Saturday
เซี่ยหนิงเก็บสมุนไพรตามภูเขาอยู่พักหนึ่ง เพราะการเคลื่อนไหวจึงทำให้ร่างกายเริ่มร้อนขึ้น เขารู้สึกว่าพิษจะกำเริบอีกแล้ว...
เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังโจวจี้เหนียนที่กำลังทำงานอยู่แล้วก็เม้มปาก รู้สึกกระดากใจหากจะแอบอู้ ตัวเขานั้นอยากจะเก็บให้เสร็จเร็วๆ แล้วจะได้กลับไปแช่น้ำในถัง
โจวจี้เหนียนเก็บผลห้ารสพวงแล้วพวงเล่า พอได้ยินเสียงหายใจดังกระชั้นจากด้านหลังก็รู้ว่าเซี่ยหนิงเริ่มขาดน้ำอีกแล้ว
เขาหันกลับไปรับตัวเซี่ยหนิงที่ร้อนจนจะเป็นลมไว้ได้ทันเวลา โจวจี้เหนียนโอบอีกฝ่ายพาไปนั่งที่รากต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง
“ดื่มน้ำหน่อย” โจวจี้เหนียนดึงจุกถุงน้ำทิ้งแล้วป้อนไปที่ปากเซี่ยหนิง
เซี่ยหนิงดื่มน้ำเย็นในถุงน้ำหมดแล้วแต่ก็ยังคงรู้สึกร้อนแห้งยิ่งนัก “ร้อนจัง...”
เด็กหนุ่มดึงสาบเสื้อออกจนเผยให้เห็นหน้าอกขาวเนียนผอมบาง บนผิวกายเริ่มมีเลือดคั่ง ใต้เศษผิวหนังสีขาวคือผิวสีแดงก่ำ
โจวจี้เหนียนเหลียวมองรอบๆ เพราะผลห้ารสชอบขึ้นในร่องน้ำ ดังนั้นบริเวณใกล้ๆ นี้จะต้องมีแหล่งน้ำแน่
เซี่ยหนิงถูกโจวจี้เหนียนอุ้มไปตามหาแหล่งน้ำ การอยู่ใกล้อุณหภูมิร่างกายร้อนแผดเผาของโจวจี้เหนียนทำให้เซี่ยหนิงอดพลิกตัวดีดไปมาไม่ได้
“ทนหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปหาน้ำ” โจวจี้เหนียนออกแรงรัดเซี่ยหนิงมากขึ้น เส้นเลือดที่แขนใต้เสื้อปูดขึ้นมาให้เห็นเป็นเส้นชัดเจน
“ร้อน ร้อนมาก!”
ตามหลักแล้วน้ำมักจะไหลลงสู่ที่ต่ำ โจวจี้เหนียนจึงอุ้มเด็กหนุ่มเดินลงตามทางลาด
เซี่ยหนิงรู้สึกว่าจุดตันเถียน* (จุดตันเถียน : คือชื่อเรียกตำแหน่งชีพจรบริเวณท้องใต้สะดือ ประกอบด้วยจุดกวนหยวน จุดอินเจียว จุดชี่ไห่ และจุดสือเหมิน) ในร่างกายมีบางอย่างกำลังกระวนกระวาย อยากจะพุ่งออกมาจากร่าง ตำแหน่งที่อยู่ใกล้หน้าอกโจวจี้เหนียนจะถูกเผาเป็นแผลอยู่แล้ว...
ขณะที่ผจญกับความร้อนอยู่ในกาย ภายใต้ความทรมานเป็นเท่าทวีจากความร้อนที่ส่งมาจากอุณหภูมิร่างกายของโจวจี้เหนียน จู่ๆ เซี่ยหนิงก็รู้สึกว่าผิวของเขารับรู้ได้ถึงอากาศชื้น
เซี่ยหนิงหลับตารู้สึกสงบลงชั่วขณะ จดจ่ออยู่กับความชื้นที่สัมผัสได้อย่างเงียบๆ
“ทางนั้น...ไปทางนั้น...”
โจวจี้เหนียนผ่อนฝีเท้า ก้มหน้ามองเซี่ยหนิงที่อยู่ในอ้อมแขน เซี่ยหนิงยังหลับตาอยู่ แต่ทิศทางที่นิ้วมือชี้กลับไม่ใช่ทางลาดลงเขา
“ทางนั้น...ชื้น...มีน้ำ!” เซี่ยหนิงเผยอเปลือกตาแล้วเอ่ยขึ้น
สภาพตาปรือเหมือนจะหลับของเขาทำให้โจวจี้เหนียนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปทางซ้ายตามที่เซี่ยหนิงต้องการ
ทิศทางที่เซี่ยหนิงชี้ไม่เคยมีใครเดินผ่านมาก่อนจึงมีวัชพืชขึ้นรก พุ่มไม้เบียดแน่น หาทางเดินได้ยาก โจวจี้เหนียนอาศัยว่าตนเองตัวสูงขายาวจึงค่อยๆ ก้าวเหยียบวัชพืชให้ราบไปทีละก้าว ในที่สุดก็มาถึงที่แห่งนั้น
เบื้องหน้าพวกเขาเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง แม้เวลานี้จะเป็นตอนกลางวันแต่ในนั้นกลับมืดมิด
โจวจี้เหนียนเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ที่น่าแปลกคือเซี่ยหนิงคนที่ร้องว่าร้อนแต่เหงื่อกลับไม่ออก ทว่าทั่วร่างเหมือนถูกย่างจนสุกก็มิปาน สภาพนั้นแดงก่ำไปทั้งตัว ใต้เศษผิวหนังสีขาวดูเด่นเป็นดวงๆ จนเหมือนโบตั๋น
เซี่ยหนิงสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เวลานี้อยู่ในอ้อมกอดโจวจี้เหนียนโน้มตัวหาถ้ำ โจวจี้เหนียนไม่ลังเลอีกต่อไปอุ้มเด็กหนุ่มเข้าไปในถ้ำ
เมื่อเข้ามาในถ้ำสิ่งแรกที่ปะทะใบหน้าคือความชื้น ทำให้คนปกติอย่างโจวจี้เหนียนรู้สึกถึงความหนาวเย็นจนเสียดกระดูก เขาเหยียบกรวดคลำทางไปทีละก้าว ข้างหน้าดำมืดสนิท อาศัยเซี่ยหนิงเป็นผู้บอกทางล้วนๆ
ติ๋ง...ติ๋ง...ติ๋ง...
โจวจี้เหนียนนับอยู่ในใจ เขาเดินมาใกล้จะหนึ่งร้อยก้าวแล้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำหยดก็พบว่าด้านหน้ามีแสงสว่างเล็กน้อย จึงมุ่งหน้าเดินไปทางแหล่งกำเนิดแสงโดยไม่จำเป็นต้องให้เซี่ยหนิงบอกทางอีก
หลังจากเดินเข้ามาใกล้ โจวจี้เหนียนเห็นสระน้ำกลางเขาแห่งหนึ่ง มีลำแสงจากนอกถ้ำประพรมลงมาทางข้างบน รอบๆ สระน้ำใสสีเขียวมรกตมีกรวดอยู่มากมาย
สระแห่งนี้ถูกย้อมด้วยแสงละมุน บริเวณผิวน้ำราวกับมีหมอกปกคลุมดุจดังแดนสวรรค์
ความงดงามย่อมแฝงด้วยอันตราย โจวจี้เหนียนก้มลงมอง ตำแหน่งที่เขาอยู่คือกลางเขาซึ่งเป็นถ้ำที่มีสระน้ำ ใต้เท้าคือโขดหินลาดชัน หากตกลงไปไม่ถึงกับตายแต่ย่อมบาดเจ็บแน่นอน
“หนิงหลาง ตรงนี้ลงไปไม่ได้ ต้องมีเชือก”
เซี่ยหนิงกลืนน้ำลายแล้ว เขาเหมือนปลาที่ติดอยู่ในรอยเกวียน เกือบจะหงายท้องแล้ว
ยามนี้เขาดั่งคนที่อยู่ในทะเลทรายเจอแหล่งน้ำ แม้ต้องคลานก็จะคลานไปให้ถึงเพื่อแก้กระหาย เซี่ยหนิงออกแรงดิ้นหลุดออกจากโจวจี้เหนียนโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว ศีรษะกระโดดพุ่งลงไปในสระจนน้ำแตกกระเซ็น
“เซี่ยหนิง!” โจวจี้เหนียนร้องอย่างตระหนก เสียงสะท้อนดังมาจากในถ้ำ
เมื่อผิวของเซี่ยหนิงแตะน้ำก็ได้รับการเยียวยาในพริบตา เขาโผล่หัวขึ้นมาลูบน้ำบนหน้า “ดีขึ้นมากแล้ว ข้าไม่เป็นไร!”
“มันอันตรายเกินไป ไม่รู้ว่าในน้ำมีสัตว์ประหลาดหรือไม่” โจวจี้เหนียนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความกังวลร้อนใจ
เซี่ยหนิงมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเริ่มว่ายไปที่ริมสระ
สายตาโจวจี้เหนียนมองตามคนในน้ำตลอดเวลา เขารู้สึกราวกับเซี่ยหนิงเหมือนปลาตัวหนึ่ง อยู่ในน้ำอย่างมีชีวิตชีวา ทุกอิริยาบถเหมือนร่ายระบำอยู่ในน้ำด้วยท่วงท่าสง่างาม
นึกถึงเมื่อคืนที่เซี่ยหนิงจมอยู่ในถังอาบน้ำทั้งตัวทั้งยังหายใจอยู่ในน้ำ โจวจี้เหนียนจึงค่อยโล่งใจลงบ้าง
จนเมื่อเซี่ยหนิงว่ายมาถึงข้างหินยักษ์ก้อนหนึ่ง โจวจี้เหนียนก็เบาใจ เพราะถ้าในน้ำมีสัตว์ประหลาดจริงอย่างน้อยๆ เซี่ยหนิงก็เอื้อมมือปีนขึ้นฝั่งได้
“ข้าจะลงเขาไปเอาเชือก เจ้าอย่าหลับตาเด็ดขาด ถ้าเหนื่อยแล้วก็ขึ้นฝั่งมารอ ได้ยินหรือไม่” โจวจี้เหนียนกำชับอย่างเข้มงวด
“อื้ม!” เซี่ยหนิงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
โจวจี้เหนียนเหลียวมองรอบสระอีกครั้ง รอบๆ ตัวล้วนเป็นน้ำทั้งหมด บนฝั่งไม่มีทางมีอันตรายได้ ทว่าใต้น้ำนั้นไม่อาจรู้ได้ เขาจึงต้องหาวิธีดึงเซี่ยหนิงขึ้นมาให้ได้เร็วที่สุด
เขาหมุนตัวเดินออกไปจากถ้ำ รีบลงเขากลับไปเอาเชือกที่บ้านทันที
ครั้นโจวจี้เหนียนหายไปแล้วเซี่ยหนิงถึงเพิ่งรู้สึกกลัวขึ้นมา สระน้ำในถ้ำนี้เหลือตนคนเดียวแล้ว เขาอดนึกเสียใจที่กระโดดลงมาไม่ได้
“คงไม่มีสัตว์ประหลาดหรอกกระมัง...” เซี่ยหนิงพึมพำกับตัวเอง
จากนั้นเซี่ยหนิงก็รู้สึกว่าในจิตสำนึกของตนกำลังบอกให้เขาดำลงไปในน้ำ หัวใจเขาเต้นเร็วขึ้น มุดศีรษะลงแล้วลืมตาในน้ำ...
ในน้ำนี้มีสาหร่ายลอยอยู่แต่มองไม่เห็นราก น้ำที่ก้นสระเป็นสีเขียวจนออกดำ มีปลาตัวเล็กๆ ว่ายไปว่ายมากัดกินสาหร่าย ทั้งยังมีกุ้งเปลือกใสกระโดดอยู่ทั่ว และมีอะไรบางอย่างสีดำมืดกำลังเคลื่อนไหว...
เซี่ยหนิงเบิกตากว้างพุ่งตัวพ้นผิวน้ำ แล้วปีนขึ้นหินก้อนยักษ์ด้วยมือสั่นๆ เมื่อขึ้นฝั่งมาได้ทั้งตัวแล้วก็หอบหายใจอย่างแรง เขาเห็นงู...
มีสิ่งที่น่ากลัวแล้ว เซี่ยหนิงยิ่งนึกเสียใจขึ้นอีก เขามองรอบๆ ถ้ำสระแห่งนี้แล้วก็คิดว่าด้านบนนั้นแคบ ส่วนด้านล่างกว้าง หากไม่มีเชือกเขาก็ขึ้นไปไม่ได้จริงๆ
ตอนนี้เซี่ยหนิงถึงได้นึกเสียใจจริงๆ ถ้าโจวจี้เหนียนทิ้งเขาไปอย่างไม่ไยดี เขาก็คงต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว
เมื่อเกิดความคิดนี้ เซี่ยหนิงก็เหมือนมุดเข้ามาในตรอกตัน เขาคิดว่าถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็เพิ่งแต่งงานกัน อีกทั้งตนยังสภาพเหมือนผีเช่นนี้อีก ก็เป็นไปได้ที่โจวจี้เหนียนจะทิ้งตนที่ก่อนเมื่อวานนี้ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่
เพิ่งห่างน้ำได้ครู่เดียว ความกระหายต่อน้ำในร่างกายเซี่ยหนิงก็ทะลักขึ้นมาอีก ยามอยู่บนฝั่งเขาต้องรับความทรมานอันร้อนแห้ง แต่พอลงน้ำก็มีงู...
ทางฝ่ายโจวจี้เหนียนนั้นวิ่งลงเขามามือเปล่า หลินจิ่นที่ตากผ้าอยู่ด้านในเรือนนิ่วหน้าตำหนิลูกชาย “จุ๊...เจ้าเป็นสามี ไฉนถึงได้ปล่อยให้ภรรยาแบกตะกร้าหนักๆ”
“หนิงหลางยังอยู่บนเขา ข้าลงมาเอาของขอรับ” โจวจี้เหนียนพูดอย่างเร่งรีบแล้วเข้าไปในห้องทำงานซึ่งเก็บของจิปาถะ
โจวจี้เหนียนจึงไม่ได้บอกเรื่องถ้ำสระด้วยกลัวว่าบิดาและเตี่ยจะเป็นกังวล เขาหยิบเชือกป่านหนายาวและตะบันไฟ จากนั้นเดินดุ่มๆ เข้าป่าไปอีก
หมู่นี้ลูกชายพวกเขาดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ หลินจิ่นพูดในใจว่าลูกชายโตแล้ว พอเห็นโจวจี้เหนียนรีบร้อนแบบนี้ในใจก็เริ่มเป็นห่วง เขาตามไปถึงนอกประตูเรือนกำลังจะถามลูกชายอีกสักหน่อย
“บ้านเหล่าซาน รีบส่งข้าวไปที่นาเร็วๆ ตากผ้าอยู่ได้ตั้งนาน!” ย่าโจวตะโกนลั่นอยู่ตรงทางเข้าโถงใหญ่
เท้าที่ก้าวออกไปของหลินจิ่นจึงต้องหดกลับมา หิ้วตะกร้าสานที่มีหมั่นโถวอยู่เต็มไปส่งที่นาทั้งที่ตัวเองกำลังหิว
ขึ้นเขาสู้ลงเขาไม่ได้ โจวจี้เหนียนก้าวยาวเดินก็เร็ว หยดเหงื่อบนหน้าผากไหลลงมาเต็มหน้า เขาไม่สนใจจะเช็ดเหงื่อเพราะมัวแต่เป็นห่วงหนิงหลางที่อยู่ในถ้ำสระ
ปากถ้ำหาเจอได้อย่างง่ายดายแค่เดินไปตามรอยที่เขาเคยเดิน
แต่พอเข้าถ้ำมาแล้วไม่มีเซี่ยหนิงคอยบอกทาง โจวจี้เหนียนก็ต้องคลำทางมืดๆ เดินไปข้างหน้า และพอไม่เจอเส้นทาง ด้วยอารามร้อนใจโจวจี้เหนียนจึงทำได้แค่ลองร้องเรียก “หนิงหลาง!”
เสียงเขาดังก้องอยู่ในถ้ำ ทว่ากลับไม่มีเสียงสะท้อนกลับตอนอยู่ในถ้ำสระ แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบของเซี่ยหนิงด้วยเช่นกัน
“เซี่ยหนิง!” โจวจี้เหนียนเดินไปตะโกนเรียกไป
โจวจี้เหนียนสังเกตเห็นว่าตรงไหนที่มีเสียงก้อง เห็นทีตรงนั้นจะใกล้ถ้ำสระ จึงตะโกนเรียกพลางเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
ในที่สุดเซี่ยหนิงก็ได้ยินเสียงเรียกของโจวจี้เหนียน เวลานี้ในใจเขายินดีสุดแสน! ก่อนคืนวานยังเป็นโจวจี้เหนียนคนแปลกหน้า ตอนนี้ในใจเขาอันดับของอีกฝ่ายเป็นรองเพียงพ่อกับพี่ชายเท่านั้น
คำมั่นสัญญาเมื่อคืนวานของโจวจี้เหนียนจะต้องเป็นจริงแน่ โจวจี้เหนียนแต่งเขาเข้าบ้าน อยากจะรักษาอาการถูกพิษของเขาให้หายจริงๆ!
“อยู่ตรงนี้!” เซี่ยหนิงใช้สองมือป้องตรงแก้มสองข้างเหมือนติดที่ขยายเสียงพลางร้องเรียก “ข้าอยู่นี่! จี้เหนียน!”
ในถ้ำสระมีเสียงตอบรับของเซี่ยหนิง ไม่นานโจวจี้เหนียนก็ได้ยินเสียงน้ำหยดและมองเห็นช่องกำเนิดแสงพอดี เขาจึงวิ่งเข้าไป
โจวจี้เหนียนมาถึงช่องแสงแล้ว เห็นเซี่ยหนิงที่กำลังแช่อยู่ในน้ำท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู ข้างหลังคือฝั่งหินก้อนใหญ่ บนฝั่ง...
“มีงู! หนิงหลางรีบว่ายน้ำหนีไปเร็วเข้า!” โจวจี้เหนียนมองงูดำที่ตัวหนาเท่าท่อนแขนเด็กบนหินก้อนยักษ์ รู้สึกกังวลใจขึ้นมาจนหยุดหายใจไปชั่วขณะ
“ตรงไหน” เซี่ยหนิงถาม น้ำเสียงแฝงความปีติ
น่าเสียดายที่โจวจี้เหนียนกังวลเกินไปจึงฟังไม่รู้เรื่อง “บนหินก้อนใหญ่ข้างหลังเจ้า! รีบว่ายน้ำมาเร็ว!”
เซี่ยหนิงมองตามสายตาโจวจี้เหนียน ก่อนจะหันไปมองงูดำที่นอนนิ่งบนก้อนหินแล้วฉีกยิ้ม เขาปีนขึ้นหินก้อนใหญ่แล้วหิ้วงูดำที่ถูกตนตีตายขึ้นมา
กิริยาของเซี่ยหนิงทำให้โจวจี้เหนียนเกือบหายใจไม่ออก
“ตายแล้วล่ะ ข้าเป็นคนตีมันตาย!” เซี่ยหนิงกระหยิ่มยิ้มย่อง ความภาคภูมิใจแฝงอยู่ในน้ำเสียง
ในที่สุดโจวจี้เหนียนก็หายใจออกได้สักที มองเด็กหนุ่มบนหินก้อนยักษ์ด้วยความรู้สึกสับสน เขาแต่งภรรยาที่ไหนกัน นี่มันบุรุษชัดๆ
เซี่ยหนิงฉีกยิ้ม ทั้งยังแกว่งซากงูตายแล้วในมือด้วย ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในความหวาดกลัวอันมหาศาล ซ้ำยังถูกทรมานด้วยพิษปลาในร่าง ทว่ากลับกระตุ้นความกล้าของเขาออกมาอย่างอธิบายไม่ได้จนขนาดมุดลงน้ำว่ายไปยึดจุดอ่อนของงู ตรึงงูดำไว้แน่นแล้วนำขึ้นมาตีมันบนฝั่ง...
ดีงูเป็นของดี ร้านยาให้ราคาสูงมาก จะได้ให้จี้เหนียนเอาไปแลกเป็นเงินได้พอดี
โจวจี้เหนียนโยนเชือกป่านลงไป ปลายด้านหนึ่งผูกกับเอวของตน อีกด้านหนึ่งให้เซี่ยหนิงผูกไว้ ดึงภรรยาที่เพิ่งแต่งกับตนขึ้นมาได้ในที่สุด
โจวจี้เหนียนถอดเสื้อตัวนอกส่งให้หนิงหลาง “เสื้อเปียกใส่แล้วไม่สบายตัว เจ้าเปลี่ยนเสีย”
“ไม่นะ สบายตัวดีออก” เซี่ยหนิงถอดเสื้อนอกเปียกโชกของตนมาห่อซากงูแล้วหิ้วไว้ ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า
โจวจี้เหนียนขมวดคิ้วมองสิ่งที่อีกฝ่ายถืออยู่ในมือ “ยังไม่ทิ้งอีก?”
“ไม่ทิ้ง ท่านเอาไปแลกเงินในเมืองสิ” เซี่ยหนิงชูห่อผ้าที่ถืออยู่
โจวจี้เหนียนนวดหว่างคิ้วก่อนจะถอนหายใจ เห็นทีภรรยา ‘บุรุษ’ คนนี้ยังเป็นพวกชอบเงินด้วย
ตอนเข้าถ้ำเซี่ยหนิงถูกโจวจี้เหนียนอุ้มมาทั้งยังหลับตาไว้ตลอดเวลา ตอนนี้เห็นถ้ำข้างหน้ามืดตื้อก็ชักจะไม่กล้าเหยียบเท้าลงไป
เขามองโจวจี้เหนียน บุ้ยปากร้องว่า “ท่านพี่แบกข้าหน่อย!”
โจวจี้เหนียนชะงักฝีเท้า สายตาตอนหันกลับไปมองฉายความฉงน หนิงหลางผู้ฆ่างูมือเปล่า ตอนนี้กำลังออดอ้อนตนอยู่หรือ?