(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน ภรรยาหนุ่มวาสนาดี เล่ม 1

Saturday

บทที่ 8 หาเงินเลี้ยงภรรยา

กะต๊าก กะต๊ากๆ...

ฟ้ายังไม่สางไก่ตัวผู้ในหมู่บ้านก็เริ่มขันแล้ว หมู่บ้านต้าจิ่งก็ถูกปกคลุมด้วยแพรบางสีดำด้วยเหมือนกัน รอเพียงพระอาทิตย์ขึ้นมาแหวกเปิดความมืดครึ้มออกไป

วันนี้จะเข้าเมือง โจวจี้เหนียนตื่นนอนแล้วสวมเสื้อผ้าอย่างคล่องแคล่วว่องไวไม่มียืดยาด แต่ก่อนตอนเข้าประชุมเช้ายังต้องตื่นเช้ากว่านี้ เมื่อเลยยามอิ๋น* (ยามอิ๋น คือช่วงเวลา 03.00 น. ถึง 05.00 น.) ก็ต้องออกจากคฤหาสน์ไปเข้าประชุมแล้ว 

ก่อนออกจากบ้านเขาไปดูคนในน้ำครู่หนึ่ง ก็พบว่าหนิงหลางคู้ตัวอยู่ที่ก้นถังทั้งตัวอีกแล้ว เอียงตัวขดม้วนเหมือนทารกแรกเกิดอย่างไรอย่างนั้น แต่รู้ว่าเขาหายใจในน้ำได้ โจวจี้เหนียนก็ไม่ห่วงแล้ว

โจวจี้เหนียนแบกตะกร้าไม้ไผ่ไปถึงลานเล็ก ก่อนก้าวออกจากประตูก็เจอเตี่ยที่ยังปล่อยผมสยายอยู่

หลินจิ่น “เตี่ยตื่นสายแล้ว นี่เจ้าไม่กินข้าวเช้าได้อย่างไร เตี่ยจะไปทอดแป้งให้เจ้าสักแผ่น กินแล้วค่อยเดินทาง”

โจวจี้เหนียนไม่ใช่เด็กหนุ่มมุทะลุไร้เดียงสาวัยสิบแปดอีกแล้ว พวกท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรง ครอบครัวอยู่ด้วยกัน เขาสามารถรับรู้ถึงความทะนุถนอมที่มีต่อลูกชายอย่างเขาคนนี้จากในคำพูดของอีกฝ่ายได้อย่างฉับไว

ชาตินี้เขาไม่เห็นความรักความห่วงใยของคนในครอบครัวว่าเป็นเรื่องที่ควรเกิดขึ้นตามปกติอีกแล้ว เขาไม่รีบร้อนที่จะไล่ตามชื่อเสียงและความมั่งคั่ง ปรารถนาเพียงให้ครอบครัวอยู่อย่างปลอดภัย อยู่ดีมีสุขเท่านั้น

แน่นอนว่าการสอบเคอจวี่ก็ยังต้องสอบ การสอบเคอจวี่ทำให้ตระกูลรุ่งเรืองได้แน่นอน 

“ข้าพกแผ่นแป้งไปด้วยแล้ว เป็นของที่เหลือจากขึ้นเขาเมื่อวาน พอกินขอรับ” โจวจี้เหนียนบอกเตี่ย “เตี่ยไปนอนต่ออีกสักพักเถิด ข้าไปก่อนล่ะ ถ้าช้าตะวันขึ้นแล้วจะเดินทางเหนื่อยด้วยร้อนด้วย”

“อืม ถ้าเช่นนั้นเตี่ยจะไปส่งเจ้าที่หน้าประตู” หลินจิ่นค่อยเบาใจ รวบผมผูกเงื่อนตามหลังลูกชาย เดินผ่านเรือนในไป ประตูเรือนแต่ละหลังปิดสนิท คนในบ้านยังหลับใหลกันอยู่

“เตี่ยกลับไปเถิด เมื่อวานหนิงหลางหกล้ม”

หลินจิ่นพูดแทรก “ข้ารู้แล้ว เดี๋ยวรอให้เขาตื่นเอง เจ้ารีบไปเถอะ เดินทางระมัดระวังแล้วรีบกลับมานะ”

มองโจวจี้เหนียนเดินจากไปไกลแล้วหลินจิ่นถึงได้ปิดประตูเรือนกลับเข้าห้อง ถึงแม้ว่าในทุกๆ วันเขาจะไม่ได้ไปไร่ไปนา แต่เรือนที่ใหญ่โตนี้มีคนตั้งมากมาย เขาทำกับข้าวซักผ้าเก็บกวาดเรือน แต่ละวันก็ไม่เหลือเวลาว่างแล้ว

