(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน ภรรยาหนุ่มวาสนาดี เล่ม 1

Saturday

บทที่ 9 ศัตรูตามธรรมชาติ

โจวจี้เหนียนคัดหนังสือไปได้หนึ่งในสามแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ร้านหนังสือได้รับคำสั่งจากเถ้าแก่ให้เอาชาร้อนมาให้เขา ด้วยกลัวว่าจะเป็นการรบกวนจึงออกไปแบบเงียบๆ

โจวจี้เหนียนคัดเสร็จหน้านี้แล้ววางพู่กัน ก่อนจะหยิบหมั่นโถวที่แข็งจนเคี้ยวแล้วปวดฟันออกมากินพร้อมกับชาร้อน

ชาติก่อนอาหารการกินของเขาพิถีพิถัน เขาไม่ได้กินหมั่นโถวธัญพืชแบบนี้มาหลายปีแล้ว พอกัดไปอีกสองคำก็ได้รสชาติหอมหวานของข้าวฟ่างข้าวสาลี

สภาพจิตใจของโจวจี้เหนียนดีทีเดียวจึงไม่รู้สึกว่าหมั่นโถวนี้กลืนยากนัก ไม่นานก็อิ่มท้อง จากนั้นก็หยิบพู่กันขึ้นมาเริ่มคัดลอกหนังสือต่อ


 

เซี่ยหนิงใช้กระบวยที่ทำจากฟักทองตักเมล็ดข้าวโพดใส่ปากหินโม่โดยมีหลินจิ่นผลักหินโม่ ไม่นานก็ได้ข้าวโพดขนาดเท่าเม็ดทรายหล่นลงไปในเข่งตาถี่ที่รองอยู่ข้างใต้

สะใภ้สกุลโจวสองคนผลัดกันโม่เมล็ดข้าวโพดมาทั้งบ่ายถึงได้เสร็จไปหนึ่งเข่ง

พอกลับถึงลานบ้านสกุลโจว เซี่ยหนิงก็ผิดหวังที่พบว่าโจวจี้เหนียนยังไม่กลับ แต่ตอนนี้ฟ้ากำลังจะมืดแล้ว

หลินจิ่นมองลูกสะใภ้หน้ามุ่ยคอตก ก็พูดกับเซี่ยหนิงราวกับหลอกล่อเด็กน้อย “คงมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้วล่ะ ไม่ต้องรีบหรอก ไปเก็บมะเขือม่วงที่ตากไว้เถอะ”

“ขอรับ” เซี่ยหนิงไปยกปุ้งกี๋ที่ลานหน้าบ้านด้วยท่าทางห่อเหี่ยว คิดครู่หนึ่งแล้วจึงย้ายเข้าไปในลานเล็กในบ้านตน

หลังจากเก็บมะเขือม่วงเสร็จแล้วเขาก็เข้าไปแช่น้ำต่อในห้อง

หลินจิ่นไปห้องครัวก่อไฟทำอาหารเย็น ตอนที่เขาก้มตัวตักน้ำก็ปวดเอวจนร้องคราง หลินกุ้ยฮวาถามด้วยความเป็นห่วง “ปวดเอวอีกแล้วหรือ”

“อืม ไม่เป็นไร ข้าทนได้” หลินจิ่นทุบหลังส่วนล่างสองที แล้วตักน้ำล้างกระทะต่อ

“ข้าเอง ท่านนั่งพักสักหน่อย แล้วช่วยข้าก่อไฟก็พอ” หลินกุ้ยฮวาแย่งแปรงไปแล้วชี้ให้หลินจิ่นนั่งตรงหลังเตา

“อย่าอวดเก่ง ตอนนี้ท่านยังไม่สี่สิบ อีกไม่กี่ปีหนิงหลางก็จะคลอดเด็กตัวอ้วนให้จี้เหนียน แรงจะอุ้มท่านยังไม่มี ถึงอุ้มได้ท่านก็ทรมาน” หลินกุ้ยฮวาทำงานคล่องแคล่วว่องไว หลายวันของทุกเดือนที่นางปวดท้องล้วนได้หลินจิ่นคอยช่วยนาง

ต้องโทษที่นางไม่มีลูกชายให้ซื่อเฟิง ลูกสาวคนโตแต่งงานออกไปแล้ว เหลือเสี่ยวเกอเอ๋อร์อีกคนที่อยู่กับนาง สกุลโจวจึงดูแคลนนาง 

