Saturday
หลินจิ่นเดินผ่านลานด้านหน้า โต๊ะเก้าอี้ในงานเลี้ยงยังวางอยู่ที่นั่น ถึงแม้เขาจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอเดินไปใกล้ๆ ห้องครัวก็ยังตกตะลึงกับความเละเทะตรงหน้าอยู่ดี
ตะเกียบ ชาม จานล้วนกองสุมอยู่เต็มไปหมด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะจัดงานแต่งลูกชายตนเมื่อวานนี้ คิดได้ดังนั้นหลินจิ่นก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นจะเริ่มล้างจานชาม
ล้างไปได้ครึ่งหนึ่งคนจากเรือนเหล่าซื่อก็มา โจวซื่อเฟิงกับพี่สามอายุอานามไล่เลี่ยกันจึงค่อนข้างสนิทสนมกัน ภรรยาของโจวซื่อเฟิงชื่อหลินกุ้ยฮวา บังเอิญแซ่เดียวกับหลินจิ่นพอดีและถูกย่าโจวดูแคลนเหมือนกัน สองบ้านจึงสนิทสนมคอยปลอบใจกันและกัน
“พี่จิ่นตื่นเช้าขนาดนี้เชียว?” หลินกุ้ยฮวาทักทายก่อนแล้วถามต่อ “ยังมีตรงไหนที่ต้องล้างอีก เดี๋ยวข้าล้างเอง”
“ข้าล้างใกล้เสร็จแล้ว สบายๆ” หลินจิ่นรู้สึกว่าตัวเองมือเลอะแล้ว ไม่ต้องให้มือน้องสะใภ้สกปรก “เจ้าก่อไฟต้มโจ๊กเถอะ กับข้าวที่เหลือเมื่อวานเจ้ารู้ไหมว่าเอาวางไว้ที่ไหน”
หลินกุ้ยฮวาถ่มน้ำลายหนึ่งที “เหลือที่ไหนกัน! ให้คนทั้งกินทั้งห่อกลับไปหมด ขนเอาไปบ้านตัวเองกันหมดแล้ว”
ในหมู่บ้านต้าจิ่งไม่เจองานเลี้ยงแต่งงานอย่างของโจวจี้เหนียนเมื่อวานนี้ มาหลายปีแล้ว ถึงอย่างไรสกุลโจวก็เป็นชาวนาร่ำรวย ในกับข้าวทุกอย่างล้วนเจอเนื้อสองชิ้น แล้วชาวบ้านจะไม่สวาปามได้อย่างไร
หลินจิ่นหัวเราะพลางส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
หลินกุ้ยฮวาพูดต่อ “แต่ก็ดีเหมือนกัน แต่งงานสร้างเนื้อสร้างตัว ปีหน้าจี้เหนียนก็สอบติดซิ่วไฉอีก มีเรื่องดีๆ ติดๆ กัน! คอยดูเถิดว่าหนิงเกอเอ๋อร์จะส่งเสริมให้สามีเจริญรุ่งเรืองหรือไม่”
หากเป็นอย่างที่น้องสะใภ้ว่าจริง วันนั้นก็คงมีหวังแล้ว หลินจิ่นล้างชามอย่างกระฉับกระเฉงกว่าเก่า “น่าจะส่งเสริมให้รุ่งได้นะ เพราะแค่เขาเพิ่งแต่งเข้ามา ข้ากับซานเฟิงไม่ต้องออกเงินเลยสักอีแปะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยให้เจริญรุ่งเรือง” หลินกุ้ยฮวาตักน้ำล้างกระทะ ในใจคิดว่าทุกคนย่อมรู้เรื่องงานแต่งของโจวจี้เหนียนที่ท่านแม่ออกครึ่งหนึ่ง เรือนพี่ใหญ่ออกอีกครึ่งหนึ่ง
ทุกคนยินดีปรีดา ตั้งแต่ที่นางแต่งเข้ามาก็รู้แล้วว่าในสายตาท่านแม่มีเพียงโจวเวินชูหลานชายจากลูกชายคนโต และน้องหกโจวลิ่วเฟิง นางเองก็ขุ่นเคืองใจมานานแล้วเหมือนกัน ทำไมของดีๆ ต้องส่งไปให้แค่เรือนพี่ใหญ่และน้องหกด้วย