เพียงแต่งานที่ทำล้วนเป็นงานที่ผู้คนมองข้ามได้ง่าย ทว่าไม่เคยหยุด เอวเขาปวดเมื่อยขึ้นทุกวัน

หลินจิ่นถอนใจ กลับขึ้นเตียงไปนอนชิดสามีของตนงีบหลับครู่หนึ่ง


 

เซี่ยหนิงสะดุ้งตื่นจากฝัน เขาฝันว่าตนเล่นน้ำอยู่ในสระบัวอีกแล้ว จนเมื่ออยากขยับแขนขาแรงขึ้น ตอนที่ว่ายน้ำพลิกตัวกลับหัวแล้วพบว่ายืดขาไม่ออกจึงได้ถูกบังคับให้ตื่นขึ้น 

ในห้องเหลือเขาคนเดียวแล้ว เขาใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปที่ลานบ้านเล็กก่อน เห็นด้านบนของตะกร้าสานไม้ไผ่มีที่นอนปิดอยู่จึงไปเปิดดู ในนั้นคือระเบิดเดือนแปดที่เขาเก็บมาเมื่อวาน

คนในครอบครัวชาวนาชอบเอาที่นอนมาคลุมปิดผลไม้ป่าที่ยังไม่สุกดีไว้เช่นนี้

“คงต้องปิดไว้อีกสามถึงห้าวัน บนโต๊ะมีโจ๊กที่เก็บไว้ให้เจ้า กินก่อนสิ”

เซี่ยหนิงอยู่ในท่านั่งยองๆ หันไปร้องเรียกหลินจิ่น “เตี่ย!”

“อื้อ” หลินจิ่นขานรับแล้วเข้าไปหยิบอ่างไม้ในลานเล็ก

“เตี่ย วันนี้ข้าจะนึ่งมะเขือแห้งให้จี้เหนียนขอรับ” เซี่ยหนิงเดินตามหลังอีกฝ่าย

“ได้สิ เจ้ากินข้าวเช้าเสร็จแล้วเตี่ยจะช่วยเจ้า”

เซี่ยหนิงพยักหน้า คิดว่าเตี่ยหันหลังให้ตนอยู่คงจะมองไม่เห็น จึงพูดอีกว่า “อื้ม ต้องใช้มะเขือม่วงขอรับ”

เด็กหนุ่มเดินตามหลินจิ่นมาเรื่อยๆ ผ่านห้องไปและกำลังจะเข้าเรือนด้านในแล้ว ห้องฝั่งตรงข้ามคือเรือนเหล่าซื่อ เซี่ยหนิงถึงได้หยุดตามอีกฝ่าย หมุนตัวกลับลานเล็กไปล้างหน้าบ้วนปากแล้วกินโจ๊ก

ตอนเช้าพวกสามีหัวหน้าครอบครัวลงไปทำงานในไร่นา คนที่เหลืออยู่ที่บ้านถ้าไม่ทอผ้าก็ตากธัญพืชกัน

เซี่ยหนิงใส่หมวกเข้าไปในห้องครัว ฝั่งหลินจิ่นนั้นเอาตะกร้าสานเข้ามานั่งแกะเมล็ดข้าวโพดอยู่ตรงหน้าประตู “มะเขือข้าล้างแล้ว เหตุใดเจ้าถึงได้คิดทำมะเขือแห้งนึ่งเล่า”

“ตอนเด็กแม่ข้าทำ และข้าก็ชอบกิน เลยหัดทำขอรับ”

เด็กหนุ่มหั่นมะเขือแบ่งครึ่ง เอาตะบันไฟมาจุดไฟต้มน้ำ แล้วค่อยเอามะเขือม่วงใส่หม้อนึ่ง

ระหว่างที่รอให้มะเขือนึ่งสุก เขาก็ย้ายม้านั่งตัวเล็กมานั่งช่วยแกะเมล็ดข้าวโพดอยู่ตรงข้ามเตี่ย

“แม่เจ้าเป็นคนที่ไหนหรือ” หลินจิ่นยังไม่หยุดมือขณะคุยเรื่องสัพเพเหระในครอบครัวกับลูกสะใภ้

เซี่ยหนิงตอบอย่างว่าง่าย “คนกั้นโผ* (กั้นโผ : หมายถึงมณฑลเจียงซีของจีนในปัจจุบัน) ขอรับ ยามนั้นข้าวยากหมากแพงก็เลยตามคนในหมู่บ้านมาถึงที่นี่”

“ข้าวยากหมากแพง? นั่นก็หลายปีมาแล้ว เช่นนั้นตอนแม่เจ้าเด็กๆ คงจะลำบากมาไม่น้อย” ข่าวสารเข้าถึงยากจริงๆ หลินจิ่นเองก็เคยได้ยินแว่วๆ อยู่ว่าคนพูดถึงเรื่องที่ต่างเมืองข้าวยากหมากแพง

“แม่ข้าบอกว่ายามที่หิวโซเคยกินมาหมดทุกอย่างแล้ว การเปลี่ยนวิธีทำให้อาหารที่มีเพียงน้อยนิดช่วยให้กินอิ่มท้องได้”

เซี่ยหนิงจำได้ว่าตอนเด็กๆ เขานั่งตักมารดา ได้ยินนางเล่าเรื่องความหิวโหยพวกนั้นให้เขาฟัง ทั้งยังสอนให้เขาเห็นคุณค่าของอาหาร

ข้าวโพดตากแห้งแม้จะแข็งมากแต่ก็ปอกง่ายไม่ได้ยากเย็นอะไร ระหว่างนั้นย่าโจวเข้าครัวมาเอาของ พอเห็นเซี่ยหนิงก็เข้ามาจ้องที่มือใกล้ๆ

เซี่ยหนิงหดมือกลับไม่กล้าแกะข้าวโพดต่อ มีเพียงย่าโจวพูดทิ้งท้ายว่า “อย่าให้เขาแกะ” ว่าแล้วก็หยิบของที่ต้องการแล้วเดินออกไป

หลินจิ่นปลอบใจอีกฝ่าย “ไม่เป็นไร ข้าว่าก็สะอาดดี ตอนบ่ายเจ้าตามข้าไปตำข้าวโพดป่นนะ พรุ่งนี้เจ้ากลับบ้านเดิมจะได้เอาไปด้วย”

คนในหมู่บ้านยามไปมาหาสู่มีมิตรไมตรีต่อกันมักจะมอบธัญพืชต่างๆ ให้กันเสมอ

“ขอรับ ขอบคุณเตี่ย” เซี่ยหนิงลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปดูมะเขือนึ่งสักหน่อยว่านิ่มหรือยัง”

มะเขือม่วงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มแล้ว เซี่ยหนิงคีบขึ้นมาทีละชิ้น ใช้มีดกรีดมะเขือจากท่อนๆ ให้เป็นแผ่น จากนั้นค่อยวางแผ่บนปุ้งกี๋สะอาด

ในเรือนมีชั้นไม้ไผ่ นำเอาปุ้งกี๋ที่แผ่มะเขือม่วงไว้เต็มไปหมดวางลงไป ตากแค่เพียงวันเดียวพรุ่งนี้ค่อยมาจัดการต่อ

หลังจากเด็กหนุ่มแกะเมล็ดข้าวโพดกับเตี่ยทั้งเช้า ตอนกลางวันหลินจิ่นกับหลินกุ้ยฮวาก็เข้ามายึดห้องครัวเพื่อทำอาหารเที่ยง ทำให้เซี่ยหนิงต้องรีบหลบเข้าห้องไปอยู่ในน้ำ

ตอนบ่ายนี้เขายังต้องออกไปข้างนอกอีก ดังนั้นจำเป็นต้องให้ร่างกายดื่มน้ำให้อิ่ม


 

พูดถึงทางฝั่งโจวจี้เหนียน เขาเดินเท้าเข้าเมืองมาหนึ่งชั่วยามแล้ว ยามนี้ไหล่สองข้างเป็นแผลแดงจากตะกร้าไม้ไผ่ที่ผูกแน่น พอเหงื่อออกอีกก็ซึมเข้าแผล ทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บ ถึงอย่างไรเขาก็อายุยังน้อย ผิวเนื้อเนียนละเอียด

ธุระอย่างแรกคือไปที่ร้านยาเพื่อเอาผลห้ารสและถู่ฝูหลิงที่ตากแห้งในบ้านก่อนหน้านี้ไปขาย

ผลห้ารสที่โจวจี้เหนียนแบกมาสดใหม่และมีลักษณะดีเยี่ยม หลงจู๊ร้านยาเห็นว่าเมื่อร้านยาเอาของดีเหล่านี้มาจัดการจะยิ่งมีความเป็นมืออาชีพ และยิ่งรักษาคุณสมบัติของยาไว้ได้

หลงจู๊ร้านยาเป็นคนใจดีมีเมตตาและไม่กดราคา รับสินค้าไว้ทั้งหมดโดยคิดตามราคาท้องตลาดเป็นเงินทั้งสิ้นสามร้อยหกสิบอีแปะ นี่จึงนับเป็นรายได้ก้อนหนึ่ง

โจวจี้เหนียนกล่าวขอบคุณหลงจู๊ร้านยาแล้วหิ้วตะกร้าไม้ไผ่เปล่ารีบไปที่ร้านหนังสือซึ่งอยู่ในอำเภอชิงสุ่ยที่คึกคัก

อำเภอชิงสุ่ยมีพ่อค้าและร้านค้ามากมาย ช่วงนี้เป็นช่วงเก็บเกี่ยวฤดูร้อนพอดี ริมถนนจึงมีตะกร้าขายผักวางอยู่ไม่น้อย ล้วนเพิ่งเก็บมาจากไร่สภาพยังสดใหม่อยู่

โจวจี้เหนียนใส่ชุดคลุมยาวสีดำ ผูกผมครอบกวาน งามโดดเด่นจนคนเดินถนนมากมายหันมามอง เขาแค่มองตรงอย่างแน่วแน่ เดินทะลุตรอกเข้าซอย แล้วข้ามสะพานโค้งเล็กๆ อีกหนึ่งแห่ง ก็เป็นถนนร้านหนังสือที่บัณฑิตมาเยือนกันเป็นประจำ

ถัดไปจากถนนหนังสือแทบจะเป็นกิจการเกี่ยวกับเครื่องเขียนทั้งสิ้น หรือไม่ก็มีร้านน้ำชาสองสามแห่ง จ้างนักเล่านิทานสองสามคนและเปิดขายน้ำชา นับว่าสามารถเก็บเงินได้อย่างคึกคัก

โจวจี้เหนียนเข้าร้านหนังสือจางเหวินที่มาเป็นประจำ เถ้าแก่จางจำเขาได้เพราะเขามักจะมาซื้อกระดาษกับหมึก นอกจากนี้ยังมีเครื่องหน้าหล่อเหลาคมคาย เห็นแล้วลืมไม่ลง

“โอ๊ะ ไม่เจอพักหนึ่งแล้ว เอากระดาษเปลือกใบหม่อนเหมือนเดิม? เอากี่ปึกดีล่ะ”

โจวจี้เหนียนพยักหน้าแสดงไมตรีจิตให้เถ้าแก่จาง “เถ้าแก่จางสบายดีหรือไม่ ข้าไม่รีบ วันนี้ที่มาหลักๆ คืออยากจะถามว่าท่านมีงานคัดลอกหนังสือบ้างหรือไม่”

“มีน่ะมี” เถ้าแก่จางลังเล “แต่ปีหน้าต้นฤดูใบไม้ผลิเจ้าจะสอบเยวี่ยนซื่อแล้ว เกรงว่าจะเสียการเรียนน่ะสิ”

“ไม่เป็นไรขอรับ นักเรียนย่อมทำได้อยู่แล้ว” โจวจี้เหนียนตอบอย่างสุขุมมั่นใจ

“ก็ได้ ใช้กฎเดิม เจ้าซื้อกระดาษเอง ข้าให้พู่กันกับหมึกแก่เจ้า เจ้าเขียนให้ข้าดูสักสองสามตัวหน่อย”

“ขอกระดาษใบหม่อนปึกหนึ่งก่อนขอรับ”

กระดาษเป็นของล้ำค่า มีบัณฑิตที่ไม่รู้จักประเมินกำลังตัวเองมาทำงานคัดลอกหนังสือบ่อยๆ ปรากฏว่าเขียนตัวหนังสือไม่ประณีตพอทำให้สิ้นเปลืองกระดาษของร้านหนังสือ ผ่านไปหนึ่งเดือนสูญเงินไปไม่น้อย ร้านหนังสือจึงตั้งกฎว่าคนที่คัดลอกหนังสือต้องเอากระดาษมาเอง

กระดาษใบหม่อนเป็นประเภทกระดาษที่นิยมที่สุดในหมู่ชาวบ้าน เนื้อกระดาษมีความหยาบหนาแต่ราคาต่ำที่สุด

