(* กดเพื่อเปลี่ยนสีพื้นหลัง)

new

ทดลองอ่านนิยายจีนเรื่อง ตำนานกระบี่ข้ามฟ้า เล่ม1

บทที่ 1.1

    

“แกร๊ก”

บริกรบิดเปิดขวดน้ำเปล่า รินน้ำลงในแก้วใส น้ำในขวดนี้เป็นน้ำกลั่นที่ประกอบขึ้นจากไฮโดรเจนสองอะตอม กับออกซิเจนหนึ่งอะตอมรวมกันเป็นสูตรเคมี ‎H2O ไม่มีจุลินทรีย์หรือแร่ธาตุใดเจือปน  น้ำเปล่าแบบนี้ต่อให้ดื่มวันละสิบขวดแปดขวด ดื่มไปสิบปีแปดปี ก็ไม่ทำให้อัตราการตายเพิ่มขึ้นแม้แต่หนึ่งในล้านส่วน อย่างน้อยโดยทฤษฎีมันเป็นเช่นนั้น

หลี่หนานสุ่ยชูแก้วน้ำขึ้น จิบน้ำลงไปช้า ๆ คำหนึ่ง เธอสวมชุดกระโปรงยาวเรียบง่าย บริเวณใต้รักแร้คว้านลึก จนมองจากด้านข้างจะเห็นขอบเสื้อชั้นในและรอยแผลเป็นจาง ๆ เส้นหนึ่ง

เธอกับน้องสาวเป็นคนไม่สนใจเรื่องการแต่งตัว แม้จะมีหน้าตาสวยงามโดดเด่น แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรนัก ยิ่งหลี่หนานสุ่ยคนพี่แม้แต่รอยแผลเป็นที่ข้างเนินอก ยังปล่อยให้โผล่ออกมา ผู้หญิงที่มีบุคลิกลักษณะพิเศษ ชอบทำอะไรเหนือความคาดหมายเสมออย่างเธอ คงไม่ค่อยสนใจเรื่องหน้าอกสักเท่าไหร่ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วหน้าอกของเธอ..ไม่ได้เล็กเลย

เธอกับเหวยสือเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน เหวยสือเรียนสูงกว่าเธอสองชั้น สมัยเรียน เคยมีข่าวว่าเหวยสือตามจีบเธอ แต่ความเป็นจริง คนที่เหวยสือชอบกลับเป็นหลี่หนานเวยน้องสาวของเธอ หลี่หนานสุ่ยมาจากตระกูลใหญ่ มีลูกพี่ลูกน้องมากมายนับไม่ถ้วน แต่มีน้องสาวแท้ ๆ อยู่เพียงคนเดียว ในตระกูลใหญ่ที่มีสมาชิกสองสามร้อยคน คนที่สวยและฉลาดที่สุดคือหลี่หนานสุ่ย คนที่เป็นที่รักมากที่สุดคือหนานเวย บรรดาญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลายมักจะพูดกันว่า นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าชดเชยให้กับการที่พวกเธอทั้งสองต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่เด็ก

    

หลี่หนานสุ่ยกำลังโบกมือให้กับผู้ชายที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ

ผู้ชายคนนี้ชื่อจูไฉเซิ่ง ดูจากหน้าตาแล้ว ถ้าไม่ใช่อายุสักหกสิบก็น่าจะห้าสิบเก้า แต่หลี่หนานสุ่ยรู้ดีว่าเขาคนนั้นมีอายุเพียงสี่สิบเก้า แต่เพราะหัวล้านของเขา จึงทำให้ดูแก่กว่าวัย

ขณะนั้นในใจหลี่หนานสุ่ยกำลังคิดว่า “วิธีคำนวณอายุของคนกับสัตว์ต่างกัน สุนัขสามปีเท่ากับคนอายุยี่สิบปี แต่สุนัขก็มีข้อดีกว่าคนไม่น้อย เช่นสุนัขไม่มีความเสี่ยงว่าจะมีเกาะร้างกลางกระหม่อม  เวลาจะสมสู่ก็ไม่ต้องผ่าน “พิธีการสู่ขอ” ผสมพันธุ์กันได้ทุกที่ทุกเวลา สะดวกสบายกว่าคนเยอะ”

เมื่อก่อนจูไฉเซิ่งสนิทสนมกับปู่ของหลี่หนานสุ่ยมาก แต่นั่นก็เป็นเรื่องโบร่ำโบราณนานมาแล้ว ในสมัยนั้น ทุกสามวันคุณอาจูจะมาเยี่ยมที่บ้านสองครั้ง มาเล่นไพ่นกกระจอก มาชวนคุยเรื่องโบราณวัตถุ เรื่องธุรกิจ และเรื่องสัพเพเหระกับเซอร์หลี่ (เชิงอรรถ -  เซอร์ เป็นคำเรียกนำหน้าชื่ออัศวินหรือขุนนางของอังกฤษ)  เมื่อเจอกับหนานสุ่ยตัวน้อย เขาจะอุ้มขึ้นมาหอมแก้มจนหน้าของเธอเปื้อนน้ำลายเหม็น ๆ ดังนั้นเมื่อหนานสุ่ยในวัยเด็กพบเจอเขา ก็จะกลัวจนวิ่งหายไปทุกที คฤหาสน์เก่าของตระกูลหลี่กินพื้นที่แปดพันกว่าตารางเมตร มีเจ็ดห้องโถงยี่สิบหกห้องพัก เมื่อเด็กผู้หญิงคนหนึ่งคิดจะหลบซ่อนตัว ก็คงยากที่ใครจะตามหาเจอ

ตระกูลหลี่เป็นตระกูลใหญ่ ร้อยปีก่อนหลี่ตงไหลเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของชาวจีน มีภรรยาสองคน อนุภรรยาหกคน ลูกชายลูกสาวยี่สิบสามคน ลูก ๆ ก็ให้กำเนิดหลาน หลานให้กำเนิดเหลน เหลนให้กำเนิดลื่อ (เชิงอรรถ - ลูกของเหลนเรียกว่าลื่อ) มาถึงตอนนี้รุ่นที่หกก็ถือกำเนิดออกมาแล้ว ในตระกูลใหญ่นี้มีทั้งคนที่เป็นแพทย์ เป็นทนาย นักบัญชี สมาชิกสภาผู้แทน ผู้พิพากษา หัวหน้าตำรวจหน่วยสนับสนุน (เชิงอรรถ - หน่วยงานตำรวจของฮ่องกง) อาจารย์มหาวิทยาลัย ประธานบริษัทในตลาดหุ้น นักสังคมสงเคราะห์ จิตอาสา ไปจนถึงพวกเร่ร่อนในต่างประเทศ พวกอยู่ว่างไปวัน ๆ ไม่ทำการทำงาน พวกที่ล้มละลายหรือติดคุกก็มีไม่น้อย มีบางคนก็อพยพไปอยู่ต่างประเทศ แต่งงานกับฝรั่ง จนลูกหลานกลายเป็นพวกผมสีทองตาสีทอง ในบัตรประจำตัวก็ใช้นามสกุล “Lee” ไม่ใช่หลี่ แต่ที่แปลกก็คือ “Lee” ก็เป็นนามสกุลใหญ่ของพวกต่างชาติ พวกนั้นก็เลยกลายเป็นคนตะวันตกขนานแท้ไป

หลี่เชาหรันเป็นหลานคนโตของหลี่ตงไหล สืบทอดคฤหาสน์ของปู่ เขาเคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกง เคยได้รับตำแหน่งเป็น “เซอร์” เครือธุรกิจตงซานของตระกูล เมื่อตกมาอยู่ในมือเขามีมูลค่ามากกว่าห้าพันล้านเหรียญฮ่องกง เมื่อประเทศอังกฤษถอนตัวออกจากฮ่องกง เขาก็หลุดจากตำแหน่งสมาชิกสภา หลังการตัดสินใจทางธุรกิจผิดพลาดหลายครั้ง สมบัติที่มีอยู่ห้าพันล้านเหรียญกลายเป็นติดลบสองพันล้านเหรียญ แม้ว่าฐานะในวงการจะช่วยให้ธุรกิจเครือตงซานไม่ถึงกับพังพินาศ แต่ก็เต็มไปด้วยหนี้สินรุงรัง ที่จนถึงวันนี้ก็ยังชดใช้ไม่หมด ในช่วงเวลานั้น จูไฉเซิ่งกลับประสบความสำเร็จในวงการธุรกิจ จนมีมูลค่าทรัพย์สินกว่าหมื่นล้านเหรียญ เมื่อฐานะดีขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องมาประจบใครอีก ไม่สู้เอาเวลาสอพลอไปอยู่กับคนที่บ้านยังจะมีประโยชน์กว่า ภรรยาของเขาเกาผิงซืออายุน้อยกว่าจูไฉเซิ่งสิบกว่าปี หลังชนะประกวดนางงามก็แต่งงานกับเขา ความรักที่จูไฉเซิ่งมีให้ “นางงามเกา” ถือเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันไปทั่วในวงการธุรกิจ

คนที่นั่งอยู่กับจูไฉเซิ่งมีชื่อว่าลั่วเหยียน เป็นหนุ่มหล่อชื่อดังในวงการ เขาเป็นเพื่อนสนิทและมีหน้าที่คอยจัดการเรื่องหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ให้กับเฮ่อซินหลง เงินทองหามาได้ง่ายดาย ก็ใช้ออกไปอย่างมือเติบ เขาจะดื่มเหล้าที่ดีที่สุด สวมเสื้อผ้าทันสมัยที่สุด สวมนาฬิกาแพงที่สุด ขับรถที่เร็วที่สุด เพื่อที่จะจีบผู้หญิงที่สวยที่สุด จนกลายเป็นหนุ่มฮอตในหน้าข่าวบันเทิงอยู่เสมอ คุณชายลั่วเป็นคนเจ้าชู้ นิยมสาวสวย ไม่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าไหร่ ก็ต้องชิงมาครอบครองให้จงได้ เขาจึงได้เป็นแขกประจำบนหน้าปกนิตยสาร นักข่าวบันเทิงพากันตั้งฉายาให้เขาว่า “ผู้พิชิตสาวงาม”

เฮ่อซินหลงเป็นมหาเศรษฐีที่เก็บเนื้อเก็บตัวที่สุด แต่กลับมีคู่หูเป็นหนุ่มเนื้อหอมที่ได้รับความสนใจมากที่สุด นี่นับเป็นความประหลาดอย่างหนึ่ง

 

“วันศุกร์คุณว่างไหม?” เหวยสือถามขึ้น

“ว่างแล้วยังไง ไม่ว่างแล้วยังไง?”  หลี่หนานสุ่ยตอบพลางจิบน้ำคำหนึ่ง

น้ำไหลลงไปตามลำคอ ไหลลงหลอดอาหาร ลงสู่กระเพาะ

เหวยสือหยิบตั๋วออกมาสองใบ วางลงบนโต๊ะ

“คณะกายกรรมมอสโก?” หลี่หนานสุ่ยหยิบตั๋วจากโต๊ะขึ้นมา “ตั๋วสองใบ จะชวนฉันไปดู หรือจะให้ฉันส่งต่อให้เสี่ยวเวย?”

เหวยสือยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

“ชวนพวกคุณสองคนไปดู” เขาตอบ

“แล้วคุณไม่ไปดูด้วยหรือ?” หลี่หนานสุ่ยถามขึ้น

ถึงตอนนี้เหวยสือค่อยล้วงตั๋วใบที่สามออกมา

“ไปกันสามคน? ฉันไม่อยากจะไปเป็นก้างขวางคอของใคร” หลี่หนานสุ่ยพูดต่อว่า “คุณไปซื้อตั๋วเพิ่มมาอีกใบ แล้วไปชวนผู้ชายมาสักคน ไปดูพร้อมกันสี่คน”

“คุณทั้งรสนิยมสูง เงื่อนไขก็เยอะ จะให้ไปหาผู้ชายที่เหมาะกับคุณมาจากไหน?”

“แต่ตอนเรียนมัธยม ทุกสามวันห้าวันคุณยังมาชวนฉันไปดูหนังบ่อย ๆ”

“ตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่นไม่รู้ความ ไม่รู้จักเจียมตัว ถึงได้โดนคุณด่าแม่ให้บ่อย ๆ” เหวยสือถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า “คนเราพอโดนบ่อยเข้ามันก็เริ่มรู้จักกลัว สุดท้ายก็กลายเป็นไม่กล้าอาจเอื้อมแล้ว”

“ตอนนั้นฉันยังเด็ก ครอบครัวก็ควบคุมเข้มงวด ไม่อนุญาตให้ไปไหนมาไหนกับผู้ชาย แต่ตอนนี้ฉันโตแล้ว จะไปไหนก็ได้” หลี่หนานสุ่ยพูดต่อไปว่า “หนุ่ม ๆ ที่มาจีบเสี่ยวเวย ต่อให้มีไม่ถึงพันก็น่าจะมีสักแปดร้อย คุณไม่กล้าอาจเอื้อมจีบฉัน แต่กล้าอาจเอื้อมจีบเสี่ยวเวย เฮ้อ.. ใคร ๆ ก็เป็นแบบนี้กันไปหมด มิน่าฉันอายุจะสามสิบยังหาแฟนไม่ได้ ใกล้จะเป็นยายแก่ขึ้นคานอยู่แล้วเนี่ย”

หลี่หนานสุ่ยหันมาจ้องมอง สำรวจเหวยสืออย่างละเอียด

เขามีใบหน้ารูปเหลี่ยม ไม่ถึงกับหล่อ แต่มีกลิ่นอายความเป็นชายสูง เขาสูงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร อายุสามสิบเอ็ดปี เป็นหัวหน้าแผนกอายุรกรรมในโรงพยาบาลหลิงเวิ่น เป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติตั้งแต่ยังหนุ่ม นอกจากนั้นยังเป็นคาราเต้สายดำดั้งสาม เรียกว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เขาก็จัดเป็นเพชรเม็ดงามเม็ดหนึ่งในกลุ่มชายโสดของเมืองนี้

หลี่หนานสุ่ยยกแก้วขึ้นจิบน้ำอีกครั้ง ทอดสายตามองไปยังโต๊ะข้าง ๆ

 

ลั่วเหยียนเป็นหวัดอย่างรุนแรงจนต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดจมูกเกือบตลอดจนจมูกแดงเถือก เขานั่งอย่างกระสับกระส่าย รู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่รู้ว่าจูไฉเซิ่งนัดเขามากินอาหารกลางวันมื้อนี้ด้วยจุดประสงค์ใด

“เปิดอกคุยกันเลยเถอะ ช่วงที่ผ่านมา คุณทำให้หุ้นหลายตัวมีสีสันโดดเด่นขึ้นมา โดยเฉพาะข้อตกลงธุรกิจมูลค่าแสนล้านเหรียญ (เชิงอรรถ – เรื่องราวเกิดขึ้นที่ฮ่องกง หน่วยของเงินหากไม่มีการระบุ โดยทั่วไปจะหมายถึงเหรียญฮ่องกง) ที่เป็นการจับมือกันของสามยักษ์ใหญ่อย่างเทียนฉานเกาเคอจี้ (เชิงอรรถ - เทียนฉานไฮเทคโนโลยี) กับมิตซูบิชิเฮวี่อินดัสทรีส์ของญี่ปุ่น และครุพพ์ กรุ๊ปของเยอรมัน ยิ่งเป็นผลงานชั้นเลิศในรอบศตวรรษนี้ ผมชื่นชมในความสามารถของคุณ ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ผมจึงอยากร่วมมือกับคุณ ขอให้คุณช่วยระดมทุนให้บริษัทของผมบ้าง” จูไฉเซิ่งกล่าวขึ้น

“.....ที่แท้ก็คุยเรื่องธุรกิจ อย่างนั้นก็ค่อยยังชั่ว” ลั่วเหยียนได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้น

“ธุรกิจระดับแสนล้านเหรียญนั่น คุณเฮ่อเป็นคนวางแผน ผมก็แค่คอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้างเท่านั้นเอง” ลั่วเหยียนตอบ

“แม่ทัพเข้มแข็งย่อมไม่มีทหารอ่อนแอ ถ้าคุณไม่มีความสามารถโดดเด่น เฮ่อซินหลงจะชื่นชมคุณขนาดนี้หรือ? เอาเป็นว่า อนาคตของบริษัทผมขึ้นอยู่กับคุณแล้ว อยู่ที่ว่าคุณจะยอมช่วยผมหรือเปล่า”

“ขอบคุณเถ้าแก่ที่ให้โอกาส คำว่าช่วยผมคงไม่กล้ารับ ถ้าเป็นเรื่องแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางธุรกิจ รุ่นน้องอย่างผมยินดีเสมอ สถานการณ์ของบริษัทฟู่หัวผมเองก็พอรู้อยู่บ้าง ไม่ทราบว่าในใจของคุณมีแผนการที่เป็นรูปธรรมหรือยัง?”

“ผมมีความคิดว่าอยากจะดันราคาหุ้นของฟู่หัวขึ้นไปที่สิบสองเหรียญ แล้วทำการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนขายในราคาสิบเอ็ดเหรียญ เพื่อระดมทุนหนึ่งพันล้าน” จูไฉเซิ่งกล่าวต่อไปว่า “ผมได้ข่าววงในมา เลยคิดจะขายโรงแรมในอเมริกา ซึ่งจะได้กำไรทางบัญชีเป็นเงินแปดร้อยเจ็ดสิบล้าน จากนั้นก็จับมือกับบริษัทลูกบริษัทหนึ่งของจงสือโหยว (เชิงอรรถ – ไชน่าเนชั่นแนลปิโตรเลียมคอร์ปอเรชั่น) ประกาศร่วมกันซื้อหุ้นเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของ N.A.”

“N.A.  บริษัทร่วมทุนด้านก๊าซธรรมชาติระหว่างจีนกับรัสเซีย? ได้ยินว่าท่อส่งก๊าซสายใหม่จะวางเสร็จในปีหน้า อีกไม่นานก็จะเริ่มมีกำไรกลับเข้าบัญชีแล้วนี่” ลั่วเหยียนกล่าวขึ้น

“จากการเจรจาเงื่อนไขของจงสือโหยว ทำให้พวกเราสามารถซื้อมาได้ในราคาถูก ราคาซื้อคิดเป็นสิบเอ็ดเท่าของอัตราส่วนกำไรหุ้นต่อราคาหุ้น (เชิงอรรถ - Price-to-Earning Ratio (P/E Ratio)) พอวางท่อก๊าซเสร็จ แต่ละปีก็จะมีรายรับเพิ่มมาหนึ่งร้อยสิบล้านเหรียญสหรัฐ อัตราส่วนกำไรหุ้นต่อราคาหุ้นจะลดลงเหลือห้าเท่า”

“อืม เป้าหมายของการระดมทุนก็เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการซื้อกิจการ แต่ข่าวนี้น่าจะเพียงพอทำให้ดันราคาหุ้นขึ้นไปถึงสิบแปดเหรียญ คุณตั้งเป้าไว้ที่สิบสองเหรียญ ไม่น้อยไปหน่อยหรือ?”

“ถ้าไปถึงสิบแปดเหรียญได้จริงก็คงดี แต่ตอนนี้ผมไม่อยากมองโลกในแง่ดีขนาดนั้น คนเราทำอะไรมันต้องเหลือทางถอยไว้หน่อยถึงจะประสบความสำเร็จได้ นี่เป็นหลักการสำคัญในการทำธุรกิจของผม”

“จะดันราคาขึ้นไปสิบแปดเหรียญในอึดใจเดียว อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมคิดว่า ไม่สู้ลองดันขึ้นไปที่สิบสองเหรียญแล้วหยุดก่อน จากนั้นทำการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนครึ่งหนึ่งให้กับกองทุนของมิตรสหาย แล้วค่อยร่วมมือกับพวกเขาทำราคาหุ้นให้ขึ้นไปถึงสิบแปดเหรียญ ค่อยทำการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนรอบสอง”

“หุ้นฟู่หัวมีราคาตอนปิดตลาดอยู่ที่แปดจุดสามเหรียญ มีจำนวนหุ้นอยู่หนึ่งพันหกร้อยสามสิบล้านหุ้น ราคาตลาดในปัจจุบันอยู่ที่ หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยล้านเหรียญ ในทางเปิดเผยคุณถือกรรมสิทธิ์หุ้นอยู่ห้าสิบสองเปอร์เซนต์ รวมกับที่ถืออยู่ใต้โต๊ะร่วมกับเพื่อน ๆ ของคุณอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ มีกองทุนถืออยู่อีกราวยี่สิบเปอร์เซ็นต์” ลั่วเหยียนกล่าวต่อไป “เท่ากับว่ามูลค่าทางการตลาดของหุ้นทั้งหมดอยู่ที่ราวหนึ่งพันถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านเหรียญ”

“คุณเตรียมตัวล่วงหน้ามาได้ดีมาก” จูไฉเซิ่งกล่าว

“ถ้าไม่ทำการบ้านมาก่อน ผมจะกล้ามาพบกับเถ้าแก่หรือครับ แค่ก ๆ” ลั่วเหยียนใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ป้องกันไม่ให้น้ำลายกระเซ็นไปโดนจูไฉเซิ่ง

เขาดื่มน้ำจนหมด คนเป็นหวัดคอจะแห้งง่าย จึงต้องดื่มน้ำมาก ๆ เขาสั่งน้ำกลั่นมาอีกขวด เมื่อได้ยินเสียงเปิดขวดดัง “แกร๊ก” น้ำก็ถูกรินลงแก้วใสของเขาอีกครั้ง

น้ำดื่มใสบริสุทธิ์ ไม่ว่าเป็นคนที่สายตาดีแค่ไหน ก็มองไม่ออกว่าภายในมีสิ่งปนเปื้อนใด

 

“เอาอย่างนี้ ฉันจะเอาตั๋วให้เสี่ยวเวย แต่เธอจะรับปากหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดวงของคุณ ส่วนเรื่องที่ฉันจะไปหรือไม่คงไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่” หลี่หนานสุ่ยพูดขึ้น

“ขอบใจมาก” เหวยสือพูดต่อ “มื้อนี้ ผมเลี้ยงเอง”

“จะใช้ฉันเป็นแม่สื่อ คงต้องจ่ายหนักหน่อย ไม่ใช่แค่เลี้ยงอาหารมื้อเดียวแบบนี้”

“เอาน่า รับรองว่าคุณก็ต้องได้ประโยชน์ด้วยแน่ แต่ตอนนี้ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ก่อนนะ ขอร้องล่ะ!”

หลี่หนานสุ่ยพูดคุยอยู่กับเหวยสือ แต่ใจของเธอกลับจดจ่ออยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ คอยสังเกตทุกอากัปกริยาของลั่วเหยียนกับจูไฉเซิ่งตลอดเวลา

 

“เรื่องปั่นราคาหุ้นไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังร้อนแรงยิ่งง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่ถ้าตลาดพลิกกลับเมื่อไหร่ ต่อให้เป็นสี่มหาเทพก็คงดันไม่ขึ้น ถ้าจะทำกันจริง ๆ ก็ต้องรีบตีเหล็กตอนกำลังร้อน อาศัยตอนนี้ที่ตลาดกำลังอยู่ในขาขึ้น อาทิตย์หน้าเรามาเริ่มปั่นราคากัน” ลั่วเหยียนพูดต่อไปว่า “แต่ปัญหาของผมอยู่ที่... บอกอย่างไม่กลัวคุณหัวเราะเยาะ บริษัทฟู่หัวมีราคาตลาดสูงมาก อาศัยผมคนเดียวเกรงว่าคงไม่ง่ายนัก การดันราคาหุ้นครั้งนี้ทางคุณได้เตรียมด้านการเงินเอาไว้หรือยัง?”

“คุณถ่อมตัวเกินไปแล้ว เทียนฉานเกาเคอจี้ใหญ่กว่าฟู่หัวของผมตั้งสิบเท่า คุณยังจัดการได้อย่างดีไม่ใช่หรือ” จูไฉเซิ่งกล่าว

“เรื่องนี้... เรื่องนี้... มันมีข้อแตกต่างอยู่บ้าง...”

“ผมเข้าใจ ถึงผมจะมีเงินไม่มากเท่าเฮ่อซินหลง แต่เมื่อจะให้คุณช่วยทำงานให้ มีหรือจะปล่อยให้คุณต้องควักเงินเอง?” จูไฉเซิ่งพูดต่อไปว่า “เอาเป็นว่า งานนี้คุณไม่ต้องควักเลยสักแดง แบบนี้พอใจไหม?”

ในวงการธุรกิจ จูไฉเซิ่งจัดว่าขึ้นชื่อในเรื่องของความเขี้ยวลากดิน การที่เขายอมเสนอเงื่อนไขดีขนาดนี้ จะจัดว่าเป็นเรื่องประหลาดของวงการเลยก็ว่าได้

ลั่วเหยียนตอบรับด้วยความยินดีว่า “ขอบคุณครับเถ้าแก่!”

 

ทั้งคู่คุยกันด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แม้ว่าหลี่หนานสุ่ยจะมีโสตประสาทที่ดี แต่ก็จับใจความได้แค่ส่วนเดียว ทว่าเธอก็ไม่มีทีท่าร้อนใจอะไร เพราะสิ่งที่เธอสนใจไม่ใช่เนื้อหาการทำธุรกิจ

โทรศัพท์มือถือของเหวยสือดังขึ้น เขายกขึ้นสนทนาสองสามประโยค แล้วหันไปบอกกับหลี่หนานสุ่ยว่า “เซอร์หลี่มีเรื่องด่วนต้องการพบผม บอกให้ผมไปถึงโรงพยาบาลก่อนสองโมงครึ่ง เดี๋ยวกินของหวานเสร็จ ผมคงต้องรีบไปแล้ว”

“วันนี้คุณปู่ไปที่โรงพยาบาล?” หลี่หนานสุ่ยถามขึ้น

หลี่เชาหรันเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของโรงพยาบาลหลิงเวิ่นตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน เท่ากับเป็นหัวหน้าของเหวยสือ

“อืม มีงานสำคัญ ไปสายไม่ได้ด้วย”

“งานอะไร?”

“ความลับ บอกไม่ได้!”

“คนเป็นหมอ จะมีความลับอะไรนักหนา? ถึงยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องไปตรวจคนไข้หรอก” หลี่หนานสุ่ยยิ้มขึ้น

“....ต่อให้คุณอยากบอก ก็ไม่แน่ว่าฉันจะอยากฟังด้วยซ้ำ หึ!” เธอคิดขึ้นในใจ

 

“เงินสดห้าร้อยล้าน นอมินีผมหาให้ครึ่งหนึ่ง คุณหามาอีกครึ่ง” จูไฉเซิ่งเสนอต่อไปว่า “ผมจะมอบกรรมสิทธิ์ในหุ้นกับคุณสามสิบล้านหุ้น ปั่นราคาขึ้นไปได้เมื่อไหร่ คุณค่อยจ่ายค่าหุ้นตามราคาในตอนนี้ ส่วนเรื่องการระดมทุน เรื่องการจัดสรรหุ้นผมรับผิดชอบเอง กองทุนที่จะมารับของไปก็เจรจาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่คุณจะช่วยจัดสรรออกไปสักส่วนหนึ่งก็ได้ คุณจัดออกไปได้เท่าไหร่ ค่าคอมมิชชั่นส่วนนั้นยกให้คุณ เอาเป็นว่าตอนปล่อยหุ้นออกไป คุณก็ปล่อยหุ้นในมือคุณไปด้วย ถ้าแบ่งเป็นสองรอบก็ว่ากันไปตามสัดส่วน ผมเดินเท่าไหร่ คุณก็ตามไปเท่านั้น”

ถึงลั่วเหยียนจะไม่ใช่มหาเศรษฐี แต่จะจัดการกับเคสของฟู่หัวประเมินคร่าว ๆ น่าจะต้องใช้เงินสดสี่ร้อยล้านเหรียญ ถือว่ายังไม่เกินกำลังของเขา ต่อให้ไม่พอก็แค่เอ่ยปากกับเฮ่อซินหลง ขอแค่เห็นได้ชัดว่ามีกำไร เฮ่อซินหลงต้องสนับสนุนแน่ เพียงแต่ นี่เป็นการร่วมมือกับจูไฉเซิ่งครั้งแรก ลั่วเหยียนคงไม่โง่ขนาดยอมควักเงินหลายร้อยล้านเหรียญเพื่อช้อนซื้อหุ้นของจูไฉเซิ่งก่อนแน่ ดังนั้นพอได้ยินว่าไม่ต้องจ่ายเงิน เป็นข้อตกลงที่มีแต่กำไรเขาค่อยวางใจได้อย่างเต็มที่ หุ้นสามสิบล้านหุ้น ต้นทุนไม่เกินสามล้านเหรียญ แต่ละหุ้นสามารถทำกำไรสองจุดเจ็ดเหรียญ เท่ากับทุนสามล้านสามารถทำกำไรแปดสิบล้านเหรียญ แบบนี้มันยอดไปเลย

“หุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดของฟู่หัวมีราคาตลาดอยู่ที่หนึ่งพันถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้าน ยกแรกปั่นขึ้นไปที่หุ้นละสิบสองเหรียญ จะมีราคาตลาดอยู่ที่ราวสองพันล้านเหรียญ ดังนั้นเงินสดห้าร้อยล้านน่าจะพอ ต่อให้ราคาตลาดเกิดตก ใช้หุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ในการค้ำ เงินสดห้าร้อยล้านเหรียญก็ยังพอ” ลั่วเหยียนกล่าว

“ผมจัดเตรียมให้ทั้งนอมินีและเงินสด ไม่จำเป็นต้องไปค้ำ ถ้าคิดว่าห้าร้อยล้านเหรียญไม่พอ ผมจะให้เครดิตกับคุณอีกสามร้อยล้าน ต้องการเมื่อไหร่มาเบิกได้ตลอด”

ลั่วเหยียนคิดแล้วคิดอีกว่า เขาเองอยู่ในวงการการเงินมาหลายปี ยังไม่เคยเจออะไรที่ “หวานคอแร้ง” แบบนี้มาก่อน จึงต้องคิดทบทวนหลายรอบเป็นพิเศษ

“ยังมีอีกเรื่อง ที่ต้องการขอให้คุณช่วย....” จูไฉเซิ่งพูดแทรกเข้ามา “หลังจากเสร็จเรื่อง ผมอยากให้คุณช่วยแนะนำผมให้รู้จักกับคุณเฮ่อที ผมมีธุรกิจอีกหลายอย่างที่อยากเจรจากับเขา”

“.....แบบนี้นี่เอง! ให้โอกาสทำกำไรแปดสิบล้าน ก็เพื่อให้ฉันแนะนำให้รู้จักกับเถ้าแก่ใหญ่สินะ” ลั่วเหยียนคิดขึ้น เมื่อรู้เจตนาแท้จริงของจูไฉเซิ่ง เขาค่อยวางใจกว่าเดิม

“อืม เรื่องนี้อาจจะยากสักหน่อย มีความยากอยู่บ้าง” ลั่วเหยียนลังเลเล็กน้อย “แต่เมื่อได้รับประโยชน์จากคุณ ผมจะพยายามหาทางให้เอง”

เฮ่อซินหลงไม่เคยเปิดเผยตัวตนต่อที่สาธารณะ แต่ในวงการธุรกิจแทบไม่มีใครไม่รู้จักเขา ดังนั้นทุกคนย่อมรู้ว่าลั่วเหยียนคือคนสนิทอันดับหนึ่งของเฮ่อซินหลง หากลั่วเหยียนจะแนะนำใครให้เฮ่อซินหลงรู้จัก มีหรือจะหาวิธีไม่ได้?

“อย่างนั้นผมก็ขอบคุณไว้ล่วงหน้าแล้วกัน” จูไฉเซิ่งพูดขึ้น

“ขอโทษครับ ผมขอตัวสักครู่” ลั่วเหยียนเป็นหวัด ร่างกายต้องการขับเชื้อโรคออกจากตัว ทำให้มีอาการปวดท้องขึ้น เพียงแต่ความรู้สึกลำไส้บิดแบบนี้ มันไม่เกี่ยวกับเชื้อโรคหวัด แต่เป็นเพราะเขาเพิ่งดื่มน้ำที่ผสมยาถ่ายเข้าไป

จูไฉเซิ่งมองดูลั่วเหยียนจากไป ค่อยเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา

“....หึๆ ไม่เลวจริง ๆ ไอ้บ้ากามนี่ถึงกับต้องลุกไปเข้าห้องน้ำระหว่างคุยธุรกิจ เจ้าหมอนั่นถือว่ามีฝีมือไม่เบา นึกไม่ออกจริง ๆ ว่ามันทำได้ยังไง..”

เขาเหลียวมองซ้ายขวา เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครสังเกตเห็นก็รีบควักขวดเล็ก ๆ เทน้ำจากขวดใส่แก้วของลั่วเหยียน

น้ำผสมลงน้ำ ก็เหมือนเอาข้าวสารเทลงข้าวสาร เอาทรายผสมในทราย ไม่ว่าใครก็ดูไม่ออกว่ามีความแตกต่างอย่างไร

ต่อให้เอาไปตรวจในห้องแล็บ (เชิงอรรถ - ห้องปฏิบัติการ) ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดที่สุด ผลที่ได้ก็ยังคงเป็นน้ำธรรมดา ที่ประกอบด้วยไฮโดรเจนสองอะตอมกับออกซิเจนหนึ่งอะตอม ความเป็นจริงนี่ยังคงเป็นน้ำกลั่น ไม่มีสิ่งปลอมปน ทั้งภายนอกและภายใน ก็เหมือนกับน้ำกลั่นที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทุกอย่าง

เพียงแต่น้ำธรรมดาขวดเล็ก ๆ นี้ กลับมีมูลค่าถึงห้าล้านเหรียญสหรัฐ

 

หลี่หนานสุ่ยเป็นผู้เห็นเหตุการณ์เพียงหนึ่งเดียว ขณะที่เธอกำลังกินของหวาน ก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาวางไว้บนน่อง ยกเลนส์กล้องมือถือหันตั้งฉากทำมุมเก้าสิบองศาไปหาจูไฉเซิ่ง “เจ้าหมูโง่ตัวนี้มันยังไม่รู้ตัว ป่านนี้ยังทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง ยิ้มหวานอย่างกับชีสเค้กที่ฉันกำลังกินอยู่อีก”

 

จูไฉเซิ่งคล้ายกับเด็กที่เพิ่งทำความผิด เมื่อเห็นลั่วเหยียนเดินกลับมา ก็รีบก้มหน้าลงทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รีบใช้ส้อมหั่นชีสเค้กชิ้นหนึ่งส่งเข้าปากทันที

ลั่วเหยียนกลับมา สีหน้าก็ดูแย่ราวกับปอดหมูชิ้นหนึ่ง รีบควักยาออกมาหลายเม็ด ยกน้ำขึ้นดื่มแล้วกลืนลงไป

“ขอโทษที ผมเป็นหวัดนิดหน่อย” เขาพูดขึ้น

จูไฉเซิ่งรู้สึกขำจนแทบจะสำลักชีสเค้ก

“....ให้โอกาสแกรวยก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะถึงยังไง แกก็ต้องตายก่อนได้เงินก้อนนั้น ไม่มีวันได้เสพสุขกับมันหรอก ไอ้ชายโฉดที่ชอบล่อเมียชาวบ้าน ได้เวลากรรมสนองแล้ว!”

ลั่วเหยียนเชื่อว่าไม่มีใครรู้ว่าตัวเองลักลอบมีความสัมพันธ์กับเกาผิงซือ ซึ่งนั่นกลับกลายเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ จูไฉเซิ่งรักและหวงภรรยาของเขามาก หวงขนาดส่งนักสืบเอกชนคอยจับตาทั้งกลางวันกลางคืน ลั่วเหยียนไปเจอกับเกาผิงซือที่ถนนช็องเซลิเซ ในคืนนั้นพวกเขาไปมีอะไรกันในปราสาทโบราณ พอกลับมาฮ่องกง ทั้งคู่ก็ไม่ได้พบกันอีก ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ฝรั่งเศส มีหรือจะรอดพ้นสายตาจูไฉเซิ่งไปได้?

หลังลั่วเหยียนดื่มน้ำเข้าไป เขาจะตายอย่างไรจูไฉเซิ่งเองก็ไม่รู้ แต่เขามั่นใจว่า ภายในเจ็ดวันลั่วเหยียนจะต้องตายอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นหมอนิติเวชที่เก่งที่สุด ก็พิสูจน์ได้แค่เขาตายตามธรรมชาติ ไม่มีทางเดาออกว่าถูกใครวางยาพิษ

คำรับรองสำหรับค่าจ้างห้าล้านเหรียญสหรัฐคือ : เป้าหมายจะต้องตาย โดยเวลา สถานที่ และรูปแบบการตายจะต้องเป็นไปตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญา จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด

ถ้าจะจ้างใครมาฆ่าคน เงินสองแสนเหรียญก็เหลือเฟือแล้ว : ไปหามือปืนสักคนในแผ่นดินใหญ่ จ่ายเงินให้ห้าหมื่น ซื้อปืนกับทำเรื่องลักลอบเข้ามา ร่วมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะอีกสามหมื่น นายหน้าชักกำไรไปแสนสอง เรื่องที่สามารถจัดการได้ด้วยเงินสองแสนเหรียญฮ่องกง กลับต้องจ่ายถึงห้าล้านเหรียญสหรัฐ ย่อมหมายความว่าต้องมีความคุ้มค่าบางอย่างอยู่ ก็เหมือนกับเงินหนึ่งแสนเหรียญสามารถซื้อรถธรรมดาที่มีคุณสมบัติพื้นฐานครบครันได้ แต่คนที่แย่งกันไปซื้อรถซูเปอร์คาร์หรือรถโบราณที่มีราคาหลายสิบล้านเหรียญก็มีถมไป การจ่ายราคาสูงลิบลิ่ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถหรือฆ่าคน ก็มีแต่พวกมหาเศรษฐีเท่านั้น และผลที่ได้รับจากการจ่ายแพงกว่า ก็คือบริการตามสั่งและความปลอดภัยที่แน่นอน

ในใจของจูไฉเซิ่งเชื่อว่า สิ่งที่อยู่ในขวดเล็ก ๆ ที่เขาเพิ่งรินลงแก้วของลั่วเหยียน จะต้องเป็นยาพิษร้ายแรงที่ออกฤทธิ์ช้าอย่างแน่นอน แต่แท้จริงแล้วทั้งหมดหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ นั่นเป็นแค่น้ำกลั่นธรรมดา น้ำกลั่นที่ต่อให้ดื่มวันละสิบขวดแปดขวด ดื่มต่อเนื่องไปสิบปีแปดปี ก็ไม่เพิ่มอัตราการตายแม้แต่หนึ่งในล้านส่วน

สิ่งที่ปลิดชีวิตจริง ๆ ก็คือน้ำกลั่นขวดที่สามที่ส่งมา เดิมมันมีชื่อว่า “วารีโพยมหยก” ภายหลังเมื่อหลี่หนานสุ่ยอ่านนิยายกำลังภายในเรื่องชอลิ้วเฮียง บางครั้งก็เรียกยาพิษตัวนี้ว่า “น้ำทิพย์เทวา” (เชิงอรรถ – น้ำทิพย์เทวาหรือเทียนอิดซิ้งจุ้ยจากวังน้ำทิพย์ ในเรื่องชอลิ้วเฮียง สำนวนแปลของน.นพรัตน์) เพราะว่ามันคล้ายคลึงกับน้ำทิพย์เทวาในนิยายกำลังภายในเรื่องนั้นมาก

แต่ไม่ว่าจะเรียกว่า “วารีโพยมหยก” หรือ “น้ำทิพย์เทวา” สุดท้ายคนที่ดื่มลงไป ก็จะต้องตกสู่ “ปรโลก” อย่างแน่นอน

การใช้ยาพิษสังหารมีรูปแบบพื้นฐานอยู่สองอย่าง หนึ่งคือจู่โจมหัวใจ สองคือจู่โจมระบบทางเดินหายใจ แต่น้ำทิพย์เทวากลับไม่ใช่ทั้งสองแบบ มันเป็นแค่น้ำบริสุทธิ์ ที่ประกอบขึ้นจากแมคโครโมเลกุลของ H2O มีปริมาตรมากกว่าโมเลกุลของน้ำธรรมดาหลายร้อยเท่า ทำให้ต้องใช้เวลานานในการย่อยสลาย เมื่ออยู่ในกระเพาะ มันจะแผ่รังสีออกมาไม่หยุดหย่อน ภายในเจ็ดวัน เซลล์จะถูกทำลายจนถึงจุดวิกฤตของการมีชีวิต นั่นคือเหลือเพียงหนึ่งในยี่สิบของเซลล์รวมร่างกาย ถึงตอนนั้น หากผู้เคราะห์ร้ายไม่ได้ขึ้นไปยลโพยมหยกบนสรวงสวรรค์ ก็ต้องลงนรกไปอย่างแน่นอน

เมื่ออธิบายหลักการออกมา มันก็ง่ายจนนักศึกษามหาวิทยาลัยก็เข้าใจได้ : หากนำเอาน้ำทิพย์เทวาในปริมาณที่เท่ากับกับน้ำทั่วไปวางบนตาชั่ง ฝั่งที่เป็นน้ำทิพย์เทวาจะหนักกว่า ถ้าใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความแม่นยำสูงมาชั่ง ก็จะพบว่าน้ำทิพย์เทวามีน้ำหนักมากกว่า โดยอัตราความแตกต่างของทั้งคู่จะอยู่ที่ยี่สิบหกต่อสิบแปด

ส่วนประกอบของน้ำได้แก่ไฮโดรเจนกับออกซิเจน และในโลกนี้ไอโซโทป(เชิงอรรถ -เป็นความแตกต่างขององค์ประกอบทางเคมีที่เฉพาะเจาะจงของธาตุนั้นซึ่งจะแตกต่างกันในจำนวนของนิวตรอน นั่นคืออะตอมทั้งหลายของธาตุชนิดเดียวกัน จะมีจำนวนโปรตอนหรือเลขอะตอมเท่ากัน แต่มีจำนวนนิวตรอนต่างกัน ส่งผลให้เลขมวล(โปรตอน+นิวตรอน)ต่างกันด้วย และเรียกเป็นไอโซโทปของธาตุนั้น ๆ)  ที่พบมากที่สุดของไฮโดรเจนคือโปรเทียม ส่วนออกซิเจนส่วนใหญ่จะมีแปดนิวตรอน ประกอบกันเป็นออกซิเจน-16 (16O)   แต่หากมีใครทำให้เกิดไอโซโทปที่หนักที่สุดของไฮโดรเจนกับออกซิเจนขึ้นมา อย่างเช่นทริเทียม(H3) ที่มีนิวตรอนมากกว่าไฮโดรเจนอยู่สองนิวตรอน และออกซิเจน-20 ที่มีนิวตรอนเพิ่มมาอีก 4 นิวตรอน และใช้โมเลกุลของทั้งสองสิ่งนี้มารวมกันเป็นน้ำมวลหนักพิเศษ เมื่อคนดื่มลงไป ผลจะเป็นอย่างไร?

ทริเทียมกับออกซิเจน-20 ล้วนไม่มีความเสถียร เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เกิดความเปลี่ยนแปลงจะมีการแผ่รังสีเป็นพลังงานเข้มข้นออกมา เซลล์ที่น่าสงสารของคนผู้นั้นก็จะถูกรังสีทำลายอย่างรุนแรง เมื่อการทำลายมาถึงจุดหนึ่ง เซลล์ในร่างกายจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ สุดท้ายผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นจะต้องตายอย่างอนาถ ที่ล้ำลึกไปกว่านั้นก็คือ ต่อให้เป็นหมอนิติเวชที่เก่งที่สุด อย่างมากก็ชันสูตรพบแค่ว่าเขาตายด้วยรังสี ไม่ใช่โดนยาพิษ

หากเจ้าหน้าที่นิติเวชจะทดลองค้นหาที่มาของรังสี ก็อาจจะทำการสอบถามว่าช่วงที่ผ่านมาผู้ตายเคยไปที่โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์หรือไม่ หรือว่าที่บ้านอยู่ใกล้สายไฟฟ้าแรงสูงหรือไม่ อะไรทำนองนี้....  แต่จะไม่มีทางรู้เลยว่า การแผ่รังสีเกิดขึ้นจากภายในร่างกายของผู้ตาย ที่เด็ดยิ่งกว่าก็คือ ถึงตอนนั้นน้ำมวลหนักที่อยู่ท้องของเขาจะกลายเป็นปัสสาวะ ป่านนี้คงไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว คิดจะตรวจให้เจอคงไม่ง่ายนัก

อย่างกรณีของลั่วเหยียน หากเจ้าหน้าที่นิติเวชตามสืบ บางทีอาจพบว่าเขาเคยไปที่ฝรั่งเศส ประเทศฝรั่งเศสเต็มไปด้วยโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ดังนั้นอาจเทความเห็นไปที่การโดนรังสีจากที่นั่น หลังสรุปผลการชันสูตรออกมา บางทีอาจกลายเป็นข่าวฮือฮาอยู่สักพัก กลุ่มอนุรักษ์ทั้งหลายก็จะออกมาจัดกิจกรรมต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่รัฐบาลฝรั่งเศสก็คงไม่สนใจ ปล่อยเลยตามเลยไปสักพักเดี๋ยวเรื่องก็เงียบไปเอง

จะไม่มีใครนึกเชื่อมโยงไปถึงจูไฉเซิ่ง เพราะนอกจากเกาผิงซือกับนักสืบเอกชนไม่กี่คนแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขามีเหตุจูงใจอะไรในการฆ่าลั่วเหยียน ที่สำคัญเมื่อตรวจพบว่าลั่วเหยียนตายด้วยรังสี ก็จะถูกสรุปว่าเป็นการตายตามธรรมชาติ

แผนการอัจฉริยะเช่นนี้ นอกจากหลี่หนานสุ่ยแล้วยังจะมีใครที่ทำได้? เธอปล่อยเชื้อโรคหวัดใส่ลั่วเหยียนทำให้เขาป่วย และต้องคอยดื่มน้ำกลั่น จากนั้นก็เตรียม “น้ำทิพย์เทวา” ให้เขาดื่ม ความยากที่สุดของแผนการนี้ อยู่ที่จูไฉเซิ่งยืนกรานว่าจะขอเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้หลี่หนานสุ่ยจึงต้องจัดให้คนส่งน้ำธรรมดาขวดหนึ่งเข้าไป เพื่อให้เขาหลงเชื่อ เธอไม่เคยทำการทดลองมาก่อน แต่เมื่อวิเคราะห์ตามที่คัมภีร์ “บรรพพิษ” บันทึกไว้ ปริมาณการใช้น้ำทิพย์เทวาที่จะทำให้คนตายร้อยเปอร์เซนต์อยู่ที่ศูนย์จุดแปดสองลิตร ดังนั้นน้ำหนึ่งขวดเล็กยังไม่ใช่ปริมาณที่ทำให้ถึงตาย แต่การที่คน ๆ หนึ่งดื่มรังสีเข้าไปทางปาก ถึงอย่างไรก็เป็นการทำลายสุขภาพ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือทำให้จูไฉเซิ่งได้รับความรู้สึกสะใจว่าตนเป็นคนลงมือฆ่า ลั่วเหยียนจะตายอย่างไรก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป ความไม่สมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวก็คือ รังสีที่แผ่ออกจากน้ำทิพย์เทวานี้อาจจะส่งผลเสียต่อคนรอบข้างบ้าง แต่หากไม่ได้เข้าใกล้และไม่ได้อยู่ใกล้นานจนเกินไป ผลกระทบที่ได้จะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในสมัยโบราณ ฮั่วอู๋เล่ยมีวิธีการอันซับซ้อนในการสร้าง “วารีโพยมหยก” ขึ้น หลี่หนานสุ่ยย่อมไม่คิดจะใช้วิธีการโบราณเหล่านั้น เธอใช้วิธีที่ลัดตรงยิ่งกว่า นั่นคือหาซื้อจากตลาดมืด น้ำมวลหนักเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างไฟฟ้าจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ในตลาดมีสินค้าจำนวนมากและมีอุปสงค์ในตลาดมืดไม่น้อย แม้ว่าน้ำมวลหนักที่เธอต้องการจะมีมวลหนักกว่าน้ำที่ใช้กับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลายเท่า แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ยากเย็น เพียงแต่ต้นทุนในการผลิตสูงกว่า ราคาขายจึงสูงกว่าน้ำมวลหนักทั่วไปมากก็เท่านั้น

จูไฉเซิ่งย่อมไม่รู้ว่าหลี่หนานสุ่ยคืออัจฉริยะที่ช่วยเขาฆ่าคน มีแพทย์เฉพาะทางบางคน ไม่รับคนไข้โดยตรง จะรับเฉพาะคนไข้ที่มีแพทย์แนะนำมา เหมือนกับเวลาจะพบทนายใหญ่ ๆ ก็ต้องติดต่อผ่านสำนักงานทนายเท่านั้น หลี่หนานสุ่ยเป็นมืออาชีพที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยติดต่อตรงกับลูกค้า เธอระวังป้องกันทุกขั้นตอน ไม่ต่างกับการวางยาพิษและการฆ่าคนของเธอ ดังนั้นจึงไม่เคยเผยพิรุธใดมาก่อน

 

เมื่อหลี่หนานสุ่ยกินชีสเค้กคำสุดท้ายหมด เหวยสือก็เรียกบริกรให้มาเก็บเงิน

แต่เธอรู้สึกเหมือนกำลังชมละครเรื่องหนึ่ง

ที่ความสนุกกำลังจะตามมา..

เธอเห็นมุมปากของจูไฉเซิ่งหยักขึ้นเล็กน้อย พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้จนแก้มทั้งสองแดงก่ำ มือทั้งสองข้างสั่นกระเพื่อมเบาๆ แต่แล้วจู่ ๆ แก้มที่แดงก่ำกลับกลายเป็นเขียวคล้ำ มุมปากที่หยักขึ้นเริ่มอ้าออก...

เสียง “ค่อก ๆ  ๆ ๆ” ดังขึ้น จูไฉเซิ่งยกมือขึ้นกุมลำคอ กลิ้งตกลงจากเก้าอี้

“เถ้าแก่ คุณเป็นอะไร?” ลั่วเหยียนตกใจจนหน้าถอดสี

“ผมเป็นหมอ!” เหวยสือรีบปราดเข้าไป รวดเร็วราวกับธนูดอกหนึ่ง เมื่อกระโดดถึงข้างกายจูไฉเซิ่ง ก็รีบปฐมพยาบาลฉุกเฉิน

สิ่งที่จูไฉเซิ่งกินเข้าไปก็คือโพแทสเซียมไซยาไนด์ (เชิงอรรถ - เป็นของแข็งผลึกสีขาวละลายน้ำได้ดี มักใช้ในอุตสาหกรรรมเหมืองแร่ทอง  มีความเป็นพิษสูง มีกลิ่นจาง ๆ คล้ายอัลมอนด์)   ผิวของเขากลายเป็นแดงเถือก ลมหายใจมีกลิ่นเหมือนอัลมอนด์ ทำให้สามารถดูออกในทันที แต่ต่อให้ดูออกก็ไม่มีประโยชน์ โพแทสเซียมไซยาไนด์มีพิษรุนแรง คนที่กินลงกระเพาะไป จะเสียชีวิตภายในเวลาไม่เกินสามนาที

“รีบเอานมมา!” เหวยสือตะโกนขึ้น

หัวใจของจูไฉเซิ่งหยุดเต้นแล้ว เหวยสือพยายามใช้กำปั้นทุบลงไปที่หัวใจ เพราะลมหายใจของผู้โดนพิษก็มีพิษร้ายแรง ไม่อาจใช้การเป่าปากช่วยได้

บริกรนำนมสดมา เหวยสือรีบกรอกนมสดเข้าปากจูไฉเซิ่งทันที

บริกรอีกคนรีบกดสายด่วนเก้าเก้าเก้า ขณะที่วางสาย นมทั้งแก้วถูกก็กรอกเข้าไปในท้องจูไฉเซิ่งจนหมด แต่เถ้าแก่ที่ภรรยาลักลอบมีชู้ผู้นี้ กลับหมดลมหายใจไปแล้ว

การสร้างยาพิษเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง การวางยาพิษก็เช่นกัน การใช้โพแทสเซียมไซยาไนด์ธรรมดาผสมเข้าไปในชีสเค้ก แล้วก็หาทางส่งให้จูไฉเซิ่งกินเข้าไปโดยไม่มีใครรู้ ยังยากยิ่งกว่าการสร้างออกซิเจน-20 กับทริเทียมที่มีความบริสุทธิ์ เก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าในแสนส่วน (เชิงอรรถ- คิดเป็นร้อยละเท่ากับร้อยละ 99.999) เสียอีก แบบนี้ถึงจะเรียกว่าศิลปะแห่งการวางยาพิษ

 

หลี่หนานสุ่ยเป็นศิลปิน

อันที่จริง หลี่หนานสุ่ยรังเกียจจูไฉเซิ่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เพราะเธอคือมืออาชีพ ไม่ใช่พวกคลั่งการฆ่าคน ดังนั้นเธอจะไม่ฆ่าคนเพราะความต้องการส่วนตัว นี่คือหลักการ

เงื่อนไขของผู้จ้างวานให้ฆ่าจูไฉเซิ่งนั้นง่ายมาก  คือขอแค่อีกฝ่ายจบชีวิตลงก็พอ ไม่มีการเรียกร้องขอลงมือด้วยตัวเอง ดังนั้นค่าบริการจึงถูกกว่ามาก....แค่สองล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

คนที่จ่ายเงินสองล้านเหรียญสหรัฐนี้ มีชื่อว่า “จูเกาผิงซือ” (เชิงอรรถ – เป็นการนำเอานามสกุลของสามีมารวมกับแซ่และชื่อของตนเอง หมายถึงเดิมชื่อเกาผิงซือ มีสามีแซ่จู) ผู้หญิงคนนี้ไม่รักสามีหัวล้านของเธออีกต่อไปแล้ว หัวใจของเธอได้มอบให้กับลั่วเหยียนไปจนหมด และเมื่อไหร่ที่ผู้หญิงรักคน ๆ หนึ่งจนหมดใจ เธอย่อมทำได้ทุกอย่าง

จูเกาผิงซือเชื่อว่าลั่วเหยียนก็รักเธอเช่นกัน แต่ที่ลั่วเหยียนไม่ยอมมาพบกับเธอ สาเหตุเป็นเพราะ...เธอมีสามีแล้ว ในการคุยโทรศัพท์ครั้งหนึ่ง ลั่วเหยียนเคยพูดว่า “ผิงซือ ยกโทษให้ผมเถอะ ผมรักคุณก็จริง แต่คุณเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว พวกเราจะทำผิดต่อไปอีกไม่ได้”

เธอจึงเชื่อว่า เมื่อไหร่ที่สามีหัวล้านตายไป ทั้งคู่ก็จะได้ร่วมเรียงเคียงหมอน ได้ใช้ชีวิตคู่อย่างสุขสม มรดกมหาศาลที่ได้รับมา ก็ส่งมอบให้กับลั่วเหยียนที่เฉลียวฉลาดไปดูแล เรียกว่ายิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว ทุกอย่างลงตัวสมบูรณ์แบบ! เพียงแต่เธอไม่รู้ว่า จูไฉเซิ่งไม่ได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ ดังนั้นหากเธอต้องการสืบทอดมรดก จะต้องใช้เวลาทำเรื่องหลายปี ทว่าหนุ่มหล่อลั่วเหยียนกลับเหลือชีวิตอยู่ไม่ถึงเจ็ดวัน และจุดจบสุดท้ายคงกลายเป็นโศกนาฏกรรมเรื่องหนึ่ง

ท่ามกลางเสียงตะโกน เสียงร้องโวยวาย เสียงแก้วหล่นแตกดังสับสน นักศิลปะอย่างหลี่หนานสุ่ยได้เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ สิ่งที่ต้องทำลุล่วงแล้ว สิ่งที่ต้องดูก็ดูจบแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ต้องรีบจัดการ ไม่ใช่การฆ่าคน แต่เป็นเซ็กซ์!!

การฆ่าคนทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกได้รับการปลุกเร้า  กางเกงในของเธอเปียกแฉะจนน้ำแทบจะหยดออกมา จึงต้องการจะหาผู้ชายรูปร่างกำยำมาควบให้หนำใจสักแปดชั่วโมงสิบชั่วโมง...

 

บทที่ 1.2

 

หลังจูไฉเซิ่งถูกส่งไปพบพระเจ้าไม่นานตำรวจก็มาถึง  งานนี้ลั่วเหยียนจึงต้องเหน็ดเหนื่อยอีกรอบ แต่โชคดีที่เขาเป็นคนมีชื่อเสียง จึงใช้เวลาไม่นานนักก็หลุดรอดออกมาได้

เขาเป็นนักซิ่งรถชื่อดัง ทว่าวันนี้เขาเป็นหวัดอย่างหนัก จึงจำใจต้องยอมเป็นผู้โดยสาร คนขับรถเหยียบคันเร่งจนมิด จากย่านเซ็นทรัลไปถึงสำนักงานใหญ่ของเทียนฉานเกาเคอจี้ในนิคมอุตสาหกรรมไทโป ใช้เวลาทั้งสิ้นยี่สิบสองนาที

ภายในตึกเทียนฉานอันสูงใหญ่ ไม่มีใครไม่รู้ว่าลั่วเหยียนเป็นเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเถ้าแก่ใหญ่ นอกจากปล่อยให้เขาเข้าออกได้ตามสะดวกแล้ว ยังให้เขาตรงเข้าไปใช้ลิฟต์ส่วนตัวของเฮ่อซินหลงได้

ห้องทำงานของเฮ่อซินหลงอยู่บนชั้นที่เก้า หากเดินเข้าทางประตูใหญ่ จะต้องผ่านห้องโถงใหญ่ทั้งหมดสามห้อง  ห้องทำงานสองห้อง ผ่านที่นั่งของพนักงานยี่สิบสามคนจึงจะไปถึงห้องเลขาของเฮ่อซินหลง จากนั้นเลขาจะเป็นคนเข้าไปรายงานก่อนจึงเข้าไปได้ แต่หากมาทางลิฟต์ส่วนตัว เมื่อออกจากลิฟต์ก็จะพบกับประตูเหล็กสามบาน ด้านซ้ายเป็นที่พักของประธาน ด้านขวาเป็นห้องประชุม ตรงกลางเป็นห้องทำงานของเฮ่อซินหลง ทว่าตอนนี้เฮ่อซินหลงไม่ได้อยู่ในห้องใดทั้งสิ้น

หน้าลิฟต์มีชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ เขามีชื่อว่า “เกาจง” เครือบริษัทเทียนฉานเกาเคอจี้มีแผนกรักษาความปลอดภัย ที่มีพนักงานมากกว่าห้าสิบคน แต่คนที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของเฮ่อซินหลงมีเพียงสองคน คนแรกคือ “เกาจง” อีกคนคือ “หลี่อี้” ทั้งคู่มีส่วนสูงมากกว่าสองเมตร กล้ามเนื้อแน่นหนาราวกับมนุษย์ยักษ์ ทั้งคู่จะคอยสลับสับเปลี่ยนกันเฝ้ายามตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง พวกเขาจึงไม่ต่างกับเฮ่อซินหลง ที่ต้องอาศัยอยู่แต่ในตึกเทียนฉาน ยามปกติน้อยนักที่จะได้สนทนากับผู้คน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครรู้ปูมหลังของพวกเขา รู้แต่ว่าพวกเขาทำงานที่นี่มาหลายปี ทำมาตั้งแต่สมัยเฮ่อติ้งซานปู่ของเฮ่อซินหลง คอยอารักขาตั้งแต่รุ่นปู่มาจนถึงรุ่นหลาน เรียกได้ว่าเป็นคนเก่าแก่สองรุ่น จึงจัดเป็นผู้รับใช้ประจำตระกูลเฮ่อ มีฐานะเหนือกว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยทั่วไปมาก ถึงกับมีฐานะสูงกว่าหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยเสียอีก

ในอดีตสมัยราชวงศ์หมิงกับราชวงศ์ชิง เทียนฉานเกาเคอจี้เคยเป็นโรงงานเอกชนมาก่อน พอมาถึงต้นยุคหมินกั๋ว (เชิงอรรถ - ยุคสาธารณรัฐจีน ค.ศ.1912-1949) ก็เปลี่ยนมาเป็นบริษัทอุตสาหกรรม ด้วยความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับพรรคก๊กมินตั๋ง ภายหลังจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาทำธุรกิจด้านการทหาร จาก “เทียนฉานกงเยี่ย” (บริษัทอุตสาหกรรมเทียนฉาน) เปลี่ยนมาเป็น “เทียนฉานจ้งกง” (บริษัทอุตสาหกรรมหนักเทียนฉาน) ในปีค.ศ.1949  ก็ติดตามรัฐบาลก๊กมินตั๋ง ย้ายไปตั้งรกรากในไต้หวัน ค่อยหันเหทิศทางธุรกิจ เปลี่ยนมาจัดตั้งเป็นกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมหนักที่ผลิตของใช้ในชีวิตประจำวันของผู้คน เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองไต้หวันเปลี่ยนไป เฮ่อติ้งซานจึงตัดสินใจ “บุกเบิกตะวันตก” ย้ายโรงงานแต่ละแห่งเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ ย้ายสำนักงานใหญ่จากเกาสยงมายังฮ่องกง แต่นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันตั้งหลักดี เขากลับมาด่วนจบชีวิตไปก่อน เฮ่อซินหลงที่ในตอนนั้นมีอายุเพียงยี่สิบสองปีจึงต้องรับสืบทอดกิจการ ในเวลานั้นเหล่าจระเข้ร้ายทั้งในฮ่องกงกับไต้หวันต่างลับหมัดถูมือ คิดจะอาศัยโอกาสอันดีนี้เข้ามาเขมือบเนื้อชิ้นโต ทางไต้หวันต้องการที่จะฮุบกลืนทรัพย์สมบัติของเทียนฉานจ้งกง ขณะที่ทางฮ่องกงก็คิดจะแย่งชิงลูกค้าจากพวกเขา สุดท้ายนอกจากเฮ่อซินหลงจะไม่ถูกเขมือบแล้ว ยังสามารถล้มหน้าเก่าในวงการลงได้ไม่น้อย บริษัทได้ฉวยโอกาสจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่เป็นตลาดกระทิง  ทำการระดมทุนอย่างหนักหลายครั้ง ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นบริษัทวิจัยด้านเทคโนโลยี และเปลี่ยนชื่อเป็น “เทียนฉานเกาเคอจี้” (เทียนฉานไฮเทคโนโลยี) ทำให้มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเจ็ดร้อยเปอร์เซ็นต์ ผลกำไรเพิ่มขึ้นแปดร้อยเปอร์เซ็นต์ กระโดดขึ้นมาเป็นหนึ่งในห้าร้อยมหาเศรษฐีจากการจัดอันดับของฟอร์บส ผ่านมาสิบเอ็ดปีจนถึงวันนี้ ในวงการไม่มีใครที่ไม่อยากทำธุรกิจกับเฮ่อซินหลง เพราะเขาพิสูจน์แล้วว่าเป็นคนมีความสามารถ ทว่าในอีกมุมหนึ่ง ทุกคนต่างก็กลัวที่จะทำธุรกิจกับเขา เพราะเขาทั้งรวดเร็ว ดุดันและแม่นยำเสมอ คนที่คิดจะเขมือบเขาลงไปล้วนมีจุดจบเดียว คือกลายเป็นฝ่ายถูกเขากลืนลงไปแทน

เกาจงพาลั่วเหยียนเดินไปตามบันได เดินขึ้นไปจนถึงดาดฟ้า

พื้นที่ดาดฟ้าจัดเป็นเขตต้องห้ามของเทียนฉานเกาเคอจี้ ที่นั่นมีเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของเฮ่อซินหลงจอดอยู่ ขณะที่ลั่วเหยียนมาถึง ก็พบว่าเฮ่อซินหลงกำลังยืนฟังเสียงทะเลอยู่ข้างเฮลิคอปเตอร์ของเขา

เฮ่อซินหลงชอบฟังเสียงทะเล ตึกใหญ่ของเทียนฉานอยู่ข้างท่าเรือโทโล ที่นี่สามารถได้ยินเสียงคลื่น ได้กลิ่นลมทะเล ลมทะเลจะมีความเค็ม ส่วนท่าเรือโทโลมีกลิ่นคาว เมื่อทั้งสองสิ่งผสมผสานกัน ก็จะกลายเป็นกลิ่นที่มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง ท่าเรือโทโลมีการถมทะเลอยู่เสมอ ทำให้พื้นที่น้ำแคบลง คลื่นก็แรงขึ้น เมื่อมีเรือแล่นผ่าน เสียงเครื่องยนต์ฝ่าคลื่นกับเสียงคลื่นที่อยู่เบื้องหลัง กลับคล้ายเสียงผู้คนตะโกนฮัมเพลงเสียงดัง เสียงธรรมชาติบวกกับเสียงจากน้ำมือมนุษย์ จึงคล้ายกับเสียงเพลงประกอบเสียงดนตรี มีความหลากหลายและไพเราะกว่าเสียงเชิงเดี่ยวมาก เฮ่อซินหลงชอบฟังเสียงธรรมชาติ แต่เขามีความแตกต่างจากคนที่ชอบธรรมชาติส่วนใหญ่ เพราะเขาคิดว่าธรรมชาติจะต้องมีร่องรอยชีวิตของมนุษย์อยู่จึงมีความหมาย หากโลกนี้ไม่มีมนุษย์แล้ว ธรรมชาติก็ปราศจากความหมายใด หากอธิบายในเชิงปรัชญา นี่เรียกว่า เมื่อไร้ผู้สังเกต ดวงจันทร์ก็ไม่คงอยู่ไม่ว่าทิวทัศน์นั้นจะงดงามเพียงใด เมื่อไม่มีผู้คนเฝ้าชม ความงามนั้นก็ไม่ต่างจากไม่ดำรงอยู่

ลั่วเหยียนหยุดยืนอยู่ตรงข้ามเฮ่อซินหลง จ้องมองอีกฝ่ายตรง ๆ

เฮ่อซินหลงมีจมูกโตมาก โตจนแทบจะเหมือนกำปั้น ใต้จมูกก็มีปากขนาดใหญ่ ยามที่อ้าปาก นอกจากจะกลืนหมัดได้ยังคล้ายจะกลืนหัวคนลงไปได้ด้วยซ้ำ เพียงแค่อวัยวะทั้งสองชิ้น ก็กินพื้นที่บนใบหน้าของเขาไปกว่าครึ่ง สองฟากเป็นใบหูขนาดใหญ่ มองไปคล้ายเอาจานดาวเทียมมาแปะไว้ แลดูขัดตาอย่างยิ่ง แต่ที่น่าแตกตื่นที่สุดก็คือนัยน์ตาของเขาที่เป็นหลุมลึกโบ๋จนเห็นเนื้อสีแดงด้านใน หากมองลึกลงไปอีกก็จะเห็นเป็นหลุมสีดำสนิท นี่คือลักษณะของคนตาบอดโดยสมบูรณ์แบบ

บุคคลที่แทบจะเป็นตำนานอย่างเฮ่อซินหลง ตัวจริงกลับดูคล้ายตัวประหลาด แถมยังตาบอด!

“นายเป็นหวัด?” เฮ่อซินหลงถามขึ้นตรง ๆ

ลั่วเหยียนพยักหน้าตอบ

เฮ่อซินหลงคล้ายมองเห็นการพยักหน้าของลั่วเหยียน จึงกล่าวต่อไปว่า “ที่ผ่านมานายมีสุขภาพแข็งแรง ไปติดหวัดมาได้ยังไง?”

“พักนี้เชื้อหวัดกำลังระบาด มีคนติดหวัดไม่น้อย”

“แต่ด้วยสภาพร่างกายของนาย ไม่น่าจะติดหวัดได้” เฮ่อซินหลงพูดต่อไปว่า “ทางตะวันตกเชื่อว่าหวัดเกิดจากเชื้อโรค แต่แพทย์แผนจีนบอกว่าร่างกายอ่อนแอถึงจะติดหวัด ความจริงก็คือ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคประเภทไหน ขอแค่ร่างกายของเราแข็งแรงพอก็จะไม่ติดหวัด จึงต้องดูว่าเป็นเชื้อโรคอะไร และร่างกายแข็งแรงแค่ไหน”

“นายแข็งแรงขนาดนี้ คงไม่เคยป่วยเลยสินะ?”

“ใช่” เฮ่อซินหลงตอบ “หวัดเป็นเชื้อโรคธรรมดา ต้านทานได้ไม่ยาก โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจทั้งหมด ล้วนต้านทานได้ไม่ยากนัก ตั้งแต่โรคหวัดไปจนถึงโรคซาร์ส ขอแค่ร่างกายมีภูมิต้านทานที่ดีพอก็จะไม่ติดได้ง่าย ๆ เชื้อโรคที่ผ่านจากปากเข้าสู่ท้องจะร้ายกว่า แต่ที่รับมือยากที่สุดก็คือเชื้อโรคที่ติดต่อผ่านของเหลวในร่างกายอย่างเช่นกามโรค หรือโรคแบคทีเรียกินเนื้อ (เชิงอรรถ - เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังชั้นลึก ตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ ชั้นไขมัน ไปจนถึงชั้นเนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ) ที่ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะมีภูมิต้านทานแข็งแกร่งแค่ไหน เมื่อสัมผัสโดนก็ติดได้หมด แต่แน่นอนว่าการจะติดหรือไม่ ยังต้องดูที่ตัวแปรอื่นด้วย ว่าเกิดจากการสัมผัสกับผู้ที่เพิ่งเริ่มติดเชื้อ หรือว่าเป็นขั้นพาหะนำโรค ทั้งยังต้องดูว่าเป็นการสัมผัสด้วยของเหลวแบบไหน ของเหลวต่างกันเช่นน้ำลาย น้ำเลือด น้ำเชื้อ โอกาสติดโรคก็มากน้อยต่างกัน”

ลั่วเหยียนได้ยินคำอธิบายของเฮ่อซินหลง ก็คิดขึ้นว่าแม้ตนเองจะเป็นเด็กเรียน ได้คะแนนท๊อปถึงเจ็ดวิชา จนได้ทุนไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยชิคาโก แต่หากพูดถึงความรอบรู้ นอกจากเขาจะไม่อาจเทียบได้แล้ว ยังต้องจัดว่าห่างไกลกับเฮ่อซินหลงที่เรียนหนังสือที่บ้านอยู่มาก เฮ่อซินหลงพิการมาตั้งแต่เล็ก ปู่ของเขาจึงเชิญอาจารย์มาทำการสอนที่บ้านแทน จนถึงบัดนี้เขาก็ยังเชิญศาสตราจารย์ด้านปรัชญาสองคนมาคอยอ่านสรุปความรู้ใหม่ ๆ ให้ฟังทุกวัน ตัวของเขาก็เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ได้ยินอะไรผ่านหูแล้วไม่เคยลืม เพียงแต่คอมพิวเตอร์ได้แต่จดจำ แต่เฮ่อซินหลงนอกจากจำได้แล้วยังสามารถตีความ ประยุกต์ใช้ เรียกได้ว่าบอกหนึ่งรู้ถึงสามเลยทีเดียว

“ด้วยสภาพร่างกายของนาย สามารถต้านโรคเอดส์ได้ไหม?”

“อาจจะได้ และอาจจะไม่ได้ ฉันไม่เคยลองมาก่อน และไม่หวังว่าจะมีโอกาสได้ลอง” เฮ่อซินหลงยิ้มพลางกล่าวต่อว่า “แต่ต่อให้โชคร้ายไปเจอเข้า ก็ไม่แน่ว่าจะได้คำตอบ เพราะอัตราติดโรคเอดส์ในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งเดียวนั้นต่ำกว่าโรคทางเพศสัมพันธ์อย่างอื่นมาก หมายความว่า ถ้าฉันไปนอนกับคนที่เป็นโรคเอดส์คนหนึ่ง กับการไปมีอะไรกับคนที่เป็นซิฟิลิส โอกาสติดซิฟิลิสจะสูงกว่าเอดส์มาก”

ลั่วเหยียนถึงกับหัวเราะออกมา แต่การหัวเราะนี้ กลับทำให้เขาไอไม่หยุด

“ยื่นมือออกมาสิ” เฮ่อซินหลงกล่าวขึ้น

ลั่วเหยียนยื่นมือออกมา

เมื่ออยู่ต่อหน้าเถ้าแก่ทั้งหลายในแวดวงธุรกิจ ลั่วเหยียนคือนายหน้าที่มีความฉลาดเปี่ยมด้วยไหวพริบ เมื่ออยู่ต่อหน้าสาวงาม เขาคือหนุ่มเสเพลพราวเสน่ห์ เมื่ออยู่ต่อหน้าบริกร เขาคือเศรษฐีที่ใช้เงินราวกับเศษดิน ทว่าความสัมพันธ์ของเขากับเฮ่อซินหลง พวกเขาเป็นทั้งเพื่อนที่สนิทที่สุด เป็นหัวหน้ากับลูกน้อง และเป็นไอดอลกับผู้ให้ความนับถือ บางครั้งลั่วเหยียนชื่นชมเขาราวกับสาวกที่นับถือเทพองค์หนึ่ง เมื่อเทพสั่งให้เขาไปขวา เขาย่อมไม่กล้าไปซ้าย หากสั่งให้เขาไปตาย เขาก็จะวิ่งขึ้นไปบนตึกสูงที่สุดแล้วกระโดดลงมาอย่างไม่ลังเล

เฮ่อซินหลงเพียงยื่นมือออกมาก็สามารถคว้ามือของลั่วเหยียนไว้ได้ทันที คน ๆ นี้คล้ายกับมีนัยน์ตาซ่อนเร้นงอกอยู่ในที่อันลึกลับ บางครั้งยังคล้ายมองเห็นได้ชัดเจนกว่าคนธรรมดาเสียอีก แต่ลั่วเหยียนไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร ในเมื่อเขารู้สึกว่าเฮ่อซินหลงแทบไม่ต่างจากเทพองค์หนึ่ง เทพย่อมต้องมีอิทธิฤทธิ์ ลั่วเหยียนกับเฮ่อซินหลงเป็นเพื่อนกันมานาน พบเห็นพลังแปลกประหลาดของอีกฝ่ายมาหลายครั้ง ยามที่อยู่ข้างนอก ลั่วเหยียนได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลอันโดดเด่น เมื่อบุคคลเช่นเขานับถือเฮ่อซินหลงราวกับเทพองค์หนึ่ง นั่นย่อมต้องมีเหตุผลบางอย่างอย่างแน่นอน

กระแสลมปราณอุ่นสายหนึ่งถูกถ่ายทอดผ่านฝ่ามือของลั่วเหยียน กระจายไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย แม้แต่นิ้วเท้ายังสัมผัสได้ถึงกระแสลมปราณอุ่นนั้น ลั่วเหยียนรู้สึกสบายตัวราวกับคนเพิ่งสูบฝิ่น หรือคล้ายกับคนที่เพิ่งดื่มยาแก้ไออย่างแรงจนเกิดความรู้สึกง่วงนอนขึ้น ความรู้สึกสบายจนยากจะบรรยายนี้ ค่อย ๆ แพร่ลามไปทั่วทั้งตัวของเขา

ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาที ในที่สุดเฮ่อซินหลงก็คลายมือออก

ลั่วเหยียนตื่นขึ้นมา รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลจนเปียกชุ่มราวกับเพิ่งอาบน้ำ แม้แต่ชุดสูทที่สวมอยู่ยังเปียกแฉะ ทว่าร่างกายกลับรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก อาการหวัดก็คล้ายจะหายไปกว่าครึ่ง

ทั้งคู่กลับไปยังห้องทำงานของเฮ่อซินหลง เกาจงส่งชุดสะอาดให้ลั่วเหยียนชุดหนึ่ง เพื่อนำไปเปลี่ยนในห้องน้ำ

“รู้สึกยังไงบ้าง?” เฮ่อซินหลงถามขึ้น

“ดีขึ้นมาก!” ลั่วเหยียนหายใจลึก ๆ  ทำท่ายืดเส้นยืดสาย “คนที่มีกำลังภายในนี่ดีจริง ๆ วันหน้านายสอนฉันบ้างสิ แบบนี้ต่อให้ฉันเจอกับไข้หวัดนกก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”

“นี่เป็นวิชากำลังภายในที่ยอดเยี่ยมที่สุดแขนงหนึ่ง เมื่อฝึกแล้วร้อยโรคยากกล้ำกราย แต่ถึงฉันอยากสอน นายก็ฝึกไม่ได้หรอก!”

“หรือว่านายหวงวิชา?” ลั่วเหยียนกล่าวต่อ “แต่ที่ผ่านมา นายไม่ใช่คนขี้หวงอะไรนี่นา!”

“การฝึกวิชากำลังภายในนี้ จะต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวง นายคงไม่มีทางรับได้!”

“ต้องเสียสละอะไร?”

“อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้เลย” เฮ่อซินหลงบอกปัด “วันนี้ที่เรียกนายมา เพราะมีเรื่องสำคัญมากถึงมากที่สุดให้ทำ และนายจะต้องทำมันให้สำเร็จ”

“หลายปีมานี้ งานที่นายมอบหมายให้ มีเรื่องไหนที่ฉันทำไม่สำเร็จบ้าง?” ลั่วเหยียนกล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

“ที่ผ่านมานายทำได้ดีมาก” เฮ่อซินหลงกล่าว “ในครั้งนี้ ฉันต้องการให้นายตามหาคนหนึ่งคนกับกระบี่หนึ่งเล่ม”

“ตามหาใคร? กระบี่แบบไหน?”

“เป็นผู้ชายที่มีพลังฝีมือแก่กล้า เขามีชื่อว่า “จั๋วเมี่ยโฉว” ส่วนกระบี่ ก็เป็นกระบี่ที่สามารถตัดทำลายสรรพสิ่ง ชื่อว่า “กระบี่เทียนฉาน” (กระบี่ฟ้าพิฆาต)  เฮ่อซินหลงกล่าวต่อว่า “หากไม่มีอะไรผิดพลาด กระบี่ควรจะอยู่ในมือคนผู้นี้”

ลั่วเหยียนหยิบสมุดบันทึกออกมา จดชื่อ “จั๋วเมี่ยโฉว” กับ “กระบี่เทียนฉาน” เอาไว้

เฮ่อซินหลงยื่นม้วนภาพใบหนึ่งให้ “ภาพวาดนี้ผ่านอัคคีภัยมาหลายรอบ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เก็บรักษามาได้จนถึงวันนี้”

เขากางม้วนภาพออก พบว่ากระดาษกลายเป็นสีเหลืองซีด มีร่องรอยการซ่อมแซมหลายจุด ชายหนุ่มในภาพวาดมีอายุราวยี่สิบสองยี่สิบสามปี สวมชุดนักสู้สีขาว  มองปราดแรกให้ความรู้สึกเหมือนชุดโบราณ ฝีมือการวาดประณีตงดงาม จนบุคคลในภาพดูคล้ายมีชีวิต ลั่วเหยียนรู้สึกได้ถึงความหยิ่งทะนงของชายหนุ่มในภาพวาด  สายตาที่จ้องมองออกมาชวนให้รู้สึกสั่นสะท้านยิ่งนัก

“เขาก็คือจั๋วเมี่ยโฉว” เฮ่อซินหลงพูดขึ้น

“ภาพวาดมันตั้งกี่ปีมาแล้ว? ป่านนี้อายุเจ้าหมอนี่ไม่ปาเข้าไปเจ็ดแปดสิบแล้วรึ ไม่มีทางหน้าตาเหมือนในภาพแน่”

“ฉันก็คิดว่าหน้าตาของเขาคงเปลี่ยนไปไม่น้อย แต่นี่เป็นภาพเดียวที่ฉันมี”

“คน ๆ นี้ช่างประหลาดนัก ไปให้จิตรกรที่ไหนมาวาดชุดโบราณแบบนี้ แต่จะว่าไป จิตรกรคนนี้ฝีมือไม่เบาเลย อาจจะด้อยกว่าหม่าหย่งเฉิง (เชิงอรรถ - นักวาดการ์ตูนฮ่องกงชื่อดัง มีผลงานดังอาทิ ฟงอวิ๋นขี่พายุทะลุฟ้า) แค่นิดหน่อย”

“ฉันไม่มีตา ไม่เข้าใจเรื่องฝีมือการวาดภาพ สิ่งเดียวที่บอกได้คือ เขาจะต้องสวมชุดโบราณ” เฮ่อซินหลงกล่าวต่อว่า “เพราะเขาเป็นคนโบราณ!”

“คนโบราณ?” ลั่วเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยโพล่งขึ้นว่า “ได้ยินว่าก่อนจะมาเป็นลอตเตอรี่ สมัยก่อนมีการพนันที่เรียกว่า “จื้อฮัว” คือการใช้ชื่อคนโบราณสามสิบหกชื่อ แล้วหยิบออกมาให้ทายกัน หรือคน ๆ นี้จะเกี่ยวข้องกับจื้อฮัว?”

“ไม่ใช่การพนัน แต่เป็นคนโบราณจริง ๆ เขาเกิดในสมัยราชวงศ์หมิง ปีนี้น่าจะมีอายุสามร้อยกว่าแล้ว”

ลั่วเหยียนรู้สึกเหมือนกำลังฟังเทพนิยายเรื่องหนึ่ง เพียงแต่...เฮ่อซินหลงเองก็ไม่ต่างจากคนในเทพนิยายเหมือนกัน ในตัวของเขาแม้มีความลับมากมายนับไม่ถ้วน แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยโกหก หากเขาไม่ต้องการบอกสิ่งใด ก็จะแสดงออกตรง ๆ ทำให้ลั่วเหยียนเชื่อถือคำพูดของเฮ่อซินหลงอย่างเต็มที่ ไม่เคยมีความสงสัยแม้แต่น้อย

“เขาอยู่มาหลายร้อยปีได้ยังไง?” ลั่วเหยียนถามขึ้น “หรือพอมีพลังฝีมือสูง ก็ทำให้อายุยืนไม่ตายได้?”

“ก็มีความเป็นไปได้! ร่ำลือกันว่าเมื่อฝึกวิชาไปจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว จะมีอายุยืนยาวไม่แก่ไม่เฒ่า เรื่องนั้นฉันเองก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง” เฮ่อซินหลงกล่าวต่อไปว่า “แต่จั๋วเมี่ยโฉวไม่ใช่แบบนั้น เขาได้กินโอสถวิเศษชนิดหนึ่งเข้าไป ทำให้มีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบันได้”

“มียาที่กินแล้วไม่ตาย ทำให้คนมีชีวิตได้หลายร้อยปีจริง?” ลั่วเหยียนกล่าวขึ้น “ถ้ามีอย่างนั้นจริง ฉันก็อยากจะกินสักสองสามเม็ดเหมือนกัน”

“ไม่ใช่ไม่ตาย แต่เป็นยาที่ทำให้หลับจำศีล โอสถตัวนี้มีชื่อว่า “โอสถมหาจักรวาลคืนวิญญาณ” สามารถทำให้คนหลับไปได้ทีเดียวสามร้อยหกสิบปี” เฮ่อซินหลงอธิบายจบค่อยถามขึ้นว่า “ถ้านายได้โอสถนี้มา จะกินมันจริงหรือ?”

“ถ้าหลับจำศีลคงไม่สนุกแน่ พอตื่นขึ้นมาเราก็กลายเป็นคนโบราณ ตามวิทยาการสมัยใหม่ไม่ทัน แถมผ่านไปหลายร้อยปี ค่าเงินก็ไม่รู้ว่าจะเฟ้อไปถึงไหน เงินฝากในธนาคารคงหมดราคา ไม่มีเงินก็จีบสาวไม่ได้ ชีวิตแบบนั้นคงไร้ความหมายสิ้นดี”

“โอสถนี้มีความล้ำค่าอย่างยิ่ง ไม่ใช่เอาไว้กินกันเล่น ๆ”

ลั่วเหยียนพลิกดูภาพวาดกลับไปกลับมาหลายครั้ง ค่อยเอ่ยขึ้นว่า “จั๋วเมี่ยโฉวคนนี้เป็นใคร มีเบาะแสอื่นอีกบ้างไหม?”

“ฉันรู้เรื่องของเขาไม่มากนัก ส่วนที่รู้ก็บอกไม่ได้” เฮ่อซินหลงตอบพลางกล่าวต่อว่า “ตอนนี้ฉันจะบอกกฎสามข้อ สำหรับงานนี้ก่อน”

“ฉันจำได้แล้ว กฎสามข้อในการทำงานให้กับนายก็คือเก็บความลับ เก็บความลับ แล้วก็เก็บความลับ” ลั่วเหยียนพูดขึ้น

“เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ดังนั้นหลักการสามข้อในครั้งนี้จึงไม่เหมือนเดิม กฎใหม่ก็คือ ห้ามถาม เก็บความลับ ต้องสำเร็จ” เฮ่อซินหลงอธิบาย

“อะไรคือ “ห้ามถาม?”

เฮ่อซินหลงตอบว่า “ทุกอย่างที่ฉันบอกไป นายจะต้องฟังให้ชัดและทำตามอย่างเคร่งครัด ส่วนสิ่งที่ฉันไม่ได้บอก  นายก็ห้ามตั้งคำถามและห้ามแอบไปสืบ”

“ตกลง ๆ ๆ” ลั่วเหยียนตอบ “สำหรับนาย ฉันก็ทำแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว”

“ความรู้จักเอาใจคนคือเสน่ห์ของนาย” เฮ่อซินหลงยิ้มขึ้นเล็กน้อย “มิน่าถึงมีสาว ๆ ให้ควงเยอะ”

“แล้วอะไรคือ “ต้องสำเร็จ”?”

“อย่างที่บอกไปแล้วว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก ดังนั้นจะล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด” เฮ่อซินหลงกล่าวอย่างจริงจังต่อไป “นายต้องการทรัพยากรอะไร บอกมาได้เต็มที่ ฉันจะหาให้ทั้งหมด”

“ไม่ต้องห่วง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ฉันก็ต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ” ลั่วเหยียนยิ้มแล้วกล่าวต่อไปว่า “ห้ามถาม เก็บความลับ ต้องสำเร็จ สมองของฉันบันทึกเอาไว้เรียบร้อย ถึงตายก็ไม่มีวันลืม”

“จำได้ก็ดีแล้ว จั๋วเมี่ยโฉวคนนี้หลับลึกมาสามร้อยหกสิบปี คาดว่าคงเพิ่งตื่นขึ้นมาไม่นาน ตอนที่จำศีล เขาคงจะอยู่ทางเหนือของประเทศจีน ถ้าไม่ใช่สามมณฑลตะวันออกก็เป็นซินเจียง (ซินเกียง) หรือไม่ก็ทิเบต และจะต้องเป็นภูเขาที่มีหิมะสุมตลอดสี่ฤดู”

ลั่วเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “เพราะสถานที่หนาวเย็น เหมาะกับการหลับจำศีลใช่ไหม?”

“ถูกต้อง แต่ตอนนี้เขาตื่นขึ้นมาแล้ว เท่ากับว่าเขามีโอกาสจะไปได้ทุกที่ สิ่งเดียวที่แน่ใจได้ก็คือ เขาจะต้องอยู่ในประเทศจีน” เฮ่อซินหลงตอบ

“ทำไมล่ะ? ลั่วเหยียนถามต่อ

“ง่ายมาก เขาไม่รู้ภาษาต่างประเทศ ไม่มีพาสปอร์ต ขึ้นเครื่องบินไม่ได้”

ฟังถึงตอนนี้ลั่วเหยียนถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ส่วนกระบี่เทียนฉานเล่มนั้น ตามบันทึกในตำรารูปร่างคร่าว ๆ ของมันเป็นแบบนี้....” เฮ่อซินหลงหยิบกระดาษปากกาขึ้นมา วาดเป็นรูปกระบี่เล่มหนึ่ง..

จะว่าไปนี่กลับดูไม่เหมือนกระบี่สักเท่าไหร่ ตัวกระบี่แบนยาวมีคมสองด้าน แต่กลับไม่มีโกร่งกระบี่และพู่กระบี่ ด้ามจับเป็นลักษณะกลมรี หากจะเรียกสิ่งนั้นว่าด้ามกระบี่ ไม่สู้บอกว่าเป็นเมาส์คอมพิวเตอร์ยังจะเหมือนกว่า ฉะนั้นถ้าจะเรียกให้ถูกคงต้องบอกวามันคือ “วัตถุรูปทรงคล้ายกระบี่”

เฮ่อซินหลงอธิบายเสริมว่า “นี่เป็นกระบี่ที่โปร่งใสทว่าแข็งแกร่งที่สุด มันสามารถตัดทุกอย่างให้ขาดได้”

“วัตถุที่แกร่งที่สุด หรือว่ามันจะเป็นเพชร?”

“ก็เป็นไปได้ ในบันทึกระบุว่าเนื้อกระบี่นี้คล้ายกับหินวัชระหรือก็คือเพชรที่เรียกในปัจจุบัน แต่มันมีความแข็งและเป็นประกายมากยิ่งกว่าหินวัชระ ซึ่งตามบันทึกได้บอกว่า “แข็งกว่าร้อยเท่า” และ “เป็นประกายกว่าร้อยเท่า” ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นความจริงสักกี่ส่วน” เฮ่อซินหลงตอบ

“โลกนี้ยังมีวัตถุที่แข็งกว่าเพชรด้วย?” ลั่วเหยียนถามขึ้น

“ฉันไม่เคยเห็นกระบี่เล่มนี้ ดังนั้นฉันเองก็บอกไม่ได้ แต่กระบี่นี้เป็นมรดกตกทอดของบรรพบุรุษ ภายหลังถูกจั๋วเมี่ยโฉวขโมยไป ฉันจึงต้องทวงกลับมาให้จงได้”

“จั๋วเมี่ยโฉวขโมยกระบี่เทียนฉานไป” ลั่วเหยียนกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ถ้าอย่างนั้น ขอแค่หาตัวเขาเจอ ก็จะได้เจอกระบี่ด้วย?”

“ถูกต้อง!”

“ดังนั้นเมื่อฉันตามหาจั๋วเมี่ยโฉวเจอ ก็ให้เอาตัวเขาพร้อมกระบี่กลับมาส่งให้กับนาย?”

เฮ่อซินหลงส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “หน้าที่ของนายคือตามหาคน ไม่ใช่จับตัวคน ฉันจะไปจับตัวพร้อมเอากระบี่นั้นมาเอง คนผู้นี้มีพลังฝีมือสูงมาก ไม่ว่านายจะใช้วิธีการขโมยหรือแย่งชิง ผลสุดท้ายก็มีแค่อย่างเดียว”

“ผลจะเป็นยังไง?”

“ตาย!!”

“อืม ดังนั้นนายถึงต้องออกโรงเอง? เพราะมีแต่นายที่สยบเขาได้?” ลั่วเหยียนถามต่อ

“ถึงฉันออกโรงเองก็ยังไม่แน่ว่าจะสู้เขาได้ หากเขามีกระบี่อยู่ในมือ ฉันยิ่งสู้ไม่ได้” น้ำเสียงของเฮ่อซินหลงกลายเป็นจริงจังขึ้น “แต่ฉันอยากจะประมือกับเขาสักตั้ง ตั้งแต่ฝึกวิชามา ยังไม่เคยเจอคู่ปรับมาก่อน หากได้เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อสักครั้ง ถึงตายก็ยินดี!”

“นายจะตายไม่ได้เด็ดขาด  ถ้านายตายไปใครจะให้งานฉันทำ?”

เฮ่อซินหลงยิ้มขึ้นอีกครั้ง ลั่วเหยียนเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา มีแต่ยามที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน จึงจะสามารถเปิดใจ และหัวเราะได้อย่างวางใจ

“ได้เวลาแล้ว นายไปเถอะ”

“เร็วปานนั้น นายไม่ฟังเรื่องของฉันก่อนหรือ?” ลั่วเหยียนพูดขึ้น

เฮ่อซินหลงแทบไม่ออกไปไหน แต่ลั่วเหยียนกลับวิ่งไปทั่ว ดังนั้นในยามที่ทั้งคู่มาเจอกัน ประธานเฮ่อจึงมักจะฟังลั่วเหยียนเล่าเรื่องเหลวไหล หรือไม่ก็เรื่องราวชีวิตที่เปี่ยมสีสันของเขาให้ฟัง

“ฉันยังมีประชุม อีกสองสามวันนายค่อยขึ้นมาใหม่” เฮ่อซินหลงกล่าว

“นายวางใจได้ร้อยล้านเปอร์เซ็นต์ เว้นแต่จั๋วเมี่ยโฉวคนนี้จะหนีไปดาวอังคาร ไม่อย่างนั้นภายในสามเดือน รับรองว่าจะตามหาทั้งคนทั้งกระบี่เจอแน่ เงินมันมีตาแถมยังมีขา โลกนี้จึงไม่มีคนที่เงินหาไม่เจอ”

“ฉันวางใจในการทำงานของนายเสมอ”

“หากฝ่าบาทไม่มีพระบัญชาอื่น เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา” ลั่วเหยียนแซวขึ้น

“อย่ามัวแต่ล้อเล่นอยู่เลย” เฮ่อซินหลงตีมือลั่วเหยียนเบา ๆ “พวกเราเป็นเพื่อนกัน เป็นเกลอกัน เป็นพี่น้องกัน ไม่ใช่หัวหน้ากับลูกน้อง จำคำนี้ไว้ให้ดี”

“ครับพี่ใหญ่!”

“นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนมีความลับเยอะ สำหรับนายฉันก็บอกได้แค่ส่วนเดียว ไม่ใช่ว่าฉันคิดจะปิดบัง แต่ด้วยเหตุผลพิเศษบางอย่างทำให้ฉันเปิดเผยออกมาไม่ได้” เฮ่อซินหลงกล่าวต่อว่า “หวังว่านายจะเข้าใจความจำเป็นของฉัน ไม่ว่ายังไง นายก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน ฉันจะพยายามรักษามิตรภาพนี้ตลอดไป”

“ฉันรู้! ฉันเองก็เห็นนายเป็นเหมือนพี่น้องมาตลอด” ขอบตาของลั่วเหยียนชื้นขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณมาก พี่ใหญ่!”

“อย่ามัวพิรี้พิไรอยู่เลย เรารู้กันอยู่แก่ใจก็พอ  คืนนี้อย่าเที่ยวดึกนักล่ะ รีบกลับไปนอน ไข้หวัดก็จะหายดีเอง”

ลั่วเหยียนผิวปาก หันหลังเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี อาการหวัดดีขึ้น แม้ว่าการค้ากับจูไฉเซิ่งจะละลายไปแล้ว แต่การตามหาคนให้เฮ่อซินหลงย่อมได้กำไรมากยิ่งกว่า  เรื่องการตายของจูไฉเซิ่งไม่เคยอยู่ในความสนใจของเขาอยู่แล้ว แต่สิ่งเดียวที่อาจทำให้เขาอารมณ์ดีได้ไม่นานก็คือเขาได้ดื่ม “น้ำทิพย์เทวา” ลงไป และเหลือชีวิตอยู่อีกไม่เกินเจ็ดวัน เพียงแต่คนที่รู้ความลับนี้มีแค่หนึ่งคนเป็นคือ “หลี่หนานสุ่ย” กับอีกหนึ่งคนตายอย่าง “จูไฉเซิ่ง” เท่านั้น ส่วนลั่วเหยียนกลับไม่รู้เรื่องนี้เลย

ขณะกระโดดขึ้นรถ เขาเห็นรถเบนซ์คันหนึ่งตรงเข้ามาที่ตึกเทียนฉาน ภายในรถเป็นชาวจีนใส่สูทนั่งหลังตรง คน ๆ นี้มีชื่อว่า “จางเหวิน” เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการเมืองประจำสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน แต่ลั่วเหยียนไม่รู้จักเขา

เมื่อจางเหวินเดินเข้าไปในห้องทำงานของเฮ่อซินหลง ลั่วเหยียนก็มาถึงถนนของท่าเรือโทโลแล้ว

เขาเตรียมไปแช่น้ำร้อน นอนหลับสักตื่นใหญ่ พอตื่นขึ้นมาก็จะนัดสาวสวยไปรับประทานอาหาร ดื่มเหล้า ไปมีเซ็กซ์แล้วก็เข้านอน รายการอันสุดพิเศษในช่วงคืนวันศุกร์ คงไม่มีอะไรเกินกว่านี้แล้ว

 

บทที่ 1.3

 

หลังหลี่หนานสุ่ยจบปริญญาเอกมาจากอเมริกาก็กลับไปทำงานที่ฮ่องกง ดูแลแผนกประชาสัมพันธ์ให้กับเครือบริษัทตงซาน แผนกนี้มีพนักงานทั้งหมดหกคน แต่จำนวนคนยังถือว่ามากกว่าเนื้องาน ตำแหน่งผู้จัดการแผนกของหลี่หนานสุ่ยเป็นเพียงการทำบังหน้า บางครั้งหากต้องรีบไปฆ่าคน ก็โดดงานไปดื้อ ๆ โดยไม่มีใครมาสนใจ

วันที่ไปกินข้าวกลางวันกับเหวยสือ เธอยังคงทำเหมือนกับทุก ๆ วันศุกร์ โดดงานตั้งแต่บ่าย เธอนั่งแท็กซี่ไปยังไซวาน เดินเข้าไปในลานจอดรถเก่าแห่งหนึ่ง แล้วขับรถออฟโรดยี่ห้อโตโยต้าป้ายทะเบียนจีนฮ่องกง (เชิงอรรถ – เป็นป้ายทะเบียนรถส่วนบุคคลที่อนุญาตให้ขับเข้าออกระหว่างฮ่องกงและมณฑลกวางตุ้งได้) เมื่อรถคันนี้ออกจากฮ่องกง ผ่านด่านที่เซินเจิ้นแล้วก็ขับมุ่งไปทางตะวันตก ผ่านทางด่วนสายยาว  แล้วมุ่งหน้าไปยังตำบลเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ขับผ่านทางเลี้ยวไปมาอีกหลายครั้งก็เข้าไปสู่ถนนเล็ก ๆ ที่รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้ปกคลุม ในมุมที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง มีบ้านหลังไม่ใหญ่นัก หากไม่ตั้งใจสังเกตคงไม่มีทางมองเห็น

รถของหลี่หนานสุ่ยขับเข้าไป วนอ้อมเป็นรอบเล็ก ๆ เข้าไปจอดที่ด้านหลังของบ้าน

บ้านหลังหนึ่งที่ดูไม่สะดุดตา ดูเผิน ๆ ไม่แตกต่างจากบ้านของชาวบ้านทั่วไป แต่กลับใช้วัสดุที่ดีที่สุด สร้างขึ้นอย่างแข็งแรงเป็นพิเศษ เพียงแค่อุปกรณ์เก็บเสียงก็คิดเป็นเงินหลายแสนหยวนแล้ว แต่การตกแต่งเหล่านี้ยังไม่เท่าไหร่ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของงานวิจัยไม่ใช่เครื่องมือแต่เป็นบุคลากร

ใช่แล้ว ที่นี่ก็คือห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เป็นห้องวิจัยวิทยาศาสตร์สังหารส่วนตัวของหลี่หนานสุ่ย

 

จ้าวจวิ้นนั่งรอหลี่หนานสุ่ยอยู่บนเก้าอี้หวายหน้าประตู ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ช่วงสามฤดูนี้ เมื่อไหร่ที่มีเวลาว่าง เธอก็มักจะออกมานั่งตากลมที่เก้าอี้หวายตัวนี้

จ้าวจวิ้นจบจากมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น จากนั้นก็ทำงานอยู่เก้าปี สุดท้ายค่อยมีโอกาสไปต่างประเทศ ไปเรียนปริญญาโทด้านการบัญชีที่มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ ถ้าไม่ได้มาเจอกับหลี่หนานสุ่ย เธอคงจะอยู่ที่อเมริกาจนแก่ ไม่กลับมาประเทศจีนอีก

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นที่แคลิฟอร์เนียเธอได้รู้จักกับวิศวกรชาวจีนสัญชาติอเมริกันคนหนึ่ง ทั้งคู่คบหากันอยู่ครึ่งปี กำลังจะจดทะเบียนสมรสกันอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าคืนก่อนจดทะเบียนสมรส ฝ่ายชายได้กวาดเอาเงินเก็บทั้งหมดของเธอหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย สุดท้ายค่อยรู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นพวกต้มตุ๋น นอกจากจะไม่ใช่วิศวกรแล้ว ยังไม่ใช่พลเมืองถูกกฎหมายอีกด้วย จ้าวจวิ้นได้จ้างนักสืบเอกชนออกตามหา ทว่าเมื่อเจอตัว เธอกลับไม่กล้าบุกไปคนเดียว ต้องมาชวนหลี่หนานสุ่ยไปเป็นเพื่อน ขณะที่ทั้งคู่บุกไปยังบ้านของฝ่ายชาย ก็ไปเจออีกฝ่ายกำลังเริงรักกับแฟนสาวบนเตียงพอดี

จ้าวจวิ้นเข้าไปทะเลาะกับฝ่ายชายจนถูกทำร้ายบาดเจ็บ หลี่หนานสุ่ยจึงพุ่งเข้าไปช่วยจ้าวจวิ้น ทำให้จ้าวจวิ้นกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ และคว้าเอาพัดลมที่อยู่ใกล้มือฟาดอีกฝ่ายตายคามือด้วยความโมโห หลี่หนานสุ่ยแทบไม่ต้องใช้ความคิด เธอรีบถอดรองเท้าส้นสูง ฟาดส้นรองเท้าปักใส่นัยน์ตาของคู่ขาชายหนุ่มคนนั้น ปลายส้นรองเท้าของเธอฉาบพิษเข้มข้นที่สกัดจากแมงกะพรุนออสเตรเลีย เมื่อปักใส่เบ้าตาของมนุษย์มันย่อมปวดแสบปวดร้อนยิ่งกว่าใช้เหล็กเผาร้อน ๆ ทิ่มแทงเสียอีก ผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้นกรีดร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด หลี่หนานสุ่ยจึงจำใจต้องถอดร้องเท้าอีกข้างหนึ่ง เอาส้นรองเท้ายัดเข้าไปในปากของเธอเสียงกรีดร้องนั้นค่อยหยุดลง เท่ากับหลี่หนานสุ่ยได้ช่วยกำจัดศัตรูหัวใจให้จ้าวจวิ้นพร้อมฆ่าคนปิดปากไปพร้อมกัน

จากนั้นหลี่หนานสุ่ยรีบกลับไปบ้าน เอาผงละลายศพมากล่องหนึ่ง ใช้เวลาสองวันจึงสามารถละลายศพทั้งสองจนไม่เหลือซาก และนั่นก็เป็นเหตุที่จ้าวจวิ้นติดค้างน้ำใจหลี่หนานสุ่ยครั้งใหญ่

จ้าวจวิ้นเสียทั้งเงินเสียทั้งคนรัก ตอนนี้ยังมาฆ่าคนตายกลายเป็นคนจนตรอก หลี่หนานสุ่ยจึงเอ่ยปากเรื่องที่คิดจะตั้งห้องวิจัยขึ้นที่กวางตุ้ง จ้าวจวิ้นต้องการตอบแทนบุญคุณจึงตอบตกลงไปช่วยในฐานะ “ผู้จัดการห้องวิจัย” ทันที เธออยู่ในตำแหน่งนี้มาหลายปี จนมาถึงวันนี้

 

หลี่หนานสุ่ยกระซิบเบา ๆ ว่า “เงินสามล้านสี่ อยู่ในกล่องใบล่างสุด”

“แต่เราต้องใช้เงินห้าล้านนะ?” จ้าวจวิ้นพูดขึ้น

“มีเท่านี้แหละ ส่วนที่เหลือ เธอไปหาวิธีจัดการเอาละกัน”

“มีรายการใหญ่หลายรายการที่ต้องจ่าย ไหนยังจะต้องสั่งวัตถุดิบเข้ามา นี่ก็ใกล้วันจ่ายเงินเดือนแล้วด้วย เรื่องพวกนี้คงรอไม่ได้หรอก” จ้าวจวิ้นขมวดคิ้วขึ้น ถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ฉันคงหาวิธีจัดการให้ไม่ได้แน่!”

“อืม.. เงินเดือนไม่จ่ายไม่ได้ ดูสิว่ามีรายการไหนที่ติดไว้ก่อนได้ หรือไม่ก็ลดจำนวนวัตถุดิบที่ต้องสั่งเข้ามา” หลี่หนานสุ่ยตอบ

“รายการที่พอจะรอได้ ฉันก็ถ่วงเอาไว้หมดแล้ว ที่เหลือถ้าไม่จ่ายเขาจะตัดของเราน่ะสิ เธอก็รู้ว่าวัตถุดิบพวกนี้ซื้อขายกันด้วยเงินสด ไม่มีการติดไว้ก่อน ไม่มีเงินก็ไม่มีของ”

“เราขึ้นไปหารือกันข้างบน”

จากประตูบานเล็กเดินเข้าไปก็เป็นห้องโถงใหญ่ แต่ก็เป็นห้องที่จัดไว้พอเป็นพิธีเท่านั้น ด้านหลังห้องโถงเป็นโกดัง ภายในดูราวกับซูเปอร์มาร์เกตขนาดย่อม ขนมขบเคี้ยว อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยาสีฟัน แปรงสีฟัน กระดาษชำระ ผ้าขนหนู สบู่ หลอดไฟ.... ของใช้ในชีวิตประจำวันอะไรที่นึกออก ก็มีให้หยิบฉวยได้ทั้งสิ้น ของที่อยู่ในนี้เพียงพอให้คนห้าคนใช้ไปได้หนึ่งปี ชั้นสองเป็นห้องพัก คนทั้งหมดจะพักอยู่ที่ชั้นนั้น จ้าวจวิ้นพักอยู่ห้องแรก ห้องพักของหลี่หนานสุ่ยเป็นห้องติดระเบียงด้านในสุด

ทั้งคู่เดินเข้าไปที่ห้องพักของหลี่หนานสุ่ย

ที่นี่จัดแต่งไว้อย่างเรียบง่าย เตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งเก้าอี้หนึ่ง ตู้เสื้อผ้า ตู้หนังสือ แล้วก็ตู้เซฟอีกใบ พื้นที่ไม่ถึงสิบตารางเมตร เห็นได้ชัดว่าหลี่หนานสุ่ยไม่ได้สนใจเรื่องความสะดวกสบายสักเท่าไหร่ ภายในห้องยังมีประตูลับ ที่ตรงไปยังห้องทดลองส่วนตัวของเธอ

พวกเธอคุยกันสองสามชั่วโมง ระหว่างนั้นหลี่หนานสุ่ยก็(นั่ง)แทะขนมปังไปด้วย นี่ถือเป็นอาหารเย็นของเธอ ขนมปังที่เหลือจากสัปดาห์ก่อนนอกจากแข็งแล้วยังมีรสชาติประหลาด จ้าวจวิ้นไม่ใช่คนให้ความสำคัญเรื่องกิน แต่กินไปได้แค่ครึ่งเดียวก็กลืนไม่ลงแล้ว  ทว่าหลี่หนานสุ่ยกลับกินขนมปังที่เหลือพวกนี้จนหมด ตอนที่เรียนหนังสือ เธอมักจะถูกเพื่อนล้อว่าไม่มีต่อมรับรส พวกเพื่อน ๆ ยังเคยแกล้งเอาท่อนไม้ไปบดผสมน้ำซอส ทำเป็นเมนูข้าวหน้าเนื้อสับให้กิน เธอก็กิน “ข้าวหน้าเนื้อสับ” ชามใหญ่นั้นไปจนหมดเกลี้ยง

ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ข้อสรุป เริ่มจากการขอติดค้างกับซัพพลายเอ้อร์ที่ไม่สำคัญสักสองสามราย จากนั้นหลี่หนานสุ่ยจะรีบรวบรวมเงินมาเพิ่มให้ โดยสัปดาห์หน้าจะโทรติดต่อกับจ้าวจวิ้นอีกที

เมื่อจ้าวจวิ้นออกไปกินอาหารเย็น หลี่หนานสุ่ยก็ขึ้นไปที่ชั้นสาม

เธอกดรหัสลับ ประตูเหล็กกล้าก็เปิดออก เมื่อก้าวเข้าไป  รอจนประตูบานแรกปิดสนิท ค่อยสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดประตูเหล็กบานที่สอง

ด้านหลังประตูเป็นห้องอาบน้ำเล็ก ๆ เธอถอดเสื้อผ้าออก อาบน้ำชำระร่างกาย ใช้สบู่ฆ่าเชื้อทำความสะอาดทั่วตัว เปลี่ยนไปใส่ชุดห้องปฏิบัติการสีขาว สวมถุงมือเดินเข้าไปหน้าประตูบานที่สาม หลังจากสแกนม่านตาแล้ว ก็ได้ยินเสียงประตูบานที่สามเปิดออก

ที่นี่เป็นห้องปฏิบัติการ  เป็นระบบหลังบ้าน (เชิงอรรถ - Back Office) ของหลี่หนานสุ่ย เงินส่วนใหญ่ที่เธอได้มาจากการฆ่าคน ก็มาทุ่มให้กับที่นี่จนหมด

ห้องปฏิบัติการหมายเลขหนึ่งคือห้องเคมี ทำหน้าที่ในการค้นคว้าวิจัยเคมีพิษ เจ้าหน้าที่วิจัยมีชื่อว่าลอเรน เฟรด

เฟรดเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเยล หลี่หนานสุ่ยเคยเรียนด้วยวิชาหนึ่งสมัยที่เรียนปริญญาโท สามปีก่อน ภรรยาของเฟรดเกิดเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ก่อนหน้านี้เคยทำบายพาสมาหลายครั้ง โดยเทคนิคแล้วไม่สามารถทำได้อีก หากต้องการรักษาชีวิตไว้ก็มีอยู่ทางเดียวคือเปลี่ยนหัวใจใหม่ โดยทำการผ่าตัดหัวใจที่โรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยเยล เพื่อนสนิทของเฟรดเป็นแพทย์ที่นั่น และรับปากว่าจะผ่าให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ต่อให้ไม่เสียค่าแรง แต่ต้นทุนที่ต้องจ่ายก็มากถึงห้าแสนเหรียญสหรัฐ ตอนนี้ภรรยาอาการร่อแร่ แต่ลูก ๆ ทั้งห้าคนกลับกำลังมีอนาคตที่สดใส บางคนเรียนไวโอลิน บางคนเต้นบัลเล่ต์  ต่างเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ทั้งสิ้น คนที่อายุสิบแปดก็เป็นนักวิ่งมาราธอนฝีมือดี มีโอกาสที่จะไปชิงเหรียญทองโอลิมปิก ถึงกับยอมทิ้งงานและการเรียน เพื่อจะซ้อมวิ่งทุกวัน ลูกคนโตก็เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ แต่ป่วยเป็นโรคเอสแอลอี (เชิงอรรถ - ลูปัส อีริทีมาโตซัส หรือ เอสแอลอี เป็นโรคภูมิต้านตนเองชนิดหนึ่ง เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ จึงเข้าโจมตีเนื้อเยื่อปกติของร่างกายทำให้เกิดอาการป่วย) ต้องคอยรักษาอยู่ตลอด ลูกสาวคนเล็กเพิ่งจะห้าขวบ นอกจากชอบอ่านนิยายแล้วยังชอบเลขาคณิต น่าเสียดายที่มีสรีระผิดรูปแต่กำเนิด ก่อนอายุสิบสองปี จะต้องทำการผ่าตัดปรับสรีระปีละสองครั้ง

หลี่หนานสุ่ยจ่ายเงินเป็น “ของกำนัลแรกพบ” ให้เขาหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมรับปากจะจ่ายเงินเดือนให้ปีละห้าแสนเหรียญสหรัฐ เงินค่าใช้จ่ายอีกเดือนละหนึ่งหมื่นหยวน พร้อมทำประกันชีวิตในมูลค่าสามล้านเหรียญสหรัฐให้ ศาสตราจารย์ท่านนี้จึงตกปากรับคำ บินมาประเทศจีนขายชีวิตให้กับผู้มีพระคุณทันที

หน้าห้องปฏิบัติการมีห้องฆ่าเชื้อ หลี่หนานสุ่ยทำการฆ่าเชื้ออีกครั้งค่อยเคาะประตู  เธอจำเป็นต้องเคาะประตูก่อน เพราะไม่รู้ว่าด้านในกำลังทำการทดลองใดที่มีอันตรายอยู่หรือไม่

เฟรดเปิดประตูออกมา

หลี่หนานสุ่ยกวาดตามองรอบด้าน จากนั้นเอ่ยถามตรง ๆ “พัฒนาไปถึงไหนแล้ว?”

เฟรดไม่ได้ตอบ แต่หยิบเอกสารชุดหนึ่งที่หนาราวกับสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองออกมา

หลี่หนานสุ่ยเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว ภายในเป็นข้อมูลและสถิติที่บันทึกเอาไว้อย่างถี่ยิบ

เฟรดหยิบรีโมทออกมา กดเปิดเครื่องเล่นดีวีดี

ภาพบนจอทีวี เป็นคน ๆ หนึ่งสวมหน้ากากป้องกันก๊าซพิษ สวมชุดปฏิบัติการสีน้ำเงินพร้อมถุงมือ ดูจากทรงผมทำให้รู้ว่าเป็นตัวเฟรดเอง

ด้านหน้าของเฟรดเป็นกรงเหล็กที่ขังลิงตัวหนึ่ง ที่หน้ากรงติดเครื่องแสดงผลเอาไว้ ลิงตัวนั้นถูกพันธนาการ ตามตัวมีแผ่นกาวที่เชื่อมต่อกับสายต่าง ๆ ติดไว้หลายชิ้น สายเหล่านั้นต่อโยงเข้ากับอุปกรณ์สิบกว่าชิ้น ดูจากเหตุการณ์เหมือนกำลังบันทึกค่าต่าง ๆ ของร่างกาย เจ้าลิงร้องเจี๊ยก ๆ ไม่หยุด แม้จะขยับไม่ได้ แต่สีหน้าก็ดุร้ายแทบไม่ต่างจากซุนหงอคงตอนโกรธเลยทีเดียว

ภาพต่อมาเห็นเฟรดถืออุปกรณ์เล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง ยืนอยู่ห่างจากลิงราวครึ่งเมตร เขากดปุ่ม อุปกรณ์ที่เชื่อมกับสายไฟก็ปรากฏตัวเลขขึ้น ที่แท้มันเป็นเครื่องบันทึกเวลา

สีหน้าของลิงกลายเป็นน่ากลัวขึ้นมา มันร้องเสียงหลงไม่ทันจบ ก็เกิดน้ำลายฟูมปาก จากลิงที่ดูมีชีวิตชีวา กลับกลายเป็นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด ไม่นานก็แน่นิ่ง เครื่องบันทึกเวลาหยุดการเคลื่อนไหว เป็นเวลาทั้งสิ้นหนึ่งจุดเจ็ดแปดวินาที เครื่องนี้เป็นระบบอัตโนมัติ หลังจากลิงขาดใจแล้วจะหยุดเองภายในหนึ่งส่วนร้อยวินาที

จากนั้นเห็นเฟรดเดินไปทดลองกับลิงอีกตัว แล้วก็ต่อไปที่ลิงตัวที่สาม ตัวที่สี่ ตัวที่ห้า...วางยาพิษลิงตายไปทั้งหมดสิบสองตัว

หลี่หนานสุ่ยจ้องมองภาพทั้งหมดอย่างจดจ่อ ในการทดลองระดับสูงเหล่านี้ พวกเขาจะต้องทำการทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อที่จะมองหากฎเกณฑ์ที่อยู่ในนั้น หากสามารถมองเห็นความแตกต่างอะไรได้ก็แทบไม่ต่างกับถูกรางวัลกันเลยทีเดียว

“ช่วงเวลาการตายอยู่ที่ หนึ่งจุดเจ็ดสองถึงสองจุดสามสี่วินาที หากคำนวณตามแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ สมมติว่าใช้กับร่างกายของมนุษย์ เวลาจะเพิ่มขึ้นศูนย์จุดสี่ถึงหนึ่งจุดเจ็ดเท่า” เฟรดกล่าวขึ้น

“ยังใช้ไม่ได้ ต้องแรงกว่านี้!” หลี่หนานสุ่ยพูดขึ้น

“การทดลองนี้ ได้ใช้ปริมาณมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้ว การยิงออกไปอากาศจะดูดซับยาไปส่วนหนึ่ง ทำให้ได้ผลน้อยลง หากจะให้แรงกว่านี้ ก็ต้องเพิ่มปริมาณหรือไม่ก็พัฒนาอุปกรณ์การยิง”

หลี่หนานสุ่ยตอบทันทีว่า “ทำไม่ได้ทั้งสองอย่าง! ถ้าเพิ่มปริมาณ เวลาที่ใช้คนรอบข้างจะสังเกตเห็นได้ หากเพิ่มแรงของเครื่องยิงก็จะทำให้เกิดเสียง สิ่งที่ฉันต้องการคือเป็นความลับ ยิงออกไปแล้วไม่มีใครรู้สึก วิธีการเดียวก็คือทำให้ตัวยาเข้มข้นกว่านี้”

เฟรดกล่าวขึ้นว่า “ความเข้มข้นถึงขีดจำกัดแล้ว จะสกัดให้เข้มข้นกว่านี้ก็ต้องซื้อเครื่องหมุนเหวี่ยงรุ่นใหม่ล่าสุดถึงจะทำได้  แต่ผมเกรงว่าคงไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น พิษในตอนนี้สามารถฆ่าคนที่แข็งแรงที่สุดได้สบาย ๆ หลังจากถูกพิษ อย่างมากก็สามารถส่งเสียงได้อีกสามวินาที สามวินาทีนั้นยังเปล่งได้แค่เสียงร้อง ไม่มีทางพูดออกมาเป็นภาษาได้แน่”

“คนที่ถูกพิษจากซาริน (เชิงอรรถ -เป็นของเหลวไร้สี ไร้กลิ่น ใช้เป็นอาวุธเคมีเนื่องจากเป็นสารสื่อประสาทที่ออกฤทธิ์รุนแรง ซารินจัดเป็นอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง ในข้อมติสหประชาชาติห้ามไม่ให้มีการผลิตและเก็บสะสมซาริน) ไม่มีทางช่วยได้  โดยทฤษฎีแล้วการวางยาพิษฆ่าคนมีพิษหลายตัวที่สามารถทำได้ แต่ที่ต้องสร้างก๊าซซูเปอร์ซารินนี้ขึ้น ฉันย่อมต้องมีเหตุผลของฉัน คุณแค่ทำงานให้ดีก็พอ!”

“แค่ตอนนี้พิษของมันก็ร้ายแรงเกินไปแล้ว หากใช้พิษในระยะใกล้ คนปล่อยพิษก็จะมีอันตรายไปด้วย การประเมินความเสี่ยงผมได้เขียนไปในรายงานแล้ว จะทำให้แรงกว่านี้คงเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่ไม่ปล่อยพิษด้วยคน” เฟรดอธิบาย

“เรื่องวิธีใช้ฉันจะหาทางแก้ปัญหาเอง คุณแค่ทำหน้าที่วิจัยพิษของคุณก็พอ”

ทั้งคู่หารือกันอยู่ครึ่งชั่วโมง หลี่หนานสุ่ยยืนกรานว่าจะต้องเพิ่มความรุนแรงของพิษ และได้ช่วยเฟรดแก้ปัญหาเรื่องวิธีการปล่อยพิษ เมื่อออกจากห้องปฏิบัติการ เธอก็เดินไปฆ่าเชื้อทั้งตัวอีกรอบ

เฟรดไม่มีทางเดาความคิดของเธอออก พูดถึงการใช้พิษฆ่าคน ในใจของหลี่หนานสุ่ยก็ไม่มีความลับอะไร หลายปีมานี้ สิ่งที่เธอเฝ้าครุ่นคิดมีแต่เรื่องพิษร้ายแรงหลายอย่างจากคัมภีร์ “บรรพพิษ”    ในบทสุดท้ายของคัมภีร์ได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “พิษผันแปรด้วยปราณ ปราณอ่อนฆ่าง่าย ปราณแกร่งทำร้ายยาก หนึ่งลดหนึ่งเพิ่ม ผู้เปี่ยมกำลังภายใน  ร้อยพิษยากกล้ำกราย มีเพียงพิษร้าย จึงปลิดชีพยอดฝีมือ” แต่หากโลกนี้ไร้ซึ่งยอดฝีมือ จะคิดค้นพิษร้ายไปเพื่ออะไร?”

โลกในปัจจุบัน ยังมียอดฝีมือที่มีกำลังภายในอยู่อีกหรือไม่ หลี่หนานสุ่ยเองก็บอกไม่ถูก แต่เธอก็อยากจะเจอสักคน เพื่อจะใช้ทดสอบพิษร้ายต่าง ๆ ที่เธอได้สร้างขึ้น เธอเคยสาบานไว้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องสังหารยอดฝีมือสักคน ทั้งจะต้องเป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดที่เหนือกว่าที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ เช่นนี้จึงจะไม่เสียชาติเกิด แน่นอนว่าหากจะสังหารยอดฝีมือ จะต้องเตรียมยาพิษสังหารไว้ก่อน ความมุ่งมั่นเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องบอกให้เฟรดรู้ เพราะถึงบอกไปเขาก็ไม่เข้าใจ อีกอย่าง การวิจัยยาพิษฆ่าคนเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง แค่ในขณะวิจัยก็ให้ความสุขแล้ว การสร้างยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด ก็เหมือนกับนักกีฬาโอลิมปิกเหรียญทองที่แสวงหาการทำลายสถิติ นี่คือการท้าทายกับตัวเอง!

หลังออกจากห้องปฏิบัติการที่หนึ่ง เธอทำการฆ่าเชื้ออีกครั้ง ก้าวอาด ๆ เข้าไปยังห้องปฏิบัติการที่สอง ก่อนเข้าไป ก็ต้องทำการฆ่าเชื้ออีกรอบ ในโลกแห่งการวิจัยยาพิษ การฆ่าเชื้อเป็นเรื่องปกติยิ่งกว่ารับประทานอาหาร

ผู้ดูแลห้องนี้มีชื่อว่าอารามี มาจากประเทศอิรัก หลบหนีปัญหาการเมืองมายังที่นี่ หลี่หนานสุ่ยช่วยให้ครอบครัวของเขาสามารถอพยพไปอยู่ที่อเมริกา ถือว่ามีพระคุณต่อเขา อารามีเคยเป็นผู้ดูแลโรงงานชีวเคมี มาทำงานที่นี่จึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง หลี่หนานสุ่ยก็จบปริญญาเอกในสาขาชีวเคมี ในการทำงานจึงรู้สึกถูกคอกับเขาเป็นพิเศษ

สิ่งที่อารามีกำลังวิจัยคือ “ยาแกล้งตาย” คือทำให้มีอาการเหมือนตายไปสักระยะแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ วัตถุดิบได้จากการสกัดสารประกอบจากกบหลายชนิด หลี่หนานสุ่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษสัตว์จำพวกกบ  วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเธอก็เป็นงานวิจัยเรื่องกบลูกศรพิษสีทองในอเมริกาใต้ ในด้านนี้เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก แม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ยังเทียบเธอไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นที่สงสัย เธอจึงไม่เคยใช้พิษกบในการฆ่าคน

คัมภีร์บรรพพิษได้บันทึกถึงโอสถอันน่าอัศจรรย์ขนานหนึ่งเอาไว้ “โอสถมหาจักรวาลคืนวิญญาณ”  มันสามารถทำให้คนหลับจำศีลไปได้หลายร้อยปี ทั้งยังมี “โอสถจุลจักรวาลคืนวิญญาณ” ที่สามารถทำให้คนอยู่ในสภาวะเสมือนตายได้หนึ่งปี โอสถทั้งสองขนานนี้ส่วนประกอบหลักก็คือกบ น่าเสียดายที่ในคัมภีร์ไม่ได้ลงรายละเอียดอื่นเอาไว้

ปีที่แล้ว มีลูกค้าคนหนึ่งต้องการว่าจ้างด้วยเงินที่สูงถึงสิบสามล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องทำให้เขาเสมือนตายไปหนึ่งปี หลี่หนานสุ่ยคาดว่าลูกค้าคนนี้คงต้องการหลอกเงินประกัน แต่เธอยังไม่มีความมั่นใจจึงได้ปฏิเสธลูกค้ารายนี้ไป เมื่อกลับมาคิดดูอีกที รู้สึกว่าสิ่งนี้น่าสนใจไม่น้อย จึงได้มอบหมายให้อารามีทำการวิจัย โดยเริ่มจากการค้นคว้าเรื่องหลับจำศีลก่อน แน่นอนว่าการแกล้งตายไม่ใช่จำศีล ทว่าทั้งสองอย่างล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการเดียวกัน

ในโลกปัจจุบัน วิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการหลับจำศีลไว้ไม่น้อย ส่วนหลัก ๆ ที่ค้นพบก็คือในขณะที่สัตว์เข้าสู่ภาวะหลับจำศีล กระบวนการเมแทบอลิซึม (เชิงอรรถ - ผลรวมของปฏิกิริยาเคมีทั้งหมดที่เกิดในสิ่งมีชีวิต รวมทั้งการย่อยและการขนส่งสสารเข้าสู่เซลล์และระหว่างเซลล์) จะช้าลง รวมไปถึงกระบวนการทำงานของเซลล์มะเร็งด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมีคนที่ตั้งความหวังว่าอาจใช้กลไกของหลับจำศีลนี้มารักษามะเร็ง หรืออย่างน้อยก็สามารถชะลอการเติบโตของมะเร็งได้ อารามีได้ค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องจำนวนมากก่อนลงมือวิจัย จึงทำให้พัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้การวิจัยได้มาถึงขั้นของการทดลองกับมนุษย์แล้ว จ้าวจวิ้นได้ซื้อตัวคนสามคนมาเป็นตัวทดลอง ตอนนี้มาแล้วหนึ่งคน ส่วนอีกสองคนได้จ่ายเงินมัดจำไปเรียบร้อย เรียกหาเมื่อไหร่ก็จะส่งตัวมาทันที ค่าตัวของการมาเป็นตัวทดลองอยู่ที่คนละหนึ่งล้านหยวน ในจำนวนนี้นายหน้าแบ่งไปครึ่งหนึ่ง เท่ากับเหลือห้าแสนหยวน

อันที่จริงนายหน้าแนะนำว่าให้ไปสุ่มจับตัวคนจากข้างถนนมาทดลอง วิธีการนี้มีต้นทุนต่ำ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ห้าหมื่นหยวนเท่านั้น นี่เรียกว่า “จับตัวซวย” คือแล้วแต่ดวงว่าใครจะโชคร้ายโดนจับมา แต่หลี่หนานสุ่ยไม่ยอม เธอเป็นศิลปิน ไม่ใช่โจรผู้ร้าย เธอเป็นคนทำธุรกิจ ไม่ใช่ฆาตกรโรคจิต หนึ่งซื้อหนึ่งขาย ต้องเป็นไปตามความยินยอมทั้งสองฝ่าย แบบนี้ถึงจะเรียกว่ามืออาชีพ ชีวิตคนล้วนมีราคา แต่การช่วงชิงชีวิตคนมาโดยไม่จ่ายเงิน ก็เท่ากับเป็นโจร

ในบ้านนี้ห้องที่หรูหราที่สุดก็คือที่พักของตัวทดลอง แต่ละวันนอกจากจะมีอาหารที่ดีที่สุดแล้วยังสามารถสั่งอาหารที่ตัวเองชอบได้ด้วย เวลาว่างในแต่ละวันก็มีแผ่นภาพยนตร์ให้เลือกเปิดดู ตัวทดลองที่มาถึงที่นี่ ต่างก็เตรียมใจว่าต้องมาตาย ต่อให้ไม่ตาย การหลับไปยี่สิบสามสิบปีค่อยตื่นขึ้นมาก็ไม่ต่างจากตายสักเท่าไหร่ ดังนั้นเงินห้าแสนหยวนก็คือการซื้อชีวิตดี ๆ นี่เอง

หลี่หนานสุ่ยไม่ได้เพิ่งทดลองตัวยากับคนเป็นครั้งแรก  ดังนั้นเธอจึงกำหนดขั้นตอนไว้อย่างเข้มงวด ก่อนอื่นจ่ายเงินมัดจำหนึ่งส่วนสิบ ที่เหลือจะแบ่งจ่ายตามขั้นตอนของการทดลอง โดยทุกขั้นตอนจะถ่ายวิดีโอเอาไว้ หากไม่ให้ความร่วมมือ ภาพเหล่านี้จะเป็นหลักฐานในการปฏิเสธการจ่ายเงินที่เหลือ เงื่อนไขส่วนที่ค่อนข้างมีมนุษยธรรมหน่อยก็คือ แต่ละวันจะทำการทดลองไม่เกินแปดชั่วโมง และตลอดการทดลองจะไม่เกินหนึ่งเดือน ตัวทดลองก็จะถูกการุณยฆาต (เชิงอรรถ – ศัพท์ทางแพทย์เรียกปรานีฆาต คือการทำให้ตายด้วยวิธีที่ไม่รุนแรง หรืองดเว้นการรักษาโดยปล่อยให้ตายอย่างสงบ) เงินส่วนที่เหลือจะถูกส่งไปให้กับครอบครัวของตัวทดลอง  โดยอ้างว่าเป็น “เงินจากประกัน”

ห้องปฏิบัติการหมายเลขสองเต็มไปด้วยสัตว์ในวงศ์กบ แยกเลี้ยงในกล่องต่าง ๆ ตามสายพันธุ์ การให้อาหารในแต่ละวันต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมง นอกจากเจ้ากบลูกศรพิษสีทองตัวโปรดของเธอแล้ว หลี่หนานสุ่ยยังส่งมอบกบต่าง ๆ ที่เก็บสะสมไว้ให้กับอารามีทั้งหมด จ้าวจวิ้นพยายามช่วยรวบรวมกบสายพันธุ์จีนมาให้มากที่สุด และได้สั่งซื้อสายพันธุ์ต่างประเทศมาส่วนหนึ่ง เพื่อส่งมอบให้อารามีทำการวิจัย

การทดลองกับคนจริงครั้งแรกถูกกำหนดไว้ในสัปดาห์หน้า อารามีได้ทำการตรวจสุขภาพร่างกายให้กับตัวทดลอง ผลตรวจอุจจาระกับปัสสาวะถูกส่งกลับมาแล้ว ส่วนผลการตรวจเลือดจะมาในวันพรุ่งนี้

“สารคัดหลั่งที่เกี่ยวข้องกับการจำศีลของสัตว์ตระกูลกบ ผมก็แค่ทำไปตามวิธีการของคุณ การสกัดออกมาไม่ใช่เรื่องยาก อาศัยแค่ขั้นตอนง่าย ๆ ก็สามารถทำได้แล้ว เพียงแต่จนถึงตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจเรื่องสารประกอบทางเคมีกับกระบวนการจำศีลของมันทั้งหมด ดังนั้นตัวยาจะได้ผลสักแค่ไหน ผมก็ยังไม่กล้ารับรอง” อารามีพูดต่อไปว่า “ถึงแม้ตามสถิติที่เรามี ผลการทดลองกับลิงจะเป็นไปได้สวย แต่จะทดลองกับคน ก็ยังมีโอกาสเกิดความคลาดเคลื่อนได้มาก”

“ดังนั้นฉันถึงตัดสินใจให้เข้าสู่กระบวนการทดสอบกับคนในขั้นสุดท้ายนี่ไง” หลี่หนานสุ่ยตอบ

“แต่ถึงยังไง นี่ก็เป็นความคิดที่อัจฉริยะมาก ไม่รู้ว่าคุณคิดได้ยังไง ผมนี่รู้สึกนับถือจริง ๆ” อารามีกล่าวต่อ

“ฉันอิงจากตำราจีนโบราณแล้วก็เพิ่มเติมสิ่งที่จินตนาการตามทฤษฎีเข้าไป ส่วนวิธีนี้จะใช้ได้หรือไม่ ฉันเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน”

“วัฒนธรรมจีนเต็มไปด้วยความรู้อันล้ำลึกไพศาล ช่างเป็นประเทศที่ลี้ลับจริง ๆ ถ้าผมรู้ภาษาจีน อ่านตำราโบราณพวกนั้นออกคงจะดีไม่น้อย”

“ถ้าคุณอยากเรียน ฉันจะหาอาจารย์สอนภาษาจีนที่ดีที่สุดมาให้เอง” หลี่หนานสุ่ยตอบ

“ขอบคุณมาก แต่ผมอายุปูนนี้แล้ว คงเรียนภาษาใหม่ไม่ไหวหรอก” อารามีหยุดเล็กน้อย ค่อยถามขึ้นว่า “จะว่าไป ผมมีปัญหาหนึ่งที่เก็บไว้ในใจนานแล้ว”

“ถามมาสิ”

“สัตว์ที่จำศีลได้มีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นหมี สกั๊งค์ งู กระรอก หนูป่าแคนาดา หรืออย่างที่จำศีลเก่ง ๆ อย่างตัวมาร์มอตในไซบีเรียหรือเม่นแคระ ทำไมคุณยืนกรานว่าจะต้องใช้กบ?”

เหตุผลที่แท้จริงก็คือ “คัมภีร์บรรพพิษ” ได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจน ส่วนผสมหลักของโอสถจุลจักรวาลคืนวิญญาณคือกบ อีกทั้งยังมีการอธิบายถึงวิธีสกัดสารคัดหลั่งจากกบเอาไว้คร่าว ๆ  ดังนั้นการใช้กบเป็นตัวยา จึงเป็นการช่วยประหยัดแรงและได้ผลเร็วยิ่งขึ้น เช่นนี้แล้วยังจะต้องเปลืองแรงเปลืองทรัพยากรไปวิจัยสัตว์อื่นทำไม? เพียงแต่เหตุผลนี้คงบอกกับอารามีไม่ได้

หลังคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่หนานสุ่ยจึงเลือกที่จะตอบว่า “สัตว์ที่จำศีลในฤดูหนาวมีนับไม่ถ้วน แต่เราคงเอามาวิจัยหมดไม่ได้ มันสิ้นเปลืองเงินทองและเวลามากเกินไป ดังนั้นจึงเลือกมาเพียงแค่ประเภทเดียว บังเอิญว่าฉันเชี่ยวชาญเรื่องสัตว์ในวงศ์ของกบ ก็เลยเลือกที่จะใช้กบมาทำการวิจัย”

อารามีจึงถามขึ้นว่า “เคยคิดจะใช้วิธีการด้านพันธุกรรมไหม? ผมแก่แล้ว รู้เรื่องเทคโนโลยีพันธุกรรมสมัยใหม่ไม่ลึกนัก แต่เท่าที่ผมเข้าใจ หากเราสกัดยีนของกบออกมา น่าจะได้ผลมากกว่าการใช้กระบวนการของชีวเคมีนะ”

“ก่อนอื่น ปัญหาแรกของมันคือต้องหาพันธุกรรม ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณและขั้นตอนมากมาย มีต้นทุนสูงเกินไป ด้วยทรัพยากรที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้คงทำไม่ได้” หลี่หนานสุ่ยอธิบายต่อไปว่า “แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉันกลัวว่าวิธีนี้ มันจะส่งผลต่อพันธุกรรมของมนุษย์ได้”

อาราบีเข้าใจในทันที “อืม! ก็จริง เพราะถ้าใช้วิธีนี้ คนที่กินยานี้เข้าไปอาจเป็นเหมือนสัตว์จำศีล ที่จะต้องจำศีลทุกปีก็ได้”

“ถูกต้อง!”

ทั้งคู่คุยกันอีกชั่วโมงกว่า ขณะปรึกษาปัญหาในด้านเทคนิค อารามีได้เอ่ยถึงจุดบกพร่องร้ายแรงประการหนึ่ง นั่นก็คือการทดลองหนึ่งรอบต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งปี มันเสียเวลามากเกินไป หากทดลองอีกสักสองสามครั้ง อาราบีกลัวว่าตัวเองอาจอยู่ไม่ทันได้เห็นผลทดลอง แต่หลี่หนานสุ่ยเห็นว่างานวิจัยนี้ สิ่งสำคัญคือเวลายิ่งนานยิ่งดี หากหลับไปแค่สองสามวัน ยานอนหลับหรือยาสลบก็ทำได้แล้ว จะมานั่งค้นคว้าวิจัยกันทำไม?

สุดท้ายอาราบีจึงได้แต่ยอมคล้อยตาม

หลี่หนานสุ่ยเดินออกมา ผ่านห้องฆ่าเชื้อเข้าสู่ห้องปฏิบัติการหมายเลขสาม

ห้องปฏิบัติการนี้ศึกษาค้นคว้าด้านอาวุธ ก่อนเข้าไปไม่ต้องฆ่าเชื้อ แต่ต้องเคาะประตู

อาวุธที่ผลิตที่นี่ไม่ใช่ปืน แต่เป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้บรรจุและยิงพิษ  หลี่หนานสุ่ยเป็นมืออาชีพด้านพิษสังหาร แม้ตอนไปเรียนที่อเมริกาจะเคยเล่นปืนมาบ้าง แต่เธอรู้สึกว่าการฆ่าคนด้วยปืนมันไร้รสนิยม ไม่มีความเป็นศิลปะ เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษสังหาร เป็นการฆ่าอย่างไร้ร่องรอย เป้าหมายตายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ตำรวจจะสืบคดี ก็ไม่รู้จะสืบอย่างไร มันต้องแบบนี้ถึงจะเรียกว่ามืออาชีพ

ไป๋ต้าหมิง ผู้ดูแลห้องปฏิบัติการหมายเลขสามเป็นวิศวกรเครื่องกล จบจากเยอรมนี พอกลับมาฮ่องกงก็เข้าทำงานที่บริษัทเทียนฉานเกาเคอจี้ ดูเป็นคนมีอนาคตคนหนึ่ง แต่ข้อเสียอย่างเดียวของเขาคือ เขาชอบมีเซ็กซ์กับเด็กผู้ชาย และในที่สุดก็โชคร้ายถูกจับ หมดสิ้นอนาคต  หลังออกจากคุก เขาเปลี่ยนอาชีพมาขับรถแท็กซี่ แต่ก็ยังแก้นิสัยนี้ไม่หาย มีครั้งหนึ่งไปตุ๋ยเด็กแปดขวบที่เซินเจิ้น ถูกตัดสินประหารชีวิตแบบรอการลงโทษ (เชิงอรรถ- เป็นวิธีการลงโทษแบบหนึ่งของจีน คือตัดสินว่ามีโทษสมควรแก่การประหาร แต่จะต้องติดคุกรอไปสองปี โดยในสองปีนี้หากพบว่าไม่มีเจตนาในการกระทำความผิด หรือมีการทำคุณงามความชอบไว้ ก็อาจจะมีการลดโทษเหลือเป็นจำคุกตลอดชีวิตหรือติดคุกตั้งแต่ 20-25 ปี) จ้าวจวิ้นได้ช่วยจ่ายเงินก้อนโตเพื่อช่วยเขาออกมา

แท้จริงแล้วเบื้องหลังของเรื่องนี้ ทั้งหมดเป็นฝีมือของหลี่หนานสุ่ยเอง เริ่มตั้งแต่จัดส่งเอเยนต์หาเด็กผู้ชายแปดขวบไปยั่ว จากนั้นให้จ้าวจวิ้นโทรแจ้งตำรวจ ไปจนถึงการจับกุมและปล่อยตัว ฐานะของไป๋ต้าหมิงในตอนนี้คือนักโทษ อันที่จริงตัวของเขาจะต้องอยู่ในคุก ไม่สามารถโผล่ออกมาให้ใครพบเห็นได้ แต่จ้าวจวิ้นได้หาคนที่มีเส้นสายไปค้ำประกันเพื่อลอบนำตัวเขาออกมา

ไป๋ต้าหมิงจะกินอยู่แต่ในที่พัก ทุก ๆ เดือนจะได้ “เสพสุข” กับ เด็กผู้ชายหนึ่งคน และเมื่อครบสิบปีจะช่วยทำเรื่องให้เขาเป็นผู้ได้รับการรักษาตัวนอกคุก นี่เป็นเงื่อนไขที่ไป๋ต้าหมิงไม่อาจปฏิเสธได้ เขาจึงทำงานอย่างร่าเริง  มีชีวิตที่มีความสุขยิ่งกว่าตอนอยู่เทียนฉานเกาเคอจี้เสียอีก ถึงกับคิดในใจว่าครบสิบปีแล้วจะขอทำงานนี้ต่อไปจนแก่ตายเลย

หลี่หนานสุ่ยเข้าไปไม่ถึงสิบนาที ก็จากมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ในกระเป๋าของเธอมีโทรศัพท์มือถือสีเงินขนาดกะทัดรัดเพิ่มมาเครื่องหนึ่ง

โทรศัพท์เครื่องนี้ ดูภายนอกก็เหมือนกับโทรศัพท์เดิมของเธอทุกอย่าง จะต่างก็แค่ข้างเลนส์กล้องมีรูละเอียดเล็กเท่าปลายเข็ม เมื่อใช้กล้องมือถือล๊อคเป้าหมาย ก็จะสามารถยิงผงพิษที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ถึงสองไมครอนออกไป ที่ระยะการยิงไม่เกินเจ็ดจุดห้าเมตร จะมีความแม่นยำร้อยเปอร์เซนต์ เป็นการยิงที่รวดเร็วจนแรงลมไม่อาจเบี่ยงเบน เป็นขนาดที่เล็กจนคนโดนยิงรู้สึกน้อยมาก มีอัตราความเจ็บเพียงร้อยละสิบเจ็ดของการถูกเข็มทิ่มเท่านั้น ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าก็คือใช้ระบบเซ็นเซอร์อินฟาเรดทำงานร่วมกับไมโครโปรเซสเซอร์ในการคำนวณระยะและปรับความแรงอัตโนมัติ

ผงที่ยิงไม่ใช่พิษซาริน แต่เป็นผงที่สกัดจากกบลูกศรพิษสีทองที่เธอชอบ เมื่อเข้าสู่ร่างกายใคร คน ๆ นั้นจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามวินาที หากเปลี่ยนเป็นยาน้ำ ไม่ถึงวินาทีก็จบชีวิตแล้ว เพียงแต่ยาพิษแบบน้ำมีปัญหาในการเก็บรักษาระยะยาว ด้วยเหตุนี้พิษกบลูกศรพิษสีทองทั้งหมดของหลี่หนานสุ่ยจึงถูกสกัดและจัดเก็บในรูปแบบผงทั้งหมด

เมื่อมีโทรศัพท์เครื่องนี้ หลี่หนานสุ่ยก็ไม่จำเป็นต้องฝึกวิชา เก้าท่าแพร่พิษ ให้ลำบากอีกต่อไป

“เก้าท่าแพร่พิษ” เป็นวิชาเก้าอย่างในการใช้ผงพิษที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์บรรพพิษ สมัยที่หลี่หนานสุ่ยเพิ่งไปถึงอเมริกา เธอใช้เวลาฝึกถึงปีครึ่ง จึงพอจะฝืนฝึกท่าแรกคือ “มนุษย์เล็บพิษ” กับท่าที่สอง “เส้นผมพิษพรางกาย” ได้ จนเรียนจบปริญญาโท เธอเพิ่งจะฝึกได้เพียงสองส่วน ส่วนในท่าที่สาม “แขนเสื้อเมฆสาดพิษ” จำเป็นต้องใช้กำลังภายในเข้าช่วย หลี่หนานสุ่ยไม่มีพลังฝีมือ ต่อให้ฝึกไปทั้งชาติก็ไม่มีวันฝึกสำเร็จ ที่สำคัญคือปัจจุบันไม่มีใครใส่ชุดแขนเสื้อติดผ้ายาวแบบชุดฟ้อนรำจีนโบราณกันแล้ว ฉะนั้นต่อให้ฝึกสำเร็จก็ไม่มีประโยชน์ เธอจึงค้นพบว่าการจะฝึกวิชาใช้พิษตามบันทึกในคัมภีร์นั้นเป็นไปไม่ได้ จึงคิดชดเชยด้วยวิทยาการสมัยใหม่ เพื่อให้สามารถใช้วิชาพิษที่ร้ายกาจกว่าเดิม ต่อให้ฮั่วอู๋เล่ยในอดีตฟื้นคืนชีพ ก็ไม่มีทางทำแบบเธอได้

แม้หลี่หนานสุ่ยไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกพลังฝีมือ ไม่มีเคล็ดวิชาสำหรับฝึกกำลังภายในอันล้ำลึก แต่หากเป็นเรื่องความเข้าใจในหลักการพื้นฐานของพิษ ต่อให้ฮั่วอู๋เล่ยฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็ยังเทียบเธอไม่ได้ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นดอกเตอร์จากเบิร์กลีย์ มีความรู้ด้านชีวเคมีในยุคปัจจุบัน ด้านความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับตัวยา โดยเฉพาะความรู้เรื่องของธาตุ กลศาสตร์ควอนตัม การรวมตัวของโมเลกุล รวมไปถึงโครงสร้างทางเรขาคณิต ไม่ว่าคนโบราณจะฉลาดล้ำเลิศสักแค่ไหนก็ไม่มีทางเทียบกับความรู้ของมนุษยชาติที่สั่งสมมาสามร้อยกว่าปีได้ เพียงแต่เนื้อหาในคัมภีร์บรรพพิษมีความล้ำลึกแยบยล ฮั่วอู๋เล่ยก็มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและสมุนไพรอย่างลึกซึ้ง มีพืชหายากหลายชนิดที่เขาเพาะพันธุ์ขึ้นเองกับมือ ปัจจุบันไม่สามารถค้นพบได้อีก หลี่หนานสุ่ยศึกษาคัมภีร์นี้มาสิบกว่าปี ส่วนที่รู้และสามารถนำมาใช้จริงนั้นยังมีไม่ถึงครึ่ง  ทว่าคัมภีร์เล่มนี้เป็นการรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับการสกัดพิษและการใช้พิษ ให้ความสำคัญกับการใช้จริง เพียงแต่หลักการพื้นฐานของมัน ส่วนมากจะตั้งอยู่บนหลักการหนุนเสริมและสะกดข่มกันของธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน หลี่หนานสุ่ยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เหลวไหลทั้งเพ เพราะมันแตกต่างกับหลักการที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันได้พิสูจน์แล้วมากมาย

การยิงผงพิษเป็นแค่กลไกหนึ่งของมือถือเครื่องนี้ ตัวของมันยังบรรจุผงระเบิดอะซิโตนเพอร์ออกไซด์ (เชิงอรรถ -   สารที่มีคุณสมบัติไวต่อความร้อนและความสั่นสะเทือน ซึ่งเมื่อได้รับความร้อนหรือความสั่นสะเทือน จะทำให้เกิดการระเบิด) เอาไว้ ขอแค่กดปุ่มหกปุ่มตามลำดับ ก็จะสามารถเปิดระบบจุดชนวนขึ้น ภายในหนึ่งวินาที โทรศัพท์เครื่องนี้ก็จะกลายเป็นคลื่นระเบิดรุนแรงที่ไม่มีแสงและความร้อน ไป๋ต้าหมิงรู้สึกว่าหนึ่งวินาทีนั้นสั้นเกินไป แต่หลี่หนานสุ่ยกลับเชื่อว่านั่นเป็นเวลาที่จะปามือถือใส่เป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปสองเมตรได้พอดี หากช้าไปสักวินาที มือถือจะหล่นลงพื้น ทำให้อีกฝ่ายมีโอกาสหนีไปได้ เธอจึงยอมเสี่ยงกับการบาดเจ็บ เพื่อแลกกับความแม่นยำของเจ้าระเบิดพกพาขนาดเล็กลูกนี้

ไป๋ต้าหมิงออกแบบอุปกรณ์วางยาพิษให้เธอมากมาย หลี่หนานสุ่ยก็อาศัยความสำเร็จจากเครื่องมือเหล่านี้ในการฆ่าคนไปไม่น้อย เพียงแต่มือถือเครื่องนี้เป็นสิ่งที่หลี่หนานสุ่ยสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ เป้าหมายหลักของมันไม่ได้มีไว้ฆ่าคน แต่ใช้เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัว อันที่จริงเธอไม่มีความจำเป็นต้องป้องกันตัวสักเท่าไหร่ เพียงแต่เธอรู้สึกว่าการมีอาวุธป้องกันตัวที่มีพลังทำลายล้างสูงติดตัว เป็นเรื่องที่เท่ไม่เบา ความรู้สึกคงคล้ายชาวอเมริกันที่สามารถพกปืนเดินกลางถนน โดยเฉพาะเมื่ออุปกรณ์ฆ่าคนนี้อยู่ในคราบของ “ความดี” มันจะยิ่งให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมขึ้นเป็นสิบเท่า

ที่นี่ยังมีห้องปฏิบัติการหมายเลขสี่ เพียงแต่ตอนนี้ยังเป็นห้องว่าง หลี่หนานสุ่ยเตรียมจะใช้ห้องนี้ในการวิจัยยาถอนพิษ ถ้าให้ดีควรจะหาพวกแพทย์ที่ทำวิจัยมา แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เจอคนที่เหมาะสม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอมีข้อเรียกร้องสูง อีกด้านหนึ่งก็เป็นปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย อันที่จริงเธอรู้สึกว่าเหวยสือมีคุณสมบัตินี้ เพียงแต่เธอยังหาวิธีควบคุมเขาไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือเธอยอมแต่งงานกับเหวยสือ ให้เขาช่วยปรุงยา ส่วนเธอมีหน้าที่ฆ่าคน สามีคล้อยตามภรรยา ได้บุคลากรมาโดยไม่เสียเงิน แต่โอกาสเช่นนี้คงมีไม่มากนัก

จนถึงตอนนี้ หลี่หนานสุ่ยก็ยังไม่ตัดใจ ด้วยเหตุนี้เธอจึงคอยสังเกตเหวยสือเป็นระยะ คอยมองหาจุดอ่อนของเขา เธอไม่เคยทำเรื่องที่ไร้ประสิทธิผลมาก่อน จุดอ่อนของคนส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นความกลัวกับความโลภ เพียงแต่เหวยสือในยามนี้ จุดอ่อนเดียวของเขาคือความหวังที่จะพิชิตหัวใจของหลี่หนานเวย ทว่าหลี่หนานสุ่ยควบคุมน้องสาวตัวเองไม่ได้ จึงไม่สามารถใช้จุดอ่อนนี้ของเหวยสือให้เป็นประโยชน์

หลี่หนานสุ่ยมักจะเริ่มทำการทดลองในวันเสาร์ ตอนนี้เรื่องที่ต้องหารือก็เสร็จสิ้นแล้ว จึงได้เวลาผ่อนคลายเสียที เธอเพิ่งฆ่าคนมา หลังฆ่าคนเธอจะเกิดความคึกเป็นพิเศษ เมื่อครู่ตอนที่ประชุมก็รู้สึก “คัน” เต็มที่  ยามนี้จึงอยากระบายจนแทบทนไม่ไหว

ตอนนี้เป็นเวลาตีสอง ไฟโรงงานปิดหมดแล้ว หลี่หนานสุ่ยออกจากประตูไปอย่างเงียบเชียบ เธอเรียกมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งมา แล้วนั่งไปโรงแรมที่หรูหราที่สุดในตัวเมือง แม้ว่าเธอจะไม่ชอบเสพสุขกับความสะดวกสบาย แต่เพื่อไม่ให้เสี่ยงถูกตำรวจเข้าตรวจ เธอจึงเลือกนอนในโรงแรมห้าดาว เมื่อบ่ายตอนที่เธอผ่านเซินเจิ้นก็ได้จัดเตรียมรายการสำหรับค่ำคืนนี้ไว้เรียบร้อย  ถึงอย่างไรเธอก็เป็นคนที่วางแผนอย่างรอบคอบเสมอมา

เธอตรงขึ้นไปที่ชั้นเจ็ด เคาะประตูห้องเจ็ดศูนย์หก แล้วบอกรหัสลับออกไป

คนเปิดประตูเป็นหนุ่มหน้าใส รูปร่างบึกบึนแข็งแรง จัดอยู่ในระดับ “เป็ดไฮโซ” ค่าตัวเหมาคืนตกอยู่ที่คืนละห้าพันหยวน

“เธอต้องใช้ลิ้น โลมเลียไปทั่วทั้งตัวของฉัน เราจะมีเซ็กซ์กันสามรอบ แต่ละรอบอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง” เธอโยนถุงยางอนามัยสามชิ้นให้กับชายหนุ่ม ลงมือเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองทิ้ง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เริ่มได้”

Top Hit


Special Deal