พอคิดถึงเงิน หลินกุ้ยฮวาก็ร้อนใจอยากจะหาเงิน “จริงสิพี่จิ่น เทศกาลไหว้พระจันทร์เดือนหน้า เดี๋ยวเราคุยกันหน่อยเรื่องที่จะทำอาหารแบกไปเร่ขายที่ตีนเขาวัดฉีเอิน รีบหาเงินค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ จำนวนหนึ่งก่อนจะเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูสารท”
“ได้ สองสามวันนี้ก็วางแผนกันดู” หลินจิ่นตอบ
เดิมโจวจี้เหนียนควรไปเรียนที่สำนักศึกษาอำเภอชิงสุ่ย บัณฑิตในสำนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นลูกชาวนาในหมู่บ้านใกล้เคียง เมื่ออาจารย์ผู้สอนให้หยุดไปทำงานในไร่นา บุรุษเหล่านี้จึงได้กลับหมู่บ้าน แล้วเปิดเรียนอีกทีหลังเก็บเกี่ยวในฤดูสารทเดือนเก้า
หลินจิ่นก็อยากรีบหาเงินค่าเรียนกับอาจารย์ส่วนตัวมอบให้อาจารย์ตอนเปิดเรียนด้วยเหมือนกัน
ทำงานยุ่งมาทั้งเช้า หลินจิ่นยังต้องทุบหลังทุบเอวตัวเองแล้วรีบไปหาบน้ำไปกลับสามรอบ ในที่สุดก็เติมเต็มถังเก็บน้ำเสียที
อาหารเช้าคือโจ๊กข้าวฟ่าง ผักป่าลวกน้ำเดือด โรยเกลือเล็กน้อย เทน้ำจิ้มนิดหน่อย ก็นับว่ามีรสชาติแล้ว เพราะว่าโจวจี้เหนียนเพิ่งแต่งงาน ย่าโจวจึงให้ไข่ไก่ต้มพวกเขาสี่ใบ
เมื่อหลินจิ่นยกอาหารเช้ากลับไปที่ลานเล็กหลังเรือนของพวกเขา โจวซานเฟิงก็ตื่นแล้วเหมือนกัน กำลังสานปุ้งกี๋อยู่ที่ลานเล็ก
“ยังไม่ตื่น?” หลินจิ่นวางอาหารเช้าแล้วถามสามีของตน แต่คนที่ถามถึงย่อมเป็นภรรยาของลูกชาย
โจวซานเฟิงส่ายหน้า “เขาเพิ่งแต่งเข้าบ้าน เราจะเข้มงวดเกินไปไม่ได้”
“ข้าถามเฉยๆ”
พื้นที่กว้างแค่นี้ โจวจี้เหนียนที่นั่งอยู่ใกล้หน้าต่างย่อมได้ยิน เขาบิดคอผ่อนคลายสันหลัง จะว่าไปก็ไม่ได้ยินเสียงน้ำจากด้านหลังนานแล้วจริงๆ เขาจึงวางพู่กันแล้วเดินไปทางถังอาบน้ำ
เซี่ยหนิงเปลี่ยนท่าแล้ว กำลังแหงนหน้าเผยอปากนอนหลับตาพริ้มอยู่
โจวจี้เหนียนทำมือให้เปียกก่อนจะดีดหยดน้ำใส่ใบหน้าแดงเรื่อยามหลับของเซี่ยหนิง อีกฝ่ายขมวดคิ้วดังคาด ลูกตาขยับอยู่ใต้เปลือกตาบางอันเป็นจังหวะที่กำลังจะตื่น
ครั้นตระหนักได้ว่าตนเล่นพิเรนทร์เหมือนเด็กน้อย โจวจี้เหนียนจึงเตรียมพร้อมบรรเทาโทสะของหนิงหลาง
เซี่ยหนิงปรือตา พอเจอใบหน้าหล่อเหลาที่เมื่อคืนให้ข้าวให้น้ำตนก็อมยิ้มมุมปาก
ฝั่งโจวจี้เหนียนพอเห็นใบหน้าแย้มยิ้มนุ่มนิ่มของหนิงหลางก็เอามือไพล่หลังถูปลายนิ้ว รู้สึกอยากบีบขึ้นมาทันที
คงเพราะพักผ่อนเต็มที่และอาจจะเพราะร่างกายได้ดื่มน้ำอิ่มแล้ว วันแรกหลังจากที่เซี่ยหนิงแต่งงานจึงรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
หลินจิ่นมองภรรยาของลูกชายที่คุกเข่ายกน้ำชาอยู่ข้างหน้า พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดก็เห็นว่าอีกฝ่ายรูปร่างหน้าตายังคงเลิศล้ำเพียงแต่ผิวดูแห้งแตก ทว่าหากลูกชายตนชอบก็ไม่เป็นไร
“รีบลุกขึ้นเร็ว ขาดเหลืออะไรก็บอกเตี่ยได้ ไม่ต้องเขินอาย ครอบครัวเราร่วมทุกข์ร่วมสุขช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
“ขอรับ เตี่ยเชิญดื่มชา ท่านพ่อเชิญดื่มชา” เซี่ยหนิงยกถ้วยชาพลางเปลี่ยนคำเรียก
หลังจากยกน้ำชาเสร็จแล้ว สมาชิกครอบครัวสี่คนก็นั่งกินข้าวเช้าอยู่ที่ลานหลังบ้าน
โจวจี้เหนียนคลี่คลายปัญหาสำคัญที่สุดไปแล้ว เลี้ยงดูหนิงหลางให้อยู่ในสายตา แผนการขั้นต่อไปก็คือการหาเงินจำนวนหนึ่ง สกุลโจวมีที่ดินสมบูรณ์และมีน้ำในบ่อจึงไม่อนาทรร้อนใจเรื่องกินดื่ม แต่ถ้าอยากให้พวกบิดามีชีวิตสุขสบาย อยากรักษาโรคหนิงหลางให้หายก็ต้องการเงินที่มากพอ
เขาวางแผนว่าจะไปร้านหนังสือในเมือง คัดลอกหนังสือเพื่อหาเงิน เป็นบัณฑิตก็ต้องใช้เงินเพราะหนังสือราคาแพง แต่ละเล่มล้วนคัดลอกด้วยแรงคน ทำได้ช้า ราคาจึงสูง
ขณะที่โจวจี้เหนียนกำลังวางแผนอยู่ เซี่ยหนิงที่กินดื่มอิ่มหนำแล้วก็วางตะเกียบและชามลง เป็นฝ่ายของานทำเอง “เตี่ย วันนี้จะทำอะไรบ้าง หนิงหลางจะเรียนรู้จากท่าน”
“เจ้าช่างรู้ความจริงๆ” หลินจิ่นยิ้ม “ไม่มีงานอะไรหรอก ข้าก็แค่ทำกับข้าว ซักเสื้อผ้า เจ้าทอผ้าเป็นหรือไม่”
นอกจากเกษตรกรรมแล้ว ครอบครัวสกุลโจวยังทอผ้าแลกเงินด้วย
เซี่ยหนิงหดมือเข้าใต้โต๊ะ เขาทอผ้าไม่เป็น ตอนอยู่บ้านของตนเองสถานที่ที่เขาไปบ่อยที่สุดคือห้องครัวและทุ่งนา มารดาเขาตายจากไปแล้วดังนั้นที่บ้านจึงไม่มีใครสอนเขาเย็บปักถักร้อย
โจวจี้เหนียนวางชามกับตะเกียบแล้วบอก “เตี่ย ข้าจะไปเก็บสมุนไพรหลังเขา อีกสองวันจะไปร้านหนังสือในเมือง จะได้เอาสมุนไพรไปขายแลกเงินด้วย ให้หนิงหลางขึ้นเขาไปกับข้าก็แล้วกัน”
คนหมู่บ้านต้าจิ่งเรียกได้ว่าเติบโตบนเขา
“ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวเตี่ยจะไปห่อหมั่นโถวให้เจ้าสักสองสามลูก” หลินจิ่นเก็บชามกับตะเกียบออกไปที่ห้องครัว หากขึ้นไปเก็บสมุนไพรตอนเที่ยงจะลงเขามาไม่ได้ ดังนั้นจะปล่อยให้ลูกหิวไม่ได้
ส่วนโจวซานเฟิงก็ตั้งใจว่าจะไปสานปุ้งกี๋ต่อ ก่อนไปก็กำชับลูกชาย “ปกป้องเขาให้ดีนะ อย่าปล่อยมือ”
พ้นเคราะห์แล้ว เซี่ยหนิงคิดในใจแล้วแอบอมยิ้ม ก่อนจะตามโจวจี้เหนียนกลับห้องอย่างว่าง่าย
เข้าห้องแล้วโจวจี้เหนียนก็ลงกลอนประตู เซี่ยหนิงมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เห็นเพียงโจวจี้เหนียนหันหลังให้ตนแล้วเริ่มถอดเสื้อผ้า
เซี่ยหนิงรู้สึกว่าอีกฝ่ายผิวคล้ำกว่าพี่ชายเขานิดหน่อย ดูท่าคงไปไถนาบ่อยเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าคนคนนี้โตมาด้วยการกินอะไรถึงได้สูงโปร่งแบบนี้
“ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าอีก?” โจวจี้เหนียนไม่อาจมองข้ามสายตาที่จ้องเขม็งอยู่ด้านหลังได้ จึงหันศีรษะไปทางด้านข้างถามอีกฝ่ายโดยที่ยังหันหลังอยู่
“หืม?”
“ขึ้นเขา” โจวจี้เหนียนเตือน
เซี่ยหนิงเข้าใจแล้ว ชุดที่เขาใส่ยกน้ำชาเป็นชุดใหม่และเป็นชุดผ้าป่านยาวเบาหวิว ถ้าขึ้นเขาต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดที่รัดกุมขึ้นถึงจะเดินทางได้สะดวก
เสื้อผ้าที่เซี่ยหนิงเอามาด้วยยังอยู่ในหีบไม้ เขาไปเปิดหีบค้นมาได้แล้วก็กอดเสื้อผ้าลุกขึ้น ขณะที่โจวจี้เหนียนใส่ชุดทะมัดทะแมงผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้ม กางเกงขายาวสีดำ รัดกระชับข้อเท้าเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีบุคลิกอย่างหนอนหนังสือแล้ว เหมือนคนฝึกยุทธ์ ดูองอาจห้าวหาญ
เซี่ยหนิงกอดเสื้อผ้าหันหน้ามามองในห้อง เตียงเตาอยู่ด้านในสุด กลางห้องเป็นคานไม้ลอยอยู่โดยติดฉากบังตาไว้ ส่วนด้านนอกวางโต๊ะไว้ติดหน้าต่างหนึ่งตัว ถัดจากนั้นก็เป็นถังอาบน้ำใบใหญ่
จากนั้นเขาก็มองโจวจี้เหนียนอีก เซี่ยหนิงสูดหายใจหันหลังไปแสร้งทำเป็นถอดเสื้อผ้าอย่างสงบนิ่ง โชคดีที่เขาเพิ่งถอดเสื้อชั้นนอก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าโจวจี้เหนียนก้าวออกไปจากห้อง
เซี่ยหนิงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วยืนอยู่ในลานเล็กมือสองข้างว่างเปล่า รอให้โจวจี้เหนียนแบกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นหลังแล้วจึงเดินตามเขาไปติดๆ
โจวจี้เหนียนมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง จากนั้นหยิบหมวกที่บิดาสานมาครอบศีรษะให้
เซี่ยหนิงหดคอ เขาเองก็ลืมใบหน้าตัวเองไปแล้ว ใส่หมวกสานไว้ดีกว่าคนบนถนนจะได้ไม่ตกใจ
“กลัวร้อนมิใช่หรือ ใส่ไว้ จะได้บังแดด”
เซี่ยหนิงใส่หมวกหมวกสานให้ตรงอย่างว่าง่าย เพิ่งรัดเชือกเสร็จหลินจิ่นก็ยกหมั่นโถวกับขนมเปี๊ยะมา จัดใส่ในถุงผ้าฝ้ายสะอาดผูกเงื่อนแล้วเอาใส่ตะกร้าไม้ไผ่ มองพวกเขาออกไปจากบ้าน
เซี่ยหนิงก้มหน้ามองทางใต้เท้า สายตาจับจ้องไปที่ส้นเท้าด้านหลังของคนข้างหน้าตลอดเวลา เขายังรู้สึกไม่คุ้นเคยกับโจวจี้เหนียน และโจวจี้เหนียนก็เป็นเหมือนอย่างที่พี่ชายเขาบอก พูดน้อยและมีสีหน้าเย็นชา
ทั้งสองขึ้นเขาเงียบๆ มาตลอดทาง
พอขึ้นเขามาแล้วก็พบกับต้นไม้สูงเขียวชอุ่ม อุณหภูมิที่ลดต่ำลงทำให้เซี่ยหนิงสบายตัวขึ้นมาก แค่มีเสียงยุงหึ่งๆ น่ารำคาญยิ่ง
เขาต้าจิ่งมีถู่ฝูหลิง* (ถู่ฝูหลิงหรือข้าวเย็นใต้ : คือพืชท้องถิ่นในจีน เป็นพรรณไม้เลื้อย มีเหง้าหรือหัวอยู่ใต้ดิน เหง้าใช้เป็นยาบำรุง ช่วยแก้พิษได้ ดับร้อนขับความชื้น รักษาอาการปวดบวม ปวดตามข้อ กามโรค เป็นต้น) ชาวบ้านเกือบทุกคนรู้จักสมุนไพรชนิดนี้ แน่นอนว่ามันไม่ได้มีราคาถึงเพียงนั้น แต่โจวจี้เหนียนก็ไม่ได้ทำเพื่อหาเงินอยู่แล้ว แค่ต้องการพาหนิงหลางมาด้วยเท่านั้น
นับว่ามีโชคพอควร เพราะเพิ่งมาถึงกลางเขาก็เห็นเถาถู่ฝูหลิงงอกใบเลี้ยงเดี่ยวเหมือนเถาวัลย์พันเกี่ยวพุ่มไม้เตี้ย
โจวจี้เหนียนวางตะกร้าไม้ไผ่ลงแล้วเริ่มขุดสมุนไพร
เซี่ยหนิงไม่ได้ขึ้นเขามานานแล้ว ก่อนเขาตกน้ำก็มักจะขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรเหมือนกัน
เด็กหนุ่มก้มตัวใช้มือยันเข่าพูดกับโจวจี้เหนียน “ข้าไปดูข้างหน้าหน่อยนะ จะหาแตงเดือนแปด* (แตงเดือนแปดหรือระเบิดเดือนแปด : เป็นพืชไม้เลื้อย ผลรูปไข่หรือยาวรีโค้งเล็กน้อย เปลือกนอกสีเหลืองน้ำตาล น้ำตาลเข้ม บ้างก็มีรอยย่นลึก ออกดอกเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ออกผลเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม เมื่อผลปริแตกจะเห็นข้างในเป็นสีขาวใส เนื้อนุ่มนิ่ม มีรสชาติหวานคล้ายน้ำผึ้ง ผลกินสดก็ได้ เอาไปหมักเหล้าก็ได้ ทำแยมและเครื่องดื่มก็ได้ เมล็ดเยอะคล้ายน้อยหน่า เอาไปสกัดน้ำมันได้)”
โจวจี้เหนียนเงยหน้ามองเซี่ยหนิงแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่า เจ้าคนเห็นแก่กิน
“อย่าไปไกลนะ” เขาเพิ่งพูดจบก็เห็นเซี่ยหนิงเดินฉับๆ ไปไกลแล้ว
แตงเดือนแปดเรียกอีกอย่างว่าระเบิดเดือนแปด เพราะผลของมันจะสุกในเดือนแปด พอระเบิดแตกสุกทั่วก็จะกินได้ ลักษณะภายนอกเหมือนไตวัว ตอนยังไม่สุกเป็นสีเขียว แต่พอสุกแล้วเปลือกจะเป็นสีเหลืองเหมือนมันเทศ
โจวจี้เหนียนขุดถู่ฝูหลิงเอาใส่ตะกร้าไม้ไผ่เสร็จแล้วค่อยได้ยินเสียงเซี่ยหนิง “จี้เหนียน มานี่เร็ว!”
“มาดูเร็ว!”
เสียงตะโกนแฝงการเร่งเร้า เหมือนเจอสมบัติอย่างไรอย่างนั้น โจวจี้เหนียนยกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นแล้วเดินจ้ำไปหาอีกฝ่าย
โจวจี้เหนียนเดินพลางปัดกิ่งไม้ใบไม้ที่เกะกะขวางทาง ไม่นานก็เห็นเซี่ยหนิงในชุดผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงิน
เซี่ยหนิงถอดหมวกสานออกแล้ว ในนั้นมีระเบิดเดือนแปดสองสามลูก ผมยาวดำขลับสยายอยู่ด้านหลังโดยใช้ผ้าสีแดงผูกไว้ที่หลังคอ เจ้าตัวเอี้ยวคอมามองโจวจี้เหนียนดวงตาเป็นประกาย
“ดูสิ ผลห้ารส”
เมื่อมองตามทิศทางที่นิ้วเซี่ยหนิงชี้ ก็พบว่าจุดเชื่อมต่อตรงขอบระหว่างภูเขาปรากฏภาพของผลห้ารสสีแดงเป็นพวง ผลห้ารสชอบเติบโตในดินดำที่เกิดจากการสลายตัวของพืชและสัตว์ที่มีความเป็นกรด แล้วพันพุ่มต้นไม้ที่อยู่รอบๆ เพราะทนต่อความแห้งแล้งได้ต่ำ ผลห้ารสที่ขึ้นเองตามป่าจึงหาได้ยาก
เนื่องจากมีรสหวาน เปรี้ยว เผ็ด ขม และเค็ม จึงได้ชื่อว่าผลห้ารส ช่วยสมานปอดระงับอาการไอ เป็นยาดีในหมู่ชาวบ้านที่รักษาวัณโรคซึ่งเป็นโรคของคนร่ำรวย นอกจากนั้นยังบำรุงไตและแก้ท้องเสียด้วย ชาวบ้านทั่วไปรู้จักกันหมด
ผลห้ารสขึ้นเป็นแถบกว้างแบบนี้ พวกเขาขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรเที่ยวนี้นับว่าร่ำรวยแล้วจริงๆ
“เจ้านี่ช่าง...” เหมือนปลาไนกลับชาติมาเกิด โจวจี้เหนียนไม่ได้พูดคำท้ายๆ ออกไป
เซี่ยหนิงได้ยินไม่ชัดเหตุเพราะกำลังจมอยู่กับความปีติที่ได้เจอสมบัติ เพียงยิ้มถาม “อะไรหรือ”
“วาสนาดี” โจวจี้เหนียนรับหมวกจากมือหนิงหลางมา เอาระเบิดเดือนแปดใส่ตะกร้าไม้ไผ่แล้วแบกขึ้นหลัง “ไป พวกเราไปเก็บสมุนไพรกัน”
เซี่ยหนิงมือว่างสองข้างตามอีกฝ่ายลงไปเก็บผลห้ารสที่ซอกเขาอย่างสำราญใจ