(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน ภรรยาหนุ่มวาสนาดี เล่ม 1

Saturday

บทที่ 3 แต่งงาน

รัชศกชิ่งหยวนปีที่สามสิบหก เดือนเจ็ดต้นฤดูสารท ชาวบ้านในหมู่บ้านต้าจิ่งเพิ่งเพาะปลูกในฤดูร้อนเสร็จ รอเพียงหนึ่งร้อยวันให้หลัง ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูสารทได้

ในช่วงที่ว่างจากการเก็บเกี่ยว วันนี้หมู่บ้านต้าจิ่งจัดงานมงคล คนที่แต่งงานคือลูกชายถงเซิงของโจวเหล่าซาน โจวจี้เหนียนวัยสิบแปดแต่งงานในวันนี้

บริเวณที่พักอาศัยของสกุลโจวบรรยากาศคึกคักสนุกสนานทั้งด้านในและด้านนอก เหล่าสะใภ้สกุลโจวล้อมวงง่วนอยู่กับอาหารงานเลี้ยงที่ห้องครัว รุ่นเยาว์ย้ายโต๊ะจัดเก้าอี้อยู่ด้านในและนอกลานบ้าน สตรีและพวกเสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่วยกันตกแต่งเรือนหอ รอแค่รับเซี่ยหนิงเข้าบ้านตอนพลบค่ำ

สมัยต้าชิ่งแต่งงานกันตอนพลบค่ำ ชาวบ้านคิดว่าพลบค่ำเป็นฤกษ์ดี มีคำกล่าวว่ากลางวันคือหยาง กลางคืนคือหยิน พลบค่ำอยู่ในช่วงสับเปลี่ยนของหยินและหยางพอดี ‘หยางไป หยินมา’ เหมาะแก่การแต่งงาน

ดังนั้นจึงจัดงานสมรสในเวลาพลบค่ำ และเป็นสิ่งที่ปฏิบัติเฉพาะกับภรรยาเอกเท่านั้น

มีแต่อนุภรรยาและนางบำเรอที่จะแต่งเข้าบ้านในตอนกลางวัน

ขบวนของสกุลโจวจูงสุกรอ้วนพีมาตัวหนึ่ง บนตัวสุกรผูกเงื่อนผ้าสีแดง ด้านหลังตามมาด้วยคณะดนตรี เครื่องดนตรี และสินสอดหนักๆ

ขบวนที่ส่งเกี้ยวไปรับเจ้าสาวมีกันสิบกว่าคน สมัยต้าชิ่งจัดสินสอดอย่างน้อยหกชิ้น อย่างมากสิบสองชิ้น มีของล้ำค่าอย่างกำไลทอง ชั้นรองลงมาคือลูกกวาดและขนมเปี๊ยะ โจวจี้เหนียนต้อนรับเจ้าสาวอย่างสมเกียรติที่สุด มอบความจริงใจเต็มเปี่ยม

“หนิงเกอเอ๋อร์สกุลเซี่ยคนนี้วาสนาดีจริงๆ…”

“ดีอะไรกัน สินเดิมที่สกุลเซี่ยออกให้ไม่ได้น้อยเลยสักนิด!”

“ชิ…เสียโฉมไปแล้ว ถ้าไม่ให้สินเดิมมากหน่อย ใครเขาจะเอา”

“ตายจริง ช่วงนั้นที่หนิงเกอเอ๋อร์เพิ่งถูกถอนหมั้น บ้านเจ้าไปขอแล้วมิใช่หรือ เขาไม่ชอบบ้านเจ้าน่ะสิ!”

ท่านป้าที่ถูกหัวเราะเยาะมองค้อนทุกคน บ้านนางเห็นแก่สินเดิมมากมายนั่นจริงๆ เคยไปสู่ขอฝ่ายนั้นมาก่อน อย่างแย่ที่สุดก็รับเข้าบ้านมาแล้วเอาไว้ในห้องใส่กุญแจไว้ แต่เซี่ยต้าซู่ไม่ถูกใจบ้านนาง ท่านป้าคนนี้จึงไม่สมปรารถนา 

ไม่นานก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีดังสนั่นที่ลานบ้านสกุลเซี่ย ขบวนรับเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงแล้ว

เซี่ยเสี่ยวอวี้กระโดดวิ่งไปหน้าประตูห้องของพี่ชายคนรอง ด้วยเพราะตื่นเต้นเกินไป เสียงเคาะประตูจึงหนักไปหน่อย “พี่รองๆ คนสกุลโจวมาแล้ว!”

เซี่ยหนิงนั่งยองๆ อยู่ในอ่างไม้ใบใหญ่เหมือนตอนเด็กๆ น้ำในอ่างกระฉอกออกมาเล็กน้อย เขากอดขาพยายามหดตัวเองให้เล็กที่สุด วักน้ำราดรดตัวเองไม่หยุด

เพราะเขาเปลือยหลังอยู่ จึงเห็นกระดูกสะบักด้านหลังได้อย่างชัดเจน เด็กหนุ่มผอมกะหร่องผิวพรรณขาวผ่องและดูยังเยาว์วัย

วันนั้นหลังจากที่ ‘นอนหลับในอ่างน้ำ’ ทำให้คนในบ้านตื่นตระหนก หลังมื้อเที่ยงของทุกวัน พี่ใหญ่ของเขาจะตักน้ำในบ่อให้เขาหนึ่งอ่าง เอาไว้ในห้องเขาให้เขาคลายร้อน

น่าเสียดายที่ในหมู่บ้านไม่มีบ้านใครจะสิ้นเปลืองเงินซื้อถังอาบน้ำ ล้วนใช้อ่างไม้หรือไม่ก็ถังไม้ ใช้กระบวยตักน้ำอาบ

แม้จะอยู่ในอ่างไม้ขนาดใหญ่นี้อย่างน่าเวทนา แต่เซี่ยหนิงเมื่อยขาแล้วก็ไม่ยอมลุกขึ้น เพราะเมื่อเขาออกจากอ่างน้ำ ก็จะต้องใส่ชุดมงคลสีแดงเข้มหลายชั้น นั่งอยู่ในห้องหอเพียงลำพัง รอโจวจี้เหนียนกินดื่มเสร็จแล้ว มาเลิกผ้าคลุมหน้าของเขา

เพื่อป้องกันไม่ให้เขาร้อนตาย เซี่ยเหยาพี่ใหญ่ของเขาจึงเตรียมน้ำไว้ให้แต่เนิ่นๆ ให้เขาแช่เสียให้พอ

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เซี่ยหนิงก็ตอบรับอย่างประหม่า “ทราบแล้ว!”

เซี่ยหนิงกระดกนิ้วเท้าขึ้น รีบล้างตัวแล้วเริ่มใส่เสื้อผ้า

ขบวนรับเกี้ยวเจ้าสาวส่งสินสอดเสร็จแล้ว ตามประเพณีต้องอยู่กินมื้อเที่ยงที่สกุลเซี่ย ตอนบ่ายเจ้าบ่าวยังต้องคารวะบิดามารดาแสดงความกตัญญูด้วย จนถึงช่วงพลบค่ำ ฟ้าเริ่มสลัว เจ้าบ่าวก็สามารถแบกภรรยากลับบ้านตัวเองได้

พอปิดประตู ชาวบ้านจะชอบพูดหยอกล้อกันว่าการแต่งงานก็คือการทำให้เจ้าบ่าวหมดแรงในตอนกลางวัน และการทำให้เจ้าสาวหรือภรรยาบุรุษหมดแรงในตอนกลางคืน

ฉวยโอกาสตอนที่ยกอาหารจัดขึ้นโต๊ะ เซี่ยเหยาแอบดอดเข้าห้องน้องชาย ขณะที่เซี่ยซุนซื่อกำลังมัดผมให้เซี่ยหนิงอยู่พอดี

คนคนนี้ตกกลางคืนก็จะไม่อยู่ที่บ้านแล้ว แม่เลี้ยงก็เป็นแม่เหมือนกัน ในที่สุดเซี่ยซุนซื่อก็นับว่าทำตัวอย่างคนเป็นแม่แล้ว

“เจ้าเข้ามาทำอะไร มันผิดธรรมเนียม รีบไปกินเลี้ยงที่โถงใหญ่เสีย” เซี่ยซุนซื่อพอเห็นเซี่ยเหยาก็ไล่เขาทันที

“ยังไม่ได้จัดที่นั่งเลย ข้าจะคุยกับหนิงเกอเอ๋อร์ไม่กี่คำ พูดเสร็จแล้วข้าจะออกไป” เซี่ยเหยาไม่ต่อปากต่อคำ ที่แม่เลี้ยงพูดก็เป็นธรรมเนียมจริง

เซี่ยซุนซื่อเองก็ไม่อยากทะเลาะกับอีกฝ่ายในวันมงคลแบบนี้ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คุยไปนะ ข้าจะไปยกอาหารมาให้หนิงเกอเอ๋อร์”

เมื่ออีกฝ่ายไปแล้ว เซี่ยเหยาถึงได้หยิบหวีไม้ท้อมาช่วยหวีปลายผมให้น้องชาย พลางเอ่ยขึ้น “หากแต่งเข้าไปแล้วโจวจี้เหนียนไม่ดีต่อเจ้า เจ้าก็บอกพี่ พี่จะไปรับเจ้ากลับมา”

“พี่ใหญ่ ข้าแอบมองเขาสักหน่อยได้หรือไม่” เซี่ยหนิงบีบนิ้ว เขากลุ้มใจ โจวจี้เหนียนรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ตนมีสภาพเหมือนผีแบบนี้ ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงมาสู่ขอเขากันล่ะ อีกทั้งยังรับปากเงื่อนไขของท่านพ่อทุกอย่างด้วย

ถัดไปเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น จะไปเจอโจวจี้เหนียนสักหน่อยหรือไม่ ให้เขาเห็นตนในตอนนี้? หากทำให้โจวจี้เหนียนตกใจก็ไม่ต้องแต่งแล้ว เขาเองก็จะได้ไม่ต้องทำร้ายโจวจี้เหนียนด้วย

“ไม่ได้ ไม่เป็นมงคล” เซี่ยเหยาส่ายหน้า

นึกถึงเมื่อครู่นี้เจอโจวจี้เหนียนที่โถงกลาง โจวจี้เหนียนแต่งชุดสีแดงเข้ม บุคลิกโดดเด่น ไม่ได้ดูเป็นหนอนหนังสือนัก หน้าตามีความเย็นชาน่าเกรงขาม ทั้งๆ ที่เซี่ยเหยาแก่กว่าโจวจี้เหนียน แต่เขากลับรู้สึกว่าโจวจี้เหนียนท่าทางสุขุมเยือกเย็นมาก

รังสีที่แผ่ออกมาทั่วตัวโจวจี้เหนียน ไม่ใช่พวกคนต่ำต้อยไร้ปณิธานอย่างแน่นอน

เขาปลอบน้องชาย “ไม่ต้องกลัว ข้าเคยเจอโจวจี้เหนียนตอนสอบคัดเลือก หน้าตาเขาได้สัดส่วนงดงาม เพียงแต่มีสีหน้าเย็นชา พูดถึงหน้าตา เมื่อเปรียบกันแล้วโจวเวินชูก็เป็นเหมือนดินโคลน”

“ข้าไม่ได้กลัวเขา ข้ากลัวว่า…” เซี่ยหนิงหยุดพูด ไม่อยากจะดูถูกตัวเองให้พี่ชายได้ยิน

เซี่ยเหยาพูดขึ้นอีก “สองบ้านอยู่ใกล้กัน สกุลโจวไม่มีทางทำให้เจ้าเสียใจ แต่ในยามจำเป็น เจ้าก็ต้องอดทนยอมอ่อนข้อสักหน่อย เคารพผู้อาวุโส จะทำตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้”

เซี่ยซุนซื่อยกอาหารมาแล้วและพาเซี่ยเสี่ยวอวี้มาด้วย เซี่ยเสี่ยวอวี้ใส่ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน ช่วยขับความน่ารักในวัยใสของเด็กหญิงให้เด่นขึ้น

“พี่รอง คืนนี้ท่านจะแต่งงาน ข้าจะไม่ได้กินผัดมะเขือแห้งนึ่งที่ท่านทำแล้วใช่หรือไม่” เซี่ยเสี่ยวอวี้วิ่งมาอยู่ข้างๆ เซี่ยหนิง วางมือบนโต๊ะพลางเอ่ยถาม

เซี่ยเสี่ยวอวี้สนิทสนมกับพี่ชายต่างมารดาทั้งสองตั้งแต่เด็ก เพราะเซี่ยซุนซื่อคลอดลูกฝาแฝด การเลี้ยงเด็กสองคนไม่ใช่เรื่องง่าย นางดูแลได้แต่เพียงลูกชาย เซี่ยเสี่ยวอวี้จึงได้เซี่ยหนิงช่วยหัดเดินให้

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปทักทายแขกที่ห้องโถงแล้ว หนิงเกอเอ๋อร์เจ้าทำตัวดีๆ นะ รอปีหน้าสอบเยวี่ยนซื่อจะหาหมอมาให้เจ้า จะต้องรักษาหายแน่” เซี่ยเหยาได้แต่พูดปิดท้ายอย่างรีบๆ แล้วหมุนตัวกลับไปที่ห้องโถงใหญ่

พี่ใหญ่ออกไปจากห้องแล้ว ได้ยินเซี่ยซุนซื่อเรียกกินข้าว เซี่ยหนิงถึงได้หันกลับมาพูดกับเสี่ยวอวี้ “พี่รองทำมะเขือแห้งนึ่งส่งกลับมาให้เจ้าได้ เจ้าก็ไปหาพี่รองที่สกุลโจวได้เหมือนกัน กินได้ตลอด”

“ดีเหลือเกิน” เซี่ยเสี่ยวอวี้ก้าวฉับๆ ไปหยิบพัดมาพัดข้าวปลาอาหารบนโต๊ะให้อาหารเย็น เพราะช่วงนี้พี่รองกินได้แต่อาหารเย็นๆ

เห็นเสี่ยวอวี้ช่างรู้ความและสนิทสนมกับตน เซี่ยหนิงจึงถามขึ้น “เจ้ายังชอบกินอะไรอีก บอกให้พี่รองฟังหน่อย”

“ชอบอาหารที่พี่รองทำทุกอย่าง” เซี่ยเสี่ยวอวี้เป็นคนผิวคล้ำแต่กำเนิด นางยิ้มอวดฟันขาวให้พี่รอง

เซี่ยซุนซื่อช่วยจัดชุดแต่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปจูงมือเซี่ยเสี่ยวอวี้ผู้เป็นลูกสาว “ถ้ากลัวร้อนก็ค่อยใส่ก่อนพลบค่ำ รีบกินเถิด ระวังหน่อย อย่าทำผมยุ่ง”

พูดจบนางก็จูงเซี่ยเสี่ยวอวี้ออกไป วันนี้สกุลเซี่ยสนุกครึกครื้น นางต้องรีบพาลูกสาวไปขอซองมงคลที่ลานด้านหน้า

เสี่ยวเกอเอ๋อร์ก็เป็นบุรุษเหมือนกัน เพียงแต่ใช้หวีที่จุ่มน้ำมันดอกกุ้ยหวีผมให้ลื่นและเงา จากนั้นใช้เชือกแดงเส้นหนึ่งผูกผมไว้ที่หลังคออีกที ผมไม่ได้ยุ่งง่ายๆ แค่จะนอนลงไม่ได้เท่านั้น

ห้องโถงด้านหน้า โถงหลัก และลานบ้านของสกุลเซี่ยเต็มไปด้วยแขกเหรื่อครึกครื้นรื่นเริงยิ่ง ใบหน้าทุกคนฉาบฉายแววปีติยินดี มีเพียงเซี่ยหนิงที่อยู่ในห้องกำลังกินข้าวคนเดียวลำพัง

จริงๆ แล้วในใจเขากระสับกระส่าย เดาไม่ออกว่าโจวจี้เหนียนคิดอย่างไร คงไม่มีทางเป็นเหมือนอย่างที่คนในหมู่บ้านพูดกันว่าเขาเซี่ยหนิงเกิดมาวาสนาดีกระมัง

บริเวณลานบ้านสกุลเซี่ยคึกคักสนุกสนานกันมาทั้งบ่าย ในที่สุดก็ถึงเวลาที่พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา ท้องฟ้าทอแสงสีเหลือง

ได้ฤกษ์แล้ว เซี่ยหนิงแต่งชุดมงคลสีแดงงามสง่า ขับให้สีขาวของใบหน้าเขาสะท้อนเป็นสีชมพู ไม่นานก็ถูกเซี่ยซุนซื่อใช้ผ้าคลุมหน้าสีแดงมาคลุมศีรษะ

เสียงแสดงความยินดีของแม่สื่อดังเข้าหู เขารีบหดมือเข้าในแขนเสื้อกว้างด้วยกลัวว่าจะทำให้ทุกคนตกใจ

“ส่งตัวภรรยา!”

เพิ่งจะสิ้นเสียงแม่สื่อ เซี่ยหนิงก็ถูกโจวจี้เหนียนแบกขึ้นหลัง สายตาเขาเลื่อนลงต่ำเห็นเพียงว่าคนที่แบกตัวเองก็ใส่ชุดสีแดงเหมือนกัน เมื่ออยู่ใกล้ขึ้นเล็กน้อยพลันได้กลิ่นสุราอ่อนๆ 

เซี่ยหนิงตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าหมอบบนหลังโจวจี้เหนียน อุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายร้อนลวก

โจวจี้เหนียนรู้สึกเพียงว่าคนบนหลังรูปร่างผอมบางจนเขาแทบไม่ต้องออกแรง และยังรู้สึกได้ว่าเซี่ยหนิงตัวแข็ง โจวจี้เหนียนทำได้เพียงเร่งฝีเท้า เขาให้คนเตรียมถังอาบน้ำใบใหญ่ไว้แล้วหนึ่งถัง น้ำจากบ่อเต็มถัง รอแค่ให้เขาแบกคนคนนี้กลับไป

“ตายจริง เจ้าบ่าวเดินรีบมากจริงๆ ภรรยาช่างวาสนาดีจริงๆ...”

คนที่มุงล้อมอยู่พูดหยอกเย้าพาให้เซี่ยหนิงขัดเขิน ตะวันลับเหลี่ยมเขาไปแล้วแท้ๆ แต่เขายังถูกทำให้ร้อนจนวิงเวียน พอมึนงงก็เริ่มอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เขาผ่อนคลายร่างกายด้วยการหมอบลงบนแผ่นหลังโจวจี้เหนียน แม้จะร้อนเหมือนถูกย่าง แต่แผ่นหลังกว้างนี้หมอบแล้วสบายกว่าการทำตัวแข็งทื่อมาก

โชคดีที่สกุลโจวและสกุลเซี่ยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ไม่นานขบวนรับเจ้าสาวก็มาถึงสกุลโจว

เซี่ยต้าซู่กับเซี่ยซุนซื่อถูกเชิญไปนั่ง จากนั้นคู่แต่งงานใหม่จึงคารวะผู้อาวุโส

เซี่ยหนิงรู้สึกว่าพิษของตัวเองกำเริบอีกแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนปลาที่เผลอขึ้นฝั่งมาแล้วหงายท้องขาว ยามนี้เริ่มหายใจลำบาก

เขาได้ยินเสียงรอบๆ ไม่ชัดแล้ว ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้น ‘ตึกๆๆ’ ของตัวเอง ตอนที่โขกหัวครั้งสุดท้ายขาของเขาก็อ่อนยวบ...

เซี่ยหนิงฝืนยันตัวเองลุกขึ้นยืน รู้สึกว่าตัวเองตกเข้าสู่อ้อมกอดอันร้อนแผดเผา

“ได้ฤกษ์แล้ว ส่งเข้าห้องหอ!”

โจวจี้เหนียนรีบอุ้มเด็กหนุ่มกลับไปที่ห้องแล้วขวางคนอื่นๆ ให้อยู่ด้านนอก “ทุกท่านไปกินดื่มกันก่อน เดี๋ยวข้ามา”

พูดจบเขาก็ไม่มองหน้าใครเลย ปิดประตูห้องแล้วลงกลอนประตูทันที

เซี่ยหนิงถูกเลิกผ้าคลุมศีรษะ ภาพตรงหน้าเขาเลือนราง ทำได้เพียงอาศัยแสงจากเทียนสีแดงมองเห็นร่างใครคนหนึ่งอยู่ข้างหน้า เซี่ยหนิงดึงสาบเสื้อ เขาร้อนจนไม่มีสติแล้ว

ไม่นานเขาก็รู้สึกได้ว่ามีคนช่วยถอดชุดแต่งงานให้ คนคนนั้นอุ้มเขาขึ้นมา เซี่ยหนิงกลีบปากสั่นเอ่ยขึ้น “อย่า...”

อย่าเข้ามาใกล้เขา ร้อนจนไหม้ไปหมดแล้ว

ในตอนที่เซี่ยหนิงร้อนจนหมดสติไป โจวจี้เหนียนก็อุ้มเขาวางลงไปในถังอาบน้ำ

เทียนสีแดงลุกไหม้ ในเรือนหอแปะกระดาษเขียนคำว่ามงคลคู่สีแดงเต็มไปหมด

ห่างกันหลายปี ในที่สุดโจวจี้เหนียนก็ได้เจอหนิงหลางที่ยังมีชีวิตอยู่อีกครั้ง เขามองเซี่ยหนิงที่ตัวร้อนจนกลีบปากแห้งแตก สีปากซีดขาว แล้วก้มลงวักน้ำขึ้นมาราดใบหน้าเซี่ยหนิง

รอยกระดำกระด่างบนตัวเซี่ยหนิงรุนแรงกว่าชาติก่อนตอนที่เป็นซูถงของเขา ไม่รู้ว่าเซี่ยหนิงทนมาได้อย่างไร โจวจี้เหนียนเดาว่าคงเพราะต้องผ่านความลำบากมามาก

ชาติที่แล้วก่อนเซี่ยหนิงตายนั้น ผิวบนตัวเกลี้ยงเกลา แต่ใต้ผิวมีหลอดเลือดฝอยตัดสลับกันถี่แน่นอันเป็นลักษณะของเกล็ดปลา

โจวจี้เหนียนเอื้อมมือหมายจะลูบเศษผิวหนังบนหน้าผากหนิงหลาง นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันแตะลงไปก็เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว

เห็นชัดว่าอีกฝ่ายร้อนเพราะอุณหภูมิที่ส่งผ่านจากนิ้วเขา โจวจี้เหนียนจึงได้แต่หดมือกลับ

ใครบางคนเคาะประตู

“จี้เหนียน เตี่ยเอง เตี่ยยกของกินมาให้หนิงเกอเอ๋อร์” หลินจิ่นยืนเคาะประตูอยู่หน้าห้อง

โจวจี้เหนียนไปเปิดประตูรับชามมาเอง แล้วบอกเตี่ยว่า “เตี่ย ให้เขาพักสักครู่ เราไปรับรองแขกที่โถงหลักกัน”

ไม่เปิดโอกาสให้หลินจิ่นได้เข้ามาในห้อง เขาก้าวฉับๆ เอาชามไปวางบนโต๊ะ ปิดประตูแล้วเดินนำไปที่ห้องโถง

พอเขาปรากฏตัว คนในโถงและในลานบ้านก็ร้องตะโกน พวกบุรุษระเบิดเสียงหัวเราะลั่นราวกับฟ้าผ่า

เซี่ยเหยาได้ยินใครบางคนพูดกับบิดาของตนว่า “น้องเซี่ยวางใจได้แล้วล่ะ ข้าว่าลูกชายของโจวเหล่าซานชอบหนิงเกอเอ๋อร์จริงๆ”

เซี่ยต้าซู่ที่ติดตามขบวนมาส่งเจ้าสาวได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วย่อมโล่งอก และยิ่งมั่นใจในตัวลูกเขยอย่างโจวจี้เหนียนคนนี้

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal