(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

เรื่อง : ทดลองอ่าน ภรรยาหนุ่มวาสนาดี เล่ม 1

Saturday

บทที่ 11 ไม่ให้กินดี

ครอบครัวสี่คนกำลังกินมื้อเช้าอยู่ที่ลานเล็ก ผู้ใหญ่สองคนกำชับกำชาโจวจี้เหนียนหลายเรื่องเกี่ยวกับการกลับบ้านเดิม

โจวซานเฟิงกับหลินจิ่นเป็นคนดีมาตั้งแต่เกิด ให้คำแนะนำอย่างมีเหตุผล ผู้ใหญ่มักชอบบ่นเรื่องหนึ่งไม่หยุดหย่อน แต่โจวจี้เหนียนก็ไม่รังเกียจที่ทั้งคู่จู้จี้จุกจิกแถมยังตั้งใจฟังโดยตลอด

“แล้วก็นะ หนิงหลางถ้าเจ้ามีเรื่องให้ท่านพ่อหรือข้าช่วยต้องพูดนะ อย่ากลัวยุ่งยาก ดีไม่ดีอาจป้องกันเคราะห์ร้ายได้อีก”

หลินจิ่นบอก พอเห็นว่าเซี่ยหนิงชอบกินข้าวตัง ก็เอาชามที่ใส่ข้าวตังย้ายไปตรงหน้าเด็กหนุ่ม

“กินข้าวเสร็จแล้วพวกเจ้าสองคนก็ไปเยี่ยมลุงใหญ่สักหน่อย เมื่อวานตอนที่พวกเจ้าไล่แมวเขาถูกหมูป่าสามตัวขวิดจนหกล้มหัวแตก พวกเจ้าเป็นหลานก็ไปแสดงความห่วงใยสักหน่อย ถ้าช่วยได้ก็ช่วย อย่าบ่นว่าเหนื่อย ได้ยินหรือไม่”

เซี่ยหนิงพยักหน้าตอบรับ “ขอรับ ไม่เหนื่อย”

โจวจี้เหนียนยังไม่ได้ส่งเสียง เพียงหันไปมองเซี่ยหนิงแวบหนึ่งราวกับคิดอะไรอยู่

หลังกินข้าวเสร็จทั้งคู่ก็ไปเยี่ยมโจวต้าเฟิง แต่กลับถูกป้าสะใภ้ใหญ่กันไว้ด้านนอกด้วยกลัวว่าจะรบกวนการพักฟื้นของสามีตน

สามีภรรยาคู่แต่งงานใหม่ก็ไม่ได้ดึงดันจะพบคนให้ได้ พวกเขาแค่แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสเท่านั้น ทำการคารวะแล้วพูดตามมารยาทเล็กน้อย จากนั้นก็เดินทางกลับบ้านเดิม

พอออกจากบ้านแล้วโจวจี้เหนียนก็ยังเป็นคนถือตะกร้า ในตะกร้านั้นเป็นเนื้อตากแห้งสองเส้น ข้าวโพดป่นหนึ่งห่อ และขนมอีกจำนวนหนึ่ง เซี่ยหนิงยังเอามะเขือแห้งมาให้เซี่ยเสี่ยวอวี้ด้วย

เพราะต้องออกเดินทางตอนเช้า การจะเลี่ยงไม่เจอกับชาวบ้านที่แบกจอบเตรียมไปนาจึงเป็นไปได้ยาก นอกจากนี้บัณฑิตในต้าชิ่งล้วนได้รับความเคารพจากผู้คน ดังนั้นคนที่เป็นมิตรหลายๆ คนจึงกล่าวทักทายสองสามีภรรยา แน่นอนว่าก็มีหลายคนที่อาศัยว่าทักทายแต่จริงๆ แล้วอยากจะดูภรรยา ‘อัปลักษณ์’ ของโจวจี้เหนียนเสียมากกว่า

โจวจี้เหนียนจูงมือเซี่ยหนิงอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยใส่หมวกสานบนศีรษะภรรยาให้ตรง “ไปเถอะ ตากแดดระวังจะไม่สบาย”

เซี่ยหนิงมือเย็นเฉียบ โจวจี้เหนียนบีบแล้วรู้สึกสบายมาก แต่เซี่ยหนิงไม่ชอบความร้อน ทว่าในใจเขามีความสุขจึงปล่อยให้อีกฝ่ายจับจูง เดินทางกลับสกุลเซี่ยอย่างรักกันหวานชื่นในสายตาของคนในหมู่บ้าน

บุรุษร่างใหญ่สองคนในสกุลเซี่ยรออยู่ที่ลานบ้านแต่เช้าแล้ว จึงได้ยินเสียงสามีภรรยาทักทายเพื่อนบ้านในทันที

เซี่ยเหยาไปเปิดประตูล่วงหน้ายืนรออยู่หน้าบ้าน เห็นโจวจี้เหนียนในชุดคลุมยาวสีดำตั้งแต่แวบแรก จากนั้นภาพเซี่ยหนิงในชุดชาวที่ถูกเด็กหนุ่มจูงอยู่ก็สะท้อนเข้าสู่สายตา

“พี่ใหญ่!” เซี่ยหนิงปล่อยมือแล้ววิ่งไปที่หน้าประตู

โจวจี้เหนียนขายาวกว่าจึงได้เปรียบ เดินตามไปอย่างสบายๆ “พี่ใหญ่”

เซี่ยเหยาอิ่มเอิบใจกับภาพที่คนทั้งสองจูงมือกัน สีหน้าสะท้อนความเป็นมิตรออกมา “รีบเข้ามาเร็ว กินข้าวมาหรือยัง”

“ท่านพ่อ เสี่ยวอวี้ล่ะ” เซี่ยหนิงก้าวเข้ามาที่ลานบ้านก่อนใคร ก่อนจะวิ่งไปนั่งลงข้างหน้าเซี่ยต้าซู่แล้วบอก “เสี่ยวอวี้บอกว่าอยากกินมะเขือม่วงนึ่ง ข้าเอามาให้นางด้วย”

โจวจี้เหนียนหลังจากตอบเซี่ยเหยาแล้วก็ตามเข้าไปนั่งที่ลานบ้านด้วย

เซี่ยต้าซู่มองโจวจี้เหนียนด้วยแววตาพึงพอใจ เขาเห็นแล้วว่าผิวหนิงเกอเอ๋อร์ไม่เพียงดูดีขึ้นมากแต่ยังสดชื่นมากด้วย มีชีวิตชีวาเหมือนตอนก่อนเกิดเรื่อง

โจวจี้เหนียนเอาขนมให้ฝาแฝดที่วิ่งออกมา เซี่ยซุนซื่อเห็นลูกชายกินจนปากเลอะเศษขนม ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มสดใส

นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่เซี่ยซุนซื่อก็พาเซี่ยเสี่ยวอวี้ไปทำอาหารเที่ยงที่ห้องครัว โจวจี้เหนียนกับเซี่ยเหยาที่ต่างเป็นถงเซิง ปีหน้าจะไปสอบเยวี่ยนซื่อจึงไปห้องหนังสือด้วยกัน ทิ้งเซี่ยหนิงให้อยู่กับเซี่ยต้าซู่ผู้เป็นบิดาเพียงลำพัง

ในลานบ้านไม่มีใครอื่น เซี่ยต้าซู่หยิบถุงเงินใบหนึ่งส่งให้เซี่ยหนิง “อาการป่วยของเจ้าดีขึ้นมาก สกุลโจวคงจ่ายเงินไปไม่น้อยกระมัง เอาไปใช้เสีย ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินจะได้สำรองไปก่อนได้”

เซี่ยหนิงรับถุงเงินมาเปิดดู ในนั้นมีก้อนเงินย่อยมากมาย เขาล้วงมือเข้าไปหยิบมาหนึ่งก้อนแล้วเอาถุงที่เหลือยัดกลับไปไว้ในอกเสื้อบิดา “ข้าไม่ได้ใช้เงิน จี้เหนียนตักน้ำให้ข้าหนึ่งถังแช่น้ำทุกคืน มันก็เลยหายไปมากแล้ว”

เห็นลูกชายหยิบเงินย่อยไปแค่หนึ่งก้อนด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ เซี่ยต้าซู่ก็เบิกตากว้างด้วยความกังวลใจ “แช่น้ำทุกคืน? โจวจี้เหนียนไม่ได้กอดเจ้าหรือ”

เซี่ยหนิงเลิกคิ้ว “กอดนะ คืนวานกอดข้าลงน้ำ...”

“โอ๊ย หยุด! เรื่องนี้...เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักอายเลยหรือไรกัน” เซี่ยต้าซู่ร้องเสียงเข้มบอกให้อีกฝ่ายหยุดพูด ใบหน้าชายสูงวัยยับย่น สีหน้าท่าทางดูกลุ้มใจแทนลูกชายคนรอง

“หา?" เซี่ยหนิงขมวดคิ้ว ก็โจวจี้เหนียนไม่เพียงกอดเขาแต่ยังแบกเขาเดินไปเดินมาในหมู่บ้านด้วย ไม่เห็นว่าจะมีใครเหนียมอายเลยนี่

โจวจี้เหนียนกับเซี่ยเหยาคุยเรื่องการรับมือกับการสอบเยวี่ยนซื่อที่ใกล้เข้ามา แบ่งปันการเตรียมตัวของกันและกัน พอได้คุยกัน ในมุมของผู้ใหญ่ที่เคยอยู่มาชาติหนึ่งแล้วโจวจี้เหนียนรู้สึกชื่นชมเซี่ยเหยามาก

ความคิด การกระทำ รวมถึงการคิดถึงสถานการณ์ในภาพรวมของเซี่ยเหยาแข็งแกร่งมาก อีกทั้งมองเรื่องราวด้วยสายตาที่โดดเด่นเฉพาะตัว หากเป็นชาติก่อนโจวจี้เหนียนจะต้องรับเซี่ยเหยาไว้เป็นลูกน้องแน่ แต่น่าเสียดายเขาจำเซี่ยเหยาในชาติที่แล้วไม่ได้เลย เป็นไปได้อย่างมากว่าชาติที่แล้วเซี่ยเหยาจะไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถ ครึ่งชีวิตที่เหลือไร้ชื่อเสียงและไม่มีใครรู้จัก

โจวจี้เหนียนตั้งใจแนะนำอีกฝ่าย จงใจพูดถ่อมตัว “พี่ใหญ่เข้าใจบทประพันธ์ได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ จะต้องสอบได้แน่ ช่วงนี้ข้าท่อง ‘ตำราทั้งสี่’ กับ ‘คัมภีร์ทั้งห้า’* (ตำราทั้งสี่กับคัมภีร์ทั้งห้า : เป็นปรัชญานิพนธ์ของขงจื้อ ขงจื้อ (551 - 479 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของจีน)วันละรอบทุกวัน หวังว่างานเขียนของข้าจะสมเหตุสมผล”

การจะท่องตำราทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้าทั้งหมดไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เซี่ยเหยาถามด้วยความสนเท่ห์ “อาจารย์บอกว่าอ่านจนคุ้นเคยก็พอ ไฉนจึงต้องท่องเล่า”

“มาตรฐานเคอจวี่ของราชสำนักเรา หัวข้อต้องยึดตำราทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้าเป็นหลักแน่ และมักจะไม่บอกว่าหัวข้อคำถามมาจากไหน หากไม่ทบทวนตำราทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้าจนจำได้ขึ้นใจ เกรงว่าจะแสดงความคิดเห็นออกมาไม่ได้” โจวจี้เหนียนแนะนำเล็กน้อย

เซี่ยเหยาที่ถูกชื่นชมมาก่อนแล้วหนึ่งครั้งรู้สึกเบิกบานใจ จึงสนใจฟังที่โจวจี้เหนียนพูด และเริ่มคิดใคร่ครวญอย่างจริงจัง

“บัณฑิตในราชสำนักเรามีผู้ที่ใช้แซ่เดียวกับท่าน ใต้เท้าเซี่ยจือเม่าและใต้เท้าหลินจากสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินล้วนมีความคิดแทรกซึมอยู่ในยุคโบราณ ใช้ความโบราณหล่อเลี้ยงจิตใจอันยิ่งใหญ่ซื่อตรง แสดงความสามารถของตัวเองบนรากฐานของงานประพันธ์โบราณ”

เซี่ยเหยาเห็นแสงสว่างทันควัน “กล่าวได้มีเหตุผล” พลันร้องชมทัศนะอันปราดเปรื่องของอีกฝ่าย

โจวจี้เหนียนรินชาให้ตัวเอง เห็นเซี่ยเหยาท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”

“อาจารย์เคยบอกว่าโครงสร้างเรียงความของข้ากระชับ การเริ่มอภิปราย การลงมือเขียน และเนื้อหาส่วนสุดท้ายล้วนดีเยี่ยม เพียงแต่พออ่านทั้งหมดแล้วเห็นว่าการอธิบายหัวข้อไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แม้ว่าการเขียนจะโดดเด่นแต่ก็มีข้อบกพร่องอยู่ ทว่าอาจารย์ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร ตัวข้าเองก็เข้าไปอยู่ในกระดานนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าจะวางหมากตรงไหน”

เซี่ยเหยายกถ้วยชาขึ้น “พี่ใหญ่มีทิศทางในใจแล้ว จี้เหนียน ข้าขอใช้น้ำชาแทนสุรา ขอบใจเจ้ามาก”

“พี่ใหญ่เกรงใจไปแล้ว” โจวจี้เหนียนยกถ้วยชาแสดงคารวะ ดื่มหมดถ้วยรวดเดียวเช่นกัน

เซี่ยหนิงที่อยู่ในลานบ้านไม่นานก็เบื่อ วิ่งเล่นเข้ามาในห้องหนังสือพี่ใหญ่ เห็นทั้งสองดื่มชาต่างสุรา แต่งบทกวี เขากับเซี่ยเหยาสองพี่น้องสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไรจึงวิ่งเข้าไปร่วมวงสนุกของบัณฑิตอย่างสง่าผ่าเผย

เซี่ยหนิงเท้าคาง เขาเพิ่งเห็นโจวจี้เหนียนคุยเยอะแบบนี้เป็นครั้งแรก คิดว่าตนจะต้องอยู่กับโจวจี้เหนียนไปชั่วชีวิต ไม่รู้หนังสือสักตัวจะได้อย่างไรเล่า จู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นว่า “จี้เหนียน ท่านสอนข้าเรียนหนังสือสักตัวสิ”

พอเขาเอ่ยขึ้น แม้แต่เซี่ยเหยาที่รักและเอ็นดูน้องชายก็ยังเอ็ดเบาๆ “เหลวไหล เจ้าเรียนไปจะมีประโยชน์อะไร”

“ได้ ข้าจะสอนเจ้าเขียนคำว่าเซี่ยหนิง” โจวจี้เหนียนตอบตกลงพลางลุกขึ้นยืน

ในบ้านคนที่เล่าเรียนหนังสือล้วนมีกระบะทรายหนึ่งกระบะ เอาไว้ใช้ฝึกคัดอักษรขั้นพื้นฐาน โจวจี้เหนียนให้เซี่ยหนิงนั่งหน้ากระบะทราย ขณะที่ตนยืนอยู่ทางข้างหลังเด็กหนุ่ม ก้มตัวอยู่เหนือกระบะทราย เขียนตัวอักษร ‘谢宁 เซี่ยหนิง’ สองตัวทีละขีดทีละเส้นชัดๆ

“นี่ก็คือชื่อของเจ้า เจ้าเขียนตามสิ”

เซี่ยหนิงยกนิ้วเรียวขาวหนึ่งนิ้ว ไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนตัว ‘言’ จากด้านซ้ายก่อน? หรือว่าเขียนจากบนลงล่างเป็นตัวอักษร ‘身’ ก่อนดี? 

เซี่ยเหยามองด้วยความฉงน สังเกตเห็นว่ามุมปากโจวจี้เหนียนที่ปกติจะเม้มแน่นอย่างเคร่งเครียดอยู่เสมอถึงกับหยักโค้งเป็นรอยยิ้มนิดๆ...

โจวจี้เหนียนก้มตัว แผ่นอกกว้างโอบเซี่ยหนิงไว้ข้างใน จับมือขวาของอีกฝ่ายสอนเขียนคำว่าเซี่ยหนิงแบบตัวต่อตัว

“ตัวเซี่ย (谢) เขียนจากบนลงล่าง” โจวจี้เหนียนพูดพลางเขียนพลาง เขียนเสร็จแล้วก็ปล่อยมือ “คราวนี้เจ้าเขียนเอง”

เซี่ยหนิงถูมือด้วยความตื่นเต้น ขยับก้นกระดุกกระดิก เมื่อจัดท่าเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจเขียนตัวอักษรตามตัวอย่าง

“อื้ม เขียนได้ไม่เลว ส่วนหัวตรงกลางเขียนให้เล็กกว่านี้หน่อย” โจวจี้เหนียนให้กำลังใจเต็มที่

เซี่ยเหยายิ้มเงียบๆ ก้มหน้าเริ่มอ่านหนังสือ

จนกระทั่งเมื่อถึงเวลากินข้าวโดยมีเซี่ยเสี่ยวอวี้มาเรียก ทั้งสามจึงออกมาจากบรรยากาศการอ่านหนังสือเล่าเรียนแล้วไปกินข้าวด้วยกัน


 

จนเมื่อตอนบ่ายกลับถึงลานเล็กสกุลโจว เซี่ยหนิงรีบให้โจวจี้เหนียนเอากระบะทรายตอนเขาเพิ่งหัดเรียนออกมา แล้วเขียนคำว่าเซี่ยหนิงให้โจวจี้เหนียนดูอย่างภาคภูมิใจ

“อื้ม ฉลาด” โจวจี้เหนียนเข้าไปเขียนคำว่า ‘เซี่ยหนิง’ อย่างประณีตเรียบร้อยอีกรอบ จากนั้นก็อาศัยแสงอาทิตย์เริ่มคัดลอกหนังสือ

เซี่ยหนิงประคองกระบะทรายเขียนตามตัวอักษรโจวจี้เหนียนรอบแล้วรอบเล่า สามารถเขียนชื่อของตนได้เหมือนตามแบบ อย่างน้อยๆ ส่วนหัวก็ไม่แยกออกมาแล้ว

ฤดูร้อนอากาศร้อนแผดเผา ตอนกลางวันโจวต้าเฟิงก็ยังไข้ขึ้นสูง เมื่อหมอมาดูอาการอีกก็พบว่าอาการบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ จึงให้สกุลโจวรีบพาเขาส่งไปหาหมอในเมือง

ย่าโจวจึงหยิบเงินให้สะใภ้ตน สะใภ้ใหญ่พาโจวเวินชูผู้เป็นลูกชายไปด้วย มีโจวซื่อเฟิงคุ้มกันพร้อมกับเช่าเกวียนพาไปส่งรักษาแผลในเมือง

เนื่องจากโจวซานเฟิงขาพิการ แม้ไม่ต้องวิ่งเต้นเป็นธุระ แต่โจวต้าเฟิงกับโจวซื่อเฟิงเข้าเมืองพร้อมกันอย่างนี้จึงเท่ากับว่างานในไร่นาทั้งหมดตกอยู่กับเขา ในบ้านเหลือบุรุษอีกหนึ่งคือโจวลิ่วเฟิงซึ่งไม่เคยสนใจงานที่ไร่นา

โชคดีนาข้าวอยู่ระหว่างพักช่วงฤดูร้อน ย่าโจวแค่แบ่งให้หลินจิ่นลงนา งานในบ้านทั้งหมดจึงตกอยู่กับหลินกุ้ยฮวา ส่วนสะใภ้หกดีแต่ปากทำงานไม่ได้เรื่องมาโดยตลอดจึงของานทอผ้าที่สบายที่สุด แค่คอยนั่งบัญชาการรุ่นเด็กๆ อยู่ข้างๆ เท่านั้น

งานในบ้านและนอกบ้านยุ่งจนหัวหมุน เซี่ยหนิงกลายเป็นหนามยอกอกของย่าโจว ข้อแรกคือเขาออกไปข้างนอกไม่ได้ อีกทั้งป่วยและหยามภาพลักษณ์สกุลโจว ข้อสองคือไม่กล้ากินอาหารที่เขาทำด้วยกลัวว่าคนสกุลโจวจะติดโรค

แต่นางก็ทำอะไรเซี่ยหนิงไม่ได้ จึงได้แต่จัดการเรื่องอาหารการกินของเซี่ยหนิงอย่างใจร้าย ไม่ว่าจะเป็นห้ามตักข้าวเยอะ กับข้าวก็ห้ามกินเยอะ

ย่าโจวถือชามอยู่พลางมองหลินจิ่นตักข้าว ดวงตาคมกริบเหี้ยมเกรียมสะท้อนเล่ห์เหลี่ยม พูดอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย “ตักน้อยๆ หน่อยอาหารบนโต๊ะไม่พอกินแล้ว บ้านเจ้าตักเอาไปหมดแล้ว หลานสะใภ้วันๆ ไม่ทำงานทำการ หิวก็ไม่หิว”

สะใภ้หกเป็นคนเจ้าเล่ห์ นางกลอกตาคิดก่อนจะเข้ามาแย่งทัพพีตักข้าวไปด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “ท่านแม่พูดถูก ข้าตักให้เอง รับรองว่าพี่สามไม่อิ่มเกิน และไม่ทำให้หลานจี้เหนียนหิวโหยด้วย”

ตักเสร็จแล้วก็ยังส่งไปให้ย่าโจวดูด้วย “ท่านแม่ ท่านดูสิ ต้องเติมอีกหน่อยไหมเจ้าคะ”

“พอแล้ว” ย่าโจวกระแทกปลายตะเกียบ “กินข้าว”

หลินจิ่นเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ถึงอย่างไรหนิงหลางก็โตขนาดนั้นแล้ว นี่จะพอให้เขากินอิ่มท้องได้อย่างไรกัน”

เขาชอบเซี่ยหนิงภรรยาของลูกชายคนนี้มากจริงๆ มีอย่างที่ไหนเพิ่งแต่งเขาเข้ามาก็ไม่ให้เขากินอิ่มท้อง? พูดออกไป ชื่อเสียงลูกชายเขาจะไม่เสียหายหรือ

“จะไม่พอได้อย่างไร วันๆ เขาเอาแต่นอน จะหิวได้อย่างไร” ย่าโจวไม่ชอบคนที่พูดค้านเป็นที่สุด หลังจากที่สามีนางตายจากไปทุกเรื่องในครอบครัวล้วนต้องฟังนาง นางไม่เคยออกจากบ้านตั้งแต่เล็ก ไม่เข้าใจหลักสัจธรรมอะไร ถ้าลูกตอนเด็กๆ ไม่เชื่อฟัง นางแค่ดุก็เป็นเด็กดีแล้ว จึงเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด

“หิวก็เพราะแต่ก่อนเจ้าทำให้เขาเจริญอาหารกินจนแน่นท้องน่ะสิ” ย่าโจวยิ่งพูดก็ยิ่งมีสัญญาณว่าจะบันดาลโทสะ “ไม่กินก็วางเอาไว้ พอกินอิ่มเจ้าก็มีแรงต่อปากต่อคำได้ทุกวัน!”

ในหัวหลินจิ่นมีคำว่า ‘แยกบ้าน’ สองคำนี้ผุดขึ้นมา เขาทนไม่ไหวแล้ว ยกอาหารเย็นกลับลานเล็กทันที

 

หนังสือแนะนำ All

Special Deal