หลินจิ่นถอนใจ รับน้ำใจจากน้องสะใภ้แล้วไปนั่งก่อไฟอยู่หลังเตา “อุ้มไม่ไหวก็ต้องอุ้ม นั่นหลานแท้ๆ เชียวนะ แค่ไม่รู้ว่าจะท้องตอนไหน”

“จะพูดเรื่องนี้ก็เร็วไปหน่อย เขาเพิ่งแต่งเข้ามา ฮ่าๆๆ...” หลินกุ้ยฮวาหัวเราะพลางก้มตัว

หลินจิ่นก็หัวเราะด้วย ในใจเริ่มผ่อนคลาย


 

อันที่จริงการคัดลอกหนังสือนั้นมีข้อดีคือช่วยเสริมความรู้ และการเรียนรู้นั้นไร้ขอบเขต โจวจี้เหนียนไม่กล้าบอกว่าตนอ่านหนังสือทั่วแผ่นดินมาแล้ว ดังนั้นการคัดหนังสือจึงช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้เขาไม่น้อย

ยามโหย่ว* (ยามโหย่ว : คือช่วงเวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น.) ก่อนนกกาบินกลับรัง โจวจี้เหนียนคัดหนังสือเล่มบางเสร็จในที่สุด เขารับเงินค่าแรงแล้วรีบไปซื้อขนมหนวดมังกรก่อนร้านปิดและซื้อขนมหวานอีกจำนวนหนึ่งด้วย 

โจวจี้เหนียนแบกตะกร้าไม้ไผ่เริ่มมุ่งหน้ากลับบ้านไปพร้อมๆ กับพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา

ระหว่างทางเจอเกวียนที่จะกลับหมู่บ้านโดยบังเอิญ ชายสูงวัยคนหนึ่งร้องเรียกเขา “เจ้าหนูสกุลโจว มาขึ้นเกวียนสิ ข้าผ่านไปทางนั้น”

โจวจี้เหนียนขึ้นเกวียนแล้วให้รู้สึกว่าวันนี้เขาราบรื่นเป็นพิเศษ ขายสมุนไพรราบรื่น คัดลอกหนังสือราบรื่น กลับหมู่บ้านก็ราบรื่น

เกวียนโคลงเคลงกลับถึงหมู่บ้านอย่างปลอดภัยก็พอดีกับที่ฟ้ามืดสนิทแล้ว โจวจี้เหนียนขอบคุณท่านปู่คนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะแบกตะกร้าไม้ไผ่กลับสกุลโจว

หลินจิ่นกำลังกลุ้มใจ ไปเคาะประตูเรียกเซี่ยหนิงเป็นครั้งที่สาม “จี้เหนียนกลับมาตอนไหนก็ยังไม่แน่ หนิงหลางอย่าดื้อ รีบมากินข้าวก่อนเถิด”

"เตี่ย ข้าจะรอให้อาหารเย็นก่อนแล้วค่อยกินขอรับ”

เขากับโจวซานเฟิงกินเสร็จแล้ว กับข้าวไม่มีไอร้อนแม้แต่นิดเดียว เป็นกังวลว่าเซี่ยหนิงจะหิวจนไม่สบาย

เซี่ยหนิงยังไม่ทันตอบ เขาก็ได้ยินโจวหรงเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของบ้านโจวซื่อเฟิงร้องเรียก “พี่รอง!” 

ในรุ่นหลานของสกุลโจว โจวจี้เหนียนนับว่าเป็นพี่คนรอง

“หนิงหลาง จี้เหนียนกลับมาแล้ว รีบออกมากินข้าวเร็ว”

“มาแล้วขอรับ!” เซี่ยหนิงโผล่ออกมาจากน้ำ สวมเสื้อผ้าอย่างร่าเริง

โจวจี้เหนียนเข้าไปที่ลานเล็กล้างหน้าล้างมือ หลินจิ่นเอาของแต่ละอย่างในตะกร้าไม้ไผ่ออกมา “วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน รีบกินข้าวแล้วพักผ่อนแต่หัวค่ำ พิธีกลับบ้านเดิมพรุ่งนี้เตี่ยเตรียมไว้ให้หมดแล้ว”

“เตี่ย ข้าไม่เหนื่อย ท่านพ่อเล่า” โจวจี้เหนียนหยิบผ้ามาเช็ดมือ

“ลุงใหญ่มีธุระกับเขา ไปง่วนอยู่ทางนั้นแล้ว”

พอได้ยินเช่นนั้น โจวจี้เหนียนที่กำลังเช็ดมืออยู่ก็ชะงัก นัยน์ตาดำหดแคบลงเล็กน้อย เขานับวันอยู่ในใจ ชาติก่อนอาหกบาดเจ็บที่ขา พ่อของเขาจึงเป็นแพะรับบาปแทนลุงใหญ่ เห็นทีว่าเขาต้องวางแผนล่วงหน้า ชาตินี้ใครเป็นคนก่อเรื่องคนนั้นควรรับผิดชอบ เขาโจวจี้เหนียนจะปกป้องให้ถึงที่สุด

เซี่ยหนิงผูกเชือกเสื้อผ้าอย่างอารมณ์ดี วิ่งออกมาใกล้ด้านหลังโจวจี้เหนียนได้ก็เอื้อมมือไปตบไหล่อีกฝ่าย “ดูนี่สิ ข้าตากมะเขือแล้ว พรุ่งนี้ก็ทำมะเขือแห้งนึ่งให้ท่านกินได้แล้วนะ!”

หลังจากนั้นเซี่ยหนิงก็ต้องตกใจกับสีหน้าเคร่งขรึมที่แฝงความเหี้ยมเกรียมอยู่นิดๆ ของอีกฝ่าย รอยยิ้มแข็งค้างบนใบหน้าด้วยความประดักประเดิด

โจวจี้เหนียนเอาผ้ามาเช็ดหน้า พอเอาผ้าลงแล้วสีหน้าก็ค่อยอ่อนโยนขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ “ทำแล้วยุ่งยากไหม”

เซี่ยหนิงกะพริบตาเพ่งมองโจวจี้เหนียน เมื่อครู่นี้คงตาลายกระมัง เขาคลี่ยิ้มตอบ “ไม่ยุ่งยาก แค่ต้องตากแห้งก่อนหนึ่งวัน”

หลินจิ่นเก็บตะกร้าไม้ไผ่เรียบร้อยแล้วก็บอกกับทั้งคู่ “รีบกินข้าวสิ หนิงหลางตามข้าไปโม่ข้าวโพดป่นทั้งบ่าย จนตอนนี้ยังไม่กินข้าว จะรอเจ้ากลับมากินด้วยกันให้ได้เชียว”

โจวจี้เหนียนไปหยิบขนมมาแกะออกหนึ่งห่อ ในนั้นเป็นขนมกุ้ยฮวาชิ้นเท่าฝ่ามือหกชิ้นวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ เขาแบ่งให้คนที่บ้านกินสามชิ้น ที่เหลืออีกสามชิ้นยื่นส่งไปให้เตี่ยแล้วบอกว่า “เตี่ย ให้หรงเกอเอ๋อร์”

“อืม เตี่ยเอาไปให้เอง” หลินจิ่นดีใจ ตอนน้องสะใภ้สี่ทำมื้อเย็นนางยังดูแลเขาด้วย ให้ขนมลูกชายนางสักหน่อยถือเป็นของขวัญตอบแทน

พอในลานเหลือเพียงเซี่ยหนิงกับโจวจี้เหนียน โจวจี้เหนียนถึงได้หยิบขนมหนวดมังกรห่อหนึ่งเต็มๆ ออกมาให้อีกฝ่าย “ขนมหนวดมังกรเป็นของเจ้าทั้งหมด ก่อนนอนอย่ากินเยอะ เดี๋ยวปวดฟัน”

“แล้วท่านพ่อกับเตี่ยล่ะ?” เซี่ยหนิงถาม

“ข้าซื้ออย่างอื่นให้แล้ว ท่านพ่อกับเตี่ยชอบกินรสเค็ม”

เซี่ยหนิงยิ้มเซ่ออย่างเบิกบานใจ ถือห่อกระดาษน้ำมันด้วยสองมือเข้าห้องเอาไปเก็บในตู้

ตอนออกมาอีกหนก็นั่งตรงข้ามโจวจี้เหนียนอย่างสงบเสงี่ยมเริ่มกินข้าว มื้อเย็นคือข้าวนึ่งข้าวโพดป่น กับข้าวคือมะเขือม่วงต้ม เพราะมะเขือม่วงอมน้ำมันชาวนาจึงเอามาต้มกินกันหมด

มะเขือม่วงต้มไม่มีรสชาติ แต่ข้าวที่ใส่ข้าวโพดป่นนั้นหอมหวานอร่อยเด็ด

เซี่ยหนิงเล่าเรื่องงานของเขาในวันนี้จ้อยๆ ฝ่ายโจวจี้เหนียนไม่ค่อยพูดแค่ตั้งใจฟัง บางครั้งก็พยักหน้าตอบรับให้รู้ว่ากำลังฟังอยู่

เวลานี้โจวจี้เหนียนรู้สึกว่าการแต่งงานก็ดีมากเหมือนกัน ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ ตอนกินข้าวมีคนในครอบครัวอยู่ด้วย สนทนาเรื่องสัพเพเหระกับผู้อื่นโดยไม่ต้องใช้สมอง เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องพินิจพิเคราะห์การใช้คำ

กินข้าวเสร็จแล้วเซี่ยหนิงก็อุ้มชามกับตะเกียบไปล้าง ทิ้งห้องไว้ให้โจวจี้เหนียนอาบน้ำ

พอออกมาจากห้องครัว มองเห็นได้รางๆ ภายใต้แสงสลัวในค่ำคืนเงียบสงัด เกิดเสียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยดังเข้าหูเซี่ยหนิง เขาได้ยินเสียงต้นข้าวในยุ้งถูกทับดังสวบสาบๆ...

ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เสียงพวกนี้ชวนให้ขนลุกเกรียว เขาตกใจก้าวขาวิ่งไปทางห้อง ได้ยินเสียงน้ำที่โจวจี้เหนียนกำลังอาบ จึงได้แต่ไปหาเตี่ยหลินจิ่นแทน พอเข้าไปในเรือนด้านในก็เจอพ่อสามีกับโจวต้าเฟิงและโจวซื่อเฟิงก่อน

เซี่ยหนิงรีบดึงพ่อสามีมาแล้วบอก “ท่านพ่อ ในยุ้งข้าวมีหนู!”

ข้าวคือรากฐานของชาวนา โจวซานเฟิงได้ยินดังนั้นต้องจัดการทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย อีกฝ่ายจึงบอกโจวต้าเฟิง “พี่ใหญ่ พวกเราไปจับหนูที่ยุ้งก่อนนะ”

ตอนแรกเขาถูกพี่ใหญ่เรียกให้ไปจับหมูป่า ที่แปลงผักมักจะมีหมูป่ามาป้วนเปี้ยน ปกติมันจะมาหาอาหารตอนเช้าตรู่กับตอนโพล้เพล้ หมู่นี้มักจะเจอร่องรอยหมูป่าอยู่ตามแปลงผัก

เนื้อหมูป่าเป็นสีแดงเหมือนเนื้อม้า เหม็นสาบกว่าเนื้อหมูเลี้ยง โจวต้าเฟิงอยากกินเนื้อหมูป่าจึงเรียกน้องสามกับน้องสี่และพี่น้องหมู่บ้านเดียวกันอีกสองคนมาเฝ้ารอจังหวะด้วยกัน

โจวต้าเฟิงหัวเราะ “ก็ได้ เจ้าไปเถอะ รีบไปจับหนู ถ้ามาช้าข้าจะแบ่งเนื้อหมูป่ากับน้องสี่แล้วนะ”

“…” โจวซานเฟิงรู้สึกหมดคำพูด ทำเหมือนกับว่าพี่ใหญ่ไม่ได้กินข้าวอย่างนั้นแหละ

โจวซานเฟิงไปหยิบตะเกียงน้ำมันโดยมีเซี่ยหนิงตามมาข้างหลังเขา หลังจากพากันย่องเข้าไปใกล้ยุ้งข้าว โจวซานเฟิงได้ยินเสียงในนั้นแล้วรู้สึกว่าแปลกๆ “ไม่สิ นี่ไม่ใช่เสียงหนู”

“หา?” เซี่ยหนิงกะพริบตา เขาคิดว่านี่น่าจะเป็นเสียงหนูปีนต้นข้าวนะ

“หนูเคลื่อนไหวรวดเร็ว ไม่ใช่เสียงต่อเนื่องกันแบบนี้...” โจวซานเฟิงงึมงำ เปิดกลอนประตูยุ้งข้าวอย่างเงียบๆ

ประตูลั่นเอี๊ยด เสียงในนั้นเงียบลง เมื่อประตูเปิดกว้าง อาศัยแสงจากตะเกียงน้ำมันก็ทำให้ทั้งสองมองเห็นแมวที่นอนอยู่บนต้นข้าวชัดเจน ดวงตาแมวเหมือนคมดาบสองสายที่ส่องประกายอยู่ในความมืด...

เซี่ยหนิงตัวแข็งทื่อไปแล้ว!

“เมี้ยว!” แมวกำลังออกลูก เสียงร้องนั้นแฝงความเจ็บปวดรางๆ 

“อ๊าก!!!” เลือดทั่วร่างของเซี่ยหนิงพุ่งลงไปด้านล่าง หนังศีรษะเขาชาดิก ขนลุกชันไปทั้งตัว ไร้เรี่ยวแรง ขยับไม่ได้เลย

ประหลาดนัก ถึงแม้สกุลเซี่ยจะไม่เคยเลี้ยงแมวมาก่อนแต่เขาไม่ได้กลัวแมว แล้วเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

โจวจี้เหนียนเพิ่งเช็ดตัวแห้งใส่เสื้อผ้าก็ได้ยินเสียงร้องแหลมของหนิงหลาง เกิดอะไรขึ้นกัน เหตุใดหนิงหลางถึงได้หวาดกลัวขนาดนี้

โจวจี้เหนียนคลุมเสื้อวิ่งออกไปทางเสียงร้องของเซี่ยหนิง ครั้นมาถึงเรือนด้านใน สมาชิกครอบครัวก็ตระหนกไปกับเสียงร้องแหลมนี้กันหมดแล้ว รีบตามเขาไปที่ยุ้งข้าว

เมื่อมาถึงยุ้งข้าวก็ได้ยินเสียงโจวซานเฟิง “หนิงหลางเป็นอะไรไป! เป็นอะไรก็บอกพ่อ...”

แต่เซี่ยหนิงยังคงหวีดร้อง แม้เสียงจะไม่แหลมขนาดนั้นแล้วแต่ก็ยังสั่นเครือ คนที่ได้ยินต่างขนลุกเกรียว

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนที่ตกอกตกใจจึงได้แต่ส่งเสียงถอนใจ

โจวจี้เหนียนวิ่งไปขวางอยู่หน้าเซี่ยหนิง เอื้อมมือไปปิดปากอีกฝ่ายก่อนจะกระซิบปลอบ “ไม่ต้องกลัวนะ ข้าอยู่นี่ มันกัดเจ้าไม่ได้หรอก”

ภรรยาของโจวลิ่วเฟิงเอ่ยขึ้น “ตายจริง เลิกร้องได้แล้ว! ทำคนอื่นตกใจแทบแย่ ลูกข้าตกใจเสียงเจ้าจนขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้ว!”

“เกิดอะไรขึ้นกัน”

“เหมือนจะตกใจแมว...”

สะใภ้หกเข้าไปผลักเซี่ยหนิงทีหนึ่ง “โธ่เอ๊ย! หยุดร้องได้แล้ว! ป่วยก็ไปหาหมอสิ!”

เซี่ยหนิงขาอ่อนยวบ โผเข้าสู่อ้อมกอดโจวจี้เหนียนที่อยู่ข้างหน้า

โจวจี้เหนียนรู้สึกเพียงว่าฝ่ามือถูกริมฝีปากนุ่มชื้นของเซี่ยหนิงจุมพิตจนรู้สึกชานิดๆ จากนั้นก็ถูกเซี่ยหนิงโผเข้าใส่เต็มรัก เขาจึงถือโอกาสอุ้มเด็กหนุ่มกลับห้องเสีย

แมวตัวนั้นตกใจเซี่ยหนิงจนคลอดลูกออกมาสี่ตัวในอึดใจเดียว มันไม่มีเวลามาสนใจลูกที่เพิ่งเกิด หาทางพุ่งตัวหนีออกไป ไม่นานก็หายไปแล้ว

“โอ๊ย บ้าเอ๊ย ทำข้าใจเต้นตุบๆ เลย คืนนี้ข้าไม่กล้านอนแล้ว กลัวจะฝันร้าย...”

หลินจิ่นกลอกตาใส่น้องสะใภ้หก นอนไม่หลับ? ถึงขั้นนั้นเชียวรึ ใครไม่มีสิ่งที่ตัวเองกลัวบ้างล่ะ

น้องสะใภ้หกคงลืมไปแล้วว่านางนอนตื่นหนึ่งยาวไปถึงเที่ยงวัน หลายบ้านผลัดกันก่อไฟทำกับข้าว นางเองก็ทั้งร้องทั้งเต้นอยู่หน้าเตามิใช่หรือ พูดยืนกรานว่ากลัวไฟ โวยวายอยู่เป็นวัน ทั้งเชิญหมอมาทั้งดื่มยา นับจากนั้นก็ไม่เข้าห้องครัวอีกเลย แต่กลับกินข้าวที่หุงด้วยฟืนอย่างเอร็ดอร่อย

หลินจิ่นดึงโจวซานเฟิงกลับบ้านตัวเอง อยากจะไปดูลูกสะใภ้สักหน่อย ทว่าพอได้ยินโจวจี้เหนียนกล่อมภรรยาอยู่ในห้องทั้งสองจึงกลับห้องของตัวเอง

หลินจิ่นได้ยินโจวซานเฟิงบอกว่าพี่ใหญ่เรียกเขาและจะต้องไปจับหมูป่า จึงลากเอาไว้สุดแรงพลางบอก “จะไปได้อย่างไรกัน! ขาเจ้าเป็นแบบนี้แล้วชีวิตยังจะเอาหรือไม่เอา”

โจวซานเฟิงอธิบาย “ปีก่อนจับมาได้ตัวหนึ่งแล้วเห็นเจ้าชอบกิน แถมพวกเรายังมีกันตั้งห้าคน”

“ปีนี้ข้าไม่ชอบกินแล้ว! ไม่อนุญาตให้เจ้าไป สองสามวันนี้ข้าปวดเอวเหลือเกิน เจ้านวดให้ข้าหน่อย” หลินจิ่นเลือกใช้วิธีนุ่มนวล

น้อยครั้งที่โจวซานเฟิงจะได้ยินภรรยาบอกตนว่าปวดเอว แต่เขารู้ว่าตอนนั้นที่คลอดโจวจี้เหนียน จิ่นหลางทั้งอุ้มลูกทั้งซักผ้าทำกับข้าว ไม่ได้ดูแลร่างกายให้ดี

“ปวดมากไหม” โจวซานเฟิงรีบประคองจิ่นหลางนอนลง ถูมือให้อุ่นแล้วสอดเข้าไปนวดเอวให้คนรัก “พรุ่งนี้ไปให้หมอตรวจดูหน่อยดีกว่า”

หลินจิ่นกอดหมอนสี่เหลี่ยมตอบ “อืม”


 

หลินกุ้ยฮวาฉีกผ้าขี้ริ้วทำเป็นรังแล้ววางลูกแมวแรกเกิดไว้ข้างๆ ชาวนาล้วนมีประสบการณ์ แมวย่อมไม่มีทางวกกลับมาให้นมลูก นางเอารังผ้าอุ่นนุ่มไว้ข้างๆ ลูกแมวจะได้ไม่ทรมานนัก

“แค่แมวเท่านั้น...”

โจวจี้เหนียนเพิ่งเริ่มพูด พอถึงคำว่า ‘แมว’ เซี่ยหนิงที่อยู่ในอ้อมแขนก็ตัวสั่น เขาจึงต้องหยุดพูดแล้วกล่อมอีก “ไม่ต้องกลัวนะ เจ้านั่งอยู่บนเตียง ข้าไปตักน้ำ แล้วเจ้าค่อยไปอยู่ในถังอาบน้ำดีหรือไม่”

เซี่ยหนิงหดมือกลับเข้าในแขนเสื้อซ่อนไว้ตรงอก หากถอดรองเท้าก็จะเห็นว่าแม้แต่นิ้วเท้าเขาก็ยังสั่นอย่างรุนแรง

คิ้วดำคมเรียวสองเส้นขมวดมุ่น นัยน์ตายังฉาบฉายความหวาดกลัวราวกับปลาตายเจอแมวตาบอด เป็นตัวเองที่ทำให้ตัวเองกลัวจนอยู่ในสภาพปางตาย

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal