ยที่ถูกยั่วจนโกรธหนีไปตอนกินข้าวเดินสาวเท้าก้าวใหญ่ๆ มา
จู่ฉียังไม่ทันมีปฏิกิริยาว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นเซวียเจวี๋ยนั่งลงข้างตัวเขาอย่างเป็นธรรมชาติ มือข้างหนึ่งโอบเอวเขาไว้อย่างรักใคร่เหมือนทำเป็นประจำ
“เขาอยู่นี่ เราเพิ่งกินข้าวกันเสร็จ”
มือข้างหนึ่งของเซวียเจวี๋ยถือโทรศัพท์ไว้ เขาพูดกับมือถือ สีหน้าที่ปกติเย็นชาอ่อนโยนลงไม่น้อย
จู่ฉีเพ่งมองจึงพบว่าเชวียเจวี๋ยกำลังวิดีโอคอลอยู่ คนที่อยู่ปลายสายเป็นสาวใหญ่หน้าตาสวยแต่งกายหรูหรา นั่งอยู่บนโซฟาหนังแท้สีครีม ใบหน้าที่บำรุงอย่างดีมีรอยยิ้มชวนชิดใกล้
“เสี่ยวฉี ไม่ได้เจอกันนานแล้ว” ปลายสายยิ้มทักทาย
เวลานี้ มือของเซวียเจวี๋ยก็หยิกเอวจู่ฉีไม่หนักไม่เบา เขาหันมาเล็กน้อย ริมฝีปากบางผ่านหูของจู่ฉีเหมือนไม่จงใจ
“แม่ฉันดีกับนาย นายไม่พอใจอะไรก็อย่าให้ไปถึงแม่ แม่ต้องไม่อยากได้ยินนายพูดเรื่องเลิกกันตอนนี้แน่”
ที่แท้สาวใหญ่คนนี้คือเวิงอี้ว์เซียงแม่ของเซวียเจวี๋ย?!
จู่ฉีมีความทรงจำต่อตัวละครที่ชื่อเวิงอี้ว์เซียงไม่น้อย ช่วงหลังของเรื่องเซวียเจวี๋ยตามจีบนางเอก ทำอะไรไม่ดีกับเจ้าของร่างเดิมและลูกชายไม่น้อย คนเกือบทั้งหมดทำเป็นไม่เห็น ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูของเซวียเจวี๋ยที่ร่ำรวยมีอิทธิพลมาก
มีแต่เวิงอี้ว์เซียงที่รักเจ้าของร่างเดิมและหลานชาย แอบหาที่อยู่ให้ทั้งสอง
ต่อมาเรื่องนี้ถูกนางเอกรู้เข้าโดยบังเอิญ เซวียเจวี๋ยที่รู้ความจริงโกรธจัด ไล่เจ้าของร่างเดิมที่ไม่มีเงินติดตัวเลยออกไป แต่ยอมเก็บลูกชายของทั้งสองไว้เพราะเวิงอี้ว์เซียงพยายามขอร้อง
สรุปแล้ว ในนิยาย เวิงอี้ว์เซียงเป็นตัวละครที่ดี แต่ผู้หญิงจิตใจดีอย่างนี้กลับสอนลูกชายแบบเซวียเจวี๋ยที่ทิ้งสามี (ภรรยา?) และทิ้งลูกออกมา เป็นที่น่าฉงนใจ
พอคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่ต้องเผชิญในอนาคต จู่ฉีก็นึกขุ่นเคือง หยิกมือจู่ฉีที่โอบเอวเขาอยู่แรงๆ
เซวียเจวี๋ยเจ็บจนร้อง “ซี้ด” แต่ยังกอดจู่ฉีไม่ยอมปล่อย กลับมายิ้มอย่างรวดเร็ว สงบเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน
จู่ฉีระบายโทสะแล้วก็พยายามยิ้มสดใส พูดกับเวิงอี้ว์เซียงอย่างมีมารยาทว่า “คุณน้าสวยขึ้นทุกวัน ตะกี้ผมมองยังนึกว่าพี่เจวี๋ยคุยกับพี่สาวคนไหนอยู่เลยฮะ”
พอได้ยิน เวิงอี้ว์เซียงก็ยิ้มกว้างตาหยี ยกมือปิดปากแกล้งบ่นว่า “เด็กคนนี้ปากหวานขึ้นทุกที เดี๋ยวเจ้าตัวน้อยออกมา ฉันก็กลายเป็นย่าแล้ว”
จู่ฉียิ้ม ดวงตารูปดอกท้อเป็นประกายเหมือนดวงดาวภายใต้แสงไฟสาดส่อง
ร่างนี้อายุเพียงสิบเก้าปี ยามยิ้มยังมีลักยิ้มจางๆ ดูอ่อนเยาว์ หน้าตาแบบนี้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้ใหญ่
“คุณน้าคิดไปเองเท่านั้น เผลอๆ พอเขาโตถึงสี่ห้าขวบ อาจจะถามผมว่าทำไมคุณย่าดูสวยดูเด็กเหมือนเป็นคุณน้าเลยฮะ”
เวิงอี้ว์เซียงได้ยินก็ไม่สนใจภาพลักษณ์แล้ว ยกมือปิดปากหัวเราะจนน้ำตาแทบไหล
จากนั้นจู่ฉีกับเวิงอี้ว์เซียงคุยกันอย่างมีความสุข เซวียเจวี๋ยที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดแทรกแม้แต่คำเดียว เวิงอี้ว์เซียงก็ลืมลูกชายไปสนิท
อย่างกับความรักแม่ลูกแบบพลาสติกอะไรอย่างนั้น
คุยกันเกือบชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงมาจากฝั่งเวิงอี้ว์เซียง เห็นหล่อนหุบรอยยิ้มทันที เพียงชั่วพริบตาก็กลายร่างเป็นคุณนายเศรษฐีเรียบร้อยมาดขรึม
“แม่” ข้างๆ ปลายสายมีเสียงคนพูดเบาๆ
เวิงอี้ว์เซียงพยักหน้ารับแกนๆ แต่ไม่ชำเลืองมองฝ่ายตรงข้ามสักนิด กลับเปลี่ยนเรื่องมาคุยกับเซวียเจวี๋ยที่นั่งนิ่งอยู่นาน “อ้อ เรื่องสือเฮ่านั่นฝีมือลูกเหรอ? “
เซวียเจวี๋ยพยักหน้าอย่างเกียจคร้าน พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “สั่งสอนเขานิดหน่อยเท่านั้นครับ”
เวิงอี้ว์เซียงขมวดคิ้วเรียวงาม พูดอย่างชิงชังว่า “อย่าให้คางคกขี้เรื้อน* (คางคกขี้เรื้อน : มาจากสำนวน ‘คางคกขี้เรื้อนอยากกินเนื้อหงส์’ ใช้เปรียบเทียบกับคนที่ไม่ประมาณตัวเอง คิดอยากได้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้) นั่นออกมาว่าวุ่นวายอีก”
จู่ฉีได้ยินก็งุนงง สัญชาตญาณบอกเขาว่าเรื่องที่ทั้งสองพูดนั้นเกี่ยวข้องกับเขา แต่อยู่ต่อหน้าเวิงอี้ว์เซียง เขาก็ไม่สะดวกที่จะถาม
รอจนวางสายลง จู่ฉีซึ่งอึดอัดใจมานานยังไม่ทันถาม ก็หันมาเห็นเซวียเจวี๋ยมองเขาเหมือนมองตัวประหลาด
“ฝีปากไม่ธรรมดา อ้อนจนแม่ฉันหลง”
“การพูดจาเป็นศิลปะ” จู่ฉีเชิดคางขึ้นอย่างได้ใจ “มีคำกล่าวว่า หน่ายพันหน่ายหมื่นไม่หน่ายคำประจบ”
เซวียเจวี๋ย “...” ทำไมเขารู้สึกว่าท่าทางได้ใจของจู่ฉีนี่น่าตีเสียจริง?
ตอนแรกจู่ฉียังคิดจะถามเรื่องของสือเฮ่า เสียดายว่าเขาเพิ่งพูดได้แค่นี้ เซวียเจวี๋ยก็รับโทรศัพท์สายหนึ่งแล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว จู่ฉีได้แต่รอวันพรุ่งนี้ค่อยพูด
เช้าวันรุ่งขึ้น จู่ฉีรับประทานอาหารเช้าที่เสียวหย่าจัดเตรียมไว้ให้แล้ว ขณะกำลังคิดจะไปถามเซวียเจวี๋ย ก็ได้รับโทรศัพท์จากสือเฮ่า
“เสี่ยวฉี ฉันผิดเองทั้งหมด ฉันไม่ควรนอกใจตอนที่เราคบกัน ฉันไม่ควรถ่ายรูปนายตอนเมาแล้วเผยแพร่ออกไป ฉันไม่ควรกลับมารบกวนนายตอนเลิกกันแล้ว นายปล่อยฉันไปเถอะ!”
สือเฮ่าร้องไห้ในโทรศัพท์ ไม่มีท่าทียโสโอหังแบบที่เจอกันคราวก่อน
หากอยู่ต่อหน้า เกรงว่าสือเฮ่าคงจะคุกเข่าโขกศีรษะให้เลยด้วยซ้ำ
จู่ฉีตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปแบบหนึ่งร้อยแปดสิบองศาของอีกฝ่าย ผ่านไปนานกว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “คุณบ้าหรือเปล่า? ผมไม่ได้ทำอะไรคุณสักหน่อย”
สือเฮ่าพูดอย่างหมดหวัง น้ำเสียงเศร้าโศก “ฉันรู้ตัวแล้วว่าผิดจริงๆ เห็นแก่น้ำใจไมตรีเก่าก่อน นายขอร้องประธานเซวียให้ทีได้ไหม? ประธานเซวียจะบีบให้ฉันถึงทางตายชัดๆ!”
พอได้ยินจู่ฉีก็พอคาดเดาได้ และยังเดาเรื่องที่เซวียเจวี๋ยกับเวิงอี้ว์เซียงคุยกันได้
“แต่ระหว่างเรามีน้ำใจไมตรีเก่าก่อนเหรอ?” จู่ฉีพูดเสียงเย็น มุมปากขยับยิ้มอย่างไร้น้ำใจ “หรือหมายถึงที่คุณกับถังมั่วหนิงใส่ร้ายผม แถมแย่งบทกับอีเวนท์ผมไปครั้งแล้วครั้งเล่า?”
“...” สือเฮ่าพูดไม่ออก รู้สึกเหมือนมีสำลีติดคอ กระทั่งหายใจยังยาก “เสี่ยวฉี นั่นเป็นฝีมือถังมั่วหนิง นายจะโทษฉันทั้งหมดไม่ได้ เมื่อก่อนฉันก็คอยปกป้องนาย...”
สือเฮ่ายิ่งพูดยิ่งเสียงอ่อน ตัวเขาเองก็ไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่พูดออกมา
จู่ฉีไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของสือเฮ่าแต่เช้า เดิมเขาจะวางสาย แต่ในชั่วพริบตานั้น เขาจับข้อมูลสำคัญบางอย่างได้กะทันหัน
“รอเดี๋ยว” จู่ฉีทำมือบอกให้เสียวหย่าเอาแทบเล็ตมา จากนั้นให้หญิงสาวช่วยถือโทรศัพท์ไว้ ส่วนเขาเปิดบราวเซอร์ค้นชื่อของไป่กวงเจี้ยน
ข้อมูลของไป่กวงเจี้ยนปรากฏขึ้นบนหน้าจออย่างรวดเร็ว จู่ฉีเปิดข้อมูลเกี่ยวกับภรรยาของเขา
เฉินเหม่ยซิน...
ชื่อนี้คุ้นเคยเหลือเกิน
จู่ฉีลูบคางคิดอยู่ชั่วครู่ แผนการบางอย่างเกิดขึ้นในหัวทันที เขาขยับมุมปาก ประกายตาทอแววเจ้าเล่ห์
“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะให้โอกาสคุณ เดี๋ยวนัดออกมากินข้าวด้วยกัน ผมจะเชิญเซวียเจวี๋ยมาด้วย ถึงเวลามีอะไรคุณก็คุยกับเซวียเจวี๋ยโดยตรงละกัน”
สือเฮ่าถูกความยินดีที่ลอยจากฟ้าฟาดใส่ อีกพักใหญ่ถึงได้สติอย่างมึนงง “เสี่ยวฉี ฉันรู้ว่าในใจนายยังมีฉันอยู่...”
“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ผมแค่ทนไม่ไหวที่ต้องฟังคุณวิงวอนเหมือนหมาตัวหนึ่ง ทำให้ผมรู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองตาบอดแค่ไหน” จู่ฉีพูดเสียดสีอย่างไร้น้ำใจ ชวนให้โมโหเป็นที่สุด
สือเฮ่าก็ตกเป็นเหยื่อของจู่ฉี เขาหน้าคร่ำเครียด มืออีกข้างกำหมัดแน่น กระทั่งเล็บจิ้มเข้าไปในเนื้อยังไม่รู้สึกเจ็บปวด
เห็นชัดว่าทุกคำที่จู่ฉีพูดเหมือนก้อนหินหนักอึ้งฟาดใส่หัวเขาจนหัวแตกเลือดไหล ไม่อาจก้มลงเก็บศักดิ์ศรีที่แตกสลายร่วงกับพื้น
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันก็ขอบคุณนายมาก” สือเฮ่าหรี่ตา ดวงตาดำลึกนั้นเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมชั่วร้าย
“รอ SMS เวลากับสถานที่จากฉันละกัน” จู่ฉีพูดง่ายๆ ก่อนจะวางหูลงทันที
สือเฮ่าถือโทรศัพท์ค้างอยู่นานไม่ขยับ เขาได้ยินเสียงจากมือถือหายไป สีหน้าเลวร้ายจนแทบจะกินคนได้
“พี่เฮ่า” เสียงผู้ชายน่าฟังดังมาจากด้านหลัง จากนั้นก็มีมือคู่หนึ่งกอดสือเฮ่าไว้จากด้านหลัง ถังมั่วหนิงเอาตัวแนบแผ่นหลังสือเฮ่าไว้แล้วปลอบเสียงเบา “ถึงยังไงพวกคุณก็เคยมีอดีตร่วมกัน เขาไม่มีทางไม่ช่วยคุณหรอก”
สีหน้าแววตาสือเฮ่าทอแววอำมหิต เขาหันมาผลักถังมั่วหนิงออกโดยแรง สะบัดมือเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือลงกับพื้น
“จู่...ฉี” สือเฮ่ากัดฟันกรอด เปล่งชื่อนั้นออกมาอย่างแฝงความชั่วร้าย
สักวันหนึ่ง จู่ฉีต้องตกอยู่ในมือเขาคนนี้