โจวจี้เหนียนตามเถ้าแก่จางเข้าไปข้างในร้าน เถ้าแก่จางเอาหนังสือนิทานที่นิยมกันมากที่สุดในตอนนี้มาเปิดหน้าหนึ่งให้โจวจี้เหนียนคัดลอก

“หน้านี้ เจ้าคัดลอกมา เสร็จแล้วออกมาเรียกข้า” เถ้าแก่จางพูดจบแล้วไปหน้าร้าน

โจวจี้เหนียนฝนหมึกเอง ขยับข้อมือแล้วทำใจให้สงบก่อนจะเริ่มการคัดลอก ถึงอย่างไรก็ไม่มีแรงข้อมือที่ฝึกฝนมาจากชาติก่อน โจวจี้เหนียนเคลื่อนไหวช้าลง เขียนทีละเส้นทีละขีด พยายามรักษาแรงให้มั่นคงอย่างเต็มที่

เมื่อคัดเสร็จแล้วโจวจี้เหนียนก็หยิบกระดาษมาผึ่งให้รอยน้ำหมึกแห้ง แล้วถึงนำไปส่งให้เถ้าแก่จางที่หน้าร้าน

“โอ๊ะ!” เถ้าแก่จางร้องด้วยความประหลาดใจ ตัวอักษรบนกระดาษประณีตเรียบร้อย แข็งแกร่งทรงพลังและนุ่มนวลงดงาม มองภาพรวมดูสง่างาม เมื่อพินิจมองอย่างละเอียดก็เห็นถึงความหยิ่งทะนงได้จากแต่ละแถวตัวอักษร

“เขียนได้ดี!” สีหน้าเถ้าแก่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ตัวอักษรนี้เอามาใช้คัดนิทานช่างน่าเสียดายนัก ตอนนี้ข้ามี ‘บทกวีต้าชิ่ง’ มีทั้งสิ้นเจ็ดม้วน ม้วนละห้าร้อยอีแปะ ว่าอย่างไรล่ะ”

“วางมัดจำเท่าไรขอรับ” โจวจี้เหนียนห่วงแค่เรื่องนี้

เถ้าแก่จางลูบคาง บทกวีต้าชิ่งเป็นวรรณกรรมที่บัณฑิตมีเงินต้องซื้อแน่นอน มีไว้สำหรับขายเท่านั้นไม่ปล่อยเช่า เป็นการรวบรวมผลงานของกวีชื่อดังจากที่ต่างๆ ในต้าชิ่ง ทั้งหมดเจ็ดม้วนนี้ขายอยู่ที่สิบสี่ตำลึง

“เอาอย่างนี้ หากเจ้าไม่กลัวเดินเหนื่อย ครั้งละหนึ่งม้วน เงินมัดจำสองตำลึง กระดาษข้าเตรียมให้ ใช้กระดาษใบหม่อนขาว เป็นอย่างไร”

คนที่คัดลอกหนังสือล้วนซื้อกระดาษเอง คัดเสร็จแล้วร้านหนังสือยังต้องตรวจทานด้วย หากมีแผ่นที่ไม่ได้มาตรฐาน กระดาษแผ่นนั้นก็ใช้ไม่ได้ ความเสียหายตกอยู่กับคนที่คัดหนังสือและต้องซื้อกระดาษคัดใหม่มาเติมให้ครบ

แม้การคัดลอกหนังสือจะทำเงินแต่ก็ใช้ความชำนาญสูงและยุ่งยาก ตาเสียเมื่อยมือ บัณฑิตที่มุ่งมั่นจะสอบให้ผ่านและได้ชื่อเสียงลาภยศล้วนไม่นิยมหาเงินด้วยการทำงานหนักนี้

โจวจี้เหนียนคิดคำนวณในหัวอย่างว่องไว “ได้ขอรับ ถ้าเช่นนั้นต้องขอบคุณเถ้าแก่จางแล้ว”

“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าจะไปเอาหนังสือกับกระดาษให้เจ้า”

โจวจี้เหนียนหยิบถุงเงินออกมานับเงิน เมื่อจ่ายมัดจำไปแล้วเท่ากับว่าจะไม่มีเงินเหลือไปซื้อขนมหนวดมังกรให้หนิงหลาง นอกจากนี้พรุ่งนี้ต้องพาหนิงหลางกลับบ้านเดิมด้วย

พอนึกถึงตอนที่หนิงหลางพูดถึงขนมหนวดมังกรแล้วหางตาหยีโค้งมุมปากหยักยก ท่าทางคาดหวังและดูติดอกติดใจ โจวจี้เหนียนก็เริ่มรู้สึกอึดอัดใจ

“เถ้าแก่จาง มีงานคัดหนังสือเร่งด่วนหรือไม่ขอรับ ขอยืมใช้สถานที่ของท่านสักครู่ ข้าจะคัดให้เสร็จก่อนพลบค่ำ ค่าพู่กันกับหมึกหักจากเงินค่าคัดลอกหนังสือได้เลย” โจวจี้เหนียนอธิบายอย่างเป็นธรรมชาติ “ไม่กี่วันก่อนข้าแต่งงาน พรุ่งนี้เป็นวันที่ภรรยาของข้าจะกลับบ้านเดิม ต้องการเงินซื้อของขวัญ เถ้าแก่จางจะผ่อนผันให้สักหน่อยได้หรือไม่”

“เจ้ารักเขามากจริงนะ” เถ้าแก่จางหัวเราะ “ย่อมได้อยู่แล้ว เจ้าไปรอข้างใน เดี๋ยวข้าจัดการให้”


 

เซี่ยหนิงแช่น้ำจนเที่ยง เตี่ยถึงเรียกออกมากินข้าว

มื้อเที่ยงคือหมั่นโถวนึ่งกับผักดองซีอิ๊ว ส่วนข้าวต้มนั้นมีแต่น้ำข้าว

หลินจิ่นหยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งมาบิออก ทาน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวหนึ่งชั้น แล้วส่งให้โจวซานเฟิงผู้เป็นสามีก่อน จากนั้นทำแบบเดียวกันอีกชิ้นส่งให้เซี่ยหนิง

“กินสิ ตอนบ่ายต้องทำข้าวโพดป่น พรุ่งนี้ต้มข้าวต้ม ไม่ได้มีแต่น้ำแกงเหมือนวันนี้แล้วล่ะ” สุดท้ายหลินจิ่นหยิบหมั่นโถวให้ตัวเอง พูดจบแล้วกัดคำหนึ่ง

เทียบกับครอบครัวชาวนาครอบครัวอื่น สกุลโจวกินอิ่มทุกมื้อ ในหมู่บ้านนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว

เซี่ยหนิงอ้าปากกว้างกัดหนึ่งคำ หลินจิ่นทำงานบ้านเยอะ ขนาดนวดแป้งก็ยังออกแรงเต็มที่ หมั่นโถวที่นึ่งออกมาจึงมีความเหนียวหนึบ

“อร่อย เคี้ยวแล้วอร่อยจริงๆ” เซี่ยหนิงชมแล้วพูดขึ้นอีก “จี้เหนียนจะกลับมาเมื่อไรขอรับ ข้าคิดถึง...” ขนมหนวดมังกรที่เขาซื้อ เซี่ยหนิงหยุดพูด รู้สึกกระดากอายที่จะพูดคำข้างหลัง

หลินจิ่นชะงัก พูดในใจว่าเด็กคนนี้ไม่เคอะเขินเลยจริงๆ เกาะติดผู้อื่นแบบนี้อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสอีก เขาหันไปมองโจวซานเฟิงผู้เป็นสามี ในแววตาทั้งคู่สะท้อนรอยยิ้ม

“ตอนนี้คงอยู่ที่ร้านหนังสือ รอให้แดดหุบสักหน่อยเขาคงรีบกลับมา” ขณะที่พูดหลินจิ่นมองชามผักดอง ไม่มองเซี่ยหนิงเพราะกลัวว่าเด็กหนุ่มจะรู้สึกขัดเขิน

ทั้งครอบครัวกินข้าวเสร็จแล้วเซี่ยหนิงก็ใส่หมวกสาน สะพายถุงน้ำ จัดการช่วยหลินจิ่นผลักรถโดยที่บนรถคือเมล็ดข้าวโพดหนึ่งเข่ง

เมื่อมาถึงโรงสีต้าสือในหมู่บ้าน หลินจิ่นก็ไปเอากุญแจจากผู้ใหญ่บ้าน ส่วนเซี่ยหนิงอุ้มถุงน้ำแล้วดื่มลงไปอึ้กๆ

เขาประหลาดใจที่พบว่าขณะตนผลักรถแม้จะหอบฮักๆ มาตลอดทาง แต่กลับไม่ทรมานเหมือนเมื่อวานที่ไปเก็บสมุนไพรแล้ว! เห็นทีว่าแค่เขานอนในน้ำทุกคืนกับแช่น้ำตอนเที่ยง ร่างกายก็จะสามารถทำงานได้เหมือนคนปกติทั่วไปแล้ว!

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal