(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน ภรรยาหนุ่มวาสนาดี เล่ม 1

Saturday

บทที่ 1 กลับมาเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้ง

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏอยู่คือหลังคาบ้านทอดยาวบนคานไม้ขนาดใหญ่ เตียงก่ออิฐแข็งแรงใต้ร่าง ฉากกั้นไม้เก่าโทรมวางหน้าเตียง โต๊ะหนังสือไม้ตัวหนึ่งวางอยู่ริมหน้าต่าง นี่คือสภาพแวดล้อมสมัยเด็กของโจวจี้เหนียน

เขาหายใจอย่างผ่อนคลายไม่ติดขัด สองมือออกแรงกำหมัด รับรู้ได้ว่าทั้งตัวเต็มเปี่ยมด้วยพละกำลัง นี่คือสัญลักษณ์ของความเยาว์วัย

ตื่นขึ้นมาสามวันติด โจวจี้เหนียนทดสอบตัวเองแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดคนที่กำลังจะตายอย่างเขา เพิ่งจะหลับตา พอลืมตาขึ้นอีกครั้งถึงกลับมาอยู่ในปีที่อายุสิบแปดได้

แต่ก็นับว่าเขาตายตาหลับ ศัตรูชั่วร้ายถูกเขาขุดรากถอนโคนไปแล้ว มือเหล็กแข็งแกร่งที่เปื้อนเลือดของเขาไม่เก็บใครไว้แม้แต่คนเดียว ที่น่าเสียดายก็คือเลือดคนมากมายถึงเพียงนั้น ก็ไม่อาจแลกชีวิตของหนิงหลางคืนมาได้

เสียงพูดคุยของคนจำนวนหนึ่งดังมาจากด้านนอก รบกวนความคิดของโจวจี้เหนียน

“ข้าไม่เห็นด้วย ท่านแม่ หนิงเกอเอ๋อร์สกุลเซี่ยนั่นป่วยเป็นโรคประหลาดที่ไม่มียารักษาได้นะขอรับ! พี่ใหญ่เป็นคนถอนหมั้นแท้ๆ ถ้าจะเป็นซูถง* (ซูถง : เด็กรับใช้ของคนเรียนหนังสือในสมัยก่อน) ก็ควรจะเป็นของหลานเวินชูสิ!”

นี่คือเสียงของท่านพ่อ โจวจี้เหนียนลงจากเตียงย่องไปถึงหน้าประตู

“เจ้าพูดอะไรกัน! ให้เวินชูเลี่ยงไปก่อนมิได้หรือ เรื่องนี้ข้ารับปากสกุลเซี่ยแล้ว ปีหน้าจี้เหนียนก็จะเข้าเมืองไปสอบเยวี่ยนซื่อ* แล้ว จะเอาเงินมาจากไหน เจ้ารู้จักคิดบ้างเถิด” (เยวี่ยนซื่อ : ระบบการสอบคัดเลือกขุนนางของจีนในสมัยโบราณแบ่งการสอบเป็นสี่ระดับ โดยระดับที่หนึ่งเป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น เรียกการสอบนี้ว่า เยวี่ยนซื่อ เรียกผู้ที่สอบผ่านว่า ซิ่วไฉ (秀才) ระดับที่สองเป็นการสอบระดับมณฑลหรือภูมิภาค เรียกว่าการสอบเซียงซื่อ (乡试) เรียกผู้ที่สอบผ่านว่า จวี่เหริน (举人) และระดับที่สามจัดสอบที่เมืองหลวง เรียกว่าการสอบฮุ่ยซื่อ (会试) เรียกผู้ที่สอบผ่านว่า ก้งซื่อ (贡士) หลังจากนั้นก้งซื่อจะได้เข้าไปสอบหน้าพระที่นั่ง เรียกว่าการสอบเตี้ยนซื่อ (殿试) โดยผู้ที่สอบผ่านครั้งนี้จะถูกเรียกว่า จิ้นซื่อ (进士) จิ้นซื่อที่สอบได้คะแนนสูงสุดอันดับที่หนึ่ง สอง และสามจะเรียกว่า จ้วงหยวน หรือที่เรียกกันว่าจอหงวน (状元) ปั๋งเหยี่ยน (榜眼) และทั่นฮวา (探花) ตามลำดับ

คนที่ตอบกลับคือย่าของโจวจี้เหนียน ในใจของนางมีเพียงประโยคที่ว่า ‘หลานชายคนโต ลูกชายคนเล็ก’ มาตลอด ดังนั้นโจวเวินชูผู้เป็นหลานชายคนโต และโจวลิ่วเฟิงลูกชายคนเล็ก ก็คือแก้วตาดวงใจของนาง

ส่วนครอบครัวลูกสามของนางอยู่ระหว่างกลาง เดิมนั้นก็ละเลยง่ายอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหลายปีก่อน โจวซานเฟิงกับโจวลิ่วเฟิงประสบหายนะอันไม่คาดคิด โจวซานเฟิงขาพิการ ซึ่งในไร่นาคนที่ถูกดูแคลนมากที่สุดก็คือคนที่มือเท้าพิการ

โจวจี้เหนียนชินกับความลำเอียงเกินควรของผู้เป็นย่ามานานแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร

คิ้วคมทรงเสน่ห์ ดวงตาดำเรียวยาวซ่อนความคมกริบอยู่ในนั้น กลีบปากบางเม้มน้อยๆ ร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หลังประตู มือไพล่หลังแผ่ความดุดันน่าเกรงขาม

ถัดจากบานประตูไป ในห้องมีเขาเพียงคนเดียว หากมีคนอื่นมาเห็นจะต้องสังเกตได้ถึงลักษณะท่าทางของผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงมานานของเขา ว่าไม่ใช่ท่าทางที่เด็กหนุ่มวัยสิบแปดคนหนึ่งควรมีอย่างแน่นอน

“เงินสำหรับการสอบเยวี่ยนซื่อ ท่านแม่ เวินชู น้องหก กับลูกชายของข้าไปสอบด้วยกัน เงินก้อนนี้ครอบครัวควรต้องเป็นคนจ่ายสิ!” เป็นเสียงของเตี่ยของโจวจี้เหนียน มีนามว่าหลินจิ่น ภรรยาบุรุษของโจวซานเฟิง

ในยุคต้าชิ่งนี้ นอกจากเพศหญิงชายแล้วก็ยังมีเพศคู่ด้วย เรียกว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ซึ่งตั้งครรภ์ได้เหมือนกัน หลินจิ่นก็เป็นเช่นนั้น

เขามองแม่สามีอย่างนึกไม่ถึง คิดไม่ตกว่าไฉนแม่สามียังมีหน้าเอาเงินค่าเดินทางไปสอบของลูกชายเขามาข่มขู่

“เจ้าบ้านของเราควรเป็นคนออกเงิน แต่ว่า! เจ้าสามขาพิการ เจ้าเองก็อยู่บ้านทำกับข้าว บ้านเจ้าก็มีแต่ค่าใช้จ่ายไม่มีรายรับ ข้าผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่ดีอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ถึงเวลาให้พวกเจ้าได้ทำประโยชน์แล้ว ไยจึงมีหน้ามาบ่ายเบี่ยงด้วยข้ออ้างสารพัด?” ย่าโจวปัดแขนเสื้อ ไม่มองตาภรรยาบุรุษของเจ้าสามเลยด้วยซ้ำ

หลินจิ่นโมโหกัดฟันกรอด ซานเฟิงสามีเขากระดูกขาหักเพราะช่วยน้องหก! บ้านเขาทำแค่กับข้าวที่ไหนกัน เสื้อผ้าสกปรกของคนทั้งบ้านยี่สิบกว่าคน ผ้าห่มและที่นอน มีชิ้นไหนบ้างที่เขาไม่ได้ซัก พื้นตรงไหนที่เขาไม่ได้เป็นคนกวาด

คนโบราณว่าไว้ หากบิดามารดายังอยู่ไม่ให้แยกบ้าน! โจวซานเฟิงขาเป๋ไปทำงานที่ไร่นาน้อยเสียเมื่อไร เพราะขาพิการจึงทำงานได้ช้า คนอื่นกลับไปพักเที่ยง โจวซานเฟิงยังตากแดดเปรี้ยงๆ ทำงานตรากตรำอยู่ที่ไร่นา ไฉนพอพูดออกมาจากปากแม่สามี กลับเหมือนว่าบ้านเขางอมืองอเท้ากินข้าวไม่เสียเงินอย่างนั้นแหละ

แม่น้ำจะเป็นน้ำแข็งได้ ใช้เวลามากกว่าหนึ่งวัน หลินจิ่นเอ่ยขึ้นทั้งที่ปากสั่น “แยกบ้าน…”

“เจ้าว่าอะไร ข้ายังไม่ตายนะ!” ย่าโจวยังเป็นหญิงสูงวัยที่มีกำลังวังชาแข็งแรงจริง ข้อมือเงื้อสูงหมายจะตบหลินจิ่นสักฉาด

“หยุดนะ!” โจวจี้เหนียนเปิดประตูออกไป ปราดเข้าไปยึดข้อมือผู้เป็นย่า ชาติก่อนเตี่ยเขาถูกตบฉาดนี้ ตอนนั้นเขาไม่กล้าโต้กลับผู้อาวุโส จึงไม่มีกำลังจะปกป้องคนในครอบครัว แต่ตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว! 

โจวจี้เหนียนใช้เรือนร่างสูงใหญ่บังเตี่ยไว้ข้างหลัง หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งปกปิดประกายคม แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านลุงก็แค่อยากปกป้องชื่อเสียงของเวินชูใช่ไหม ได้สิ”

“จี้เหนียน!” หลินจิ่นดึงแขนเสื้อลูกชาย ต้องการจะขัดขวางลูก

โจวจี้เหนียนหันไปข้างๆ ตบหลังมือเตี่ยเบาๆ เป็นการปลอบโยน อยากจะหัวเราะสักที แต่กลับพบว่าเงียบขรึมมานานหลายปี แม้แต่การหัวเราะก็ลืมไปแล้วว่าทำอย่างไร จึงต้องล้มเลิกความคิด

“แต่หากรับเซี่ยหนิงเป็นซูถงต้องจ่ายค่าแรงให้เขาด้วย ว่าอย่างไรขอรับ” โจวจี้เหนียนเริ่มหลอกล่อ

ย่าโจวตอบ “บ้านเจ้าใหญ่ออกค่าจ้าง”

“ท่านย่าจัดการได้สมควรแล้ว เพียงแต่ว่าถ้ารับเขาเป็นซูถงแล้ว จะปิดปากทุกคนได้หรือ กลัวแต่ว่าเมื่อถึงตอนนั้น ในหมู่บ้านจะพูดกันอีกว่าสกุลโจวของเราไม่เพียงถอนหมั้นอยู่ฝ่ายเดียว แต่ยังใช้เขาเป็นทาสทำให้สกุลเซี่ยอับอายขายหน้าด้วย กลัวว่าจะได้ไม่คุ้มเสียนะขอรับท่านย่า”

ย่าโจวนิ่วหน้า เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหนื่อยที่ต้องคุยกับบัณฑิต “จะไปควบคุมคนมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ถึงเวลาค่อยว่ากัน รับคนเอาไว้ก่อน”

โจวจี้เหนียนเดาไว้อยู่แล้วว่าย่าของเขาต้องทำเช่นนี้ ถึงอย่างไรหากเกิดเรื่องขึ้นมา ย่าเขาก็มักจะมีวิธีให้ลูกหลานออกไปรับความผิดเสมอ หากลูกสามแบกรับไม่ไหว ลูกสี่ของนางก็ยังอยู่ทั้งคน

ย่าโจวมีลูกเจ็ดคน นอกจากเจ้ารองที่เป็นบุตรสาว เจ้าห้าและเจ้าเจ็ดล้วนเป็นเสี่ยวเกอเอ๋อร์ ซึ่งแต่งงานออกเรือนไปแล้วทั้งคู่ 

โจวจี้เหนียนประคองบิดาไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน แผ่นหลังเขายืดตรง ท่านั่งเหมือนต้นสน เขาแค่ทำไม้ทำมือเชิญอีกฝ่ายพลางเอ่ย “ท่านย่าเชิญนั่ง”

คงเพราะย่าโจวมีแรงตบคน ดังนั้นย่อมไม่ต้องการให้ใครมาช่วยประคอง

“หลานมีแผนอย่างหนึ่ง ขอเพียงท่านลุงใหญ่ชำระเงินค่าจ้างของเซี่ยหนิงรวดเดียว เซี่ยหนิงได้เลือกสามีใหม่อีกครั้ง หากเขาแต่งงานไปก่อน ใครก็จะมาตำหนิพี่เวินชูไม่ได้” โจวจี้เหนียนพูดจบแล้วก็ยกกาน้ำชาขึ้นมารินชาใส่ถ้วย

หลินจิ่นมองลูกชายคนโตด้วยความอึ้งงันเล็กน้อย รู้สึกว่าสองสามวันนี้ลูกชายเปลี่ยนแปลงไปมาก

“จริงหรือ” ย่าโจวถามอย่างแปลกใจ นั่งยกขาขึ้นบนเก้าอี้ไม่รู้ตัว

โจวจี้เหนียนพยักหน้า

ย่าโจวถามอีก “แต่ใครจะกล้าอยากได้หนิงเกอเอ๋อร์สกุลเซี่ยกันเล่า”

หลินจิ่นก็มองลูกชายด้วยความแปลกใจเหมือนกัน

“ข้าเอง” โจวจี้เหนียนตอบอย่างหนักแน่น

หลินจิ่นเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยา เขาตบโต๊ะทันควัน “เหลวไหล! จี้เหนียน!”

โจวจี้เหนียนหยุดเตี่ย แล้วหันไปบอกย่าโจวว่า “ขอเพียงท่านลุงใหญ่เอาเงินค่าจ้างออกมาจ่ายรวดเดียว ข้าจะกำหนดวันแล้วไปสู่ขอกับสกุลเซี่ย ท่านย่าจะไปปรึกษากับท่านลุงใหญ่ดูก็ได้ขอรับ”

เป็นความคิดที่ดี ได้ทั้งช่วยเวินชูหลานคนโตให้บรรลุเป้าหมาย และได้รักษาชื่อเสียงสกุลโจวด้วย ถึงตอนนั้นก็ค่อยประกาศออกไปว่าโจวจี้เหนียนแย่งชิงคนรัก เวินชูยอมให้น้องชายด้วยไมตรีจิต และยังได้ชื่อเสียงอันดีงามด้วย

ย่าโจวคิดตกแล้วก็ลงจากเก้าอี้อย่างแคล่วคล่องว่องไว “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเรียกร้องเองนะ ย่าจะไปเอาเงินให้เจ้าเดี๋ยวนี้” นางพูดจบก็ผลุนผลันออกไปจากบ้านลูกชายคนที่สาม

ขณะออกมาก็เจอกับโจวซานเฟิงอยู่ข้างหน้า เขาเดินขากะเผลกเล็กน้อย พอเห็นมารดาจึงเรียกนาง นางก็ไม่ตอบทว่ารีบร้อนออกไปจากบ้าน โจวซานเฟิงให้รู้สึกฉงนฉงาย รีบเข้าห้อง จึงเดินขากะเผลกยิ่งกว่าเดิม

“จิ่นหลาง ท่านแม่มาทำอะไร” พอเข้าห้องไปแล้วโจวซานเฟิงก็เอ่ยถาม เห็นลูกชายคนโตนั่งอยู่ที่ลานบ้านเล็กด้วยเหมือนกัน จึงเอ่ยด้วยความแปลกใจ “จี้เหนียน? ทบทวนบทเรียนเสร็จแล้วหรือ”

โจวจี้เหนียนรีบลุกขึ้น เดินเข้าไปตรงหน้าบิดา ปีนี้บิดาเพิ่งอายุสามสิบห้า ทำงานหนักตากแดดทั้งวันจนผิวดำคล้ำ แต่ความตรากตรำลำบากของชีวิตก็ไม่อาจเอาชนะบิดาของเขาได้ บิดายังคงอ่อนโยน ยิ้มแย้มกับคนในครอบครัวเหมือนเดิม

“ท่านพ่อ” โจวจี้เหนียนประคองบิดานั่งลง

โจวซานเฟิงเป็นคนใจกว้าง รู้สึกว่าสามวันนี้ลูกชายคนโตสุขุมขึ้นมาก แต่เพราะเหตุใดเขาเองก็ไม่ได้คิดอย่างละเอียด

โจวจี้เหนียนรินน้ำชาใส่ถ้วยให้บิดาอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“จี้เหนียน เจ้าพูดมาดีๆ เจ้าคิดอย่างไร” หลินจิ่นถามอย่างร้อนใจ

“ข้าตั้งใจว่าจะไปสู่ขอที่บ้านสกุลเซี่ย หมั้นหนิงเกอเอ๋อร์ให้เรียบร้อย” โจวจี้เหนียนส่งชาให้บิดา

หลินจิ่นแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วย ส่วนโจวซานเฟิงยังอยู่ในสภาพมึนงง

“ลูกรวบผมแล้ว อีกสองปีก็จะเข้าพิธีสวมหมวก สมควรที่จะแต่งงานได้แล้ว” โจวจี้เหนียนเพิ่งเริ่มหัวข้อสนทนา

โจวซานเฟิงรู้สึกผิดต่อลูกชาย ชิงพูดขึ้นก่อน “บ้านจน เป็นเพราะพ่อคนนี้ไร้สามารถ…”

ถึงแม้ในหมู่บ้าน สกุลโจวจะร่ำรวย แต่ทั้งไกลและใกล้ใครๆ ต่างรู้ว่าครอบครัวลูกคนที่สามของสกุลโจวนั้นจน แต่งเข้ามาไม่เพียงต้องปรนนิบัติสามีขาเป๋ แต่ยังต้องจัดการงานบ้านน้อยใหญ่ของสกุลโจวทั้งตระกูลด้วย และถึงอย่างไรโจวจี้เหนียนก็เป็นถงเซิง* (ถงเซิง : คำเรียกคนเรียนหนังสือในระบบการสอบเคอจวี่ ไม่ว่าจะเป็นคนอายุมากหรือน้อย และคนที่ยังสอบไม่ได้ซิ่วไฉ ล้วนเรียกว่าถงเซิงหรือไม่ก็หรูถง (儒童)) ย่าโจวกลับดูถูกครอบครัวเล็กๆ คิดแต่จะให้ผู้ชายสกุลโจวได้แต่งกับคนที่มีฐานะสูงกว่า

นอกเหนือจากนี้ โจวจี้เหนียนเองก็ไม่มีคนที่ชอบพอกันอยู่ ชาติก่อนหลังจากที่เขาสอบเซียงซื่อผ่านแล้ว ราชสำนักก็มอบตำแหน่งนายอำเภอให้เนื่องด้วยเป็นชนบทที่ห่างไกลความเจริญ แต่โจวจี้เหนียนอยากประสบความสำเร็จเร็วๆ และแสวงหาผลประโยชน์ตรงหน้า จึงแต่งงานกับบุตรสาวภรรยาเอกของผู้ช่วยสำนักราชเลขาธิการ

ผู้ช่วยสำนักราชเลขาธิการมีบุตรสาวที่ป่วยกระเสาะกระแสะ อีกทั้งเขามองว่าตัวเองสูงส่ง เงื่อนไขของการเลือกลูกเขยคือต้องไม่รับอนุภรรยา

ประจวบเหมาะกับโจวจี้เหนียนที่ยากจนมาตั้งแต่เด็กถูกคนอื่นดูถูกดูแคลน แม้แต่นายหญิงสกุลโจวผู้เป็นย่าแท้ๆ ก็ยังเหยียดหยามบิดาและเตี่ยของเขา โจวจี้เหนียนกัดฟันแน่น สาบานว่าจะต้องประสบความสำเร็จได้ดีกว่าใคร ให้บิดาและเตี่ยได้มีหน้ามีตาในชีวิตบั้นปลาย

เมื่อโจวจี้เหนียนกลายเป็นลูกเขยที่ผู้ช่วยสำนักราชเลขาธิการเลือก เขาจึงได้มีทางลัดในอาชีพขุนนาง

ทว่าน่าเสียดายที่ถึงอย่างไรก็เป็นโรคแต่กำเนิด บุตรสาวของผู้ช่วยสำนักราชเลขาธิการสิ้นชีวิตคืนก่อนงานสมรส โจวจี้เหนียนฝังศพนางในนามของภรรยาเอก หลังจากนั้นก็ไม่เคยรับอนุภรรยาเลย

แต่โจวจี้เหนียนกลับได้เข้าสำนักราชเลขาธิการทั้งที่อายุยังน้อย หลังจากนั้นตำแหน่งก็ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ สูงไปจนถึงหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ หรือที่เรียกกันว่าเสนาบดีฝ่ายขวา

ชาติก่อนโจวจี้เหนียนไม่ได้แต่งภรรยาใหม่อีกเลยชั่วชีวิต มิหนำซ้ำยังได้ชื่อว่าเป็นบุรุษผู้คลั่งรักด้วย

ดังนั้นพอโจวจี้เหนียนได้ยินบิดาพูดเช่นนี้จึงรู้สึกอึดอัดใจเป็นที่สุด เกิดเป็นลูกจะรังเกียจบิดาทั้งสองที่เลี้ยงดูตนมาได้อย่างไร

โจวจี้เหนียนเอ่ย “ความดีของท่านพ่อคือแบบอย่างของข้า เพียงแต่ที่ข้าต้องการแต่งงานในครั้งนี้ เพราะข้าจะต้องแต่งกับหนิงเกอเอ๋อร์”

“นี่มันเพราะอะไรกัน” บิดาทั้งสองมีแต่คำถาม

เพราะเขาติดค้างเซี่ยหนิงหนึ่งชีวิต โจวจี้เหนียนหลุบตา ไม่ได้คิดจะพูดออกมา

ชาติที่แล้วหลังจากที่เซี่ยหนิงถูกเวินชูถอนหมั้นก็ไม่มีใครมาสู่ขออีกจริงๆ เซี่ยหนิงกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งหมู่บ้านยังไม่ว่า เซี่ยผู้พ่อกลับมีความคิดที่ล้าสมัยว่า ‘เลี้ยงลูกจนโตจะกลายเป็นศัตรู’ กลัวว่าถ้าเลี้ยงเซี่ยหนิงไว้ที่บ้าน ในอนาคตลูกจะเกลียดคนเป็นพ่ออย่างเขา จึงรีบส่งเซี่ยหนิงไปเป็นซูถงที่บ้านโจวจี้เหนียน

เซี่ยหนิงทำงานเป็นซูถงไปทั้งชาติ ระหว่างนั้นผิวพรรณของเขาไม่ได้มีอาการดีขึ้น และไม่มีใครอยากมาสู่ขอด้วย

จนกระทั่งโจวจี้เหนียนไปร่วมงานเลี้ยงแล้วเมาสุรา กกกอดเซี่ยหนิงร่วมหลับนอนกันหนึ่งคืน ถึงได้รับอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ที่ห้องปีก เลี้ยงดูอยู่ที่คฤหาสน์สกุลโจวเรื่อยมา

โจวจี้เหนียนหยุดนึกถึงเรื่องเก่า แล้วพูดอีกเรื่องขึ้นมา “เตี่ย เซี่ยหนิงความประพฤติเป็นเช่นไร”

หลินจิ่นตอบ “แต่ก่อนดีอย่างหาได้ยากยิ่งจริงๆ”

“แต่ก่อน? ตอนนี้เขาแย่ลงหรือ”

“เฮ้อ ก็ใกล้เคียงนั่นแหละ หลายวันก่อนหลายคนเห็นเขากระโดดน้ำราวกับคนเสียสติ ว่ากันว่าผิวที่ใบหน้าและคอจะไม่มีแล้ว น่ากลัวว่าอายุจะสั้น…จี้เหนียน เจ้าฟังเตี่ยนะ หนิงเกอเอ๋อร์คนนี้ต่อให้เมื่อก่อนจะดีแค่ไหน นั่นก็เป็นแค่เมื่อก่อน!”

“เขา...อายุยืนยาวนะ” เสียงทุ้มต่ำและแหบพร่าของโจวจี้เหนียนเจือด้วยความเศร้า หากไม่ใช่เพราะช่วยตน เซี่ยหนิงก็คงจะมีอายุยืนยาว

“อะไรนะ” หลินจิ่นได้ยินไม่ชัด

“แค่เสียโฉมเท่านั้นเอง เตี่ย ข้าจะแต่งกับเขา!” สองสามคำข้างหลังโจวจี้เหนียนไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งทุกคำ เน้นย้ำลงเสียงหนัก

เขาอ่านหนังสือมามาก ไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่เจอวิธีรักษาหนิงหลาง! แต่ตอนนี้เรื่องสำคัญอย่างแรกก็คือเลี้ยงดูอีกฝ่ายให้อยู่ในสายตาก่อน


 

พอได้ยินว่ามารดาแก้ปัญหายุ่งยากที่ลูกชายตนถอนหมั้นเรียบร้อยแล้ว โจวต้าเฟิงก็ย่อมให้ความร่วมมือตามสมควร ควักเงินโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

สกุลโจวสี่รุ่นอาศัยร่วมชายคาเดียวกันโดยไม่มีใครแยกบ้าน แต่ละเรือนล้วนออกแรงทำไร่ทำนา รายรับที่ได้จากงานอื่นแค่ต้องส่งให้เรือนหลักครึ่งหนึ่ง บ้านตัวเองก็เก็บไว้ครึ่งหนึ่ง

ดังนั้นงานแต่งงานของโจวจี้เหนียน เดิมเรือนหลักควรออกครึ่งหนึ่ง เรือนสามออกเองครึ่งหนึ่ง

แต่เพราะธุระของเรือนสามนี้นับเป็นการตามล้างตามเช็ดให้เรือนใหญ่ ดังนั้นเรือนใหญ่จึงเป็นฝ่ายออกเงินอีกครึ่งหนึ่ง

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal