Saturday
เซี่ยหนิงจดจ่อจักษุสัมผัสและโสตสัมผัสอย่างเข้มข้น สายตาตรึงติดอยู่กับคางของโจวจี้เหนียน
ทุกมุมมืดสนิทในห้องอาจมีแมวตัวหนึ่งซ่อนอยู่ก็เป็นได้ แสงที่ส่องออกมาจากรูม่านตาแนวตั้งของมัน ทั้งยังยามเมื่อได้กลิ่นคาวปลาของเขา มันก็จะกระโจนเข้ามาฉีกเขาเป็นชิ้นๆ...
โจวจี้เหนียนเห็นคนในอ้อมแขนเงียบไปนานจึงลองวางอีกฝ่ายลงบนเตียง
“จี้...เหนียน...”
เสียงเรียกของเซี่ยหนิงสะท้อนความคับอกคับใจ ความหวาดกลัว และความเศร้าสลด ตัวก็ยังสั่นเทาอยู่ ทำให้โจวจี้เหนียนได้รู้ว่าอีกฝ่ายกลัวมาก
แต่เขาก็เข้าใจ เพราะว่าเป็นศัตรูตามธรรมชาติกัน
โจวจี้เหนียนกอดกระชับเด็กหนุ่มอีกครั้ง “ถึงอย่างไรก็ต้องไปตักน้ำให้เจ้า”
“อึก...” เซี่ยหนิงสะอื้นเหมือนสัตว์ตัวน้อย
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปตักน้ำกับข้า?” โจวจี้เหนียนถาม
“…”
โจวจี้เหนียนถอนใจ คนที่จับงูมือเปล่าไฉนจึงตกใจกลัวแม่แมวจนกลายเป็นเช่นนี้ได้ มิหนำซ้ำแม่แมวตัวนั้นยังคลอดลูกอยู่ด้วย แทบจะไม่มีแรงโจมตีใดๆ ด้วยซ้ำ
“พิงหลังข้า ข้าจะแบกเจ้าไปตักน้ำ” รอบนี้โจวจี้เหนียนไม่ถามแล้ว ใช้การกระทำบังคับเอา
เพราะแบกอีกฝ่ายอยู่โจวจี้เหนียนวิ่งห้ารอบถึงตักน้ำได้เต็มถัง เขาไม่ได้คิดว่ายุ่งยาก แค่กังวลว่าจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายดีขึ้นจากความตระหนกเกินขีดนี้
“เอาล่ะ เจ้าถอดเสื้อผ้าลงไปเองได้ใช่ไหม” โจวจี้เหนียนจับข้อมือเซี่ยหนิงที่โอบคอตนอยู่ เตรียมจะแกะอีกฝ่ายลงมา
เซี่ยหนิงใช้ทั้งมือและเท้าเกาะเกี่ยวอีกฝ่ายแน่นขึ้น แผ่นแปะยาหนังสุนัขก็แน่นสู้เขาไม่ได้
โจวจี้เหนียนเม้มปาก ชาติก่อนตอนจัดกำลังไพร่พลสังหารศัตรูยังไม่เหนื่อยใจเท่าตอนนี้ “พูดสิ เจ้าไม่พูดข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าต้องการเช่นไร”
“ข้าเป็นสามีเจ้า เจ้าพูดได้ว่าต้องการเช่นไร”
เซี่ยหนิงห้อยอยู่บนร่างอีกฝ่ายจะหล่นลงอยู่รอมร่อ เขาเขยิบคลอเคลียขึ้นไปข้างบน คิดจะอาศัยแรงที่คางเกาะไหล่โจวจี้เหนียน ปรากฏว่าไม่ทันระวังกลีบปากประทับลงบนข้างลำคอโจวจี้เหนียนเข้า
ลูกกระเดือกโจวจี้เหนียนเลื่อนขยับขณะกลืนน้ำลาย กลีบปากเซี่ยหนิงชื้นและเย็นนิดๆ ทว่ากลับทำให้เขาอยากถูกเซี่ยหนิงสัมผัสอีกครั้งด้วยริมฝีปากนั้น...
เซี่ยหนิงเองไม่ได้สังเกต พอขยับตัวขึ้นไปน่องพันเอวแกร่งของโจวจี้เหนียนแล้วถึงได้พูดตอบ “ย้ายถังอาบน้ำมาข้างเตียงได้หรือไม่ ข้าจะอยู่ใกล้ๆ ท่าน”
โจวจี้เหนียนไม่ตอบ ยืนสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง จนไม่รู้สึกชาแล้วถึงได้ดันถังอาบน้ำมาชิดข้างเตียง
แต่ตอนเซี่ยหนิงถอดเสื้อผ้าอีกครั้งเขาไม่ได้หลบเลี่ยง แอบมองเซี่ยหนิงที่หันหลังให้ตนถอดเสื้อผ้าอย่างสง่าผ่าเผย
เซี่ยหนิงที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกคนแอบมองได้ให้โจวจี้เหนียนคอยพูดเป็นพักๆ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาอยู่ตรงนี้ “จี้เหนียน!”
“หืม?”
“ท่านเดินสักสองก้าวสิ ข้าจะฟังเสียง”
“…อืม”
จากนั้นโจวจี้เหนียนก็เอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้วถอยหลังสองก้าว เขาไม่ได้ควบคุมเสียงเดิน เสียงจึงดังชัดเป็นพิเศษในคืนสงัด ทำให้เซี่ยหนิงรู้สึกปลอดภัยไม่น้อย
เซี่ยหนิงเปลือยกายท่ามกลางแสงขาวยามค่ำคืน มือที่ไพล่หลังอยู่ของโจวจี้เหนียนกำหมัด นิ้วหัวแม่มือกดหยิกฝ่ามือเพื่อพยายามสร้างความเจ็บปวดมาข่มความร้อนรุ่มในใจของตน
เซี่ยหนิงถอดเสื้อผ้าอย่างว่องไว เมื่อมุดลงไปในถังได้ก็หมุนตัวอยู่ในน้ำ เกยคางบนขอบถัง เม้มปากยิ้มให้โจวจี้เหนียนอย่างระมัดระวัง
รอยยิ้มนี้แฝงด้วยความกลัวอันตระหนกจึงดูฝืนๆ แต่กลับทำให้โจวจี้เหนียนรู้สึกว่าหนิงหลางอ่อนโยนน่ารัก ยิ่งทำให้เขาใจอ่อน
โจวจี้เหนียนดับตะเกียงน้ำมัน แต่กลับทำให้เซี่ยหนิงร้องเสียงเบาๆ ขึ้นอีก “อ๊ะ...จี้เหนียน!”
“ไม่ต้องกลัว” โจวจี้เหนียนเดินมาที่ข้างเตียง เอื้อมมือแตะดวงหน้าเล็กขาวผ่องของเซี่ยหนิง “ข้าอยู่นี่”
เซี่ยหนิงจับฝ่ามือโจวจี้เหนียนทันที สองมือเขาเย็นเฉียบ เวลานี้แช่อยู่ในน้ำกลับรู้สึกว่าฝ่ามืออุ่นๆ ของโจวจี้เหนียนช่วยให้ผ่อนคลายมาก
โจวจี้เหนียนไม่ได้ดึงมือออกและไม่ได้เร่งเร้า ปล่อยให้เซี่ยหนิงจับมือตนไว้เป็นที่พึ่งสุดท้ายในค่ำคืนของเซี่ยหนิง
ระหว่างที่โจวจี้เหนียนเอื้อมมือไปให้เซี่ยหนิงจับไว้ ไม่นานเขาก็นอนลงโดยไม่ถอดเสื้อ โชคดีที่ใต้ร่างคือเตียงเตาก่ออิฐที่สูงกว่าเตียงทั่วไป ไม่เช่นนั้นก็คงจะลำบากจริงๆ
เซี่ยหนิงแช่น้ำไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ลื่นไหลลงไปอยู่ที่ก้นถังและปล่อยมือโดยไม่รู้ตัว เหมือนนางเงือกที่ขดตัวนอนหลับสนิทอยู่ใต้ท้องทะเล
ราตรีในชนบทสงบเงียบมาก ลมเย็นโชยอ่อนคลอเสียงจิ้งหรีดร้องประสานกัน บางครั้งก็มีเสียงสุนัขร้องโฮ่งๆ ทุกบ้านทุกครอบครัวดับไฟเข้าสู่ห้วงนิทรา
ในตอนที่ใกล้จะตื่นนอน หลินจิ่นได้ยินเสียงคนร้องเรียกน้องสี่อยู่หน้าประตูเรือน เขาลุกขึ้นพร้อมโจวซานเฟิง คลุมเสื้อตัวยาวแล้วเดินไปทางประตูเรือน
เห็นโจวซื่อเฟิงแบกมนุษย์โคลนคนหนึ่ง ตัวเขาเองก็เปื้อนโคลนด้วย แต่ดีกว่าโจวต้าเฟิงที่อยู่ข้างหลังนิดหน่อย
โจวซานเฟิงรีบเปิดประตูจะเข้าไปช่วยประคอง
โจวซื่อเฟิงตัวเลอะแล้วจึงขวางหน้าพี่สาม “ข้าแบกเอง พี่สามไม่ต้องหรอก ข้าแบกไหว”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะนี่”
“เจอหมูป่าเข้าจริงๆ มีสามตัว! ใจกล้านัก พอเห็นพวกเราก็พุ่งตรงเข้ามาขวิด พี่ใหญ่วิ่งช้าเลยถูกขวิดลงคู ท้ายทอยถูกกระแทกแตก”
โจวซื่อเฟิงรวบรวมกำลังแบกโจวต้าเฟิงไปเรือนใหญ่ด้วยฝีเท้าว่องไว พี่สะใภ้ใหญ่เห็นแล้วตกใจลนลาน สุดท้ายก็เป็นโจวซานเฟิงที่ไปตักน้ำ ช่วยสะใภ้ใหญ่เช็ดเนื้อตัวให้โจวต้าเฟิง
หลินจิ่นรีบวิ่งไปหาหมอหูในหมู่บ้าน
วิ่งวุ่นกันอยู่พักหนึ่งก็ถึงยามจื่อ* (ยามจื่อ : คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.) หมอหูใส่ยาให้โจวต้าเฟิงแล้วสั่งว่า “ต้องมีคนคอยเฝ้า อย่าให้เขาพลิกตัว ถ้าแผลฉีกอีกจะร้ายแรง คืนนี้น่าจะเป็นไข้ต้องระวังให้ดี พอจับไข้แล้วรีบใช้ผ้าเปียกเช็ดให้อุณหภูมิลดลง”
คนคอยเฝ้าตอนกลางคืนย่อมเป็นภรรยาของโจวต้าเฟิง คนอื่นๆ จึงต้องแยกย้ายกันไป คนเยอะก็ทำได้แค่ดูเฉยๆ ไม่ได้ช่วยอะไรได้
งานในไร่ของวันรุ่งขึ้นก็ยังต้องมีคนไปทำ
หลังกลับถึงห้องของตน หลินจิ่นนึกถึงที่น้องสี่บรรยายแล้วยังรู้สึกกลัวไม่หาย “โชคดีที่ห้ามท่านไว้ น้องสี่บอกว่าพี่ใหญ่วิ่งช้าถึงได้ถูกไล่ตามทัน หมูป่าสามตัวนั้นเจอพี่ใหญ่ก็เข้ามาขวิด ขวิดจนตกลงไปในคูถึงได้เลิกรา หากท่านไป ท่านลากขาแบบนี้จะวิ่งชนะพวกเขาได้เสียที่ไหน”
เวลานี้โจวซานเฟิงยังไม่รู้สึกถึงความร้ายแรงของผลที่ตามมา ถึงอย่างไรการลงไร่ไปทำงาน ขึ้นเขาไปจับแมลง ก็ยากจะเลี่ยงการกระแทกกระเทือนได้อยู่แล้ว
“ต่อไปพี่ใหญ่เรียกท่านให้ไปจับหมูป่าอีก ถ้าท่านกล้าไปข้าจะซัดท่าน” หลินจิ่นยังอกสั่นขวัญหายอยู่ เห็นโจวซานเฟิงไม่ใส่ใจนักจึงพูดขู่
“ไม่ไปหรอก ไม่ไป อย่างมากพวกเราก็แค่กินเนื้อน้อยลง ข้าไม่ไปแล้วล่ะ” โจวซานเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงแบบพอเป็นพิธีตลอด แต่หลินจิ่นรู้จักเขาดี ขอเพียงเอ่ยปากสัญญาแล้วเขาย่อมไม่ไปยุ่งอีกแน่นอน
โจวซานเฟิงดับตะเกียงล้มตัวลงนอน คิดแล้วเอ่ยขึ้นอีก “บังเอิญจริงๆ ตอนกำลังจะออกไปลูกสะใภ้เรียกเอาไว้ พอจะออกไปอีกเจ้าก็เรียกไว้อีก นี่มันเรียกว่าอะไรล่ะ”
“หนิงหลาง?” หลินจิ่นที่กำลังนอนลงชะงัก
“อ้อ” โจวซานเฟิงตอบ คลำมือในความมืดไปดึงภรรยาให้นอนลง “แมวในยุ้งข้าวออกลูก เขาได้ยินเสียงแล้วนึกว่าเป็นหนูจึงมาตามข้าให้ไปจับหนู”
หลินจิ่นนอนลงข้างสามี “ถ้าเช่นนั้นก็บังเอิญจริงๆ”
วันถัดมา ไก่ตัวผู้ร้องขันครั้งแรก เซี่ยหนิงก็ตื่นแล้ว โจวจี้เหนียนยังนอนอยู่ เซี่ยหนิงเกาะขอบถังพินิจมองอีกฝ่าย ท่านอนของโจวจี้เหนียนเหมือนกับตน สงบเสงี่ยมจริงจัง เผยความน่าเกรงขามที่ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้
เซี่ยหนิงเม้มปาก นึกถึงเสียงปลอบเบาๆ ของโจวจี้เหนียนเมื่อคืน อีกฝ่ายอุ้มเขาแบกเขาให้ท้ายเขา ก่อนนอนก็ยังให้เขาจับมืออีก...
ยิ่งคิดหัวใจยิ่งเต้นเร็วขึ้น เซี่ยหนิงรีบมุดลงน้ำไปทั้งตัว รอให้หัวใจเต้นปกติแล้วจึงลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า
เซี่ยหนิงเป็นคนในสกุลโจวคนแรกที่ตื่นนอน รู้สึกสุขใจที่ตัวเองตื่นเช้าและขยันขันแข็ง ก้าวฉับๆ ไปดูมะเขือม่วงที่ตากไว้ในลานเล็ก
เซี่ยหนิงลองบีบดู มะเขือม่วงตากจนน้ำแห้งและเริ่มแข็งแล้ว จากนั้นเขาก็อุ้มปุ้งกี๋สองใบไปที่ห้องครัว
เริ่มลงมือในขั้นตอนที่สอง เอาพริกแห้งมาตำในครกหิน จากนั้นสับกระเทียมให้ละเอียด ตักแป้งข้าวเหนียวชามเล็กจากกระปุกแป้ง สุดท้ายตักสุราข้าวเหนียวที่ชาวนาหมักเป็นกันทุกคนมาหนึ่งชาม
หลังจากก่อไฟอุ่นกระทะให้ร้อนค่อยตักมันหมูหนึ่งทัพพีลงไป มันหมูละลายแล้วใส่กระเทียมสับและผงพริกตาม พอผัดจนหอมแล้วก็ใส่สุราข้าวเหนียว จากนั้นโรยเกลือและเครื่องปรุงรส สุดท้ายตักแป้งข้าวเหนียวมาหนึ่งชาม คลุกเร็วๆ ให้ทั่ว เมื่อน้ำปรุงรสข้าวเหนียวและพริกจับตัวกันเป็นก้อนก็เป็นอันว่าดับไฟได้
หลินจิ่นเข้ามาในห้องครัวแล้วก็ไอสำลัก “หนิงหลางตื่นเช้าขนาดนี้เชียวรึ ทำอะไรอยู่น่ะ”
“เตี่ย” เซี่ยหนิงตักน้ำพริกในกระทะที่ติดกันเป็นก้อนขึ้นมา “ทำมะเขือม่วงนึ่งขอรับ”
หลินจิ่นไปหยิบแปรง “ทำเสร็จแล้วหรือ เจ้าทำไปเถอะ เตี่ยจะขัดกระทะ”
“ทาน้ำพริกบนมะเขือ ตากแดดตอนเช้าอีกที จากนั้นก็เอาไปนึ่งกินได้ ถ้ากินไม่หมดก็เอาไปตากแห้งต่อ ทำเป็นของกินเล่น เก็บเอาไว้ได้นานมากขอรับ”
เซี่ยหนิงใช้ทัพพีไม้ตักน้ำพริกข้าวเหนียวทาลงบนมะเขือทุกแผ่นให้ทั่ว
“วิธีของเจ้านี่แปลกประหลาดจริง” หลินจิ่นขัดกระทะเสร็จแล้ว เคี่ยวโจ๊กข้าวโพดป่นแล้ว ก็ไปช่วยเซี่ยหนิงทาน้ำพริก
ทั้งสองช่วยกันแล้วเสร็จเร็วมาก เซี่ยหนิงอุ้มมะเขือน้ำพริกข้าวเหนียวสองปุ้งกี๋กลับไปตากแห้งที่ลานเล็กอีกรอบ
เมื่อทำเสร็จแล้วจึงกลับห้อง ก็เห็นว่าโจวจี้เหนียนยังหลับตานอนอยู่ เมื่อวานเข้าเมืองเดินมาทั้งวันคงจะเหนื่อย
คนบนเตียงหลับตา ขนตานิ่งสนิท เซี่ยหนิงมองมือที่วางข้างเตียงของโจวจี้เหนียน นิ้วมือเรียวยาว ข้อนิ้วชัด เห็นเส้นเลือดบนหลังมือได้รางๆ
ครั้นนึกถึงเมื่อคืน เขาก็อดยื่นนิ้วมือออกมาหนึ่งนิ้วไม่ได้ ก่อนจะลูบไล้ไปบนลายเส้นเลือดที่หลังมือของโจวจี้เหนียน
จากนั้นก็ออกจากห้องอย่างเงียบๆ ไปช่วยเตี่ยก่อไฟที่ห้องครัว
โจ๊กข้าวโพดป่นที่ต้มตอนเช้าต้มน้ำจนได้แป้งในข้าวโพดออกมา โจ๊กเหนียวข้นหม้อใหญ่ส่งกลิ่นหอมหวาน ข้าวสวยที่หุงด้วยฟืนและข้าวตังที่อยู่ใต้โจ๊กข้น ก็คือของกินเล่นที่เด็กๆ ในครอบครัวชาวนาชื่นชอบที่สุด
เซี่ยหนิงยกอาหารเช้ากลับไปที่ลานเล็ก ยามนี้โจวจี้เหนียนตื่นแล้ว เห็นเขาฝึกท่านั่งม้า* (ท่านั่งม้า : หมายถึงท่านั่งที่เหมือนขี่ม้า เป็นหนึ่งในท่าพื้นฐานก่อนฝึกวิชากังฟู เป้าหมายคือฝึกกำลังขาและกำลังภายใน) และแขวนหินก้อนใหญ่เท่าฝ่ามือไว้ที่มือด้วยหนึ่งก้อน
“กินข้าวเช้าได้แล้ว” เซี่ยหนิงวางอาหารเช้าบนโต๊ะ ก่อนจะเข้าไปเขย่าก้อนหินด้วยความสนใจใคร่รู้
โจวจี้เหนียนยืดตัวตรง ปลดก้อนหินโยนให้หนิงหลางเล่น ออกกำลังกายข้อมือสักหน่อย “กินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ออกเดินทาง ตอนเย็นต้องกลับมาอีก เจ้าอยู่ห่างน้ำไม่ได้”
“อื้อ” หลังจากมั่นใจว่าเป็นก้อนหินธรรมดาๆ แล้ว เซี่ยหนิงก็โยนมันไว้ข้างๆ ล้างมือแล้วไปหยิบข้าวตังมาแทะ
โจวจี้เหนียนล้างมือสะอาดแล้วนั่งลง เห็นอาการแตกแห้งที่หลังมือเซี่ยหนิงดีขึ้นมากแล้วก็อดจับมาเลิกแขนเสื้อตรวจดูไม่ได้
เซี่ยหนิงก็ดูข้อมือตัวเองด้วย ก่อนจะถูกดึงดูดด้วยสีผิวของโจวจี้เหนียนและอดเทียบกับผิวของตนไม่ได้ สีผิวอีกฝ่ายขับให้สีผิวของตนยิ่งดูขาว
โจวจี้เหนียนนึกฉงนอยู่ในใจ ข้อมือเซี่ยหนิงไม่ได้เป็นเศษผิวหนังละเอียดๆ แล้ว แต่หลุดลอกเป็นแผ่นใหญ่ๆ
เขาสังเกตใบหน้าเซี่ยหนิงอย่างละเอียดอีกที ที่ใบหน้าไม่ได้อาการดีขึ้นเร็วเท่าที่มือ
“ร้อน” เซี่ยหนิงหดมือกลับ เด็กหนุ่มหยิบพัดใบลานมาพัดให้โจ๊กเย็นลง มืออีกข้างป้อนข้าวตังที่เย็นแล้วใส่ปากต่อ
“เมื่อวานที่ข้าเข้าเมือง เจ้าตัวร้อนหรือไม่ เหมือนอย่างที่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหรือไม่” โจวจี้เหนียนรู้สึกว่าแปลกประหลาด วันนั้นเซี่ยหนิงหลับตาบอกทางตามหาถ้ำสระ เหมือนสวรรค์ชี้นำทางในความมืดมิด สระน้ำนั่นอาจจะมีประโยชน์ต่อการแก้พิษของเซี่ยหนิงก็เป็นได้
“ไม่เป็นแล้ว ก่อนมื้อเที่ยงข้ากลับไปอยู่ในน้ำ ตอนบ่ายออกไปข้างนอกก็พกถุงน้ำไปด้วย ดื่มน้ำตลอด” เซี่ยหนิงลูบแก้มตัวเองก็พบว่ายังคงได้สัมผัสแบบกำมะหยี่หยาบๆ
โจวจี้เหนียนพยักหน้า วางแผนในใจว่าต้องหาเวลาสักวันพาหนิงหลางไปว่ายน้ำที่สระแห่งนั้นอีก