(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

new

ทดลองอ่าน นิยายจีน ฝูเหยาฮองเฮา #1

บทนำ

    

 “วิมานบนสวรรค์สามสิบสามแห่ง ตำหนักจำพรากอยู่สูงที่สุด โรคร้ายสี่ร้อยสี่สิบชนิด โรคแห่งความคิดถึงเจ็บปวดที่สุด” 

 “ข้าไม่คิดถึงใคร”

 “อ้อ แล้วตราประทับอันนั้นของเจ้า แกะสลักขึ้นเพื่อใคร”

 “เพื่อคนที่ไม่อาจขาดไปจากชีวิตได้”

 “นั่นยังไม่เรียกว่าคิดถึงอีกหรือ”

 “ไม่ ชีวิตคนแสนสั้น แต่ความคิดถึงยาวนาน  ความเป็นความตายในโลกมนุษย์เป็นเพียงเรื่องชั่วพริบตา ใครจะรู้ว่าสิ่งที่รอข้าอยู่คือการได้พานพบหรือความพลัดพราก แล้วจะยืนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าได้อย่างไร”

 “เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร”

 “หากนางอยู่ในโลกมนุษย์ ข้าจะไปยังโลกมนุษย์”

 “โลกมนุษย์จะวุ่นวาย”

 “โลกมนุษย์วุ่นวาย ข้าจะต้านทาน นรกเปิด ข้าจะผจญ สี่ทะเลคลั่ง ข้าจะข้ามผ่าน ประชาราษฎร์ขวาง  ข้าจะทำลาย”

 “เหตุใดต้องลำบากถึงเพียงนั้น”

 “เพื่อนางแล้ว ข้าไม่กลัวความเจ็บปวดและความทรมานจากอำนาจกิเลสใดในโลกมนุษย์”

 

บทนำ ดับไฟในสุสาน

 

ภายในห้องข้างของสุสานอันมืดมิดมีใบหน้าและศีรษะเปื้อนฝุ่นดินของคนหลายคนกำลังเคลื่อนไหว หนึ่งในจำนวนนั้นเช็ดเหงื่อ เหยียดตัวขึ้นเล็กน้อยและตะโกนไปยังห้องหลักของสุสาน “หัวหน้า ทำไมในสุสานถึงได้มืดน่ากลัวอย่างนี้  เหมือนมีลางไม่ดีนะ วันนี้ออกจากบ้านได้เช็คดวงหรือเปล่า”

 “ดูแล้ว” เมิ่งฝูเหยานั่งคุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้น ใช้แปรงปัดฝุ่นบนโลงศิลาสีเขียวครามขนาดใหญ่ในสุสาน เธอตอบกลับอย่างชัดเจนโดยไม่เงยหน้า ทั้งๆ ที่ปากคาบไฟฉายอันเล็กเอาไว้ว่า “วันนี้ฤกษ์งามยามดี สำหรับการบรรจุศพ  ไว้ทุกข์ ย้ายโลงศพ ดูสิ บังเอิญมาก เกี่ยวกับความตายทั้งนั้น”

นายอ้วนที่ตะโกนมาเมื่อครู่มองค้อนพร้อมกล่าวว่า “โห คุณจะพูดเรื่องเป็นมงคลหน่อยได้ไหม”  เขาเงยหน้าขึ้นมองภาพวาดตัวประหลาดที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นวัวบนเพดาน ลายเส้นแจ่มชัดมีชีวิตชีวาภายใต้แสงไฟฉายราวกับจะเดินลงมาได้ทุกเมื่อ จนเขาอดหดตัวเล็กน้อยด้วยความกลัวไม่ได้

เมิ่งฝูเหยาคร้านจะสนใจเขา ตั้งใจทำงานของตน ค่อยๆ ปัดฝุ่นออกจนหมด รูปสลักสัตว์ประหลาดหนึ่งเขาสามหัวสองลำตัว ด้านหลังมีปีกหนึ่งคู่ และมีดวงตาเกรี้ยวกราดปรากฏขึ้น ในสายตาของเมิ่งฝูเหยา มันคือความสวยงามของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ดุร้ายในอารยะธรรมโบราณ 

เมิ่งฝูเหยาลูบคลำรูปสลักนั้นด้วยความดีใจ เธอยื่นมือไปพร้อมกล่าวว่า “ไม้บรรทัด!”

มีคนยื่นสายวัดให้อย่างรวดเร็ว

“นายอ้วน มา มาถ่ายรูปกับโลงศพฮ่องเต้ด้วยกัน” เมิ่งฝูเหยาดึงตัวนายอ้วนมา “นายไปทางนั้น ฉันอยู่ทางนี้ นับได้”

 “ไม่เอาน่าหัวหน้า ทำไมไม่ยอมละเว้นผมบ้าง” เจ้าอ้วนเสี่ยวหยวนดิ้นรนสุดชีวิต

 “เพราะนายคือน้องใหม่” เมิ่งฝูเหยายิ้มฟันขาวให้เขา “น้องใหม่มีไว้ให้รุ่นพี่ทรมาน อย่าลีลา เร็วเข้า รีบจัดการสุสานนี่ให้เรียบร้อย ปีนี้ฉันจะได้มีข้อมูลไปเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกด้วย”

 “บ้าเอ้ย ยัยคนบ้างาน อายุเพิ่งยี่สิบสองก็เป็นรองศาสตราจารย์แล้ว มีคนอย่างคุณอยู่ ถือเป็นความอัปยศของวงการนักโบราณคดีชัด ๆ...” นายอ้วนบ่นอุบอิบ แล้วจึงอ่านตัวเลขภายใต้แสงไฟฉาย “เรียบร้อย ยาวสองร้อยสิบแปดเซน กว้างเก้าสิบสี่เซน สูงหกสิบหกเซน”

 “โอเค!” เมิ่งฝูเหยาตบรูปสลักหินบนโลงคราหนึ่งจนฝุ่นฟุ้งกระจายไปสี่ทิศ เธอมองดูโลงศพด้วยความพึงพอใจ เมื่อคิดว่าเรียนจบปริญญาเอกเงินเดือนก็คงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จะได้มีเงินมากพอสำหรับค่าฟอกไตที่โรงพยาบาลของแม่ ไม่ต้องลำบากอีก เธอก็อดดีใจไม่ได้ 

เมื่อคิดถึงโรคของแม่ ทำให้เมิ่งฝูเหยาเผลอตัว ไม่ทันสังเกตว่าหลังจากที่เธอตบฝ่ามือลงบนรูปสลักเมื่อครู่ เกิดเสียงหนักๆ ขึ้นที่ใต้โลง มันดังก้องไปตามทางเดินยาวจนถึงประตูสุสานและสะท้อนกลับมา เสียงสั่นสะเทือนอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ช่างคล้ายกับเสียงฝีเท้าของยักษ์ในยุคโบราณลากเท้าเดินขึ้นมาจากใต้ดิน

ทั้งๆ ที่สุสานปิดมิดชิดอยู่ใต้ดิน แต่ไม่รู้ว่าลมเย็นหอบหนึ่งพัดมาจากไหน เย็นจนทุกคนสั่นสะท้าน แสงสลัวในสุสานสะท้อนบนใบหน้าทุกคนจนเป็นสีเขียวอ่อน มองดูแล้วเหมือนปิศาจร้าย

นักโบราณคดีทีมนี้มาจากสถาบันศึกษาค้นคว้าโบราณคดีเจียงซู  เดินทางมาที่ชายแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้เพื่อขุดค้นสุสานนิรนามขนาดใหญ่ที่ลือกันว่าเก่าแก่กว่าสุสานของโจโฉเกือบร้อยปีแห่งนี้ นับจากเริ่มขุดค้นวันแรก ก็เกิดเรื่องขึ้นในทีมไม่หยุด ก่อนอื่นกินผักป่าผิดสำแดง ทุกคนมีอาการอาหารเป็นพิษทั้งอาเจียนทั้งถ่ายท้อง เป็นการเพิ่มปุ๋ยล้ำค่าที่ส่งตรงจากเมืองอันอุดมสมบูรณ์ให้กับดินจืดบนที่ราบสูงหวินกุ้ยฟรีๆ ต่อมาเมื่อเช้า ขณะที่เสี่ยวหลี่มุดออกจากเต็นท์ก็ถูกงูพิษที่หน้าประตูกัด ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เมื่อเช้าตอนเปิดประตูสุสาน ความจริงไม่คิดจะลงมาด้านล่าง แต่จู่ๆ เสี่ยวหวังหนึ่งในทีมแพทย์ก็ได้รับเกียรติจากหินบนคานที่ร่วงลงมาโดนศีรษะจนต้องเอามือกุมหัวพลัดตกลงไปข้างล่าง

เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ หากยึดตามตรรกะของโจรขุดสุสาน เรื่องนี้ออกจะแปลกประหลาด ไม่สมควรสำรวจต่อไป หากยึดตามหลักเกณฑ์ของทีมโบราณคดี ที่แม้จะขุดสุสานตามหน้าที่ ต่างจากพวกโจรที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่ก็ยังถือเป็นการรบกวนหลุมศพของบรรพบุรุษ ซึ่งก็ควรยึดหลักเดียวกัน 

เหล่าลูกทีมพูดเป็นเสียงเดียวกันให้ปิดสุสานไว้แล้วเดินทางกลับ เรื่องที่เหลือมอบให้ส่วนราชการนำเครื่องจักรกลที่ทันสมัยมาจัดการต่อดีกว่า

น่าเสียดาย ผู้นำทีมมาครั้งนี้คือคุณเมิ่งฝูเหยาผู้มีสมญานามว่า ‘นางมารผมแดง’ คุณเมิ่งดีพร้อมทุกด้าน จนได้รับการขนานนามว่าเป็นบุคคลตัวอย่างผู้มีคุณธรรม สติปัญญา พลานามัย สุนทรียศาสตร์ และความขยันขันแข็งซึ่งเป็นห้าสิ่งที่จีนยุคใหม่เฝ้าปลูกฝังครบทั้งห้าด้าน ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของเธอคือ สมองไม่ค่อยปกติเท่าใดนัก

แน่นอน ความผิดปกติที่ว่า จำกัดเฉพาะความกระตือรือร้น ความหลงใหลในการขุดสุสานโบราณ และการตัดสินใจที่ต่างจากคนทั่วไปเมื่อเจอเรื่องไม่ธรรมดาของเธอ

อย่างไรก็ตาม คุณเมิ่งจะไม่ยอมละทิ้งงานขุดสุสานที่เธอรักเพียงเพราะเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เช่นท้องเสีย งูกัด หินหล่นใส่หัวใครแตกเด็ดขาด สำหรับคนนอกคอกที่เคยนอนกอดศพโบราณศพแรกที่ตัวเองขุดขึ้นมาได้อย่างเป็นสุขทั้งคืน เรื่องแค่นี้ไม่นับเป็นอย่างไรได้

 “ชะแลง ค้อน อีเต้อ!” (เครื่องมือสำหรับขุดของแข็ง หรือหิน ทำด้วยเหล็ก ลักษณะคล้ายจอบ ปลายหัวด้านหนึ่งแหลม ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งแบน มีรูตรงกลางสำหรับใส่ด้าม) เมื่อเธอสะบัดผม พลันมีลำแสงสายหนึ่งสว่างวาบขึ้นในห้องอันมืดมิด เมิ่งฝูเหยากำลังคันไม้คันมือ แววตาเรืองรองราวกับอัคคีสวรรค์ที่ไม่มีวันดับ

อุปกรณ์ไม่ได้ถูกส่งมาในทันที เมิ่งฝูเหยาขมวดคิ้วแล้วหันหน้ากลับมา เห็นทุกคนในทีมหน้าตาไม่สดชื่น ไม่กล้าก้าวเท้ามาข้างหน้า

 “เฮ้อ กลัวเหรอ อย่าบอกนะว่าทีมนักโบราณคดีมืออาชีพถูกต้องตามกฎหมายของประเทศก็งมงายเรื่องผีสางเทวดาด้วย นาย นาย นาย” เธอชี้หน้าลูกทีมทีละคน “ท่านสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ท่านอัจฉริยะและนักศึกษาทั้งสามที่ถูกหล่อหลอมจากลัทธิมาซ์ก-เลนิน และแนวคิดแบบเหมาเจ๋อตง แค่ท้องเสียไม่กี่ครั้งถึงกับขับถ่ายเอาความคิดตามหลักวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่เต็มสมองออกไปหมดเลยหรือ” 

เธอก้าวยาวๆ เข้าไป ค้นในกระเป๋าเป้ดังแกรกกรากพักหนึ่ง หยิบเอาเทียนหลายเล่มออกมา เมิ่งฝูเหยากลอกตามองบน แล้วไปจุดเทียนสี่เล่มวางไว้ที่มุมห้องทั้งสี่ แสงเทียนอ่อนๆ โอนไหวไปมาอยู่ที่มุมทั้งสี่ ดูไปกลับเหมือนแสงสีเขียว

 “หัวหน้า...คุณทำอะไร...”

 “เคยอ่านเรื่องผีดับตะเกียงไหม” (ผีดับตะเกียง เป็นนิทานชาวบ้านซึ่งเชื่อว่า ในกายคนเรามีตะเกียงสามดวง หนึ่งดวงอยู่บนศีรษะ และอีกสองดวงอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง ซึ่งถือเป็นธาตุไฟในกาย หากได้ยินใครเรียกในเวลากลางคืน ห้ามหันไปมองทางด้านข้างเด็ดขาด มิเช่นนั้นหากทำให้ตะเกียงข้างใดข้างหนึ่งบนบ่าดับ จะถูกผีเรียกวิญญาณไป อีกความเชื่อหนึ่ง คือ หากโจรขุดสุสานบุกรุกเข้าไปด้านใน ต้องจุดตะเกียงเพื่อเป็นการถามผู้ตายว่าอนุญาตให้ทำการขุดต่อไปหรือไม่ หากตะเกียงดับหมายถึงผู้ตายไม่อนุญาต ซึ่งถือเป็นการประนีประนอมกันระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ทางด้านวิทยาศาสตร์ การจุดตะเกียงเป็นการทดสอบระดับออกซิเจนข้างใน หากตะเกียงดับหมายถึงมีออกซิเจนไม่เพียงพอ หากทำการขุดต่อไป จะมีอันตรายถึงชีวิต ทว่าคนโบราณไม่เข้าใจ จึงคิดว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ) เมิ่งฝูเหยาดีดนิ้วหนึ่งครั้ง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อพวกนายคิดว่ามีผี ฉันก็จะเชื่อ นั่น ถ้าเทียนดับ เราจะเลิกงาน เป็นไง”

 “จริงเหรอ” นายอ้วนมองเทียนไขเล่มนั้นด้วยแววตาอำมหิต...เดี๋ยวจะเข้าไปเป่าให้ดับเองเลย...

ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ นางมารสาวก็เริ่มแบ่งหน้าที่แล้ว ทุกคนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่รอบโลงศพ ไม่มีเวลาสนใจเทียนไขที่ตั้งอยู่ในมุมทั้งสี่

พวกเขาไม่ทันรู้สึกด้วยซ้ำว่า จู่ๆ ก็มีลมหมุนวนเรี่ยไปตามพื้น เทียนเล่มที่อยู่มุมสุสานด้านตะวันตกเฉียงใต้สั่นระริกและดับทันที 

ฝาโลงมีน้ำหนักมาก เวลาผ่านมาเป็นพันปี โมเลกุลของหินมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รอยต่อของตัวโลงและฝาหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว  คนหลายคนออกแรงมาก แต่ก็ทำให้เกิดรอยแยกได้เพียงนิดเดียว เมิ่งฝูเหยายืนอยู่บนหินในสุสาน สองมือเท้าหัวเข่า ตะโกนนับเสียงดัง “หนึ่ง สอง สาม!” 

หลังเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงปังดังขึ้นทันที ฝาโลงถูกผลักออก เผยให้เห็นด้านในโลงศพ

 “ทุกคน เยี่ยมมาก!” เมิ่งฝูเหยาปรบมือให้กำลังใจ ก้าวขึ้นไปยืนบนขอบโลง ด้านหนึ่งส่องไฟฉายเข้าไปในโลง อีกด้านฮัมเพลงที่แต่งขึ้นมาเองด้วยความดีใจ

 “สองพันปีให้หลัง เราจะได้พบกันอีกครั้ง ในพิพิธภัณฑ์ เราจะถูกบรรจุลงในโลงแก้ว เจ้าหนึ่งโลง ข้าหนึ่งโลง ไม่แบ่งแยกใครเป็นใคร ไม่หวาดกลัวโจรขุดสุสานไล่ล่าเรา...”

ทีมงานทั้งหมดกลอกตาไปมา เพียงเกลียดตัวเองที่ไม่อาจยกมือปิดหูเพื่อสกัดกั้นเสียงไม่น่าฟังของใครบางคนไม่ให้ผ่านเข้าหูไปได้

เจ้าอ้วนนั่งยองอยู่ด้านนอกฝาโลง เห็นคำจารึกที่สลักอยู่บนฝาโลงรำไร จึงรีบใช้แปรงปัด

รอยสลักถูกเติมด้วยชาด พันปีผ่านไปตัวหนังสือยังชัดเจน ไม่รู้ว่าในชาดมีสารอะไรผสมอยู่ จึงส่งกลิ่นคาวปนหอมหวานชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้ได้กลิ่นรู้สึกไม่สบายใจออกมา

 “ท้องนภามืดมัวหม่น พสุธากว้างไพศาล ผู้ตายกลับสู่ความมืด ผู้มีลมหายใจอยู่กับแสงสว่าง คนเป็นมีที่อาศัย คนตายมีถิ่นพำนัก อยู่กันคนละโลก มิอาจ...รุกล้ำ”

แสงจากไฟฉายสาดส่องไปมา เหมือนดวงไฟปิศาจเคลื่อนที่ไปทั่ว นายอ้วนหน้าเปลี่ยนสีแล้ว

เมิ่งฝูเหยายังง่วนอยู่กับเรื่องในโลงศพ เธอกล่าวขึ้นมาลอยๆ ว่า “อ้อ เป็นคำจารึกสมัยฮั่น แต่ประโยคสุดท้ายแตกต่างอยู่บ้าง สลักว่าอะไรนะ”

นายอ้วนอ้าปาก ยังไม่ทันพูดอะไร หางตาพลันเหลือบไปเห็นเทียนที่ดับไปแล้วเล่มนั้น จึงร้องอุทานและกระโดดขึ้นทันที

 “ไม่ถูกแล้ว เผ่นกันเถอะ!”

 “ไอ้บ้าเอ้ย คิดว่าเราเป็นโจรภูเขาหรือไง!” เมิ่งฝูเหยาด่าไปหัวเราะไป ในขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้น

 “ตูม!”

พลันเกิดเสียงดังมาจากด้านหลัง สุสานทั้งหลังเริ่มสั่นไหว ผู้คนเจ็ดแปดคนยืนไม่อยู่ล้มกลิ้งเหมือนน้ำเต้าไปกองรวมกัน จากนั้นมีเสียงเปรี๊ยะ ราวกับเสียงฝีเท้ายักษ์ย่ำลงบนพื้นด้วยแรงมหาศาลที่สามารถผ่าฟ้าแยกพสุธาได้ดังสนั่นขึ้น ทันใดนั้นห้องภายในสุสานเริ่มลาดเอียง โลงศพลื่นไถลตามพื้นไปชนกับกำแพงอย่างรุนแรง เศษอิฐหินปลิวว่อนอยู่ที่มุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้เกิดรูขนาดเท่ากำปั้นรูหนึ่งบนพื้น คนหลายคนเอามือกุมหัวกลิ้งหลบเศษอิฐเศษหิน เจ้าอ้วนอุ้ยอ้ายไม่คล่องแคล่ว หลบไม่พ้นร้องโอดโอยวุ่นวาย เสียงที่ดังอยู่ด้านนอกค่อยๆ เร่งร้อนขึ้นทุกที

เมิ่งฝูเหยาฝืนเงยหน้าขึ้นภายใต้เสียงร้องครางและเสียงโวยวาย เธอคว้าเป้ที่ไถลมาข้างกายคลุมหัวไว้ก่อน แล้วร้องดังๆ ว่า “ดินคงจะถล่ม! ช่วงนี้ฝนตกบ่อย! ออกไป! เดี๋ยวนี้!”

คนที่กลิ้งตัวไปอยู่แถวทางออกชะโงกหน้ามองดู ตะโกนบอกเสียงเครือว่า “ทางออกโดนโคลนกับหินปิดไว้แล้ว!”

 “ร้องไห้ทำไม! ร้องแล้วจะเปิดประตูได้หรือ” เมิ่งฝูเหยากลิ้งไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษหินสองสามตลบ เงยหน้ามองเพดานโค้ง ตะโกนว่า “เมื่อก่อนตรงนี้มีอุโมงค์โจร ออกไปทางนี้!”

 “อุโมงค์นั้นยังขุดไม่เสร็จ มีศพครึ่งท่อนคาอยู่ด้วย!”

เมิ่งฝูเหยาผูกเป้ไว้ที่คอ ลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่ทันยืนตรง แรงสั่นสะเทือนมหาศาลก็ทำให้เธอล้มคว่ำลง เธอไม่คิดจะลุกขึ้นอีก กัดฟันคว้าอีเต้อหนึ่งด้ามไว้ ม้วนตัวไปยังจุดที่เคยเป็นอุโมงค์โจรอย่างรวดเร็ว แล้วเงื้ออีเต้อทุบลงไปสุดแรง

เสียงฉึบฉับดังขึ้นพร้อมขาข้างหนึ่งร่วงลงมาก่อน เศษเนื้อและเลือดตกลงมาข้างกายเมิ่งฝูเหยา แต่เธอไม่มองมันแม้แต่แวบเดียว

จากนั้นเมิ่งฝูเหยาหลีกทางให้ส่วนลำตัวที่ตกตามลงมา รอยเลือดปรากฏเป็นทางยาวตามเสียงครืดของลำตัวที่ไถลไปตามพื้นด้านมุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นส่วนที่พื้นสุสานลาดเอียงไปครึ่งหนึ่ง

ลำตัวเพิ่งจะผ่านไป หัวกะโหลกแบนลีบก็ตกลงมาที่ท้องเมิ่งฝูเหยาทันที เธอเอามือปัดออก พูดว่า “ไป! อย่ามาเกะกะฉัน!”

เศษดินแข็งสีเหลืองเทาร่วงกราวลงมา บังเกิดเป็นช่องเล็กๆ ปรากฏแสงสว่างเบื้องหน้า เมิ่งฝูเหยายิ้มดีใจทั้งที่ใบหน้าและศีรษะเต็มไปด้วยฝุ่น

 “ใครยังไม่ตายมานี่ให้หมด! มีทางออกแล้ว!”

เหล่าลูกทีมทั้งกลิ้งทั้งคืบคลานมา เมิ่งฝูเหยาคว้าคอเสื้อใครคนหนึ่งไว้ได้ เธอเตรียมดันเขาเข้าไปในอุโมงค์ คนๆ นั้นรีบจับมือเธอไว้

 “คุณไปก่อน!”

 “ไป!”

 “คุณเป็นผู้หญิง!”

 “ฉันเป็นหัวหน้า!”

เสียงครืดคราดยังดังไม่หยุด พื้นเอียงจนเกือบเป็นมุมฉาก พื้นที่ราบส่วนเดียวที่เหลือในสุสานคือส่วนที่พวกเขายืนอยู่ ซึ่งไม่น่าจะคงรูปอยู่ได้นาน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเศษหินแหลมคมราวลูกธนูที่อาจตกลงมาได้ทุกเวลาอีกด้วย 

ลูกทีมคนนั้นยังอยู่ที่ปากทางออกไม่ยอมขึ้นไป เป็นตายอย่างไรก็จะให้เมิ่งฝูเหยาขึ้นไปก่อนให้ได้ การยึดติดเรื่องคุณธรรมน้ำใจในเวลานี้กลับกลายเป็นไร้คุณธรรมน้ำใจ ดวงตาเมิ่งฝูเหยาแทบจะกลายเป็นสีแดงดั่งสีผม เธอกัดฟันกรอด ตบหน้าสุภาพบุรุษผู้รู้จักให้เกียรติผู้หญิงเต็มแรงฉาดหนึ่งจนมึนงงเห็นดาวเต็มหน้า

เมิ่งฝูเหยาฉวยโอกาสที่เขามึนงง ดันตัวเขาเข้าไปในช่องพร้อมยกเท้าถีบก้นเขาเต็มแรง

 “ถ้ายังงี่เง่า จะตบให้ตายเลย!”

วิธีนี้ใช้ได้ผล ลูกทีมที่เหลือปีนออกไปอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบ เมิ่งฝูเหยายื่นมือไปคว้านายอ้วนซึ่งเป็นคนสุดท้าย แต่กลับคว้าได้แต่อากาศ

เธอหันกลับไป เห็นเจ้าอ้วนกลิ้งไปยังส่วนที่ทรุดลงครึ่งหนึ่ง เขากำลังไขว่คว้าจับสิ่งของที่ผ่านหน้าไปอย่างเร็วสุดแรงเพื่อหยุดการลื่นไถล ด้านหลังเขา ยังมีกองหินระเกะระกะกองใหญ่ที่เผยด้านคมม้วนเข้ามา

เจ้าอ้วนร้องโวยวาย ตกใจกลัวจนพูดไม่เป็นภาษา

เมิ่งฝูเหยาหันกลับไปมอง เธอใช้ขาเกี่ยวโคมไฟทองแดงที่ยื่นออกมาจากกำแพงศิลาไว้ นอนราบกับพื้น ยื่นมือออกไป ในที่สุดเธอก็จับแขนอวบของเจ้าอ้วนไว้ได้ในวินาทีที่เขากำลังจะตกลงไปพอดี

นายอ้วนตะโกนพร้อมน้ำตาที่ไหลพรากว่า “แม่คุณเอ้ย บอกแล้วว่าอย่าเปิดโลง อ๊าก อ๊าก...”

 “ไปตายซะ!”

เมิ่งฝูเหยาคว้าไหล่หนาของนายอ้วนไว้แล้วก็ส่งเขา ‘ไปตาย’

ปีนขึ้นไปได้ครึ่งหนึ่ง ก้นนายอ้วนใหญ่เกินไป ติดคาอยู่ที่ช่องโจรขึ้นไปไม่ได้ เมิ่งฝูเหยาเอี้ยวตัวไปหาอีเต้อ บ่นว่า “ต้องจิ้มซะ!”

 “อย่าทิ่มก้นผมนะ!” นายอ้วนตะโกนออกมา โชคดีที่เขาขึ้นไปได้ทันที

เมิ่งฝูเหยาหัวเราะร่า ขณะกำลังปีนขึ้นไป ดวงตาพลันกระจ่างวาบ

ที่ด้านหน้าไม่ไกล ไม่รู้พื้นตรงไหนแตกออก เผยให้เห็นกระถางหยกเขียวเล็กๆ ใบหนึ่ง มันกำลังสั่นโคลงเคลงราวกับจะตกลงไป

เมื่อตาแหลมคมของเมิ่งฝูเหยาเห็นกระถาง มือก็ยื่นออกไปฉกมันไว้ได้อย่างรวดเร็ว เธอหัวเราะเสียงดัง “เยี่ยม! ของชั้นยอด!” 

กระถางใบนี้เป็นวัตถุสมัยฮั่นอย่างแท้จริง ปัจจุบันมีการขุดพบวัตถุก่อนยุคราชวงศ์ถังน้อยมาก การสำรวจครั้งนี้แทบจะไม่ได้อะไร แต่เมื่อมีของชิ้นนี้ ก็ช่วยเรื่องการระบุฐานะของเจ้าของสุสานและเป็นประโยชน์ต่อการค้นคว้าศึกษาวัฒนธรรมในยุคนั้นได้ นับว่ามีเรื่องเขียนรายงานแล้ว

นายอ้วนตะโกนเสียงดัง “ขึ้นมา! ขึ้นมา!” ใบหน้าของเขาขยับไปมาอยู่เหนือศีรษะเธอ

กระถางหยกเขียวเลี่ยมด้วยทองคำจึงค่อนข้างหนัก เมิ่งฝูเหยาออกแรงลากมันขึ้นมา ไม่ทันสังเกตว่าเมื่อกระถางลอยขึ้น บนพื้นปรากฏแสงสีแดงขึ้นรำไร

พื้นสุสานส่วนที่ใช้หยั่งเท้าทรุดลงไม่หยุด เหลือพื้นที่ขนาดเท่ากะละมังล้างหน้าเท่านั้น นายอ้วนยื่นหน้าที่โทรมไปด้วยเหงื่อผ่านอุโมงค์ลงมา สิ่งที่เห็นกลับเป็นกระถางหยกเขียว เขาร้อนใจจนร้องด่าเสียงลั่น “ไอ้นี่ไม่เอา เอาคุณ!”

 “ฉันเหรอ! นายนี่เหรอจะเอาฉัน!” เมิ่งฝูเหยาด่ายิ้มๆ พร้อมชูกระถางขึ้น “รับไป! ไม่ขาดทุนแน่!”

นายอ้วนจนปัญญา ได้แต่ยื่นมือลงมารับกระถาง พร้อมด่าพึมพำ “การค้นคว้าขึ้นสมองแล้วยัยบ้าเอ้ย...”

กระถางหนักเกินไป เขาต้องรับด้วยสองมือ เมิ่งฝูเหยารู้สึกสบายขึ้น ขณะกำลังจะปีนขึ้นไป

 “ปัง!”

แสงแสบตาสีแดงสายหนึ่งสว่างวาบขึ้น เพียงชั่วพริบตาก็ล้อมรอบตัวเมิ่งฝูเหยา  ใต้เท้าเธอว่างเปล่า  ในที่สุดพื้นที่เธอใช้หยั่งเท้าทรุดถล่มลงจนหมด เศษหินบินว่อน

 “อ๊าก!”

นายอ้วนที่เพิ่งยื่นมือลงมาเตรียมดึงแขนเมิ่งฝูเหยาคว้าได้แต่ความว่างเปล่า

 “หัวหน้า!”

แม้แต่เสียงของนายอ้วนก็ขาดหายไปแล้ว

เสียงแปลกประหลาดกลับดังขึ้น เสียงนั้นราวกับเสียงพิณ ละม้ายเสียงขลุ่ย เหมือนเสียงหงส์ครวญ คล้ายมังกรคำราม ภายในเสียงที่ดังผสมปนเปกัน ได้ยินเสียงพูดของเมิ่งฝูเหยาดังมาอย่างเลือนรางว่า

“น้องชาย! อย่าลืมเขียนรายงานขอเหรียญกล้า...”

 

 

 

 

ตอนที่ 1 สิบเจ็ดปีต่อมา

 

 “คนที่สาม”

เมิ่งฝูเหยาเหยียบไปบนหน้าอกของผู้ที่นอนอยู่ วางศอกเท้าบนเข่า ก้มตัวเล็กน้อย อาศัยแสงที่ส่องทะลุใบไม้เขียวในป่าทึบ พินิจพิจารณาของที่อยู่ในฝ่ามือด้วยความสนใจ

มันคือวัตถุที่มีรูปร่างเหมือนป้ายหกเหลี่ยมสีดำ มีเนื้อคล้ายหยกเหมือนทองแต่ไม่ใช่ทั้งหยกและทอง ซึ่งมีลวดลายโบราณเรียบง่ายอันหนึ่ง มุมขวาล่างมีขนาดขนาดใหญ่กว่ามุมอื่นเล็กน้อย และถูกฝนให้แหลมเป็นพิเศษ เหมือนเขี้ยวแหลมคมสีดำซี่หนึ่ง เปล่งประกายภายใต้แสงอาทิตย์ในความมืดทึบ

นิ้วมือของเมิ่งฝูเหยา ลูบไล้มุมที่โดดเด่นกว่ามุมอื่นนั่นเบาๆ เผยรอยยิ้มที่ยากเข้าใจความหมายออกมา นางโยนป้ายสีดำในมือเล่นและผิวปาก

เมื่อเงยหน้าขึ้น รัศมีสวยงามของแสงอาทิตย์สีทอง ส่องต้องโครงหน้าอันงดงามทั้งใบพอดี คิ้วสองเส้นที่แสนผ่อนคลาย คลี่กางอยู่บนหน้าผากขาวนวล ยิ่งขับเน้นดวงตาดำขลับเจิดจ้าไม่กลัวสิ่งใดและแหลมคมดุจกระบี่ชื่อก้องที่รอวันออกจากฝักภายใต้คิ้วงามนั่น

“อืม ป้ายผ่านทางราชวงศ์เทียนซา! โชคดีจริง ๆ!”  

เมิ่งฝูเหยาปัดมือ นำป้ายสีดำยัดใส่อกเสื้อลวกๆ  ขณะยัดลงไป มีเสียงกระทบกันของวัตถุประเภททองและหยกดังขึ้นเบาๆ ในนั้นมีป้ายลักษณะคล้ายกันแต่รูปร่างออกจะไม่เหมือนกันอยู่แล้วสองชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นก็หมายถึงแต่ละแคว้น

เมิ่งฝูเหยาตั้งใจฟังเสียงกระทบกัน ยิ้มอย่างภูมิใจ

เมื่อสะสมป้ายผ่านทางของเจ็ดแคว้นทั่วแดนดินครบ ก็สามารถ...

 “ฝูเหยา!”

เสียงฝีเท้าย่ำผ่านดอกไม้ใบหญ้าดังขึ้นจากด้านหลัง เมิ่งฝูเหยาหรี่ตา สะบัดมือคราหนึ่งสกัดจุดของผู้อยู่ใต้เท้า จากนั้นเตะเขาเข้าไปในพุ่มไม้ด้านหน้า

ยืนตัวตรง หันหน้ากลับไปทันที เมื่อเห็นผู้มา รอยยิ้มของนางปรากฏขึ้นที่มุมปาก ดวงตาพร่างพราวเผยความสุขใจและความสนิทสนมออกมาหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว

 “จิงเฉิน”

บุรุษหนุ่มอาภรณ์เขียวที่เดินเข้ามา หน้าตาหล่อเหลา สูงสง่า ผิวพรรณผุดผ่อง ด้วยการแต่งตัวของเขาก็ดูออกว่าเขามีชาติตระกูลสูง โดยเฉพาะยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก เป็นมิตร บริสุทธิ์ ทำให้เขาดูอบอุ่นราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิ

เยียนจิงเฉิน คือลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของสมาพันธ์สำนักกระบี่แดนเหนือ เขาเป็นคุณชายสูงศักดิ์แห่งตระกูลใหญ่ในนครเยียนจิง เป็นผู้ที่ศิษย์ชายหญิงในสำนักกระบี่ทั้งหมดเลื่อมใสที่สุด 

 “เจ้ามาเล่นที่หลังเขาอีกแล้ว” เยียนจิงเฉินหยุดยืนข้างเมิ่งฝูเหยาในระยะสามเชียะ (ฟุตจีน) ยิ้มมุมปากของเขามีทั้งความอบอุ่นและแฝงแววต่อว่าในที “เจ้าไม่ตั้งใจฝึกยุทธ์ หากได้ลำดับสุดท้ายในการประลองพรุ่งนี้ แล้วโดนตำหนิคงมีความสุขสินะ”

เมิ่งฝูเหยาแย้มยิ้มไม่ใส่ใจ ม้วนปอยผมเล่นแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ไม่แพ้ก็พ่าย ข้าชินซะแล้ว”

นางตอบโต้กับเขาด้วยคำพูดเดิมที่ทั้งสองมักคุยกันโดยไม่อินังขังขอบ นางไม่ทันสังเกตเห็นว่าแววตาของเยียนจิงเฉินในวันนี้มีความขัดแย้งและลังเลซ่อนอยู่ ยิ่งไม่พบว่า หลังเยียนจิงเฉินฟังคำตอบเช่นนั้นของนาง สีหน้าเขาหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน    

 “ฝูเหยา” เยียนจิงเฉินจ้องมองนางครู่ใหญ่ ในที่สุดทนไม่ได้เดินหน้าไปหนึ่งก้าว กล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าตั้งใจฝึกวิชาหน่อยไม่ได้หรือ ในแผ่นดินห้าภูมิภาค ความสามารถเป็นสิ่งที่คนยกย่องที่สุด ผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ไม่มีความก้าวหน้า ต่อไปจะกระทำการใดก็ลำบาก ไปไหนมีแต่คนดูถูก เจ้า...ไม่เคยคิดหรือ ว่า จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น”

นิ่งไปสักพัก เขาก็พูดขึ้นอีก “แม้นั่น จะเป็นการทำเพื่อข้าหรือ”

แม้นั่น จะเป็นการทำเพื่อข้า

เมิ่งฝูเหยาหวั่นไหวใจ เงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาของจิงเฉิน ความลังเลใจ ความไม่สบายใจ และความเจ็บปวดใจในส่วนลึกของดวงตาเขา ทำให้เกิดความเจ็บปวดลึกๆ ในใจนางเช่นกัน นางคิด ช่วงนี้ มักจะเห็นความผิดหวังในแววตาของจิงเฉินบ่อยขึ้น

เมิ่งฝูเหยาอ้าปาก ในขณะนั้นเอง นางแทบจะบอกความลับที่เก็บซ่อนในใจตัวเองออกมา

อยากบอกเขาว่า ความจริงไม่ใช่นางไม่อยากเรียนวรยุทธ์ให้ดี อยากบอกเขาว่า ที่นางไม่ยอมฝึกพลังภายในฟ้าดินบรรจบ เพราะวิธีฝึกขัดแย้งกับวิชา ‘ทลายเก้าสวรรค์’ ของสำนักนาง นางอยากบอกเขา เพียงแต่ต้องการเวลาอีกเล็กน้อย ต้องมีสักวันที่นายจะต้องยิ้มอย่างภูมิใจในตัวฉัน ไม่ใช่เช่นตอนนี้ เพราะฉันโดนคนอื่นเหยียดหยาม จึงทำให้เกียรติอันสูงส่งของนายมัวหมอง ทำให้นายอึดอัดลำบากใจ

หากแต่...ไม่ได้

คำสั่งของอาจารย์ก่อนจากกันยังดังก้องอยู่ในหู “จะบอกวิชาดั้งเดิมของเจ้าให้สำนักไหนรู้ไม่ได้ทั้งสิ้น”

นางสาบานแล้ว และไม่อาจผิดคำพูดได้

จิงเฉินซื่อสัตย์ภักดีต่อสำนัก หลงใหลในวิชาบู๊ หากนางบอกความจริงกับเขา เช่นนั้นจะช้าเร็วเจ้าสำนักเสวียนหยวนต้องรู้แน่

เมิ่งฝูเหยาสูดหายใจลึก เลิกคิ้วดกดำขึ้น ดวงตาสุกใสบริสุทธิ์ของนางมองเข้าไปในดวงตาที่ปรากฏแววผิดหวังน้อยๆ ซึ่งเกิดจากการรอคอยคำตอบอันยาวนานของเยียนจิงเฉิน 

 “จิงเฉิน ข้า พยายามที่สุดแล้ว...”

เยียนจิงเฉินมองนางนิ่งนาน ถอนหายใจยาวออกมาช้าๆ เมื่อได้ฟังคำตอบนี้ ความผิดหวังและความตึงเครียดในดวงตาเขาพลันหายไป เกิดเป็นความอับจนปัญญาหลังได้รับคำตอบแน่นอน

ทันใดนั้น เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 “อีกหนึ่งปีที่ผานตู เมืองหลวงแห่งเทียนซา จะมีการจัด ‘งานชุมนุมยอดนักรบ’ ขึ้น ซึ่งงานนี้จะรวบรวมเหล่านักรบที่เป็นชนชั้นสูงจากเจ็ดแคว้น เพื่อทำการทดสอบวรยุทธ์ วิชาการทหาร และวิชากลยุทธ์ เพื่อแย่งชิงเจ็ดสุดยอดแห่งแผ่นดิน ผู้ชนะจะได้กุมอำนาจทางทหารของแคว้นตน อาจารย์บอกว่า สำนักกระบี่เสวียนหยวนเรา จะส่งข้าและศิษย์น้องเผยย่วนเป็นตัวแทน พรุ่งนี้ข้าต้องกลับแคว้นไปเตรียมรับศึกแล้ว”

เขากล่าวเสียงเรียบเฉย แสงอาทิตย์ตกดินที่ภูเขาด้านหลังสาดลอดผ่านยอดไม้ เกิดเป็นลายพร่าพรายสีเหลืองอ่อนทั่วกายของจิงเฉินที่ยืนหันหลังให้แสง ทำให้เขาดูพร่ามัวห่างไกล ยากบอกความรู้สึกของเขาได้

เมิ่งฝูเหยาใจสั่น ฝืนยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าเป็นคู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่โดดเด่นที่สุดในสำนักกระบี่ ฮ่องเต้ไท่ยวนทรงพระราชทานชื่อให้ว่า ‘กระบี่คู่หยกมุก’ สำนักกระบี่เสวียนหยวนไม่ส่งพวกเจ้าไป ยังจะส่งใครไปได้อีก”

เยียนจิงเฉินมองนางลึกซึ้ง น้ำเสียงเขาแปลกประหลาดอยู่บ้าง “ฝูเหยา ความจริงข้าปรารถนาให้นามกระบี่คู่หยกมุก หมายถึงข้าและเจ้า”

เมิ่งฝูเหยายิ่งฝืนยิ้ม

นางเองก็ปรารถนาเช่นนั้น สตรีผู้หนึ่งต่อให้ใจกว้างกว่านี้ ก็ไม่อยากให้ชื่อของบุคคลที่ตนชื่นชอบไปอยู่เคียงกับสตรีอื่น ทั้งผู้อื่นยังคิดว่าพวกเขาบุรุษเก่งกล้าสตรีงดงามเหมาะสมกันดั่งมุกและหยก

ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำรวดเร็ว  แสงสีแดงเข้มของยามเย็นเต็มท้องนภาเมื่อครู่ ชั่วพริบตาเดียวเหลือเพียงแสงสีแดงจางๆ ชั้นหนึ่ง แสงที่ลอดผ่านใบไม้สีเขียวเข้ม ส่องต้องมายังเงาร่างเลือนรางของเยียนจิงเฉินที่ยืนอยู่ห่างสามเชียะเช่นเดิม 

ในใจลึกๆ ของเมิ่งฝูเหยามีความว้าวุ่นแปลกประหลาดชนิดหนึ่งผุดขึ้นมาทันที หัวใจของนางเต้นเร็ว ความสับสนอย่างรุนแรงชนิดนั้นทำให้นางรู้สึกว่า มีคำพูดบางคำที่ต้องบอกออกมาเดี๋ยวนี้  ไม่เช่นนั้น...บางทีอาจไม่มีโอกาสได้พูดอีก 

 “จิงเฉิน ข้าอยากบอกเจ้าว่า...”

  “ฝูเหยา ข้าอยากบอกเจ้า” เยียนจิงเฉินตัดบทนางทันที เขาพูดเร็วมาก ราวกลับว่าหากกล่าวช้ากว่านี้สักนิดเขาคงไม่อาจพูดมันออกมาได้อีกอย่างนั้น “บ้านข้าส่งสาส์นมาว่า ได้ไปเจรจาสู่ขอกับตระกูลเผย ตระกูลเผยก็รับสินสอดไปแล้ว หลังจาก งานชุมนุมยอดนักรบ ข้า...ต้องแต่งงานกับเผยย่วน”

 

 

 

 

ตอนที่ 2 สุนัขกุ้ยปินฉ่วน (พุดเดิ้ล)

 

คำพูดที่เมิ่งฝูเหยาอยากพูดออกมา พลันจุกอยู่ที่ลำคอ

นางเหลือบตามองเยียนจิงเฉินนิ่ง เขาไม่มองนาง แต่กลับเพ่งมองไปยังดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวไปแล้วกว่าครึ่งดอกตรงหน้าเขา เขาพูดอย่างรวดเร็ว

“ฝูเหยา ด้วยสภาพของเจ้า ตระกูลข้าไม่อนุญาตให้ข้า...อยู่ร่วมกับเจ้าแน่ ตระกูลเผยเป็นเชื้อพระวงศ์ ต่อให้เป็นตระกูลข้า ก็ยังด้อยกว่าหนึ่งขั้น การสู่ขอครั้งนี้ เดิมทีไม่มีหวัง ได้ยินว่าอาย่วนตอบตกลงด้วยตนเอง ตระกูลเผยถึงรับปาก ยิ่งไม่มีเหตุผลในการถอนหมั้น ตระกูลเยียนเราก็ไม่อาจล่วงเกินตระกูลเผยได้...”

เมิ่งฝูเหยาตัดบทคำพูดเยิ่นเย้อของเขา

 “อย่าเอาแต่ตระกูลเยียนพวกเจ้า ตระกูลเยียนพวกเจ้าอยู่เลย ตัวเจ้าเองล่ะ”

 “ข้า...” เยียนจิงเฉินอ้ำอึ้ง หว่างคิ้วเขาปกคลุมไปด้วยความกลัดกลุ้มชั้นหนึ่ง ครู่ใหญ่จึงกล่าวว่า “ฝูเหยา ต่อไปฮูหยินของข้า ต้องมีฐานะในแผ่นดินห้าอาณาจักร ความรู้ รูปโฉม วรยุทธ์ ฐานะ ล้วนขาดอะไรไม่ได้  โดยเฉพาะสติปัญญา ไม่เช่นนั้นตระกูลข้าต้องอับอาย...”

 “แล้วเจ้าล่ะ!”

เยียนจิงเฉินโดนเมิ่งฝูเหยาตะคอกคราหนึ่ง ความถือดีของคุณชายสูงศักดิ์ถูกกระตุ้นขึ้นและโมโหอย่างรุนแรง เขากล่าวเสียงดังว่า “ข้า! ข้าทนความไม่เอาไหนของเจ้ามาพอแล้ว! รับความรู้สึกของการโดนผู้อื่นหัวเราะเยาะเพราะเจ้ามาพอแล้ว!”

เมิ่งฝูเหยาถอยกายไปหนึ่งก้าว ตะลึงมองเยียนจิงเฉินที่ระเบิดอารมณ์พูดเสียงดังจนมีท่าทีดุร้ายอยู่บ้าง

แสงสนธยาค่อยๆ คืบคลานมาทีละชั้น แสงสีเทาหม่นทาทาบเต็มพื้น ใบไม้สีเขียวสดกลายเป็นสีเขียวเข้ม ดูไปเหมือนสกปรกไม่บริสุทธิ์

ระหว่างฟ้าและดินเหลือเพียงเสียงการเคลื่อนไหวของแขนเสื้อที่ถูกลมหวีดหวิวพัดปลิว 

ชั่วครู่ใหญ่ เมิ่งฝูเหยาพลันแย้มยิ้ม

นางแย้มยิ้ม เหมือนดอกไม้บานในความมืดอันเงียบสงบ เป็นความงามที่เยือกเย็น แต่เด็ดเดี่ยวและเจิดจ้ายิ่งกว่า

“เยี่ยม เยี่ยม”  นางปัดแขนเสื้อต่อหน้าเยียนจิงเฉิน ท่าทางนั้น ราวกับจะปัดทั้งฝุ่นธุลีบนแขนเสื้อและเยียนจิงเฉินออกไป นางกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าเข้าใจ เจ้าไม่อาจรับได้ที่ฮูหยินเจ้าจะเป็นคนโง่ ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ เจ้ารับไม่ได้ที่จะพาคนโง่งมเช่นนี้ออกงานเลี้ยงรับรองระดับแว่นแคว้นแล้วถูกผู้คนหัวเราะเยาะลับหลัง เจ้ายิ่งรับไม่ได้ถ้าฮูหยินผู้ไม่คู่ควรกับเจ้าจะทำลายภาพลักษณ์ของคุณชายสูงศักดิ์ผู้สมบูรณ์พร้อมไร้ที่ติ...เยียนจิงเฉิน เชื่อข้าเถอะ เผยย่วนจะต้องเป็นฮูหยินที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ เจ้าได้เคียงคู่นาง ก็จะเหมือนสตรีชั้นสูงจูงสุนัขกุ้ยปินฉ่วน (สุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล) ไปถึงที่ไหนฐานะก็สูงส่งขึ้นร้อยเท่า ส่งเสริมกันได้อย่างดี”

นางยิ้ม แต่ในดวงตากลับปราศจากรอยยิ้ม น้ำเสียงหนักแน่นและเย็นชา เหมือนดาบคมกริบในฝักที่ต้องการเปล่งประกายเย็นเยียบเล่มหนึ่ง

 “ยินดีด้วย เจ้าหาสุนัขกุ้ยปินฉ่วนของเจ้าพบแล้ว”

เมื่อกล่าวจบ นางหมุนตัวจากไปโดยไม่มองเยียนจิงเฉินแม้สักแวบเดียว

“ฝูเหยา!” เยียนเจิงเฉินพุ่งตามไปทันที ยื่นมือไปจับแขนเสื้อนาง กล่าวเบาๆ ว่า “ฝูเหยา...ความจริงข้าชอบเจ้า...” น้ำเสียงเขามีความลำบากใจและอับจนปัญญาเพิ่มขึ้นหลายส่วน

 “เก็บความชอบของเจ้าไว้เถอะ ไปเอาใจกุ้ยปินฉ่วนของเจ้าดีกว่า!” เมิ่งฝูเหยาหัวเราะเสียงต่ำ ขยับนิ้วเพียงหนึ่งครั้ง ลำแสงเย็นเยียบสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นที่ซอกนิ้ว ระหว่างขยับนิ้วมีลำแสงพุ่งออกไปตัดแขนเสื้อส่วนที่ถูกจับ

ประกายดาบยังมาไม่ถึง แต่ไอเย็นก็บีบคั้นผู้คนก่อนแล้ว ตอนแรกเยียนจิงเฉินคิดว่าเมิ่งฝูเหยาจะไม่ลงมือรุนแรง ดังนั้นจึงจับแขนเสื้อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ทว่าเมิ่งฝูเหยาไม่หยุดแม้สักนิด พลิกมือครั้งหนึ่งกรีดนิ้วไปบนนิ้วทั้งห้าของเขา

เยียนจิงเฉินตกใจคลายมือทันที แต่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง นิ้วทั้งห้าโดนกรีดเป็นรอยสีแดงประณีตสายหนึ่ง ผิวพรรณที่ขาวผ่องในตอนแรก ผ่านไปชั่วครู่ ก็มีเลือดสีแดงสดก็ค่อยๆ ซึมออกมา หยดลงบนพื้นดินดำมืดโดยไร้เสียง

 “เจ้า...”

 “ข้า!” เมิ่งฝูเหยาไม่หันกลับไป เงาหลังตั้งตรง เกิดเป็นโครงร่างตระหง่านในค่ำคืนที่ค่อยๆ มืดมิดลง “ข้าต้องการให้เจ้าจดจำไว้ ว่ามีความผิดพลาดบางอย่าง เหมือนดั่งบาดแผลของเจ้าที่หาไม่พบในตอนแรก แต่นานไป มันจะทำให้เจ้าเจ็บปวดเลือดรินหลั่ง”

นางยืนหันหลังให้เยียนจิงเฉิน เผยอยิ้ม รอยยิ้มเย็นชาราวกับจันทร์เสี้ยวที่เพิ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า

 “เชี่อข้า เยียนจิงเฉิน เจ้าต้องเจ็บปวด จะช้าเร็วเท่านั้น”

 

  *****

แสงจันทร์คืนนี้ช่างหนาวเหน็บ

เมิ่งฝูเหยานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เหม่อมองพระจันทร์ซูบผอมเสี้ยวนั้น รู้สึกว่าตั้งแต่เกิดมาจำความได้ คืนนี้เหมือนจะเหน็บหนาวที่สุด แสงสลัวสีเขียวรอบตัว มองแล้วช่างเย็นเยือกใจนัก

แสงดาวระยิบระยับแปลกตา ขยับเขยื้อนไม่หยุดนิ่ง ดุจดั่งใจคนที่ผันแปรไปมา

คิดถึงวันที่พบเขาเป็นครั้งแรกได้อย่างลางเรือน ลมฝนกระหน่ำ นางโขกศีรษะลงไปในดินโคลน เพื่อขอกราบหลินเสวียนหยวนเป็นอาจารย์ คิดถึงรอยยิ้มอบอุ่นของเด็กหนุ่มที่ยืนท่ามกลางสายฝนข้างกายหลินเสวียนหยวนที่หน้าประตู คิดถึงมือยาวบริสุทธิ์ และอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิที่หนุ่มน้อยยื่นมาให้

“ฝูเหยา ความจริงข้าชอบเจ้า”

 “ฝูเหยา การอยู่ในแผ่นดินห้าภูมิภาค หากไม่มีความสามารถต้องโดนผู้อื่นดูถูกไปตลอดชีวิต”

 “ฝูเหยา เจ้าต้องขยันอีกหน่อย เจ้าเป็นเช่นนี้...ต่อไปจะทำอย่างไร”

 “ฝูเหยา เจ้าดีทุกอย่าง น่าเสียดายที่...พรสวรรค์ด้อยไปบ้าง”

อา...ควรรู้ตั้งนานแล้ว แต่กลับคิดไปเอง จมอยู่กับความอบอุ่นที่หนุ่มน้อยผู้นั้นยื่นมาให้ ไม่เคยรู้สึกตัว

ยังดี...ฉันไม่เคยคิดจะเป็นสุนัขพุดเดิ้ลของนายจริงๆ 

เมิ่งฝูเหยายิ้มเยาะตนเอง สะบัดมืออย่างแรงราวปัดแมลง ไล่ความทรงจำที่ไม่อยากคิดถึงอีกไปให้พ้น หลับตาเดินพลัง

ผ่านไปไม่นาน เริ่มมีหมอกลอยขึ้นเหนือศีรษะของนาง แสงสีเขียวอ่อนค่อยๆ ทอแสงออกมารอบกาย แสงนั้นค่อยๆ สูงขึ้น และหยุดนิ่งที่หน้าอก

‘ทลายเก้าสวรรค์'‘วิชาลึกลับที่ไม่ถ่ายทอดให้ใคร' ของนักพรตเฒ่าผู้เป็นอาจารย์ที่แท้จริงของนาง

ตอนนั้นเมิ่งฝูเหยาขุดสุสานรุนแรงเกินไป จนทำให้ตนเองทะลุมิติมา เมื่อทะลุมิติมาก็สูญเสียความทรงจำก่อนอายุห้าขวบในโลกนี้ไปอย่างแปลกประหลาด นับตั้งแต่ห้าขวบเป็นต้นมา นางโดนนักพรตน่าตายผู้หนึ่ง บังคับให้ฝึกวิชาอย่างทรมานสิบปี ในระยะเวลาสิบปีนี้ วิชา ‘ทลายเก้าสวรรค์' ที่แบ่งออกเป็นเก้าขั้น นางเพิ่งฝึกถึงขั้นสุดท้ายของขั้นที่สาม ขณะนี้บังคับปราณแท้ (ปราณคือพลังชีวิต หรือเรียกอย่างครอบคลุมคือพลังจักรวาล) ขึ้นสูง รวบรวมปราณให้กลายเป็นหยก เป็นวิธีรวบรวมความอ่อนหยุ่นทั้งหมดไว้

การฝึกครั้งนี้ ฝึกข้ามราตรีอันยาวนาว ผ่านครึ่งเช้าที่แสงตะวันสาดส่อง เมื่อเมิ่งฝูเหยาลืมตาทั้งคู่ขึ้น ก็ล่วงเข้ายามบ่ายแล้ว

เมื่อลืมตาขึ้น เมิ่งฝูเหยาขมวดคิ้วถอนใจ นางฝึกขั้นสุดท้ายของขั้นสามมาครึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จ หากนางไม่อาจฝึกขั้นนี้สำเร็จ จะอาศัยอะไรไปเข้าร่วมงานชุมนุมยอดนักรบ จะอาศัยอะไรทำให้ผู้อื่น  ‘ต้องเสียใจสักวัน'

เรื่องนี้ช่างเถอะ สิ่งสำคัญกว่าคือ ความปรารถนาในก้นบึ้งหัวใจที่อยากทำให้เป็นจริง เกรงว่าจะยิ่งห่างไกลไม่มีกำหนด

เมิ่งฝูเหยากัดริมฝีปาก ลุกขึ้นและก้าวลงเขา คำนวณเวลา วันนี้เยียนจิงเฉินคงจากไปแล้ว

ไปแล้ว ก็ดี

ตอนนี้เมิ่งฝูเหยาไม่อยากอยู่ที่นี่แม้ชั่วขณะเดียว นางเตรียมตัวเก็บสัมภาระออกเดินทางทันที

ลงเขาไปครึ่งทาง ผ่านหุบเขาอันลึกลับแห่งหนึ่ง หมู่ตึกที่ก่อสร้างอิงภูเขา มีคันทวย (ไม้ค้ำยัน) และชายคาทอดเป็นแนวยาว ดูใหญ่โตโอฬารคือหมู่ตึกเสวียนหยวน

ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวก ในเสียงตะโกนมีเสียงแหลมเล็กดังขึ้นว่า “สำนักกระบี่เสวียนหยวนได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสามสุดยอดสำนักในสมาพันธ์กระบี่แห่งราชวงศ์ไท่ยวน เหตุใดจึงไร้ศิษย์มีฝีมือ”

ต่อมาเสียงไอแห้งเบาๆ แฝงแววขัดเขินของอาจารย์ก็ดังขึ้น  ตามมาด้วยเสียงก่นด่าของศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ทนทานไม่ได้ ระคนกับเสียงกระบี่ยาวถูกชักออกจากฝักดังติดต่อกันชัดเจน คึกคักไม่ธรรมดา

เมิ่งฝูเหยาขมวดคิ้ว นางรู้จักธรรมเนียมยุทธภพแห่งห้าอาณาเขตเจ็ดแคว้นดีว่าร้อนแรงเพียงไร ทุกสำนักมักท้าประลองกันเสมอ ครั้งนี้คงเป็นสำนักใดมาท้าประลองถึงที่สักแปดส่วน

เมิ่งฝูเหยาล้วงอุปกรณ์แต่งหน้าออกมาจากอกเสื้อ รีบใช้สายน้ำแทนกระจกแล้วแต่งหน้าอัปลักษณ์ให้ตนเอง แต่ไหนแต่ไรมา นางเพียงเผยโฉมหน้าที่แท้จริงต่อหน้าเยียนจิงเฉินเท่านั้น

เมื่อเข้าไปในหมู่ตึก ผ่านลานฝึกยุทธ์จึงจะกลับถึงห้องของนาง ลานฝึกยุทธ์ของสำนักกระบี่เสวียนหยวน นับเป็นหนึ่งในลานฝึกยุทธ์ขนาดใหญ่ชั้นยอดของไท่ยวน พื้นที่กว้างขวาง ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ยามปกติไม่ได้ใช้ เมิ่งฝูเหยาเข้าประตูลานไปอย่างเงียบเชียบ เดิมทีคิดว่าจะจากไปได้อย่างราบรื่น แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็น กลับต้องตกใจ

วันนี้ลานฝึกยุทธ กลับเบียดเสียดไปด้วยผู้คนมากกว่าร้อย สวมใส่เสื้อผ้าหลากสี แต่ละสียึดพื้นที่แต่มุมของลาน ดูท่าทางหลายสำนักกลับมาท้าประลองกับสำนักกระบี่เสวียนหยวนพร้อมกัน 

เมิ่งฝูเหยาพบเห็นบุรุษที่มีพลังเต็มเปี่ยม เยือกเย็นสุขุมหลายคน พวกเขาซุกงำประกายตาไว้ รัศมีของพวกเขายากที่คนธรรมดาจะเทียบเปรียบได้

นอกจากเยียนจิงเฉิน ศิษย์สำนักกระบี่เสวียนหยวนอยู่ที่นี่ทั้งหมด ยืนล้อมวงกัน มีท่าทีระมัดระวังและกังวล ศิษย์พี่น้องบางคนเหมือนได้รับบาดเจ็บ ใช้กระบี่ยันพื้นกระอักเลือดออกมา

ในอากาศ อบอวลไปด้วยลมหายใจหนักหน่วงและไม่สงบ

 

 

 

 

ตอนที่ 3 ชักกระบี่เผชิญหน้า

 

หลินเสวียนหยวนนั่งเดินลมปราณอยู่ตรงกลางของที่นั่งชมด้านข้างลานประลองยุทธ ดูเหมือนเขาจะประลองไปแล้วรอบหนึ่ง และผลคงไม่เป็นที่น่าพอใจ หน้าเขาซีดจนเป็นสีเทาเล็กน้อย ตอนนี้ผู้กำลังประลองยุทธ์คือบุรุษอาภรณ์สีดำและศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักกระบี่เสวียนหยวน

บุรุษชุดดำมีเพลงกระบี่รวดเร็วยิ่ง บัดเดี๋ยววาววับดุจดาวนับหมื่น บัดเดี๋ยวคล้ายมังกรม้วนกายร่ายรำ คลื่นพลังกระบี่เปลี่ยนแปลงหมื่นพัน และจากการเปลี่ยนแปลงที่มากมายนี่เอง เมื่อดูนานไป ถึงกับทำให้ผู้คนรู้สึกวิงเวียน 

เมิ่งฝูเหยาได้ยินศิษย์พี่คนหนึ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “นั่นคือกระบี่ไร้รอย หนึ่งในสิบสุดยอดมือกระบี่แห่งไท่ยวน  และเป็นคนลึกลับนิสัยแปลกประหลาดที่สุดผู้หนึ่ง ใครจะรู้สำนักไป๋ซานจะเชิญเขามาได้”

 “มิน่าการประลองของสิบสำนักกระบี่ไท่ยวนที่จัดขึ้นปีละครั้งจู่ๆ จึงเลื่อนขึ้นมาก่อนกำหนด ที่แท้สุนัขเฒ่าไป๋หาผู้ช่วยเช่นนี้มาได้ มันจงใจเหยียบย่ำสำนักเสวียนหยวนเราชัด ๆ”

 “เขาผู้เดียว ท้าประลองพวกเราทั้งสำนัก ช่างผยองเหลือเกิน”

 “แล้วจะทำไม ในเมื่อเขามีความสามารถ ไม่เห็นหรือว่าจนบัดนี้ศิษย์พี่ใหญ่ยังทำได้แค่สู้เสมอเขาเท่านั้น”

 “เฮ้อ...วันนี้เกรงว่าพวกเราต้องโดนหยามเหยียดจริงๆ แล้ว...”

เมิ่งฝูเหยาเดินต่อไปไม่แยแส แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว พลันได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น  “อ๊าก”

ลมรุนแรงพัดม้วนกลิ่นคาวเลือดลอยมาจากด้านหน้า พลันปรากฏเงาดำสายหนึ่งพุ่งเข้าหานางอย่างแรง เมิ่งฝูเหยารีบกระโดดหลบ ร่างสีดำใหญ่โตลอยมา กรีดผ่านวาดท้องฟ้าเป็นทางโลหิตสายหนึ่ง แล้วตกลงตรงหน้านาง

เลือดสดๆ กระเซ็นไปโดนชั้นวางอาวุธข้างลาน ครู่ใหญ่ เลือดเข้มข้นค่อยๆ หยดลงบนพื้นหินสีขาว แดงขาวตัดกัน น่าสยดสยองยิ่ง

ทั้งลานเงียบสงัด ศิษย์สำนักเสวียนหยวนทุกคน จับจ้องไปที่บุรุษหนุ่มผู้ซึ่งกุมข้อมือขวาดิ้นรนพลิกตัวไปมาด้วยแววตาหวาดหวั่น เขาคือศิษย์พี่ใหญ่หนึ่งในผู้มีวรยุทธโดดเด่นที่สุดในสำนัก 

ผ่านไปครู่ใหญ่จึงมีคนนึกได้รีบเข้าไปหมายพยุงเขาลุกขึ้น ทันใดนั้นเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้น

          เลือดไหลรินที่มือขวาของศิษย์พี่ใหญ่ เอ็นมือเขาขาดไปแล้ว

ช่างเป็นเพลงกระบี่ที่โหดเหี้ยมเหลือเกิน!

สำนักกระบี่เสวียนหยวนเงียบงัน เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของคนอื่นๆ ในลานประลองยุทธ์ยิ่งฟังยิ่งทิ่มแทงหู

มีเพียงชายชุดดำที่ไม่อินังขังขอบ ยืนอยู่กลางลานประลอง

ผ้าที่เขาใช้เช็ดกระบี่ดูไปคุ้นตาอยู่บ้าง ที่แท้คือแขนเสื้อข้างขวาครึ่งหนึ่งของศิษย์พี่ใหญ่ เหล่าศิษย์สำนักเสวียนหยวนมีท่าทีโกรธแค้น มีแต่เมิ่งฝูเหยาที่เพียงหางคิ้วกระตุก 

เป็นกระบี่ที่รวดเร็วยิ่งนัก! เพียงเวลาสั้นๆ ไม่แค่ทำให้มือคู่ต่อสู้พิการ ยังตัดแขนเสื้อครึ่งหนึ่งของเขาลงมาอย่างประณีตอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น คู่ต่อสู้ของเขา ยังเป็นยอดยุทธ์ที่รับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว!

เจ้าสำนักไป๋ซานยังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่อไป แต่กลับมีเสียงทอดถอนใจเบาๆ ดังขึ้นในหมู่ศิษย์สำนักเสวียนหยวน ดูท่าวันนี้ สำนักกระบี่เสวียนหยวนต้องเสียหน้าครั้งใหญ่แล้ว 

โลกปัจจุบัน แต่ละแคว้นใช้อำนาจระรานกัน ต่อสู้กันไม่หยุด และจำนวนครั้งของชัยชนะ คือสิ่งตัดสินฐานะของตน วันนี้สำนักกระบี่เสวียนหยวนซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งไท่ยวน  ในงานชุมนุมประลองกระบี่ที่สำคัญเช่นนี้ แม้ผลัดกันรับศึกยังเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้ หากเรื่องแพร่ออกไป ฐานะต้องตกต่ำเป็นพันจั้ง (เป็นหน่วยวัดความยาวจีน 1 จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร) แน่ 

ขณะนี้ในลานประลองเงียบสงบ ทุกคนจ้องมองผู้เจ็บที่นอนอยู่เบื้องหน้าหน้าเมิ่งฝูเหยา นางจึงไม่สะดวกเคลื่อนไหว นางทดลองขยับเท้า บุรุษชุดดำที่ยืนอยู่กลางลานส่งสายตาเย็นเยียบมาทันที  สีหน้าเขายังคงเย็นชา ราวกับใส่หน้ากาก แต่แววตากลับเยือกเย็นเฉียบขาด แหลมคมราวตะปูเหล็ก เป็นตะปูเหล็กที่ทิ่มแทงเข้าไปในตาของเมิ่งฝูงเหยา

แววตานั้นลึกล้ำและดำมืดราวกับน้ำลึกนับพันเริ่น (8 เชียะเท่ากับ 1 เริ่น) ลึกจนไม่อาจเห็นก้น แต่ในส่วนลึกที่สุดในแววตาเขา มีไฟประหลาดดวงเล็กๆ ดวงหนึ่ง โอนไหวไปมาโดยไม่มอดดับ

ภายใต้สายตางุนงงของเมิ่งฝูเหยา ไฟดวงนั้นล่องลอยไม่หยุด หมุนวนไปรอบๆ ลอยขึ้นสูง จากนั้น ระเบิดออกทันที

เหมือนได้ยินเสียงระเบิดดังกังวานขึ้นในห้วงสมอง ดวงไฟระเบิดออกเป็นประกายทั่วฟ้าเต็มตา

เมิ่งฝูเหยารู้สึกวิงเวียน ซวนเซถอยหลังไปชนกับเสาระเบียงทางเดิน ความเย็นเยียบที่หลังทำให้นางได้สติ และเงยหน้ามองคนผู้นั้นทันที

นั่นคือวิชาสะกดจิตขั้นสุดยอด ‘ลวงใจ’!

คนผู้นี้คือใคร

ส่วนลึกในดวงตาเขาเต็มไปด้วยความแค้น ความจริงเขาไม่ได้มาแลกเปลี่ยนวิชา!

เมิ่งฝูเหยาหันกายเตรียมถอยไป เสียงบาดหูของเจ้าสำนักไป๋ซานพลันดังขึ้นด้านหลัง

 “สำนักเสวียนหยวนพวกเจ้า ยังมีเยียนจิงเฉินอีกคนไม่ใช่หรือ!”

หลินเสวียนหยวนตะลึงงัน ตอบว่า “เมื่อคืนจิงเฉินกลับเมืองหลวงไปแล้ว”

“คงได้ข่าวว่าพวกเราจะมา จึงรีบร้อนหลบหนีกระมัง” เจ้าสำนักหลายคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“ยังมีอีกคน” เจ้าสำนักไฉ่หวิน (ตัดเมฆา) กล่าวพร้อมชี้เมิ่งฝูเหยาที่กำลังคิดปลีกตัวจากไป “นางล่ะ ข้าจำได้ว่านางยังไม่ได้รับศึกเลย ทำไม คิดเลียนแบบเยียนจิงเฉิน ทาน้ำมันใต้เท้าวิ่งหนีไปงั้นหรือ”

หลินเสวียนหยวนหน้าเปลี่ยนสี นิ่งเงียบไม่ตอบคำ ลูกศิษย์ที่ยืนข้างกายเขารีบยื่นมือผลักเมิ่งฝูเหยาคราหนึ่ง

“เจ้าเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ทำอะไร ไร้ความสามารถก็ไม่ต้องเสนอหน้าออกมา อาจารย์จะได้ไม่ขายขี้หน้า!”

“ยังไม่รีบไสหัวกลับห้องไปอีก!”

เมิ่งฝูเหยาเลิกคิ้วขึ้น ความโกรธปะทุขึ้นในดวงตา ครู่ใหญ่ นางสูดลมหายใจ กำมือแน่น และจากไปอย่างเงียบ ๆ

นางไม่ลดตัวลงเอาเรื่องพวกประจบสอพลอ

นางใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้หลายปี ผ่านความลำบากมามาก แม้นิสัยใจร้อนอันเป็นที่รู้กันไปทั่วในยุคที่นางเป็นปิศาจผมแดงยังแก้ไม่ได้ แต่ก็รู้จักเก็บอาการขึ้นมากแล้ว

แต่ทว่าเพิ่งก้าวเท้าไป ก็ได้ยินเสียงใสกังวานดั่งมุกหยกร่วงลงในจานเงินของคนผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลัง

 “นางผู้นี้ เป็นเพียงเด็กก่อไฟในสำนักเราเท่านั้น อย่านำนางมาเปรียบกับศิษย์พี่เยียนของข้า ไม่เช่นนั้นตระกูลเผยแห่งเยียนจิงและตระกูลเยียนแห่งเหอหยวน จะถือเป็นการเหยียดหยาม”

ตระกูลเผยแห่งเยียนจิง ตระกูลเยียนแห่งเหอหยวน หมายถึงราชสกุลและวงราชการแห่งไท่ยวน เจ้าสำนักทั้งหลายฟังความหมายในคำพูดนั้นออก นิ่งเงียบลงทันที

เมิ่งฝูเหยาหันกลับไป มองสตรีในอาภรณ์แดงที่อยู่ด้านหลังนางนั้น นางอายุมากกว่าฝูเหยาหนึ่งปี รูปร่างโตเต็มวัยแล้ว ไม่เหมือนส่วนโค้งเว้าที่งามประณีตทว่ายังไม่สมบูรณ์เต็มที่ของนาง ส่วนอวบอิ่มก็ล้นทะลัก ส่วนที่คอดก็บอบบางแทบขาด ทั้งยังชอบสวมกระโปรงรัดรูปสีแดง ยิ่งขับให้มีเสน่ห์และสง่างามมากขึ้น ปลายดวงตาบนใบหน้าที่งามพร้อมนั้นยกสูงขึ้นนิดหน่อย ประหนึ่งหงส์งามล้ำค่า

เผยย่วน

เห็นเมิ่งฝูเหยามองมา เผยย่วนส่งสายตาเย็นชาแฝงเววเหยียดหยามมาครั้งหนึ่ง จากนั้นละสายตาไปไม่สนใจใยดี

 “หากเจ้าสำนักทุกท่านมีประสงค์ ก็ไปร่วมงานชุมนุมยอดนักรบที่ผานตู แคว้นเทียนซาได้ ศิษย์พี่เยียนย่อมให้ทุกท่านได้ยลบุคลิกของศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเสวียนหยวนเราแน่”

นางเหลือบมองฝูเหยาแวบหนึ่ง จากนั้นหันหน้าไปยิ้มน้อยๆ ให้เหล่าเจ้าสำนัก

 “สำหรับคนผู้นี้ แม้แต่การยืนข้างกายพวกเรา ยังรู้สึกว่านางทำให้สถานที่เราแปดเปื้อน มีอะไรคู่ควรให้เจ้าสำนักทุกท่านเอ่ยถึงเล่า”

เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกัน แม้แต่หลินเสวียนหยวนยังลูบเครายิ้มน้อยๆ พยักหน้า รู้สึกว่าศิษย์สตรีผู้นี้ช่างรู้สถานการณ์ และรู้จักพูดจายิ่งนัก ไม่เพียงคลี่คลายปัญหาได้ ยังไม่ทำให้เสียเกียรติสำนักด้วย

ภายในเสียงหัวเราะ เมิ่งฝูเหยายืนตรงไม่ขยับ

ฉากแต่ละฉากที่วิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว คือมืออบอุ่นที่ยื่นมาท่ามกลางลมฝน คือการวิ่งไล่ตามกันท่ามกลางดอกไม้ป่าในฤดูใบไม้ผลิ คือดวงตาที่เฝ้ามองกันและกันภายใต้แสงจันทร์ คือเสื้อหนังเตียวที่กางออกบนพื้นหิมะ ห่อหุ้มเท้าที่หนาวจนแข็งของนางไว้แน่น

คือศีรษะที่โขกลงบนพื้นโคลนอย่างแรง คือการปิดบังวรยุทธ์และทดสอบได้ลำดับสุดท้ายจนถูกไล่ออกจากลานฝึกยุทธ์ครั้งแล้วครั้งเล่า คือการสะพายเสื้อผ้าของคนทั้งสำนักไปซักในแม่น้ำที่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง คือการกินหมั่นโถวที่ทั้งแห้ง เย็นและแข็งตอนเที่ยงคืนเมื่อกลับถึงครัวหลังจากทำงานจุกจิกเสร็จ

เวลาที่มีทั้งเสียงหัวเราะและความเจ็บปวดในอดีตเหล่านั้น...

เสียงหัวเราะยังดังต่อไป ไม่มีใครรู้ ว่าสตรีที่ยืนหันหลังนางนั้น พลังแห่งความแค้นเคืองที่ฝังลึกในใจ ในที่สุดก็ถูกเสียงหัวเราะอย่างไม่กลัวเกรงสิ่งใดนี้กระตุ้นจนปะทุขึ้น  ค่อยๆ ลามออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง

เมิ่งฝูเหยาสูดหายใจอีกครั้ง พลันยิ้มหยัน

พอแล้ว

โลกเราหนาวเหน็บเพียงนี้

จนทำคนให้ปรารถนาจะชักกระบี่ประหารฟ้าทำศึกใหญ่สักครา

เดิมทีนางหันหลังให้กลางลาน พลันหมุนตัวครั้งหนึ่ง พร้อมเก็บกระบี่ยาวที่ศิษย์พี่ใหญ่ทำตกไว้เมื่อครู่ติดมือมาด้วย ก้าวเท้ายาวเดินไปยืนเผชิญหน้ากับคนชุดดำผู้นั้น

ลานประลองยุทธพลันเงียบสงัดลงทันที

ลมพัดแรงมาจากทิวเขาเสวียนหยวน หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งป่าทึบ ส่งเสียงหวีดหวิวบนลานศิลาสีขาวกว้างใหญ่ราวเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่ง ทรายและหินที่โดนลมแรงหอบมาด้วยชนเข้ากับเสาทองแดงสิบสองต้นของลานฝึกยุทธ์ส่งเสียงดังติงตัง ลมกระพือก่อกวนทัศนวิสัยจนบิดเบี้ยว เมื่อมองผ่านทัศนวิสัยเช่นนั้น รูปสลักนูนของสัตว์สี่เท้าซึ่งมีนัยน์ตาดุร้ายบนเสาเหมือนจะกระโจนลงมากัดสังหารมวลมนุษย์ได้ทุกเมื่อ

และเมิ่งฝูเหยาที่ยืนอยู่ใต้เสา ผอมบาง เด็ดเดี่ยว หลังยืดตรง

เห็นชัดๆ ว่าบอบบางดั่งจะโดนลมพัดไปได้เดี๋ยวนั้น กลับให้ความรู้สึกเยือกเย็นเหี้ยมหาญ ไม่แตกต่างจากเสาต้นใหญ่ที่ไม่เคยสั่นคลอนมานับพันนับหมื่นปีด้านหลัง

ประกายตาเจิดจ้าที่ไม่รู้ว่าแฝงความหมายใดของคนมากมายสาดมา เมิ่งฝูเหยากลับไม่มองใคร เม้มปาก ฉีกแขนเสื้อตนเองออกมาส่วนหนึ่ง ผูกปิดตาไว้

กระบี่ยาววาววับราวน้ำแห่งสาทรฤดูในมือ นำพาแสงตะวันยามบ่าย ส่องตรงไปยังบุรุษชุดดำ เป็นความหมายท้าทาย ภายใต้ความตกตะลึงและสายตาเหลือเชื่อของผู้คนนับร้อย

 

 

 

 

ตอนที่ 4 กระบี่สะท้านเสวียนหยวน

 

ลานฝึกยุทธเงียบสงัดอย่างประหลาด มีเพียงบุรุษชุดดำที่หลับตารอคอยอยู่กลางลานมาตลอด เขาพลันเงยหน้า มองเมิ่งฝูเหยาด้วยแววตาลึกล้ำ

เขายังไม่ทันรั้งสายตากลับมา เงาดำตรงหน้าพลันขยับ เงาร่างสายหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เพราะความเคลื่อนไหวรวดเร็วและใช้พลังงานมากเกินไป จึงทำให้เกิดเสียงระเบิดดังเพียะเบาๆ ในอากาศ 

คนยังมาไม่ถึง นิ้วขาวราวหิมะกลับยื่นทลายอากาศมาแล้ว กระบี่สั้นดำทอประกายหม่นที่ปลายนิ้ว แหวกฝ่าลมมาอย่างรวดเร็วดุดัน  พุ่งโจมตีดวงตาทั้งสองของเขา!

เพียงกระบวนท่าเดียว ทั้งเร็ว โหด แม่นยำ ความร้ายกาจอำมหิตของมุมที่ลงมือยิ่งยากจินตนาการได้ ผู้ประลองทั้งสองไม่รู้สึกอะไร แต่คนทั้งสำนักกระบี่เสวียนหยวน กลับพากันสูดลมหายใจอย่างเงียบงัน

กระบวนท่านี้ ระดับพลัง มุมและความเร็วประสานกันอย่างสมบูรณ์...ทั่วทั้งสำนัก นอกจากอาจารย์ เกรงว่าคงไม่มีใครใช้ออกได้...

บุรุษที่ยืนอยู่กลางลานยิ้มหยันคราหนึ่ง เพียงขยับส้นเท้าก็ถอยหลังลื่นไหลราวสายน้ำไปสามก้าว พลิกดึงมือหนึ่งครา กระบี่ยาวสีครามลอดผ่านใต้รักแร้ออกมาราวอสรพิษ พุ่งใส่หน้าอกเมิ่งฝูเหยา

สองกระบี่ปะทะกัน เสียงกังวานเปี่ยมพลังดังขึ้น สะท้านสะเทือนจนคนทั้งลานรู้สึกถึงความสั่นไหว เลื่อนลั่นจนลมแรงคล้ายหยุดยั้งลง

ลมกระบี่ทำให้มวยผมเมิ่งฝูเหยาหลุดออก ผมดำขลับสยายราวหมอก นางสะบัดศีรษะคราหนึ่ง ใช้ฟันขาวและริมฝีปากแดงกัดผมยาวปอยหนึ่งไว้ ก่อเกิดเป็นความงามและความสดใสที่น่าตระหนกยิ่ง

ดวงตาบุรุษชุดดำด้านตรงข้าม ทอประกายคราหนึ่ง กระบี่ยาวก็ตวัดเอียงลงมา ปรากฏรัศมีโค้งสีขาวราวหิมะนับไม่ถ้วน เส้นผมของเมิ่งฝูเหยาที่พุ่งไปด้านหน้าถูกดึงไว้จนตรง และปลิวตกลงไร้ซุ่มเสียงราวกลุ่มควันสีดำอีกครั้ง

เส้นผมปลิวไสว เส้นโค้งอ่อนนุ่มบนท้องนภางอตัวคราหนึ่ง พลันหายไปในอากาศ

เสียงอุทานดังทั่วลาน เหล่าเจ้าสำนักกลับเผยสีหน้าประหลาดใจชัดเจน เส้นผมสลายหายไป ดูท่าจะถูกพลังทั้งหมดของเมิ่งฝูเหยาที่ตั้งมั่นรับแรงโจมตีทำลายในชั่วพริบตา แต่ไหนแต่ไรมา วัตถุแข็งแกร่งทำลายได้ง่าย แต่วัตถุอ่อนนุ่มยากทำลาย สตรีนางนี้ฝึกพลังภายในอะไร กลับสามารถปล่อยพลังออกมาทำลายวัตถุไร้สภาพได้

ในที่สุดเจ้าสำนักไป๋ซานเริ่มมองสตรีบอบบางกลางลานอย่างจริงจัง แต่สีหน้ากลับไม่แสดงความกังวล เขาดูออกว่า แม้เพลงกระบี่ของนางจะโดดเด่น แต่ไม่มีพลังภายในเพียงพอ ถึงแม้คนอายุน้อยมีความสำเร็จถึงขั้นนี้ จะทำให้ผู้คนตระหนกจนหลั่งเหงื่อออกมา ทว่าเมื่อเปรียบกับกระบี่ไร้รอย ที่สร้างชื่อผาดโผนในยุทธภพมาหลายปี มีประสบการณ์รับมือศัตรูมากมาย ก็ยังด้อยกว่าหลายขั้น

คิดเอาชนะเขาหรือ ฝันไปเถอะ

เขาขยับตัวบนเก้าอี้อย่างสบาย แย้มยิ้ม ลูบเครา

กลางลาน หลังผ่านการประลองรอบแรกที่ไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ พริบตาเดียวเงาร่างสีดำทั้งสองเข้าพัวพันทำศึกกันอีกแล้ว ความเคลื่อนไหวของทั้งคู่รวดเร็วสุดประมาณ ผู้ชมโดยรอบเพียงรู้สึกว่ามีลมพัดผ่านหน้ากดดันจนหายใจลำบาก เงาร่างสองสายพันพัวกันราวผีเสื้อล้อบุปผา หนึ่งดำพลิกอีกหนึ่งดำม้วน ความเร็วก่อให้เกิดเป็นลำแสงสลับสีร่ายรำงดงามบนพื้นขาวกว้างขวาง ผ่านไปที่ใด บนพื้นหินสมบูรณ์เงางามปรากฏรอยแตกเล็กๆ ไม่หยุด เดี๋ยวผสมผสานเดี๋ยวตัดสลับ เหมือนภาพวาดประหลาดภาพหนึ่ง

เมื่อเห็นเพลงกระบี่ของเมิ่งฝูเหยาสูงส่งและมีอานุภาพกว่าเพลงกระบี่ของสำนักกระบี่เสวียนหยวนชัดเจน คนสำนักอื่นมีสีหน้าแปลกใจมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ศิษย์สำนักกระบี่เสวียนหยวนเบิกตาจนลูกตาหลุดออกมาแต่แรก

นี่คือเมิ่งฝูเหยาที่ประลองกระบี่ในสำนักคราใดได้ลำดับสุดท้ายทุกครั้งหรือ นี่คือเมิ่งฝูเหยาที่พลังภายในอ่อนด้อยจนไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนพลังภายในฟ้าดินบรรจบหรือ เพลงกระบี่ที่รวดเร็ว คล่องแคล่ว ชาญฉลาด และท่วงทำนองไม่ธรรมดาที่แม้แต่เพลงกระบี่ของสำนักก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้เช่นนี้ นางไปร่ำเรียนมาจากที่ใด

ศิษย์พี่เจ็ดที่ผลักเมิ่งฝูเหยาคราหนึ่งเมื่อครู่สูดหายใจคำหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “กระบวนท่าที่หนึ่งร้อย เมื่อครู่ภายใต้กระบี่ของคนผู้นั้น ศิษย์พี่ใหญ่ยืนหยัดได้ไม่ถึงสิบกระบวนด้วยซ้ำ...”

ศิษย์พี่หกที่ข้างกายเขากลืนน้ำลายดังเอื้อกคราหนึ่ง เสียงดังจนตัวเองยังตกใจ

ในเสียงร้องฮือฮาประหลาดใจ สีหน้าของเผยย่วนแปรเปลี่ยนไม่หยุด นางเพิ่งเหยียบเมิ่งฝูเหยาไว้ใต้เท้า ชั่วพริบตาเดียว เมิ่งฝูเหยากลับแสดงความสามารถที่แม้แต่นางเองก็ห่างอีกหลายขั้นออกมา พยับเมฆ (เปรียบดั่งความทุกข์กังวล ความอึดอัดใจ) ค่อยๆ เข้าปกคลุมที่หว่างคิ้วนางชั้นหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

หากเปรียบเทียบกัน หลินเสวียนหยวนมีสีหน้าเยือกเย็นที่สุด เขาเคาะนิ้วลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ สีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย

การประลองที่กลางลาน มาถึงยกสุดท้ายแล้ว

กระบี่ยาวสีครามพลันทะลวงม่านแสงสีดำมืด ประชิดข้อมือเมิ่งฝูเหยาโดยไร้เสียง มันลื่นไหลเบาๆ ราวสายน้ำ ไปที่หัวใจของเมิ่งฝูเหยา 

ลมแรงพุ่งเป็นสาย หมายมั่นเอาชีวิต

ทันใดนั้น เมิ่งฝูเหยายิ้มให้บุรุษหนุ่มชุดดำที่ค้อมตัวเข้ามาใกล้คราหนึ่ง

นางรอคอยเวลานี้นี่เอง

ฟันขาวกัดลงบนริมฝีปากแดงทันที เม็ดเลือดขนาดเท่าเม็ดปะการังปรากฏขึ้นที่ปากแผล เมิ่งฝูเหยาบังคับลมปราณโดยการเป่าปากดังพู่คราหนึ่ง เม็ดเลือดอิ่มเอิบชุ่มชื่นที่หลอมรวมพลังของวิชาทลายเก้าสวรรค์ขั้นที่สามเอาไว้พลันลอยสูงขึ้น แล้วสาดแสงออกมา

อากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็นชุ่มชื้นหนาหนักเกาะตัวเป็นพลังหมอกสีขาวบางชั้นหนึ่งทันที แล้วถูกเม็ดเลือดนั้นย้อมจนกลายเป็นสีแดงอ่อน  เสียงพรึ่บดังขึ้น หมอกนั้นกลายเป็นดั่งตาข่ายบิดตัวกลางอากาศแผ่คลุมเบื้องหน้าบดบังสายตาบุรุษชุดดำ 

เพียงระยะเวลาแค่สายฟ้าแลบ

เมิ่งฝูเหยาพลิกนิ้วทั้งห้า กระบี่สั้นกลางฝ่ามือหมุนติ้ว ปลายกระบี่พลันพุ่งสูงขึ้น เสียงฉัวะคราหนึ่ง ม่านแสงอันวิจิตรถูกกรีดเป็นทางยาวโค้งรูปพัดสายหนึ่ง แสงสีขาวเล็กยาวงดงามภายในม่านแสงที่ตาเนื้อแทบมองไม่เห็นลำหนึ่งพุ่งออกมาราวสายน้ำ ประกายเย็นเยียบวาบขึ้นคราหนึ่ง เสียงฟิ้วดังขึ้น แสงก็สาดไปยังหน้าอกฝ่ายตรงข้าม!

กระบวนท่าที่สามแห่งวิชาทลายเก้าสวรรค์ ‘น้ำตาเซียนร่วงหล่นสายฟ้าฟาด’!

ราวสายฟ้าฟาดผ่านท้องนภา  พาดผ่านทั่วหล้าในพริบตาเดียว

ในระยะใกล้สุดประมาณ ด้วยพลังกล้าแกร่งสุดขั้ว ประกายเย็นเยียบสายนั้น ใช้ความเร็วที่คนธรรมดายากจะหลบเลี่ยงได้ คร่าชีวิตผู้คน!

เสียงลมดุดัน รังสีฆ่าฟันรุนแรง พลังมหาศาลเสียดสีกับอากาศ จนส่งเสียงแหลมเล็กราววิญญาณโหยหวน

เสียงอุทานระเบิดขึ้น เจ้าสำนักไป๋ซานและพวกลุกขึ้นจากที่นั่งทันที หลินเสวียนหยวนที่นั่งเคาะนิ้วพลางครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้ ก็ตะลึงกับพลังสังหารอันดุดัน จนนิ้วชะงักค้าง

ศิษย์ที่ยืนอยู่ใกล้ผู้หนึ่งอุทานคำหนึ่งปิดหน้าถอยกายไป ครู่ใหญ่ มีเลือดไหลออกจากซอกนิ้ว

เขาโดนปราณแท้คมกริบที่ล้นออกมาภายนอกทำร้ายใบหน้า

กระบวนท่าที่ดุดันเลือดเย็นจนยากจะมีคนหลบพ้นได้ท่านี้ ทำให้ผู้คนที่ยืนขึ้นเพราะความตระหนกหันไปมองหน้ากัน รู้สึกหนาวเหน็บใจ

สายตาและปฏิกิริยาของบุรุษชุดดำกลับไม่ธรรมดา ขณะประกายเยียบเย็นปรากฏขึ้น เขาซ่อนตัวอยู่ในม่านแสง ถอยหลบอย่างรีบร้อน เงาดำพลันพลิกตัว รวดเร็วดั่งมังกรพิโรธ พลิกตัวหนึ่งคราก็กระโดดขึ้นไปสามจั้ง  แม้เป็นเช่นนี้ ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เสียงซ่าดังขึ้นเบาๆ หนึ่งครั้ง ประกายสีขาวทะลุผ่านกระดูกหัวไหล่ บุปผาโลหิตดอกใหญ่ผลิบานเจิดจรัสที่ด้านหลังหัวไหล่ที่ค่อนข้างบอบบางของเขา

  บุรุษชุดดำตกถึงพื้น โซเซยืนไม่มั่น เมิ่งฝูเหยาแย้มยิ้มพลางจัดแขนเสื้อ และลงมายืนที่เดิมอย่างสง่างาม

เมิ่งฝูเหยา ชนะ

เจ้าสำนักไป๋ซานหน้าเปลี่ยนสี การประลองกระบี่มีกฎเกณฑ์ว่า จะอาศัยพวกมากเอาชนะไม่ได้ เขาคำนวณอย่างแม่นยำแล้วว่าบรรดาศิษย์สำนักกระบี่เสวียนหยวน ไม่มีใครสามารถต่อกรกับบุรุษชุดดำได้ ดังนั้นเมื่อเจ้าสำนักกระบี่ชิงเฉิงผู้มีฝีมือกล้าแข็งที่สุดในบรรดาเจ้าสำนักทุกท่านพ่ายแพ้แก่หลินเสวียนหยวนไปหนึ่งกระบวนท่า เขาก็ไม่กลัว คิดไม่ถึงแผนการจะถูกทำลายโดยสตรีอัปลักษณ์ที่อยู่ๆ ก็โผล่มานางนี้ และอดแค้นตัวเองไม่ได้ที่ทำไมเมื่อครู่ปากไม่ดี ไม่เช่นนั้นสตรีอัปลักษณ์คงจากไปแล้ว และคงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้

ลานฝึกยุทธ์เงียบสงัด ศิษย์สำนักกระบี่เสวียนหยวนจ้องมองเมิ่งฝูเหยาด้วยความมึนงง ภายใต้แสงอาทิตย์ เส้นผมและเสื้อผ้าสีครามเข้มของนางปลิวไสว นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นโครงหน้างามประณีต นางยิ้มหยันพร้อมมองไปรอบด้าน สายตาที่กวาดผ่านหน้าเพียงชั่วพริบตา ยังร้อนแรงกว่าแสงตะวันหลายส่วน

หลายคนที่เคยหัวเราะเยาะนางมาก่อน อดไม่ได้ที่จะหดตัวและถอยไปด้านหลังเมื่อนางกวาดตามา

เมิ่งฝูเหยายิ้มหยัน โยนกระบี่สั้นลงพื้น เสียงฉึกดังขึ้นคราหนึ่ง ตัวกระบี่ปักลึกลงพื้นสามนิ้ว ผิวหน้าพื้นหินขาวเกิดรอยแตกร้าวร่วมเชียะ  ดูไปแล้วเหมือนมุมปากเชิดของรอยยิ้มเยาะเย้ยเย็นชา

พู่สีแดงที่ด้ามกระบี่ปลิวไสวท้าทายกลางสายลม ทิ่มแทงสายตาของบรรดาผู้ใคร่กล่าววาจาแต่ยากเปิดปาก

พื้นศิลาขาวสมบูรณ์ประณีตของลานฝึกยุทธ์ถูกเมิ่งฝูเหยาทำลายเสียหาย แต่ทั่วทั้งลานกลับไม่มีใครเอ่ยปาก

บุรุษหนุ่มชุดดำไม่หันกลับมามอง มุ่งตรงไปที่ประตู พลันหันกายกลับมา สายตาเย็นเยียบของเขาปะทะกับสายตาของเมิ่งฝูเหยาผู้ซึ่งเพิ่งแกะผ้าปิดตาออกพอดี

ดวงตาสองคู่จ้องมองกัน ส่วนลึกของดวงตาบุรุษชุดดำเกิดความเปลี่ยนแปลงดุจระลอกคลื่นในมหาสมุทรซัดกระแทกฝั่งแล้วม้วนตัวกลับไประลอกแล้วระลอกเล่า

เมิ่งฝูเหยาสงบใจมองตอบ ดวงตาสดใสสุกสกาวราวเงาจันทร์บนผืนทะเล

ทันใดนั้นบุรุษชุดดำเผยอารมณ์แปลกประหลาดชนิดหนึ่งออกมา เหลือบมองด้านหลังเมิ่งฝูเหยาคราหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวสาวเท้ายาวจากไป

เมิ่งฝูเหยาหันหน้าไปด้วยความสงสัยเล็กน้อย เห็นหลินเสวียนหยวนที่ไม่รู้มาถึงด้านหลังตนเองตั้งแต่เมื่อใด

เมิ่งฝูเหยาตกใจ รีบถอยหลัง ทันใดนั้นเองก็รู้สึกสมองมึนงง

ลมแกร่งแฝงกลิ่นคาวเลือดสายหนึ่งม้วนเข้ามาทันที

“เพียะ!”

 

 

 

 

ตอนที่ 5 คนในดวงจันทร์

 

จันทร์เสี้ยวสีขาวซีด ฝังประดับอยู่บนม่านฟ้าสีน้ำเงินเข้ม แสงจันทร์เย็นยะเยือก สาดแสงทั่วผืนป่าสีเขียวเข้ม

สายลมพัดผ่านยอดไม้สูงต่ำ ก่อเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวครวญครางของใบไม้ ไม่ทราบเสียงหอนโหยหวนของสุนัขป่าดังมาจากภูเขาห่างไกลลูกใด ยังมีบรรยากาศแห่งการไล่ล่าของเหยี่ยวที่สะท้านสะเทือนไปทั่วป่า ข้ามผ่านแผ่นฟ้ากว้างดาราดาษ ลอดผ่านแนวเขายาวใหญ่ เข้าสู่โสตประสาทของคนที่โดนล่ามโซ่อยู่ในถ้ำ

ถ้ำนี้แคบลึก มืดและชื้น มีตะไคร่น้ำเต็มไปหมด เมื่อลมพัดผ่านปากถ้ำ บังเกิดเสียงครวญครางดั่งวิญญาณร้องไห้ ในส่วนลึกของถ้ำมีแสงสีขาวสว่างอยู่เลือนราง หากมองให้ละเอียด กลับเป็นกระดูกสีขาวกระจัดกระจาย

เมิ่งฝูเหยานอนขดตัวอยู่บนพื้นเปียกชื้น เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง มีบาดแผลทั่วร่าง

นางถูกขังอยู่ในเรือนจำลึกลับของสำนักกระบี่เสวียนหยวนเกือบเจ็ดวันแล้ว

วันนั้น หลังทำศึก หลินเสวียนหยวนไม่คำนึงถึงฐานะ ใช้ผงยาสลบทำให้นางหมดสติ และใช้กระบวนท่าสังหารทันที ซัดนางหนึ่งฝ่ามือจนกระเด็น ทั้งยังด่าว่านางต่อหน้าผู้คนหมู่มากว่า “ขโมยฝึกวิชาล้ำค่าของสำนัก” บรรดาศิษย์จึง ‘เข้าใจในทันที’ และร่วมประณามการ ‘ขโมยเรียนสุดยอดวิชา’ ของเมิ่งฝูเหยายกใหญ่ จากนั้นหลินเสวียนหยวนก็ขังนางไว้ในถ้ำ

เจ็ดวันมานี้หลินเสวียนหยวนมาที่ถ้ำทุกวัน บังคับถามความเป็นมาของนาง ทั้งยังต้องการให้นางมอบวิชากระบี่ที่ใช้ต่อกรกับบุรุษหนุ่มชุดดำในวันนั้นออกมาด้วย

ยุคปัจจุบัน พละกำลังคือความยิ่งใหญ่ หนึ่งสุดยอดวิชามีนัยยะสำคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองของกลุ่มอิทธิพลเป็นพิเศษ หลินเสวียนหยวนมีสายตาแหลมคม มองออกแต่แรกว่าวิชากระบี่ที่ศิษย์สตรีผู้เชี่ยวชาญการปลอมตัวใช้ในวันนั้นไม่สมบูรณ์เพราะพลังภายในไม่เพียงพอ แต่วิชากลับเป็นสุดยอดวิชา ฉะนั้น เขาต้องครอบครองให้ได้

เมิ่งฝูเหยาเพียงกัดฟันนิ่งเฉย นางรู้ดีว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้เจ้าเล่ห์แสนกล เพียงคำพูดไม่กี่ประโยค วิชากระบี่ของนางก็กลายเป็น ‘วิชาลับประจำสำนัก’ ของเขาไปแล้ว ต่อไปเมื่อสำนักกระบี่เสวียนหยวนมีสุดยอดวิชากระบี่เพิ่มขึ้นมาอีกแขนง ก็สมเหตุผล ส่วนจุดจบของ ‘ผู้ขโมยเรียนวิชา’ ที่ส่งมอบเคล็ดวิชาให้ คงต้องโดนฆ่าปิดปากแน่

เมิ่งฝูเหยาไม่อยากตายอยู่ที่นี่ นางยังมีเรื่องสำคัญต้องทำอีกมากมาย

แต่เมื่อคนผู้หนึ่งรับบาดเจ็บสาหัส และถูกสอบปากคำโดยการลงทัณฑ์ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า บวกกับไม่มีอาหารใด แล้วจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร

เมิ่งฝูเหยาหอบหายใจ มองไปยังดวงจันทร์ห่างไกล ผ่านค่ายกลศิลาที่ปากถ้ำซึ่งใช้ขังนางไว้ แสงจันทร์ภายใต้ดวงตาแดงก่ำ ยิ่งดูพร่าเลือนแปลกตา และห่างไกลจนไม่อาจสัมผัสได้

แสงจันทร์อิสรเสรี สาดส่องทั่วแผ่นดินห้าภูมิภาค ส่องต้องด้านหน้าหมอนของจิ้งจอกเฒ่าที่กำลังหลับสบาย แต่กลับสาดแสงไปไม่ถึงร่างที่นอนสะลึมสะลืออยู่ในความมืดมาเจ็ดวันเจ็ดคืนของนาง

มุมปากปรากฏรอยฝืนยิ้มบางๆ ขึ้น เมิ่งฝูเหยาหลับตา รับรู้ถึงปราณแท้ในกายที่สูญสลายไปกว่าครึ่ง วิชา ‘ทลายเก้าสวรรค์’ ของตน เดิมทีฝึกจนถึงขั้นสูงสุดของขั้นที่สามแล้ว การศึกในวันนั้น พลังภายในกลับถดถอยไปกว่าครึ่ง การฝึกฝนอย่างยากลำบากตลอดปีกว่า ล้วนสูญเปล่าแล้ว

จากคำบอกเล่าของนักพรตเฒ่าน่าตาย ‘ทลายเก้าสวรรค์’ คือสุดยอดวิชาที่สะท้านโลกอดีต สะเทือนแผ่นดินยุคปัจจุบัน เป็นวิชาที่ทำให้ผู้คนต้องหวาดผวา ยิ่งเรียนถึงขั้นสูงยิ่งฝึกยาก หากฝึกถึงขั้นที่เก้าจะไร้ผู้ต่อต้าน เมิ่งฝูเหยาแค่นเสียงออกทางจมูกเมื่อได้ฟัง คิดว่านักพรตเฒ่าน่าตายคงคุยโม้เสียแปดส่วน เพียงแต่วิชานี้ฝึกยากจริงๆ นางฝึกมาสิบปี เพิ่งฝึกได้ถึงขั้นที่สาม ด้วยระดับความเร็วเช่นนี้ นักพรตเฒ่าน่าตายก็ชมว่านางมีพรสวรรค์ ตอนนี้อยู่ๆ กลับถดถอยไปหนึ่งขั้น เมิ่งฝูเหยาแค้นใจจริง ๆ

ท้องฟ้ามืดยิ่งขึ้น เสียงน้ำไหลเลือนรางค่อยๆ ดังขึ้นในถ้ำที่เงียบสงบ

เมิ่งฝูเหยาดิ้นรนลุกขึ้น ค่อยๆ คืบคลานไปบนพื้น โซ่ตรวนที่ทำจากเหล็กกล้าลากไปตามพื้นขรุขระส่งเสียงแกรกกราก ใช้เวลานานจึงกระเสือกกระสนไปถึงริมผนัง

เมิ่งฝูเหยาที่ใช้แรงจนหมดทิ้งตัวผิงผนังอย่างแรง ไม่สนว่าผนังถ้ำจะชื้นและสกปรก นางแนบใบหน้าจนชิดกับผนังหินที่มีน้ำไหลซึมลงมา รอคอยน้ำแต่ละหยดเพื่อประคองชีวิต

เจ็ดวันนี้นางรอดชีวิตมาได้โดยอาศัยน้ำจากธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นตรงเวลาตอนกลางดึกทุกคืน 

ดื่มน้ำไปหลายคำ สูดหายใจไปหลายครั้ง เมิ่งฝูเหยาลูบใบหน้า พบว่ารอยแผลปลอมบนหน้าตนเองถูกน้ำชะล้างไปหมดแล้ว ทว่าไม่เป็นไร จะอย่างไรช่วงนี้ก็ไม่มีใครมาที่ถ้ำ

ดื่มน้ำแล้ว รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง เมิ่งฝูเหยานั่งพิงผนัง มองไปนอกถ้ำโดยไม่ตั้งใจ ทันใดนั้น สายตานางหยุดนิ่ง

ด้านหน้ามีผาเดียวดายโดดเด่นดั่งคมกระบี่ที่เทพรังสรรค์ขึ้น ยื่นเอียงออกมาจากภูเขา พระจันทร์สีเงินกลมโตสุกสว่างดวงนั้น แขวนอยู่บนยอดผาพอดี ดูไปแล้วเหมือนโดนยอดแหลมของผาสูงชันเกี่ยวไว้

แสงจันทร์เย็นยะเยือกและอ่อนโยน บนยอดเขาในดวงจันทร์มีคนผู้หนึ่งกำลังร่ายรำกระบี่

เสื้อผ้าหลวมกว้างของคนผู้นั้น ถูกลมภูเขาพัดกระพือพลิ้วอยู่ในเมฆบางหมอกเบาที่ลอยล่องบนยอดเขา เลือนรางราวอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า คนผู้นั้นยกมือวาดเท้าคล่องแคล่วมีพลัง ทิ่มแทงกระบี่ยาวตัดเมฆาสลักจันทราอย่างสง่างาม เห็นชัดๆ ว่าเป็นเพียงเงาอันห่างไกลสายหนึ่ง แต่ขณะที่เงาขยับขึ้นลงเปลี่ยนทิศทาง กลับแสดงถึงท่วงท่าของนักรบผู้เร้นกายในป่าเขา และบุคลิกของเซียนผู้เป็นอมตะ

มุกงามร่วงลงบนพื้นหยก ผลักเรือเดินหน้าในแดนสวรรค์ ทัศนียภาพทั้งหมดนั่นล้วนงดงามสุดประมาณ แต่เทียบไม่ได้กับภาพร่ายรำกระบี่ในดวงจันทร์ที่ทั้งรวดเร็วและสง่างาม  ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนช้อยในขณะนี้

ธารดารากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แสงจันทร์ถูกปกคลุมด้วยหมอกเย็น เงาสีหม่นที่กำลังร่ายรำกระบี่ตัดกับพระจันทร์สีขาวราวหยกชัดเจนราวภาพวาด บุรุษผู้ถือกระบี่ในมือ สง่างามยิ่งนัก

ไม่ทันรู้ตัว เมิ่งฝูเหยาเฝ้ามองจนตกอยู่ในภวังค์ 

ฉะนั้นขณะนี้นางกลับไม่รู้สึกถึงเงาดำยาวที่พลันทาทาบลงยังปากถ้ำ และเสียงเดินอย่างแผ่วเบาที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้ 

 

ลิ้งค์สั่งซื้อ หนังสือ ฝูเหยาฮองเฮา เล่ม 1

http://siamintershop.com/product/8616

Top Hit


Special Deal